ภาษีทรัมป์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 13 Aug 2025 13:26:14 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 งานเข้าแบรนด์ดังสหรัฐฯ! หลังเกิดกระแส ‘แบน’ ในอินเดีย เพื่อตอบโต้มาตรการ ‘ภาษีทรัมป์’ https://positioningmag.com/1533439 Wed, 13 Aug 2025 07:07:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1533439 หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้าอินเดียที่ 50% เนื่องจากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งนั่นได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลนิวเดลีกับวอชิงตัน ล่าสุด งานกำลังเข้าบรรดา บริษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน ที่กำลังเผชิญกระแสการ คว่ำบาตร ในอินเดีย หลังจากผู้นำธุรกิจและผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ปลุกกระแสต่อต้านสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ถือเป็นตลาดสำคัญของแบรนด์อเมริกัน ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น และมองสินค้านำเข้าเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าในชีวิต ทำให้ปัจจุบัน อินเดียได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของหลาย ๆ แบรนด์จากสหรัฐฯ

อาทิ WhatsApp ที่อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุด หรืออย่าง Domino’s Pizza ก็มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลกในประเทศนี้ และทุกครั้งที่ Apple Store หรือ Starbucks เปิดใหม่ก็มักมีคนต่อคิวรอแน่นเสมอ

แม้ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่ากระทบยอดขายโดยตรง แต่กระแสในโซเชียลมีเดียและในชีวิตจริง เริ่มหันมาสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นและเลิกใช้สินค้าสหรัฐฯ

มานิช เชาดารี ผู้ร่วมก่อตั้ง Wow Skin Science ของอินเดีย โพสต์วิดีโอใน LinkedIn เรียกร้องให้สนับสนุนเกษตรกรและสตาร์ทอัพ พร้อมผลักดันให้ Made in India กลายเป็นกระแสระดับโลก เหมือนกับที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่ทำให้สินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์ด้านความงามเป็นที่นิยมทั่วโลก

“เราต่อคิวซื้อสินค้าที่มาจากอีกซีกโลก ใช้จ่ายอย่างภาคภูมิใจกับแบรนด์ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ ในขณะที่ผู้ผลิตในประเทศต้องพยายามดิ้นรนเพื่อให้คนในประเทศสนใจ”

ราห์ม ชาสทรี ซีอีโอ DriveU โพสต์ใน LinkedIn ว่า อินเดียควรมี Twitter, Google, YouTube, WhatsApp, Facebook เวอร์ชันของตัวเองเหมือนที่จีนมี

อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทค้าปลีกอินเดียจะสามารถแข่งขันกับแบรนด์ต่างชาติในประเทศได้ แต่การขยายสู่ตลาดโลก ยังเป็นความท้าทาย ขณะที่บริษัทไอทีรายใหญ่ของอินเดีย เช่น TCS และ Infosys กลับประสบความสำเร็จในตลาดโลก ให้บริการซอฟต์แวร์แก่ลูกค้าทั่วโลก

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีโมดีได้กล่าวในงานที่เมืองบังกาลอร์ เรียกร้องให้ชาวอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น โดยระบุว่า บริษัทเทคโนโลยีอินเดียผลิตสินค้าขายไปทั่วโลก แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของอินเดียก่อน

กลุ่มสวาเดสี จักรัน มันช์ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับพรรคภราติยะชนตะของโมดี ได้มีการจัดชุมนุมเล็ก ๆ ทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชาชนแบนบแบรนด์สหรัฐฯ โดยได้จัดทำ ลิสต์รายการแบรนด์สินค้าอินเดีย เช่น สบู่ ยาสีฟัน และน้ำอัดลม ให้ผู้คนเลือกใช้แทนสินค้านำเข้า พร้อมเผยว่าบนโซเชียลมีเดีย กลุ่มได้ทำกราฟิก คว่ำบาตรเชนอาหารต่างชาติ ที่มีโลโก้แมคโดนัลด์และร้านอื่น ๆ อีกหลายแบรนด์

อย่างไรก็ตาม แม้กระแสต้านสหรัฐฯ ยังคงอยู่ แต่เทสลาก็เปิดโชว์รูมแห่งที่สองในกรุงนิวเดลีเมื่อวันจันทร์ โดยมีเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์อินเดียและเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ร่วมงานเปิด

