ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มรวมในช่วงครึ่งปีแรก ติดลบ 7% หนักที่สุดในช่วงไตรมาส 2 (ตั้งเเต่เดือนมี.ค.) เนื่องจากช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญอย่าง ร้านอาหาร ภัตราคาร ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด มีสัดส่วนเป็น 18-20% ของช่องทางจำหน่ายทั้งหมดต้องหยุดให้บริการในช่วงล็อกดาวน์ขณะเดียวกันผู้คนก็ออกจากบ้านน้อยลงเเละหลีกเลี่ยงการสังสรรค์
ในปัจจุบัน “ตลาดเครื่องดื่มรวม” (Liquid Refreshing Beverage : LRB) ของประเทศไทย ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 1.55 เเสนล้านบาท เเบ่งสัดส่วนตลาดเป็น
สมชัย เกตุชัยโกศล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายของตลาดเครื่องดื่ม เมื่อเทียบกับในสถานการณ์ปกติที่ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 9% โดยคาดว่าเครื่องดื่มทุกประเภทจะติดลบเหมือนกันหมดในปีนี้
โดยสถานการณ์ COVID-19 ทำให้การเติบโตในช่วงครึ่งปีเเรก 2563 ของตลาดเครื่องดื่มโดยรวมติดลบ 7% ตลาดน้ำอัดลม ติดลบ 2.5% ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด ติดลบ 12% ตลาดกาแฟพร้อมดื่ม ติดลบ 7% ตลาดชาพร้อมดื่ม ติดลบ 13% ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ติดลบ 6% เเละสปอร์ตดริ้งก์ ติดลบ 13%
เมื่อเจาะลึกไปยังกลุ่ม “น้ำอัดลม” พบว่ามีมูลค่าตลาดในปี 2019 อยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบาท (ปี 2018 อยู่ที่ราว 50.9 หมื่นล้านบาท) มีการเเข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะ 3 เจ้าใหญ่อย่างโค้ก เป๊ปซี่ เเละเอส
ขณะที่ส่วนแบ่งของตลาดน้ำอัดลมไทยแยกตามประเภท ได้แก่ น้ำอัดลมสีดำ 71% น้ำอัดลมสี 23% และน้ำอัดลมไม่มีสี 6%
เป็นที่น่าสนใจว่า “ตลาดน้ำอัดลมสี” เติบโตขึ้น 10% ในช่วงที่ผ่านมา หลังเป๊ปซี่ปรับโฉม “มิรินด้า” ตีตลาดคนรุ่นใหม่ ด้วยการออก “มิรินด้ากลิ่นกรีนครีม” ออกมาในช่วงต้นปีนี้ มียอดขายเติบโตกว่า 15%
นี่จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ “เป๊ปซี่” หันมารุกตลาดน้ำสีอย่างหนักในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ตอบรับเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น
“ที่ผ่านมาเราทุ่มให้กับตลาดน้ำดำมาโดยตลอด ถึงตอนนี้เเบรนด์เเข็งแกร่งเเล้ว จึงถึงเวลาที่จะมาบุกตลาดน้ำสีอย่างเต็มที่” ผู้บริหารซันโทรี่ เป๊ปซี่โคกล่าว
ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของมิรินด้า ประเดิมครึ่งปีหลัง ด้วยกลิ่นมิกซ์เบอร์รี่และแตงโม ชูจุดเด่นเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ผสาน 2 กลิ่นผลไม้ในขวดเดียว โดยรสชาติใหม่จะมีช่วงระยะห่างกันประมาณ 6-8 เดือนจนกว่าจะมีรสชาติที่ใหม่กว่าออกมาจำหน่าย
โดยการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ของ “มิรินด้า” ในปีนี้ วางงบการตลาดไว้ที่ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว จากเมื่อปีที่ผ่านมาใช้ราว 100 ล้านบาท เพื่อชิงขึ้นเป็น “เบอร์ 2” ในตลาดน้ำสี เเทนที่เอส ซึ่งขณะนี้มีส่วนแบ่งในตลาดห่างกันเเค่ 2.5%
“ในงบการตลาด 200 ล้านบาทนี้ จะใช้ในสื่อดิจิทัลถึง 60% เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ Gen Z อย่างทั่วถึง”
