ภาวะซึมเศร้า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 18 Nov 2022 15:00:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เช็ก 3 สัญญาณที่บ่งชี้ว่าคุณอาจกำลัง ‘หมดไฟ’ ไม่รู้ตัว! https://positioningmag.com/1409010 Fri, 18 Nov 2022 10:31:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1409010 หลังจากตรากตรำทำงานมาจนเกือบจะหมดปีแล้ว เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกเหนื่อยล้า และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ว่า คุณอาจจะหมดไฟ โดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น ไปเช็ก 3 สัญญาณบ่งชี้ว่า เราอาจกำลังจะหมดไฟ และควรรีบหาทางแก้ด่วน!

แน่นอนว่า ความเหนื่อยหน่าย หรืออาการ หมดไฟ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ เพราะคำนี้ถูกประกาศใช้ครั้งแรกในปี 1970 เพื่ออธิบายถึงคนงานที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน แต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว องค์การอนามัยโลก ยอมรับอย่างเป็นทางการว่า อาการหมดไฟเป็นปรากฏการณ์ทางอาชีพที่เกิดจาก ความเครียดในที่ทำงาน ที่ยังไม่ได้รับการจัดการ จนนำไปสู่ความเหนื่อยล้า, ขาดความรู้สึกสนุกหรือแรงจูงใจในการทำงาน ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด

“คุณอาจรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา โกรธหรือแค่เหนื่อยจริง ๆ คุณจะมีทั้งอารมณ์เชิงลบและอาการทางร่างกายของความเหนื่อยหน่าย” ดร.เวนดี้ ซูซูกิ นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าว

สำหรับใครที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยล้าจากงาน ลองเช็ก 3 สัญญาณ เริ่มต้นตามที่ดร.เวนดี้ แนะนำ ได้แก่

  • เริ่มจะผัดวันประกันพรุ่ง
  • คิดฟุ้งซ่านอย่างต่อเนื่อง
  • ความเฉยชา

อาจฟังดูเหมือนการ ผัดวันประกันพรุ่ง เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณเริ่มใช้เวลานานกว่าปกติเพื่อจะทำงานแต่ละชิ้นให้เสร็จ นั่นอาจหมายความว่าคุณอยู่ภายใต้แรงกดดันมาก และสมองของคุณไม่สามารถรับมือกับความเครียดต่อเนื่องได้ดี คุณเลยเลือกที่จะผลัดมันไปเรื่อย ๆ

“เราทุกคนยังคงฟื้นตัวจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในที่ทำงานและโรงเรียนในช่วงสองปีที่ผ่านมา”

และการที่ ไม่มีสมาธิ ในที่ทำงานเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่ซ่อนอยู่ว่าคุณกำลังจะหมดไฟ การวิจัยในอดีตแสดงให้เห็นว่าความเหนื่อยหน่ายสามารถเปลี่ยนวงจรในสมองของคุณและทำให้โฟกัสยากขึ้น ทำให้ยากต่อการที่จะทำงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไป

สุดท้าย ภาวะ เฉยชา เป็นหนึ่งในอาการที่ ใหญ่ที่สุด และมักถูกเข้าใจผิดมากที่สุด เพราะเราไม่จำเป็นต้องรู้สึกถึงอารมณ์เชิงลบภายในเพื่อให้รู้สึกหมดไฟ แต่ทัศนคติที่ว่า ช่างมัน ฉันไม่สนแล้ว ต่อสิ่งที่คุณเคยสนใจ เช่น งาน เหมือนกับว่าคุณไม่ได้ทำอะไรที่สำคัญ ไม่สนใจสิ่งรอบตัวหรือคนรอบตัว

(Photo : Shutterstock)

ทางแก้คือ ต้องรู้ตัวเอง

หนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการควบคุมอาการเหนื่อยหน่ายคือ การตระหนักรู้ในตัวเองมากขึ้น ว่าสิ่งใดที่กระตุ้นอารมณ์เชิงลบของคุณ เช่น ความโกรธ ความเศร้า หรือความกลัว และเลือกที่จะแสดงหรือระบายมันออกมาเมื่อมีอารมณ์ความรู้สึกดังกล่าว แทนที่จะข่มมันเอาไว้

“ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรืออารมณ์ด้านลบอื่น ๆ ให้ลองถามตัวเองว่า ความรู้สึกนี้มาจากไหน และทำไมมันถึงมาอยู่ในตอนนี้?”