Source

]]>
1533439
Apple ลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ อีกแสนล้านดอลลาร์ หลัง ‘ทรัมป์’ เปิดศึกการค้า ‘อินเดีย’ https://positioningmag.com/1532943 Thu, 07 Aug 2025 06:50:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532943 Apple ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ ในภาคการผลิตในสหรัฐฯ หลัง ‘ทรัมป์’ เปิดศึกการค้ากับอินเดียฐานผลิตใหญ่ของ Apple

 

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า Apple ได้ประกาศเพิ่มการลงทุนตั้งโรงงานผลิต อุปกรณ์ ไอที และ iPhone อีก 1 แสนล้านดอลลาร์ ภายในสหรัฐฯ หลังจากเมื่อต้นปี 2025 มีการประกาศไปแล้วว่า จะลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 4 ปี

 

การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีอินเดียเพิ่มอีก 25% จากการที่อินเดียทำการค้าในระบบ Brics และเตรียมเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 25% ต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย เหตุผลเพราะอินเดียยังไม่เลิกซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้อินเดียจะโดนสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีรวมเป็น 50%

 

ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กดดัน Apple ให้ย้ายฐานการผลิต iPhone กลับมาที่สหรัฐฯ ถึงขั้นขู่ว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% หาก Apple ไม่ยอมปฏิบัติตาม

 

ปัจจุบัน iPhone ที่วางขายในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ผลิตในประเทศอินเดีย หลังจาก Apple ได้ย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนในช่วงหลังการระบาดของโควิด ขณะที่ iPhone ที่วางขายในตลาดอื่น ๆ ทั่วโลกยังคงผลิตในประเทศจีน

 

ที่มา : https://finance.yahoo.com/…/apple-to-announce…

]]>
1532943
SCG ชูจุดแข็ง ‘ฐานผลิตอาเซียน’ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ – สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1532122 Sun, 03 Aug 2025 06:07:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532122 ช่วงครึ่งปีแรก 2568 ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ส่วนสถานการณ์ครึ่งหลัง ‘ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี (SCG) บอกว่า ‘จะยิ่งท้าทายกว่า’ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย, อาเซียน ไปจนถึงเศรษฐกิจโลก

 

โดยปัจจัยที่กระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ได้แก่ 1.ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 3.ความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งทุกองค์กรต้องเตรียมความพร้อม และแผนรับมือไว้ให้ดี รวมไปถึงเอสซีจี

 

“หลังจากข้อสรุปอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเก็บไทย อย่าลืมเรื่อง Transhipment หรือภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งผ่านไทยก่อนจะไปอเมริกา ที่ถือเป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องสนใจ หากมีอัตราสูงก็อาจกระทบต่อซัพพลายเชน โดยสถานการณ์เศรษฐกิจต่อจากนี้ จะมีเหตุการณที่ทำให้เราเดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวตกใจ สลับกันไปมา ทำให้หัวใจเราแข็งแรงขึ้น”

 

ดังนั้น เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ โดยจะใช้การมี ‘ฐานผลิตในอาเซียน’ ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มาสร้างความได้เปรียบกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และรับมือการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่การลงทุนในไทย ก็ยังเดินหน้าต่อ เพื่อเน้นจำหน่ายและใช้งานในประเทศ

 

โดยกลยุทธ์สำหรับสู้กับทุกความท้าทาย ประกอบด้วย

 

1.ชูฐานผลิตหลากหลายในอาเซียน (Regional Optimization) ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี อาทิ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย ฯลฯ

 

นอกจากนี้ ทางเอสซีจียังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาดปูนเม็ด (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด ‘3D Printing Solution’ เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย ฯลฯ

 

2.ลดต้นทุนเพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น การใช้หุ่นยนต์และ AI สำหรับผลิตสินค้าคุณภาพตามมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ รวมถึง ลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ เป็นต้น

 

3.ดันสินค้า Smart Value – HVA – Green รุกตลาดเติบโตสูง โดยเร่งขยายสินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products – SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

 

“การโฟกัส 3 เรื่องนี้ จะทำให้ฐานการผลิตในอาเซียนของเราเข้มแข็งขึ้น และเพิ่มอัตราการเติบโตระยะยาวให้สูงขึ้น แต่ต้องใช้เวลา”

