รถอีวีจีน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 29 Aug 2024 10:38:52 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ถึงคิว ‘แคนาดา’ ขึ้นภาษี ‘อีวีจีน’ 100% ตามรอยสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้การแข่งขันไม่เป็นธรรม https://positioningmag.com/1488025 Thu, 29 Aug 2024 08:43:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488025 หลังจากที่ สหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นภาษีการนำเข้า รถอีวีจากจีน 100% รวมถึง สหภาพยุโรป ที่ขึ้นภาษีการนำเข้ารถจากจีนเช่นกัน ล่าสุด แคนาดา ก็เป็นอีกประเทศที่ประกาศขึ้นภาษีการนำเข้ารถอีวีจีน เพื่อสกัดกั้นการนำเข้า

จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้ประกาศว่า ประเทศแคนาดาจะจัดเก็บ ภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน 100% เท่ากับภาษีของสหรัฐฯ จากเดิมที่จัดเก็บเพียง 6.1% โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. 2567 นอกจากนี้ ยังจะเรียกเก็บภาษีนำเข้า จากเหล็กและอะลูมิเนียมของจีน 25% อีกด้วย โดยจะบังคับใช้วันที่ 15 ต.ค. 2567

ที่ผ่านมา ทางการจีน มีแนวโน้ม แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังจากที่รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีนำเข้าใหม่ครั้งใหญ่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ขั้นสูง โซลาร์เซลล์ เหล็ก อะลูมิเนียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ของจีน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลจีนพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของ COVID-19 

ขณะที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหาว่า รัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนสำหรับแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้บริษัทจีนไม่ได้โฟกัสที่การทำ กำไร ซึ่งนั่นทำให้บริษัทเหล่านั้นได้รับความได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมในการค้าโลก

“แคนาดากำลังดำเนินการต่อต้านสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นนโยบายรัฐบาลจีนเลือกที่จะให้บริษัทของประเทศตัวเองได้รับข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมในตลาดโลก โดยตั้งใจผลิตเกินกว่าที่จีนจะบริโภคเพื่อส่งออก และไม่คิดว่าจีนกำลังเล่นตามกฎเดียวกัน” ทรูโด กล่าว

ทั้งนี้ จีนถือเป็นพันธมิตรการค้ารายใหญ่เป็น อันดับสองของแคนาดา รองจากสหรัฐฯ ซึ่งจีนก็ได้ออกตอบโต้มาตรการดังกล่าวว่า เป็นการกีดกันทางการค้า ซึ่งละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก และจวกว่า แคนาดากำลัง ทำลายระบบเศรษฐกิจโลก

ที่ผ่านมา รถอีวีจากจีนสามารถขายได้ในราคาเพียง 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.2 แสนบาท)

Source

]]>
1488025
ตามรอยสหรัฐฯ ‘อียู’ ขึ้นภาษี ‘รถอีวีจีน’ สูงสุด 38.1% เพื่อปกป้องผู้ผลิตรถไฟฟ้าในยุโรป https://positioningmag.com/1477839 Wed, 12 Jun 2024 15:18:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477839 หลังจากที่มีข่าวว่า สหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นภาษีการนำเข้าสินค้าครั้งใหญ่ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ รถอีวีจากจีน โดยขึ้นสูงถึง 100% หรือ 4 เท่า เพื่อสกัดกั้นการนำเข้า หลังจากที่รถอีวีราคาถูกจากจีนกำลังบุกไปทั่วโลก

ล่าสุด สหภาพยุโรป (อียู) ระบุว่า พวกเขาจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของจีน เนื่องจากพบว่าแบรนด์รถอีวีจากจีนได้รับประโยชน์อย่างมากจากการอุดหนุนที่ไม่ยุติธรรม และก่อให้เกิด ภัยคุกคามด้านเศรษฐกิจ ต่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป

ที่ผ่านมา สหภาพยุโรปกำหนดอัตราภาษีอีวีจีนอยู่ที่ 10% แต่อัตราภาษีอีวีจีนครั้งใหม่นี้สูงสุดอยู่ที่ 38.1% โดยแต่ละแบรนด์จะถูกกำหนดภาษีไม่เท่ากัน ได้แก่

  • บีวายดี (BYD) 17.4%
  • จีลี (Geely) 20%
  • เอสเอไอซี (SAIC) เจ้าของแบรนด์เอ็มจี (MG) 38.1%