อย่างไรก็ตาม การที่มิรินด้าเปิดตัวในไทยมานานตั้งเเต่ปี 2520 หรือกว่า 43 ปีที่เเล้ว เเละเริ่มมีการปรับโฉมในปี 2560 การที่จะเปลี่ยนเเบบทันทีทันใด…ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
“เราต้องทำเเบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นเรื่องของงบประมาณด้วย เพราะถ้าเปลี่ยนครั้งเดียวต้องใช้เงินเยอะ เเต่ถ้าค่อยๆ เปลี่ยนใช้งบน้อยกว่า เเละคนจดจำได้มากกว่า”
การที่จะครองใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่มีอายุตั้งเเต่ 15-24 ปี เเละชื่นชอบการดื่มน้ำอัดลม “มากกว่าวัยอื่นๆ” มิรินด้าก็ต้องปรับตัวให้ “เด็กลง” ไปด้วย โดยจะชูมีลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ที่สนุก สดใสมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้เข้ากับจุดเด่นของ Gen Z ที่ชอบความหลากหลาย เปิดรับความแปลกใหม่ท้าทาย ไม่จำเจและสนุกกับการใช้ชีวิต รวมถึงการเเสดงตัวตนในโลกดิจิทัล
จากข้อมูลของ GroupM ระบุว่า ในปี 2019 วัยรุ่นไทยใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเเชทถึง 87.7% ตามมาด้วยการอัพโหลดเเละเเชร์รูปภาพ 80.7% ดูทีวีเเละวิดีโอ 69.3% เสิร์ชหาข้อมูล 65.4% เเละเล่นเกม 64.8%
“มีการใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อวัน เเละใช้เวลาดูวิดีโอราว 2 ชั่วโมงต่อวัน”
ดังนั้นแคมเปญการตลาดของมิรินด้าในปีนี้ จึงมาด้วยคอนเซ็ปต์ “Mirinda Mix Up Your World มิรินด้าสนุกทุกสี ซ่าไม่มีซ้ำ” ที่เจาะลึกถึงไลฟ์สไตล์และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ TikTok ที่มิรินด้าจับมือเป็นพันธมิตร
เมื่อจะจับตลาดวัยรุ่น ก็ต้องใช้พรีเซ็นเตอร์วัยรุ่น โดยเมื่อปี 2017 มิรินด้าเปิดตัวไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปวง BNK48 เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ครั้งแรกของ “มิรินด้า มิกซ์-อิท” ส่วนในปีนี้จะมีการใช้พรีเซ็นเตอร์อีกหรือไม่นั้น ผู้บริหารซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ตอบว่า “ปีนี้สถานการณ์เพราะยังไม่เเน่นอน เเต่ถ้าในอนาคตมิรินด้าจะมีพรีเซ็นเตอร์อีกครั้ง ก็จะยังคงมองหาในวงการเพลง”
ขณะที่การเป็นสปอนเซอร์ให้กับคอนเสิร์ตเเละเทศกาลดนตรีต่างๆ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ทางเป๊ปซี่บอกว่า “ต้องระงับไว้ก่อน” เเละจะกลับมาอีกครั้งเมื่อทำได้
การกลับมารุกหนักใน “ตลาดน้ำสี” ของมิรินด้าครั้งนี้ น่าจะกระตุ้นการเเข่งขันในตลาดเครื่องดื่มได้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง “ครึ่งปีหลัง” ที่หลายเเบรนด์เริ่มกลับมาทุ่มงบการตลาดอีกครั้ง ขณะเดียวกันการที่จะครองใจชาว Gen Z ดูเหมือนจะเข้าถึงง่าย เเต่ก็ “ไม่ง่าย” นัก เมื่อการทดลองสิ่งใหม่อยู่เสมอคือจุดเด่นของคนวัยนี้ เเละคู่เเข่งอย่าง “เอส” คงไม่ยอมปล่อยตำเเหน่งเบอร์ 2 ง่ายๆ ต้องรอดูว่าจะมีกลยุทธ์อะไรมางัดข้อกันบ้าง
]]>
“ยิ่งร้อนก็ยิ่งขายดี” คนหาอะไรดื่มเพื่อความสดชื่นมากขึ้น เป็นผลให้ผู้ผลิตน้ำอัดลมที่ทำตลาดในไทยเติบโตกันถ้วนหน้าทั้ง 3 เจ้าใหญ่อย่างเป๊ปซี่ โค้กเเละเอส ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 56,000 ล้านบาท ในปี 2019 เพิ่มขึ้น 12% จากที่ปีก่อนหน้าอยู่ที่ราว 50,900 ล้านบาท ส่วนแบ่งของตลาดน้ำอัดลมไทยแยกตามประเภท ได้แก่ น้ำอัดลมสีดำ 71% น้ำอัดลมสี 23% และน้ำอัดลมไม่มีสี 6%