 

สำหรับผลประกอบการครึ่งแรกปี 2568 เอสซีจีมีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท และหากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไร 3,266 ล้านบาท ขณะที่กระแสเงินสด (EBITDA) อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งหลังของปีก่อน 21%

 

การดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 2568

 

1.ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น เอสซีจีซี บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากสายผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ 6,989 ล้านบาท ฯลฯ

2.ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ โดยหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท

 

3.ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ

 

รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท

]]>
1532122
“แผ่นดินไหว-ภาษีทรัมป์” พ่นพิษ กดดันตลาดอสังหาปี 68 คาดเปิดตัวน้อยสุดรอบ 15 ปี https://positioningmag.com/1524700 Thu, 05 Jun 2025 12:50:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1524700 ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2568 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไม่ได้ดีกว่าที่ทุกคนคาดหวัง จากปีก่อนเราคิดว่าตลาดจะกระเตื้องขึ้นจากข่าวดีเรื่องอัตราดอกเบี้ยลดลง และการปลดล็อก LTV

แต่ก็มีข่าวร้ายเข้ามาด้วยเช่นกัน ทั้งแผ่นดินไหวเมียนมาที่กระทบตลาดคอนโดมิเนียมไฮไรส์ในไทย ซึ่งปัจจุบันกำลังซื้อเริ่มกลับมา 70% จากช่วงปกติ (คาดกลับมา 100% ในปี 2569) ประกอบกับทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าไทย ทำให้ลูกค้าที่ทำธุรกิจส่งออกชะลอหรือยกเลิกการโอนกรรมสิทธิ์บ้านออกไป

ศุภาลัย ไตรเตชะ
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)

“ไตรมาส 4 ปี 2567 เราคิดว่าแย่ที่สุดที่เคยเห็นมา แต่ไตรมาส 1 ปี 2568 แย่ยิ่งกว่า สะท้อนจากกำไรขั้นต้น (Gross Profit) ของกลุ่มอสังหาเฉลี่ย 28% ซึ่งปกติไม่เคยเห็นต่ำกว่า 30% และมีช่วงพีกสุดที่ 35%”

ขณะที่เรามองว่า “ภาษีทรัมป์” น่ากลัวกว่าแผ่นดินไหว เพราะเหตุการณ์แผ่นดินไหวคนชะลอโอนกรรมสิทธิ์ออกไป แต่ภาษีทรัมป์ผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับส่งออก เขาทิ้งเงินจองทันที และไม่โอนกรรมสิทธิ์ คนกลุ่มนี้ค่อนข้างมีเงินอยู่แล้ว

ขณะที่ การเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ ปี 2568 คาดว่าจะเปิดตัวเพียง 60,000-70,000 ยูนิต “น้อยสุดในรอบ 15 ปี” นับตั้งแต่ปี 2553 ที่มีการเปิดตัวราว 110,000 ยูนิต และเคยพีกสุดในปี 2556 ด้วยจำนวน 130,000 ยูนิต

“จากภาพรวมเศรษฐกิจ คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยคงไม่สามารถกลับไปเท่าจุดพีกที่เปิดตัวใหม่ 130,000 ยูนิต/ปี    ได้อีก แต่อาจจะกลับมาเปิดตัวใหม่ได้ราว 90,000-110,000 ยูนิต/ปี เมื่อเซนติเมนต์เศรษฐกิจและการจับจ่าย      ผู้บริโภคดีขึ้น“

ส่วนกลุ่มราคาที่ยังพอไปได้มากสุด คือ ที่อยู่อาศัยราคา 4-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ และต้องการที่อยู่อาศัยจริง ๆ โดยกลุ่มราคานี้มักไม่มีปัญหาการกู้ไม่ผ่านเหมือนกลุ่มระดับกลาง-ล่าง ที่มีปัญหาหนี้ และถ้าระดับราคาสูงกว่า 7 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีบ้านกันอยู่แล้วจึงไม่ซื้อเพิ่มนัก

“ตอนนี้เรื่องกู้ไม่ผ่านไม่น่ากังวล เท่าเรื่องความเชื่อมั่น และภาระหนี้ครัวเรือนของลูกค้า การฟื้นความเชื่อมั่นต้องอาศัยทุกภาคส่วนร่วมทำด้วยกัน“

อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกของธุรกิจอสังหายังมีอยู่บ้าง ในด้านราคาวัสดุก่อสร้างลดลง อาทิ เหล็ก และราคาที่ดินลดลง 10-15% เอื้อต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ได้ต้นทุนที่ดีขึ้น

เบื้องต้น ปี 2568 บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท (จากปีก่อน 6,800 ล้านบาท) ซึ่งพยายามมองหาที่ดินราคาคุ้มค่าที่สุด โดยเปิดรับทุกพื้นที่ ปัจจุบันใช้งบประมาณส่วนนี้ไปแล้ว 3,000 ล้านบาท

ที่ดิน บ้าน
ที่มาภาพ Shutterstock

ไตรเตชะ ย้ำว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาชะลอตัวลง แต่บริษัทฯ เดินหน้าตามแผนเดิม ไม่ปรับเป้าใหม่ โดยวางเป้าปี 2568 ทำรายได้ 30,000 ล้านบาท และยอดขาย 32,000 ล้านบาท

โดยเปิดตัวโครงการใหม่รวม 36 โครงการ แบ่งเป็น

  • บ้าน จำนวน 28 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 28,000 ล้านบาท
  • คอนโดมิเนียม จำนวน 8 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 13,000 ล้านบาท

สำหรับคอนโดมิเนียม ช่วงครึ่งปีแรกเตรียมเปิดตัว 3 โครงการ นำร่องด้วย “ศุภาลัย เซนส์ แจ้งวัฒนะ-หลักสี่” อาคารโลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร บนพื้นที่ 2 ไร่ ราคาเริ่มต้น 1.44 – 4.09 ล้านบาท เฉลี่ย 55,000 บาท/ตร.ม.

ถือเป็นการบุกทำเล “แจ้งวัฒนะ-หลักสี่” ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์กลางเมืองใหม่ (New Urban Hub) ของโซนกรุงเทพตะวันตก ด้วยศักยภาพด้านเศรษฐกิจ จากแหล่งงานขนาดใหญ่ อาทิ ศูนย์ราชการ, อิมแพ็ค เมืองทองธานี, สนามบินดอนเมือง, กลุ่ม รพ.มงกุฏวัฒนะ และ รพ.เวชธานี

ศุภาลัย คอนโด แจ้งวัฒนะ
โครงการศุภาลัย เซนส์ แจ้งวัฒนะ-หลักสี่

คอนโดแจ้งวัฒนะราคาต่ำกว่า 70,000 บาท/ตร.ม. แทบไม่เหลือ ส่วนใหญ่ทำเลใกล้ศูนย์ราชการ ก็มีราคาสูงกว่า 67,000 บาท/ตร.ม.

เราเห็นช่องว่างด้านราคา โดยเราเขยิบที่ดินออกมาจากศูนย์ราชการ มาตรงใกล้ ๆ ไอทีสแควร์ ได้ราคาขายเหลือ 55,000 บาท/ตร.ม. แถมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย คือ สายสีแดง สถานีหลักสี่ 390 เมตร และสายสีชมพู สถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ 490 เมตร

โดยเน้นจับกลุ่ม 50% เป็นข้าราชการ และที่เหลือ 40% เป็นพนักงานสนามบินและนักเรียน/นักศึกษา ส่วนอีก 10% เป็นบุคลากรการแพทย์

”ด้วยเราตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้ทำห้องกว่า 14 แบบ รองรับการใช้งานที่หลากหลายไลฟ์สไตล์ โดยโครงการนี้จะเริ่มสร้างปี 2569 ก่อนแล้วเสร็จในปี 2570“

]]>
1524700
ไม่ถูกเหมือนเดิม Shein-Temu ทยอยขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ รับมือการเรียกเก็บภาษีใหม่ https://positioningmag.com/1519752 Mon, 28 Apr 2025 07:11:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1519752 Shein และ Temu สองแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากจีน ได้ทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ เนื่องจากกำลังเผชิญกับอัตราภาษี 120% สำหรับสินค้าหลายรายการ เนื่องมาจากสหรัฐฯ จะยกเลิกข้อยกเว้น de minimis ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 นี้

 