ส่วนผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ที่ไม่ให้ความร่วมมือจะถูกเก็บที่อัตรา 38.1% แต่ผู้ผลิตที่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน แต่ไม่ถูกสุ่มตรวจสอบ จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 21% โดยอัตราภาษีใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2024 

“การไหลเข้าของการนำเข้ารถอีวีจีนที่มีราคาต่ำเกินจริง เนื่องจากได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมของสหภาพยุโรป” คณะกรรมาธิการตั้งข้อสังเกต 

Valdis Dombrovskis กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรป กล่าวว่า การสอบสวนมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริงและหลักฐาน พร้อมเสริมว่าการมีส่วนร่วมกับทางการจีนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ยังดำเนินอยู่

ทางด้าน กระทรวงพาณิชย์ของจีน กล่าวว่า การตัดสินใจของสหภาพยุโรป ขาดพื้นฐานข้อเท็จจริงและกฎหมาย และถือเป็นการกระทำกีดกันทางการค้าที่สร้างความขัดแย้งทางการค้า และทำลายการแข่งขันที่ยุติธรรม นอกจากนี้ การตัดสินใจของสหภาพยุโรปยังจะขัดขวางและบิดเบือนซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก รวมถึงสหภาพยุโรปด้วย”

ทั้งนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและจีนมีเพิ่มมากขึ้นเป็นเวลาหลายเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงการสอบสวนของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการอุดหนุนผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยรัฐบาลจีน และข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลจีนกำลังทิ้งรถยนต์ส่วนเกินออกสู่ตลาดโลก

ไม่ใช่แค่สหภาพยุโรปที่ขึ้นภาษี แต่อย่างที่รู้กันว่าสหรัฐฯ ก็ขึ้นภาษีสินค้าต่างๆ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีน โดยเพิ่มเป็น 4 เท่าจาก 25% เป็น 100% เริ่มในปีนี้

 

]]>
1477839
ลือ ‘สหรัฐฯ’ เล็งขึ้นภาษี ‘รถอีวี’ จากจีนเพิ่ม 4 เท่า เป็น 100% เพื่อสกัดการนำเข้า https://positioningmag.com/1473144 Mon, 13 May 2024 03:27:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1473144 มีข่าวลือว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เตรียมประกาศภาษีสินค้าจากจีนในช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จะเป็นขึ้นภาษีครั้งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีสินค้าสำคัญ ๆ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ และ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์

มีข่าวลือว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมแก้ไข ภาษีมาตรา 301 โดยจะมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันเชิงกลยุทธ์และความมั่นคงของชาติ โดยจะเพิ่มอัตราภาษีใหม่กับ เซมิคอนดักเตอร์, อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ และ รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึง เวชภัณฑ์ เช่น เข็มฉีดยาและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่ผลิตใน จีน

มีการคาดการณ์ว่า ภาษีรถอีวีของจีนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า หรือคิดเป็น 100% ขณะที่ประธานคณะกรรมการการธนาคารวุฒิสภาต้องการให้ฝ่ายบริหารของไบเดน แบนรถยนต์ไฟฟ้าของจีนโดยสิ้นเชิง เนื่องจากความกังวลว่าอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน

ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถอีวีจีนที่ 25% แต่เพราะราคาที่ไม่ได้สูงมากของรถอีวีจีน ทำให้ไม่ได้ติดปัญหาเรื่องกำแพงภาษีมากนัก ดังนั้น รถอีวีจีนจึงยังสามารถแข่งขันได้ในสหรัฐฯ แต่หากการขึ้นภาษีใหม่เกิดขึ้นจริง จะทำให้รถอีวีจีนที่ขายในสหรัฐอเมริกา อาจต้องขายในราคา เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการนําเข้ารถยนต์จีนยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย

ต้องยอมรับว่า การผลิตรถอีวีของจีนได้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 ส่วนแบ่งตลาดรถอีวีของจีนมีเพียง 0.84% เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับสหรัฐฯ ที่มี 0.66% แต่ในปี 2023 ที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดรถอีวีของจีนก็พุ่งขึ้นเป็น 37% มากกว่าส่วนแบ่งของสหรัฐฯ ที่มี 7.6% 

นอกจากนี้ จีนยังเดินหน้าส่งออกรถอีวีไปยังตลาดต่างประเทศจำนวนมาก หลังจากที่ตลาดจีนเริ่มมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง และมีการแข่งขันราคาอย่างรุนแรง ทำให้สหรัฐฯ จึงพิจารณาปรับขึ้นอัตราภาษี เพื่อให้กำแพงภาษีที่สูงขึ้น อาจจะลดการนำเข้าและลดการแข่งขันในสหรัฐฯ

