นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หลังเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านการดึงดูดธุรกิจจากทั่วโลกมายาวนาน ด้วยการเป็นศูนย์กลางการค้าปลอดภาษี อย่างไรก็ตาม ภาษีนิติบุคคลของ UAE จะยังอยู่ในระดับไม่สูงมาก เพื่อให้ยังคงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เช่นเดิม
กระทรวงการคลัง ระบุว่า ภาษีนิติบุคคลดังกล่าวจะครอบคลุมธุรกิจ องค์กรและกิจกรรมทางการค้าทั้งหมดในประเทศ ซึ่งจะเรียกเก็บในอัตรา 9% แต่จะคิดภาษีในอัตรา 0% หากมีกำไรทางภาษีไม่เกิน 375,000 ดีแรห์ม (102,107 ดอลลาร์ หรือราว 3.3 ล้านบาท ) เพื่อสนับสนุนธุรกิจรายย่อยและสตาร์ทอัพ
โดยถือว่าเป็นอัตราการเก็บภาษีนิติบุคคลที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นศูนย์กลางการลงทุนโลก
นอกจากนี้ ‘รายได้ส่วนบุคคล’ ที่มาจากการจ้างงาน อสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในตราสารทุน หรือรายได้ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้าหรือธุรกิจในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะยังคงไม่มีการจัดเก็บภาษีในส่วนดังกล่าว เเละระบบภาษีนี้จะไม่ถูกนำไปใช้กับนักลงทุนต่างชาติที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจในประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อปี 2018 UAE เริ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับสินค้าและบริการส่วนใหญ่ในอัตรา 5% เเละล่าสุดกับการประกาศใช้แผนเก็บภาษีนิติบุคคลเป็นครั้งแรกนี้ สะท้อนให้เห็นความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการ ‘กระจายแหล่งรายได้’ จากเเต่เดิมที่ต้องพึ่งพารายได้หลักจาก ‘น้ำมัน’ หันมามุ่งพัฒนาไปในด้านเทคโนโลยีเเละพลังงานสะอาดมากขึ้น
]]>
ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจากประเทศกลุ่ม G-7 ได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ได้ตกลงกันว่าจะสนับสนุนอัตราภาษีนิติบุคคลทั่วโลกให้มีขั้นต่ำอย่างน้อย 15% เพื่อแก้ปัญหาการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายหลบเลี่ยงภาษีและประกันความยุติธรรมสำหรับชนชั้นกลางและคนทำงานในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก
ที่ผ่านมา รัฐบาลในประเทศเศรษฐกิจใหญ่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการเก็บภาษีบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Facebook และ Google ที่มักใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษีในประเทศแม่ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การตั้งบริษัทสาขาในประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราต่ำแล้วยื่นเสียภาษีที่นั่น แม้ว่าบริษัทจะมีผลกำไรส่วนใหญ่มาจากยอดขายในประเทศอื่นก็ตาม ซึ่งช่วยให้บริษัทหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีที่สูงขึ้นในประเทศบ้านเกิดของบริษัท
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD คาดว่าอัตราภาษีขั้นต่ำขององค์กรทั่วโลกรวมกันจะเพิ่มขึ้นราว 5-8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยทั่วไป ประเทศในแอฟริกาและอเมริกาใต้กำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปและเอเชีย ตามข้อมูลของมูลนิธิ Think Tank Tax Foundation, OECD และที่ปรึกษา KPMG ส่วนประเทศที่มีภาษีต่ำหลายแห่งเป็นประเทศเล็ก ๆ เช่น บัลแกเรีย และลิกเตนสไตน์ ซึ่งอัตราภาษีนิติบุคคลสูงสุดและต่ำสุดทั่วโลก มีดังนี้
จากข้อมูลดังกล่าวระบุว่า ประมาณ 15 ประเทศไม่ได้กำหนดภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไป ซึ่งรวมถึงประเทศที่เป็นเกาะ เช่น เบอร์มิวดา หมู่เกาะเคย์แมน และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็น “ที่หลบภัยทางภาษี” นอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นเขตอำนาจศาลที่บริษัทขนาดใหญ่เปลี่ยนผลกำไรไปเพื่อจ่ายภาษีให้น้อยลง โดยพื้นที่ดังกล่าวจะเน้นทำประโยชน์จากการจ้างงานของบริการบริษัทข้ามชาติ รวมถึงการทำเงินจากค่าธรรมเนียมที่จ่ายโดยบริษัทขนาดใหญ่แทน
Daniel Bunn รองประธานโครงการระดับโลกของ Tax Foundation กล่าวว่า ประเทศที่มีภาษีต่ำเอื้อต่อการลงทุนมากกว่าประเทศที่มีภาษีสูงกว่า ดังนั้น การใช้อัตราภาษีขั้นต่ำทั่วโลกจะเพิ่มต้นทุนของการลงทุนเหล่านั้น และอาจส่งผลต่อประเทศเหล่านั้นแน่นอน
“แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แน่นอนว่าอาจยังมีโอกาสหลบเลี่ยงหรือหลีกเลี่ยง หรือประเทศต่าง ๆ จะเปลี่ยนกฎในลักษณะที่เป็นสิทธิพิเศษสำหรับเขตอำนาจศาลของตนก็เป็นได้”
]]>