โดย Shein มีการปรับขึ้นราคาสินค้าในกลุ่มสินค้าขายดีจำนวน 100 รายการ เช่น กลุ่มความงามและสุขภาพเพิ่มขึ้น 51% สินค้าหมวดบ้านและเครื่องครัว รวมถึงของเล่น ปรับขึ้นราคาเพิ่มขึ้นกว่า 30% โดยเฉพาะชุดผ้าเช็ดมือในครัว 10 ชิ้นเพิ่มขึ้นถึง 377% แปรงทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น 219% ส่วนเสื้อผ้าสตรีปรับขึ้นเฉลี่ย 8%

 

สำหรับ de minimis เป็นการอนุญาตให้สินค้าขนาดเล็กที่ส่งมาจากจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สามารถเข้าประเทศได้โดย ‘ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า’ หรือ ‘ค่าธรรมเนียมศุลลากร’ ซึ่งสหรัฐฯ จะยกเลิกในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 นี้ พร้อมกับเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 100 ดอลลาร์ ต่อหนึ่งรายการที่ส่งพัสดุ และจะเพิ่มเป็น 200 ดอลลาร์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568

 

การยกเลิกข้อยกเว้นดังกล่าว ทำให้ Shein และ Temu ได้เริ่มมีการปรับราคาตั้งแต่ 25 เมษายนที่ผ่านมา และทั้งสองบริษัทระบุผ่านทางช่องทางออนไลน์ของตัวเองว่า สาเหตุของการปรับขึ้นราคาครั้งนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงล่าสุดในกฎการค้าและภาษีโลก ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น และเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้โดยไม่ลดคุณภาพ จึงจำเป็นต้องมีการปรับราคา

 

ที่มา

 

https://edition.cnn.com/2025/04/25/business/shein-temu-price-increase/index.html

https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-04-27/foreign-investors-face-bigger-s-p-500-nasdaq-losses-as-dollar-slides

]]>
1519752
สมาคมค้าปลีกไทย ชี้พิษภาษีทรัมป์ทำให้ ‘สินค้าจีน’ ทะลักเข้าไทยมากขึ้น https://positioningmag.com/1518993 Mon, 21 Apr 2025 12:12:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518993 นอกจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ไม่เอื้ออำนวยแล้ว ช่วงครึ่งหลังปี 2568 ‘ธุรกิจค้าปลีก’ ยังต้องเผชิญความท้าทายที่เกิดจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างรุนแรงเท่านั้น ยังจะทำส่งผลให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยมากขึ้น

 

‘ณัฐ วงศ์พานิช’ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยต้องพบกับความท้าทายหลายด้านในปี 2568 ทั้งวิกฤติการค้าโลก การขึ้นภาษีศุลากรของสหรัฐฯ เหตุการณ์แผ่นดินไหว และภาวะหนี้ครัวเรือน ทำให้คาดการณ์ GDP ปีนี้ลดลงเหลือ 1-1.4% จากเดิมคาดการณ์จะเติบโตอยู่ในกรอบ 2.7-3%

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย เบื้องต้นประเมินว่า ยอดขายภาคค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง โดยในช่วงปี 2567-2568 โตเฉลี่ย 3.4% คิดเป็นมูลค่า 1.36 แสนล้านบาท ขณะที่ช่วงปี 2565-2566 มีการเติบโต 5.9%

 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่มีมากกว่า 3.3 ล้านราย ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะสินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนที่เข้ามาผ่านทางอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการรายย่อยข้ามแดน

 

“จีนเป็นประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ามากสุด จึงต้องหาตลาดทดแทน บวกกับปัญหาการผลิตสินค้าเกินความต้องการภายในประเทศจีน ทำให้จีนจำเป็นต้องระบายสินค้าสู่ต่างประเทศ ซึ่งประเทศเป้าหมายก็คือประเทศใกล้เคียงกับจีน รวมถึงไทยที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยจนถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างแรงงาน”

 

สำหรับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาไทยจะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์, Accessory และอาหาร เป็นต้น โดยสินค้าจีนได้เปรียบในเรื่องต้นทุน ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยไม่ควรแข่งที่ราคา แต่ต้องสู้ที่ความแตกต่างและคุณภาพ

 

