สำนักข่าว Reuters รายงานว่า รัฐควิเบก แคนาดา กำลังพิจารณานโยบายที่น่าจะก่อให้เกิดการถกเถียงระหว่าง “สิทธิส่วนบุคคล” กับ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” เพราะควิเบกกำลังจะมีนโยบาย “เก็บภาษีผู้ที่ปฏิเสธรับวัคซีน”

Francois Legault นายกเทศมนตรีรัฐควิเบก กล่าวว่ารายละเอียดกฎหมายกำลังพิจารณากันอยู่ แต่แน่นอนว่าผู้ที่มีปัญหาสุขภาพทำให้รับวัคซีนไม่ได้ จะได้รับการยกเว้น

เหตุผลที่ควิเบกมองคือ ผู้ที่ไม่รับวัคซีนเป็นภาระทางงบประมาณสาธารณสุขแก่ผู้อื่น ทำให้จะมีการเก็บภาษีเพิ่มสำหรับคนกลุ่มนี้ โดยคาดว่าจะเก็บเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์แคนาดา (ประมาณ 2,660 บาท)

แม้ว่ารัฐบาลทั่วโลกจะมีมาตรการกดดันผู้ที่ไม่รับวัคซีนหลากหลาย เช่น ห้ามเข้าร้านอาหาร แต่การเก็บภาษีเพิ่มเช่นนี้ไม่ค่อยมีแนวปฏิบัติกันมากนัก เพราะน่าจะก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์สูง

• Citigroup ใช้ไม้เเข็ง ‘no-jab , no job’ เลิกจ้างพนักงานที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด
• ‘WHO’ คาด ประชากรยุโรป 50% จะติด ‘โอมิครอน’ ในอีก 2 เดือน

อย่างไรก็ตาม เหตุผลของควิเบกก็คือจำนวนเคสที่สูงขึ้นระหว่างการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน จนขณะนี้มีประชากรนับหมื่นคนที่ต้องอยู่ในสถานกักตัว และเป็นภาระของระบบสาธารณสุข แม้กระทั่งบุคลากรการแพทย์เองก็รับภาระหนัก จนต้องกลับมาทำงานทั้งที่ยังไม่หายดีจากการติดเชื้อโรค COVID-19

“วัคซีนเป็นกุญแจสำคัญในการสู้กับไวรัส นี่จึงเป็นเหตุที่เราต้องการเงินสบทบงบสาธารณสุขจากผู้ใหญ่ที่ปฏิเสธการรับวัคซีน ทั้งที่ไม่มีเหตุผลด้านสุขภาพส่วนตัว” Legault กล่าว

Legault เปิดเผยข้อมูลว่า แม้ว่ารัฐควิเบกจะมีผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนประมาณ 10% เท่านั้น แต่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ป่วยหนักมีถึง 50% ที่เป็นผู้ไม่ได้รับวัคซีน

สำหรับการจัดสรรวัคซีนของทั้งประเทศแคนาดา Justin Trudeau นายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า แคนาดามีปริมาณวัคซีนเพียงพอสำหรับเข็มบูสเตอร์เข็ม 3 และเข็ม 4 เรียบร้อยแล้ว

Source

ข้อมูลจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ อัปเดตเมื่อวันเสาร์ (19 มิ.ย.) ที่ผ่านมาว่า จีนได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ประมาณ 20.23 ล้านโดส (ในวันเดียว) ทำให้มียอดสะสมการฉีดวัคซีนทะลุ 1.01 พันล้านโดส ซึ่งจำนวนดังกล่าว มากกว่าสหรัฐฯ ถึง 3 เท่า และคิดเป็นเกือบ 40% ของทั่วโลกที่ฉีดวัคซีนไปแล้วรวม 2.5 พันล้านโดส

โดยระยะเวลาเเละปริมาณการฉีดวัคซีนของจีน เป็นความเคลื่อนไหวที่ ‘น่าสนใจ’ มาก เนื่องจากจีนเริ่มรณรงค์ฉีดวัคซีนช้ากว่าหลายประเทศ เเละเพิ่งฉีดวัคซีนครบ 1 ล้านโดสไปเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ตามหลังถึงสหรัฐฯ 2 สัปดาห์

