รถยนต์พลังงานสะอาด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 04 Jul 2021 05:08:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘นิสสัน’ ทุ่ม 1.38 พันล้านเหรียญสร้าง ‘gigafactory’ โรงงานผลิตแบตรถอีวีในอังกฤษ https://positioningmag.com/1340562 Sun, 04 Jul 2021 03:43:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1340562 มีผลการศึกษาออกมาว่ายอดขาย รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถอีวี จะแซงหน้ารถยนต์สันดาปภายในปี 2033 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5 ปี ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ค่ายรถยนต์ต่างพยายามลงทุนเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งรวมถึง ‘นิสสัน’ (Nissan) ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่เตรียมสร้างโณงงานผลิตแบตรถอีวีในสหราชอาณาจักร

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา นิสสัน ได้ประกาศแผนการที่จะสร้าง ‘gigafactory’ โรงงานผลิตแบตเตอรี่รถอีวีมูลค่า 1 พันล้านปอนด์ (1.38 พันล้านดอลลาร์) ในเมืองซันเดอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ เพื่อส่งเสริมแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น กล่าวว่า กำลังเปิดตัวโครงการนี้ ซึ่งมีชื่อว่า Nissan EV36Zero พร้อมด้วย Envision AESC บริษัทเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และสภาเทศบาลเมืองซันเดอร์แลนด์ ที่ผ่านมา นิสสันได้มีโรงงานผลิตรถยนต์ในซันเดอร์แลนด์มา 35 ปี ซึ่งโรงงาน gigafactory จะช่วยสร้างงานใหม่ 1,650 ตำแหน่ง แบ่งเป็นที่นิสสัน 900 ตำแหน่ง และ 750 ตำแหน่งที่ Envision AESC

Ashwani Gupta ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของนิสสัน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง “แผนงานของเราในการลดการปล่อยคาร์บอน”

ทั้งนี้ นิสสันกำลังพยายามเป็นพันธมิตรกับบริษัทยานยนต์รายใหญ่อื่น ๆ หลายแห่งที่พยายามมุ่งเน้นที่การพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ บริษัทรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส Renault เพิ่งประกาศว่าได้ลงนามใน “พันธมิตรหลักสองราย” ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม Volkswagen ของเยอรมนีประกาศว่าตั้งเป้าที่จะสร้างโรงงานขนาดใหญ่หลายแห่งในยุโรปภายในสิ้นทศวรรษนี้

Source

]]>
1340562
ลาก่อนรถน้ำมัน! คาด ‘รถอีวี’ จะครองโลกในปี 2033 เร็วกว่าที่เคยประเมิน 5 ปี https://positioningmag.com/1338452 Wed, 23 Jun 2021 08:13:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338452 การศึกษาใหม่ระบุว่ายอดขาย รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถอีวี จะแซงหน้ารถยนต์สันดาปภายในปี 2033 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5 ปี เนื่องจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดยิ่งขึ้น รวมถึงความสนใจในการผลักดันความต้องการขนส่งปลอดมลพิษ

บริษัทที่ปรึกษา Ernst & Young LLP มองว่า ใน ยุโรป จีน และ สหรัฐอเมริกา ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะมียอดขายแซงหน้ารถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันภายในปี 2033 โดยตลาดทั้ง 3 ถือเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และภายในปี 2045 ยอดขายที่ไม่ใช่รถอีวีจะลดลงเหลือน้อยกว่า 1% ของตลาดรถยนต์ทั่วโลก

คำสั่งของรัฐบาลในหลายประเทศที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อจะแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตรถยนต์และผู้บริโภคต้องเผชิญกับบทลงโทษทางการเงินที่เพิ่มขึ้นสำหรับการขายและซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลทั่วไป ส่งผลให้เกิดความต้องการรถอีวีในยุโรปและจีน

EY มองว่ายุโรปจะเป็นผู้นำในตลาด เนื่องจากมีแผนที่จะลดการปล่อยมลพิษให้เป็นศูนย์ภายในปี 2028 ขณะที่จุดเปลี่ยนดังกล่าวจะเกิดกับจีนในปี 2033 และตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาในปี 2036 โดยสาเหตุที่สหรัฐฯ ตามหลังตลาดหลักอื่น ๆ ของโลก เนื่องจากในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการยกเลิกหรือผ่อนคลายกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมไปกว่า 125 ฉบับ ทำให้ในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องมาแก้ไข รวมถึงการเสนองบ 174 พันล้านดอลลาร์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการติดตั้งสถานีชาร์จครึ่งล้านทั่วประเทศ

ไม่ใช่แค่ตัวกฎระเบียบ แต่ความต้องการของผู้บริโภคสำหรับรถอีวีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ตั้งแต่ Model 3 รุ่นขายดีของ Tesla ไปจนถึงรุ่นไฟฟ้าใหม่ที่มาจากผู้ผลิตรถยนต์รุ่นเก่า เช่น รถกระบะ Hummer ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าของ General Motors และรถกระบะไฟฟ้าของ Ford Motor

Photo : AFP

การศึกษา EY ยังพิจารณาถึงคนเจนมิลเลนเนียลซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงอายุ 20 และ 30 ปีปลาย ซึ่งช่วยขับเคลื่อนการนำรถอีวีมาใช้ ผู้บริโภคเหล่านั้นซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัญหาการระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ทำให้เลือกที่จะไม่ใช้บริการขนส่งสาธารณะ ทำให้มีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของเจ้าของรถยนต์ และ 30% ของพวกเขาต้องการใช้รถอีวี

“มุมมองที่เราเห็นจากคนรุ่นมิลเลนเนียลนั้นชัดเจนว่ามีแนวโน้มมากขึ้นที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า”

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับรถยนต์อีวีซึ่งดีกว่า ที่จะต้องเจอปัญหาจากข้อจำกัดที่ของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป เช่น บางเมืองไม่อนุญาตให้ขับรถเครื่องยนต์เข้าในเมือง, หรือไม่สามารถจอดได้ในบางพื้นที่ นี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นผู้บริโภค

ทั้งนี้ คาดว่ายุโรปจะเป็นผู้นำในด้านปริมาณการขายรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2031 ส่วนจีนจะกลายเป็นตลาดชั้นนำของโลกสำหรับรถยนต์อีวี ขณะที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลคาดว่าจะมีสัดส่วนเกือบ 2 ใน 3 ของการจดทะเบียนรถยนต์ขนาดเล็กทั้งหมดในปี 2025 แต่ตัวเลขนี้จะลดลง 12% ภายในปี 5 ปี และภายในปี 2030 EY คาดการณ์ว่ารถยนต์ที่ไม่ใช่อีวีจะมีสัดส่วนน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการจดทะเบียนรถยนต์ขนาดเล็กทั้งหมด

Source

]]>
1338452