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Nielson ระบุว่า ส่วนเเบ่งการตลาดน้ำอัดลมทั้งหมดในไทยของปี 2019 “โค้ก” ยังคงอยู่อันดับ 1 ที่ 35% ตามมาด้วย เป๊ปซี่อยู่ที่ 25.4 % เเละเเฟนต้าที่ 15.6% ส่วนเฉพาะประเภทไม่คืนขวด (PET, กระป๋อง) นั้นเป๊ปซี่ครองตลาดที่ 45%
ปีนี้ฝั่ง “เป๊ปซี่” ประกาศจะทุุ่มงบการตลาดกว่า 400 ล้าน (เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2019 ที่ใช้ไปราว 250 ล้าน) จัดเเคมเปญชิงโชคครั้งใหญ่ที่สุดตั้งเเต่เคยทำมา เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าที่กำลังจะวางขาย หลังปรับโฉมใหม่อย่าง “มิรินด้า” เเละฟื้นคืนชีพ “เซเว่น อัพ” เพื่อเอา “น้ำสีเเละน้ำใส” มาช่วยเสริมความเเกร่งของ “น้ำดำ” ที่เป็นตัวหลักอย่างเป๊ปซี่
ในปีที่ผ่านๆ มา ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคมีการจัดเเคมเปญชิงโชคอยู่บ้าง เเต่ปีนี้นับว่ามีมูลค่ารางวัลรวมสูงที่สุดกว่า 40ล้าน กับ “เป๊ปซี่ ซัมเมอร์ซ่า” ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.- 24 เม.ย. 2020 โดยการส่งรหัสใต้ฝาหรือรหัสที่หูกระป๋องของเป๊ปซี่ มิรินด้า และเซเว่น-อัพ ขนาดใดก็ได้เข้าร่วมชิงรางวัล พร้อมนำ “เดอะทอยส์” นักร้องขวัญใจวัยทีนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์
โดยจะเเจกทองคำมูลค่า 10 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล, รถยนต์ BMW X1 มูลค่า 1.99 ล้านบาท จำนวน 8 รางวัล, โทรศัพท์มือถือ Samsung S series รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่า 31,900 บาท 270 รางวัล และบัตรกำนัล KFC มูลค่า 500 บาท จำนวน 20,000 รางวัล
การทุ่มงบหนักของ เป๊ปซี่โคครั้งนี้ ก็เป็นการรุกตลาดเพื่อสร้างสีสัน กระตุ้นตลาดเครื่องดื่
“เเคมเปญใหญ่นี้ คิดล่วงหน้ามาเป็นปี ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่เศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวหรือผลกระทบจากไวรัสโคโรนา” จรณชัย ศัลยพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบรรษัทสัมพันธ์ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค กล่าว
ด้าน ศิเรมอร ศุภจรรยา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SPBT ผู้ผลิตเครื่องดื่มเเบรนด์ เป๊ปซี่ มิรินด้า เซเว่น-อัพ ชาลิปตัน เกเตอเรด น้ำดื่มอควาฟิน่า และกู๊ดมู้ด เปิดเผยว่า “ในปี 2019 เป๊ปซี่โคเติบโตได้กว่า 15.5% นับว่าโตมากที่สุดในตลาดน้ำอัดลม โดยในส่วนเป๊ปซี่ เติบโตราว 16 % ตามมาด้วยมิรินด้า เติบโต 8% เเละเซเว่น-อัพ เติบโต 5 %”
ผู้บริหารเป๊ปซี่โค บอกว่า การฟื้นแบรนด์ “มิรินด้า” เเละ “เซเว่น-อัพ” กลับมาทำตลาดอีกครั้งนั้น มีที่มาที่ไปจากเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในการบริโภคเครื่องดื่ม โดยเฉพาะน้ำอัดลม
สำหรับ 2 เทรนด์หลักที่บริษัทจะมุ่งจับตลาดให้ได้คือ กลุ่มคน Gen Z อายุระหว่าง 10-21 ปีเเละกลุ่มคนรักสุขภาพ ที่ต้องการเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล ไม่มีคาเฟอีน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มเรื่อยๆ ในผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย
โดย Gen Z เป็นกลุ่มคนที่พร้อมเปิดใจยอมรับความแปลกใหม่ โตมากับเทคโนโลยี กล้าแสดงออก มีความมั่นใจ ในประเทศไทยมีคน Gen Z จำนวนกว่า 13 ล้านคน คิดเป็น 19% ของประชากร
อีกกลุ่มคือคนที่รักสุขภาพ แต่ก็ยังอยากบริโภคน้ำอัดลมอยู่ จึงต้องหาสิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ เช่น เครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล ปราศจากไขมัน รวมถึงมีการเติมวิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จากการสำรวจตลาดพบว่า ลูกค้ายอมจ่ายเเพงขึ้น หากมีการ “ตัดผลเสีย” เเละ “เติมคุณค่า”
ช่วงกลางปีนี้เราจะได้เห็นมิรินด้าในภาพลักษณ์ใหม่ตามตลาดโลกที่ดูเด็กลงมาก มีความเป็นวัยรุ่นที่ดูสดใสมากขึ้นเพื่อเอาใจชาว Gen Z เเละจะขยายฐานลูกค้าด้วยสินค้าใหม่ “มิรินด้า กลิ่นกรีนครีม” เพราะเห็นว่าตลาดน้ำสี โดยเฉพาะ “น้ำเขียว” มีโอกาสเติบโตได้สูง
พร้อมมุ่งเน้นการสื่อสารการตลาดไปที่ช่องทางออนไลน์ โดยจะโปรโมทผ่านสื่อโซเชียลที่คนรุ่นใหม่คุ้นเคยเเละใช้กันเยอะอย่าง TikTok , Twitter , Fackbook เเละ Instagram อย่างไรก็ตามยังคงมีการโปรโมทตามสื่อในร้านค้าเเละสื่อนอกบ้านด้วย
ที่ผ่านมาเซเว่น-อัพ เเม้จะมีวางขายอยู่ตลอด เเต่ก็ค่อนข้างเงียบเหงาไร้กิจกรรมทางการตลาด เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างสไปร์ท ปีนี้ถึงเวลาเป๊บซี่โค จะฟื้นคืนชีพให้เซเว่น-อัพ
โดยก่อนหน้านี้มีการทำวิจัยผู้บริโภค พบว่าพวกเขาชื่นชอบน้ำอัดลมน้ำใสเพราะรู้สึกมีความเป็นธรรมชาติและดูมีสุขภาพ จึงทำให้บริษัทอยากที่จะยกระดับ เซเว่น-อัพให้กลายเป็นเครื่องดื่มเพื่อคนรักสุขภาพ จึงต่อยอดออกสินค้าใหม่ “เซเว่น-อัพ ฟรี” ไม่มีน้ำตาล ไม่เจือสี ไม่คาเฟอีน
ซึ่งจะเป็นการ “ลองตลาด” ทั่วโลก โดยได้นำ “ไฟโด ดิโด” (Fido Dido) ตัวการ์ตูนที่เคยเป็นมาสคอตของเเบรนด์ เซเว่น-อัพ ในยุค 80-90 มาสร้างสีสันบนแพ็คเกจจิ้งใหม่ให้เเฟนๆ ได้เก็บสะสมกันซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดี
ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ยังเดินหน้าเป็นผู้สนับสนุนหลักในเทศกาลดนตรีเพื่อโปรโมทเเบรนด์ในวงกว้าง ซึ่งในช่วงสงกรานต์ปีนี้ มีการร่วมใน 4 งานซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ ได้เเก่
“เรายังเน้นไปที่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าใหญ่ที่สุดของเป๊ปซี่ เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ”
ขณะที่ความกังวลจากการเเพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่นักท่องเที่ยวจะลดลงมากเเละความเสี่ยงจากการชุมนุมนั้นมีผลต่อการจัดเทศกาลดนตรีในปีนี้หรือไม่ จรณชัยตอบว่า ทางเป๊ปซี่โคติดตามสถานการณ์วันต่อวัน เพื่อเตรียมรับมือในด้านต่างๆ เเต่ยืนยันว่าจะเป็นสปอนเซอร์หลักในการจัดงานต่อไป อย่างไรก็ตามการดำเนินงานนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้จัดงาน
]]>ด้วยการเลือก 6 สาวจากไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป วง BNK48 มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับ “มิรินด้า มิกซ์–อิท” ผ่านภาพยนตร์โฆษณาและกิจกรรมการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มวัยรุ่น
สมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่โค เซอร์วิสเซส เอเชีย จำกัด กล่าวว่า มิรินด้า มิกซ์–อิท” เป็นซับแบรนด์ของมิรินด้า ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความแปลกใหม่ในการเจาะตลาดวัยรุ่น
ด้วยจุดขายของการเป็นน้ำอัดลมสองกลิ่นผลไม้ในขวดเดียวที่มีทั้งรสเปรี้ยวและหวาน และเชื่อมโยงเข้ากับเทรนด์สุขภาพ ด้วยสูตรน้ำตาลน้อยกว่า 6 กรัมต่อ 100 มล. โดยมีตราสัญลักษณ์โภชนาการเครื่องดื่ม “ทางเลือกสุขภาพ” (Healthier Choice) มาการันตี
พอมาในปีนี้ จึงต้องสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคเป้าหมายให้มากขึ้น และสร้างความคึกคักในตลาดน้ำสีที่มีมูลค่าตลาดกว่า 11,000 ล้านบาท (ข้อมูล จากเดอะ นีลเส็น คอมปะนี ประเทศไทย)
โดยได้เลือก 6 สาวจากวง BNK48 เฌอปราง ปัญ เนย ตาหวาน ปูเป้ และจ๋า ให้มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ครั้งแรกของแบรนด์ มิรินด้า มิกซ์–อิท ในการเลือกทั้ง 6 สาวมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์นั้น ผู้บริหารระบุว่าได้พิจารณาจาก 3 ด้าน
วง BNK48 นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และความนิยมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีฐานแฟนคลับและกลุ่มแฟนๆ ชาวโอตะที่ชื่นชอบเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของการเลือก 6 ตัวแทนที่มีฐานแฟนคลับเป็นอันดับต้นๆ ของวง BNK48 มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์
มองว่า ภาพลักษณ์ของ 6 สาวตัวแทนจากวง BNK48 และภาพลักษณ์ของแบรนด์ มิรินด้า มิกซ์–อิท มีความคล้ายคลึงกัน คือ ความสนุก ความซ่า และความสดใส
6 สาวตัวแทนจากวง BNK48 ถือเป็นต้นแบบในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภควัยรุ่น และสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้
ในด้านการทำตลาด มิรินด้า มิกซ์–อิท จะนำ 6 แอมบาสเดอร์สาว มาร่วมประชันความซ่ากันผ่านกิจกรรมการตลาดแบบ 360 องศาเพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ผ่านแนวคิดของแคมเปญโฆษณา มิรินด้า มิกซ์–อิท เปิดศึกแดนซ์กระจายระหว่าง ทีมลิ้นจี่และสตรอเบอร์รี่ โดยหัวหน้าทีมเฌอปราง และทีมแอปเปิ้ลและกีวี โดยหัวหน้าทีมฉลามปัญ โดยมีสื่อสนับสนุนอื่นๆ อาทิ สื่อโฆษณากลางแจ้ง สื่อโฆษณาเคลื่อนที่ สื่อ ณ จุดขายและในร้านค้า รวมไปถึงสื่อดิจิทัล กิจกรรมออนไลน์ และกิจกรรมดูหนังรอบพิเศษกับวง BNK48
โดยสรุป เป็นการนำผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเลือกใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ที่โด่งดังอย่าง BNK48 มาเป็นตัวแทนแบรนด์ ผ่านกลยุทธ์สื่อสารทุกมิติเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ยอดขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
มิรินด้า มิกซ์–อิท มี 2 รส กลิ่นลิ้นจี่และสตรอเบอร์รี่ และกลิ่นแอปเปิ้ลและกีวี มีแบบขวดพีอีที วางขาย 2 ขนาด คือ 300 มล. และ 400 มล. ผ่านช่องทางเทรดดิชันนอลเทรด (ร้านค้าปลีก–ส่ง) และช่องทางโมเดิร์นเทรด (ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์–ไฮเปอร์มาร์เก็ต).
]]>