“แต่อัตราการฉีดวัคซีนนั้นเพิ่มขึ้นอย่าง ‘มีนัยสำคัญ’ ในเดือนพ.ค. โดยมีการฉีดวัคซีนมากกว่า 500 ล้านโดส”

การฉีดวัคซีนในประเทศที่มีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน นับเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ โดยในช่วงแรกประชาชนบางส่วนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรีบฉีดวัคซีน เนื่องจากรัฐบาลจีนคุมการเเพร่ระบาดได้ดี เเละข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนก็ทำให้ชาวจีนจำนวนไม่น้อย ‘ลังเล’ ที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีน

อย่างไรก็ตาม เมื่อการเเพร่ระบาดในท้องถิ่นต่างๆ เริ่มกลับมาอีกครั้ง ความกลัวจะติดเชื้อก็กระตุ้นให้คนออกมาฉีดวัคซีนมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ระบาดรุนเเรง

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลจีนยังมี ‘เครื่องมือ’ ที่นำมาใช้ นั่นก็คือการบริหารเเบบ ‘Top-Down’ ระบบพรรคเดียวที่มีการบริหารจากบนลงล่าง เข้าถึงระบบราชการในวงกว้าง ส่งผลให้จีนสามารถระดมกำลังในการฉีดวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว

เจ้าหน้าที่ของจีน ยกให้ระบบการบริหารเเบบ ‘Top-Down’ เป็นจุดแข็งที่ทำให้จีนควบคุมการระบาดได้สำเร็จ เเละถูกนำมาเพื่อการเร่งฉีดวัคซีน

การรณรงค์อย่างเต็มที่เพื่อ “ฉีดวัคซีนให้ทุกคนที่สามารถฉีดวัคซีนได้” กำลังดำเนินการทั่วประเทศ ทั้งในเมืองใหญ่และในหมู่บ้านเล็กๆ

เจ้าหน้าที่ของรัฐลงพื้นที่ไปตามละเเวกใกล้เคียง เพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนเข้ารับการฉีดวัคซีน ส่วนภาครัฐวิสาหกิจ นายจ้างก็กระตุ้นให้พนักงานฉีดวัคซีน พร้อมมีการเเจกสิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างการแจกไข่ บัตรกำนัลช้อปปิ้งไปจนถึงแจกสินค้า และไอศกรีมฟรี

นอกจากการโน้มน้าวเเบบจูงใจเเล้ว ยังมีมาตรการเชิงบังคับกลายๆ อย่าง บางหมู่บ้านเตือนลูกบ้านว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเข้าพื้นที่ หากไม่ได้รับการฉีดวัคซีน สวนสาธารณะบางเเห่งต้อนรับเฉพาะคนฉีดวัคซีนเเล้ว ฯลฯ

เมื่อจำนวนการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น รัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งต้องระงับการฉีดวัคซีนเข็มแรกในเดือนนี้ชั่วคราว เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีวัคซีนเพียงพอสำหรับการฉีดวัคซีนโดสสองตามกำหนด

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน ไม่ได้ให้รายละเอียดถึงจำนวผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส เเต่ข้อมูลของสำนักข่าว Reuters ชี้ให้เห็นว่า มีการกระจายวัคซีนที่ไม่เท่ากัน เช่น ในสัปดาห์แรกของเดือนมิ.ย. เมืองใหญ่อย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบสองโดสแล้วเกือบ 70% และ 50% ตามลำดับ แต่ในมณฑลกวางตุ้งและซานตง อัตราการฉีดวัคซีนยังต่ำกว่า 20%

Zhong Nanshan นักระบาดวิทยาชั้นนำ ผู้เป็นที่ปรึกษารัฐบาล กล่าวว่า จีนตั้งเป้าที่จะฉีดวัคซีนครบโดสให้ประชากร 40% ภายในสิ้นเดือนนี้ และเพิ่มเป็น 2 เท่าภายในสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ เนื่องจากจีนเป็นชาติที่มีประชากรจำนวนมาก อัตราการฉีดวัคซีนต่อประชากร 100 คนจึงยังคงช้ากว่าประเทศมหาอำนาจอื่นๆ อย่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร แต่ถ้าหากเร่งฉีดวัคซีนได้ในอัตราเท่านี้ต่อไป ก็จะสามารถตามทันได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา : CNN Business , CNA