เพราะการได้สัมผัสกับอารมณ์ที่หลากหลายมากขึ้นนั้นสำคัญมาก ยิ่งถ้าเราซ่อนมันไว้นานเกินไป พวกมันก็จะยิ่งแย่ลง และในที่สุดเราจะจัดการมันไม่ได้

ดังนั้น หากเริ่มรู้ตัวว่าอยู่ในภาวะหมดไฟ ทางที่ดีควรหานักบำบัดหรือที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตที่ผ่านการรับรอง ซึ่งสามารถช่วยคุณเชื่อมโยงจุดต่าง ๆ ระหว่างอาการของคุณกับสาเหตุของอาการเหนื่อยหน่ายที่คุณอาจประสบอยู่ รวมทั้งช่วยคุณวางแผนการดำเนินการเพื่อจัดการกับอาการเหนื่อยหน่ายนี้

Source

]]>
1409010
สื่อแฉ ‘Facebook’ ศึกษาผลด้านลบของ ‘Instagram’ ต่อวัยรุ่นกว่า 3 ปีแต่ไม่เปิดเผย https://positioningmag.com/1351933 Wed, 15 Sep 2021 08:25:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351933 ตามรายงานของ Wall Street Journal (WSJ) รายงานว่า ‘Facebook’ ได้ทำการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของ Instagram ที่มีต่อผู้ใช้วัยหนุ่มสาวหลายล้านคนเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี แต่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยผลการศึกษาดังกล่าวพบว่า พบว่า ‘Instagram’ กำลังเป็นอันตรายต่อวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้หญิง และอาจสามารถนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้

ในปี 2555 Facebook ได้เข้าซื้อ Instagram ด้วยเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายฐานผู้ใช้วัยรุ่น เนื่องจากมีผู้ใช้อายุน้อยเริ่มใช้ Facebook น้อยลงเรื่อย ๆ โดยกลุ่มผู้ใช้วัยรุ่น คือ กุญแจสู่ความสำเร็จของ Instagram เนื่องจากผู้ใช้กว่า 40% มีอายุ 22 ปีหรือน้อยกว่า โดยปัจจุบัน วัยรุ่นชาวอเมริกันกว่า 22 ล้านคนใช้งาน Instagram ในแต่ละวัน ขณะที่วัยรุ่นที่ใช้งาน Facebook แค่ 5 ล้านคน

แต่ด้วยความที่ Instagram มีวัฒนธรรมในการ โพสต์เฉพาะรูปภาพและช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้ต้องการสร้างความสมบูรณ์แบบ โดยนักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหาเหล่านี้มีเฉพาะใน Instagram เนื่องจากแพลตฟอร์มเน้นหนักไปที่ไลฟ์สไตล์และรูปร่างหน้าตา ซึ่งหมายความว่า “ใน Instagram มีการเปรียบเทียบทางสังคม

เอกสารภายในของ Facebook แสดงให้เห็นว่าความล้มเหลวของบริษัทในการปกป้องเด็กบน Instagram โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง และมันก็เกิดขึ้นหลายปีแล้ว โดย 32% ของวัยรุ่นหญิงกล่าวว่า Instagram ทำให้เขารู้สึกแย่เกี่ยวกับร่างกายของพวกเขา และมีรายงานว่า Facebook ยังพบว่า 14% ของวัยรุ่นชายในสหรัฐอเมริกามองว่า Instagram ทำให้พวกเขารู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้น

The Journal อ้างถึงการศึกษาภายในของ Facebook ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยตรวจสอบว่า Instagram มีผลกระทบต่อ ฐานผู้ใช้อายุน้อย อย่างไรบ้าง โดยพบว่าวัยรุ่นหญิงได้รับอันตรายจาก Instagram มากที่สุด โดยกลุ่มผู้ใช้วัยรุ่นชาวอังกฤษที่มีความความคิด ฆ่าตัวตาย มีจำนวน 13% และ 6% ของผู้ใช้ชาวอเมริกัน

ตามรายงานของ Journal ผู้บริหารระดับสูงของ Facebook ได้ทบทวนงานวิจัยนี้แล้ว ขณะที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอกล่าวในการไต่สวนของรัฐสภาเมื่อเดือนมีนาคม เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบเขาเกี่ยวกับเด็กและสุขภาพจิต ว่า “การวิจัยที่เราได้เห็นคือการใช้แอปโซเชียลเพื่อเชื่อมต่อกับคนอื่น ๆ อาจมีประโยชน์ด้านสุขภาพจิตที่ดี”

อย่างไรก็ตาม แม้ Instagram จะมีแผนที่จะแก้ไข อาทิ การจะสร้าง Instagram เวอร์ชั่นสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี แต่ WSJ มองว่า Facebook ได้พยายามเพียงเล็กน้อยในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และมีการเรียกร้องไปยัง Facebook ว่าควรจะพับแผนการสร้าง Instagram สำหรับเด็ก แต่เน้นไปที่มาตรการการปกป้องผู้ใช้วัยรุ่นบนแพลตฟอร์มแทน

ด้าน Karina Newton หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Instagram ได้ตอบกลับรายงานดังกล่าวและกล่าวว่า บริษัทกำลังค้นคว้าวิธีที่จะดึงให้ผู้ใช้ไม่ หมกมุ่นอยู่กับโพสต์ Instagram บางประเภท

เรากำลังสำรวจวิธีที่กระตุ้นให้พวกเขาดูหัวข้อต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เจอแต่คอนเทนต์ที่บันทอนจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเราหวังว่าคอนเทนต์ดี ๆ จะช่วยชี้นำผู้คนไปสู่เนื้อหาที่สร้างแรงบันดาลใจและยกระดับพวกเขา”

wsj / aljazeera / forbes / CNBC

]]>
1351933