ขณะที่ภาครัฐ ควรมีมาตรการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เช่น การจัดเก็บภาษีตั้งแต่บาทแรกของสินค้าออนไลน์นำเข้าเป็นการถาวร (จากเดิมสินค้าไม่เกิน 1,500 บาทจะได้รับการยกเว้นภาษี), ออกมาตรการควบคุมสินค้าด้อยมาตรฐานจากแพลตฟอร์มออนไลน์ และการตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% แทนการสุ่มตรวจ

 

รวมถึงปราบปรามธุรกิจนอมินี จำเป็นต้องเร่งหามาตรการเชิงรุกในการจัดการธุรกิจนอมินี (Nominee) ที่สวมสิทธิ์คนไทยในทุกระดับ ตั้งแต่รายย่อยถึงรายใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจในหลายรูปแบบ เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรมศูนย์เหรียญ เพื่อยับยั้งการรั่วไหลของเม็ดเงิน และผลักดันให้รายได้จากภาคค้าปลีกหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย

ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย ควรส่งเสริมให้ไทยเป็น Shopping Paradise ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ผ่าน 2 มาตรการสำคัญ ได้แก่

 

-นโยบาย Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ทันที ณ ร้านค้า ให้กับนักท่องเที่ยวที่มี ยอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไปต่อ 1 วันในร้านค้าเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับประเทศจีนที่ได้ประกาศใช้นโยบาย Instant Tax Refund 500 หยวน (ประมาณ 2,500 บาท) นำร่องที่เมืองท่องเที่ยวอย่างเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว

 

-แซนด์บ็อกซ์เขตปลอดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ (Free Tax Zone) ในจังหวัดภูเก็ต เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันท่ามกลางสงครามการค้าโลก

]]>
1518993
ส่องนโยบายรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’ ของเหล่าประเทศ ‘อาเซียน’ จะมีทิศทางอย่างไรกันบ้าง https://positioningmag.com/1518029 Thu, 10 Apr 2025 03:09:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518029 หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศ ขึ้นภาษี ส่งผลให้หลายประเทศได้เตรียมหาทางรับมือ รวมถึงในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กระทบหนักไม่แพ้ใคร ดังนั้น ไปดูกันว่านโยบายของรัฐบาลแต่ละประเทศ มีแผนรับมืออย่างไรกันบ้าง

กัมพูชาหนักสุด แต่นิ่งสุด

หากพูดถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ดูเหมือนประเทศ กัมพูชา จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากถูกเรียกเก็บภาษีใน อัตราสูงสุด ที่ 49% ตามมาด้วย

  • ลาว (47%)
  • เวียดนาม (46%)
  • ไทย (36%)
  • อินโดนีเซีย (32%)
  • มาเลเซีย (24%)
  • สิงคโปร์ (10%)

แม้ว่า กัมพูชา จะเป็นประเทศที่ถูกขึ้นภาษีสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่การตอบสนองนั้นค่อนข้างจะนิ่ง แม้ว่าภาษีดังกล่าวอาจมีผลต่อการส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสินค้าที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ได้ข้อความเสนอที่จะ “เจรจากับฝ่ายบริหารโดยเร็วที่สุด” พร้อมกับยื่นขอเสนอ ลดภาษีสินค้า 19 รายการ ทันที จากสูงสุด 35% เหลือ 5%”

นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต

เวียดนาม ชาติแรกของภูมิภาคที่ตอบสนอง

หลังจากที่มีการประกาศขึ้นภาษี เวียดนาม นับเป็นประเทศแรกของภูมิภาคที่ตอบสนอง โดยได้ต่อสายตรงถึง ทรัมป์ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน โดย โต เลิม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ได้ขอให้ทรัมป์ เลื่อนการบังคับใช้ภาษีออกไป 45 วัน และเสนอที่จะ ยกเลิกภาษีของประเทศทั้งหมด 

และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรี บุย ทาน เซิน ได้พบกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ มาร์ค แนปเปอร์ ในฮานอย และขอให้ทรัมป์เลื่อนการบังคับใช้ภาษีอีกครั้ง ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน รองนายกรัฐมนตรี โฮ ดึก ฟอก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสหรัฐฯ บอกกับบริษัทต่าง ๆ เมื่อวันศุกร์ว่า เวียดนามกำลังขอให้ เลื่อนออกไป 1-3 เดือน มีรายงานด้วยว่า เวียดนามกำลังจะสรุปข้อตกลงเรื่องการซื้อเครื่องบินโบอิ้งโดยสายการบินของเวียดนาม

โต เลิม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

ไทยเดินทางสายกลาง

ยุทธศาสตร์ของไทยในการลดผลกระทบจากภาษี จะ เพิ่มการนำเข้าสินค้าและเพิ่มการลงทุนของสหรัฐฯ อาทิ พลังงาน เครื่องบิน และสินค้าเกษตรของอเมริกาเพิ่มขึ้น แม้ว่าประเทศยังไม่ได้ เสนอที่จะลดภาษี ก็ตาม โดย นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ย้ำว่า “ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้ส่งออก แต่ยังเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ สามารถพึ่งพาได้ในระยะยาว”

ขณะที่ ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ ระบุว่า ไทยจะเน้น เดินสายกลาง โดยเขาจะไม่รีบร้อนไปหาสหรัฐฯ แต่ก็จะไม่นิ่งเฉย หรือตอบโต้เหมือนจีน โดยจะพยายามหาวิธีว่าจะ อยู่ร่วมกับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่

นอกจากนี้ รัฐมนตรีการคลัง พิชัย ชุณหวชิร จะออกเดินทางไปสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้เพื่อเจรจากับ “ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขณะที่ กรมการค้าต่างประเทศของไทย เน้นย้ำว่า จะเพิ่มการเฝ้าระวังการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หลังมี สินค้าจากต่างประเทศที่แอบอ้างว่าเป็นสินค้าที่มาจากไทย

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย

อินโดฯ เริ่มส่งคนไปเจรจา

อินโดนีเซีย เป็นอีกประเทศที่กระทบ โดยหลังจากการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เมษายน ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียลดลง 9.6% และส่งให้ค่าเงินรูเปียะอ่อนค่าลงไปถึง 16,898 รูเปียะต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่ อ่อนค่าที่สุดเป็นประวัติการณ์ ของสกุลเงินนี้

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ได้ประกาศว่า รัฐบาลของเขาจะส่งคณะผู้แทนระดับสูงไปเจรจา ขอลดหย่อนภาษี ที่วอชิงตัน พร้อมกับระบุว่า รัฐบาลกำลัง สำรวจทางเลือกในหลาย ๆ ทาง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต

มาเลฯ ขออาเซียนร่วมสู้ทรัมป์

ด้านมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีการคลังด้วย ได้จวกทรัมป์ว่า “เป็นการปฏิเสธหลักการการค้าเสรีที่ไม่เลือกปฏิบัติ คาดเดาได้ และเปิดกว้าง” ขององค์การการค้าโลก อีกทั้งยัง กล่าวว่า รัฐบาลของเขา จะไม่เก็บภาษีตอบโต้

และในฐานะ ประธานอาเซียน ได้เรียกร้องขอให้ประเทศสมาชิกร่วมกันต่อสู้กับความท้าทายที่เกิด โดยขอให้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น และร่วมมือกันภายในมากขึ้น เพราะมั่นใจว่า ในแง่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ กลุ่มอาเซียนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม

สิงคโปร์ปลุกประชาชนพร้อมรับมือความไม่แน่นอน

แม้ว่าสิงคโปร์จะถูกขึ้นภาษีน้อยที่สุด แต่ ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ก็มองว่า น่าผิดหวังอย่างยิ่งและไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนควรปฏิบัติต่อกัน พร้อมกับ ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจแห่งชาติ รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนว่า มาตรการภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งผลต่อการส่งออกของสิงคโปร์

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคบริการ เช่น การเงินและการประกันภัย และจะทำให้โอกาสในการทำงานลดน้อยลง หากเกิดการย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ

จะเห็นว่าการตอบสนองส่วนใหญ่จะเป็นการ วางกลยุทธ์แบบสองด้าน ทั้งการยอมตามข้อเรียกร้องของทรัมป์ในระยะสั้น เช่น การลดภาษีของตนเอง และคำมั่นที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าบางอย่างจากสหรัฐฯ แต่ ไม่มีประเทศไหนที่จะตอบโต้โดยการ ขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แม้ว่าล่าสุด จะมีการชะลอขึ้นภาษีไปอีก 90 วันก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ ภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจ กลายเป็นประเทศที่คาดเดาไม่ได้ไปแล้ว

]]>
1518029