Reuters / electrek

]]>
1473144
‘อียู’ เตรียมสอบมาตรการเงินสนับสนุน ‘ผู้ผลิตอีวีจีน’ จนราคา “ต่ำเกินจริง” หวั่นไม่เป็นธรรมกับค่ายรถในยุโรป https://positioningmag.com/1444277 Thu, 14 Sep 2023 08:44:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444277 ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน ค่ายรถไฟฟ้าจีน กำลังรุกหนักตลาดรถยนต์ทั่วโลก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเติบโตของตลาดจีนเองก็เริ่มชะลอตัวลง ขณะที่การแข่งขันกลับดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรป หรือ อียู ไม่ได้นิ่งนอนใจที่ค่ายจีนจะเริ่มเข้ามาทำตลาด เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าค่ายรถในยุโรป ทำให้อียูเตรียมสอบสวนมาตรการเงินอุดหนุนอีวีจากรัฐบาลจีน

สหภาพยุโรป กำลังดำเนินการสอบสวนกรณี ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน ได้รับ เงินสนับสนุนจากรัฐบาล ส่งผลให้ราคารถอีวีจีนนั้น ถูกเกินจริง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ ไม่เป็นธรรม กับผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป นอกจากนี้ ทางสหภาพยุโรปได้พิจารณาการ ขึ้นภาษีนำเข้ารถอีวีจีน จาก 10% เป็น 27.5% เท่ากันที่ สหรัฐฯ เรียกเก็บ

“ขณะนี้ตลาดทั่วโลกเต็มไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกของจีน และราคาของรถยนต์เหล่านี้ก็ถูกทำให้ต่ำเกินจริงด้วยเงินอุดหนุนจำนวนมากจากรัฐ นี่เป็นการบิดเบือนตลาดของเรา โดยยุโรปเปิดกว้างสำหรับการแข่งขัน แต่ไม่ใช่สำหรับการแข่งกันไปสู่จุดต่ำสุด” เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลย์เยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว

ปัจจุบัน ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกจากยุโรปกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในบ้านเกิดของตนจากแบรนด์จีนที่กำลังแย่งส่วนแบ่งตลาด ขณะที่ รถอีวีจากยุโรปที่ส่งออกไปขายในตลาดจีนมีราคาสูงกว่าค่ายจีนถึง 2 เท่า 

อย่างไรก็ตาม ฉุย ตงซู เลขาธิการสมาคมรถยนต์แห่งประเทศจีน ได้ออกมาแย้งว่า รถอีวีจีนที่ส่งออกไปยังยุโรป มีราคาขายสูงกว่าที่ขายในตลาดจีนเกือบสองเท่า ดังนั้น สหภาพยุโรปควรมองการพัฒนาอุตสาหกรรมอีวีจีนอย่าง เป็นกลาง แทนที่จะใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจและการค้าเพื่อจำกัดการพัฒนาหรือเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานของผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าของจีนในยุโรป

“การส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนมีปริมาณที่แข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่เนื่องจากการอุดหนุนจากรัฐ แต่เป็นเพราะซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมของจีนที่มีการแข่งขันสูงในประเทศ” ฉุย ตงซู ย้ำ

ทั้งนี้ จากการประเมินโดย อลิอันซ์เทรด บริษัทประกันภัยสัญชาติเยอรมัน ระบุว่า บริษัทผู้ผลิตรถอีวีของยุโรปอาจต้องสูญเสียกำไรปีละ 7,000 ล้านยูโร หากไม่มีมาตรการจัดการที่ดีสำหรับการนำเข้ารถอีวีจากจีน

Source

]]>
1444277
‘ไทย’ ขึ้นแท่น Top3 ประเทศที่ ‘จีน’ ส่งออก ‘รถอีวี’ มากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก https://positioningmag.com/1438203 Wed, 19 Jul 2023 06:33:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1438203 ไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของ รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใน 11 เดือนแรกของปี 2022 มียอดขายทะลุ 18,000 คัน และที่น่าสนใจคือ ไทยถือเป็น Top 3 ที่แบรนด์จีนส่งออกรถอีวีมากที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้

ตามรายงานของ China Association of Automobile Manufacturers (CAAM) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 จีน ได้ส่งออกรถยนต์ 2.14 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 75.7% เมื่อเทียบเป็นกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022 โดยมีการส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 1.78 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 88.4% มีการส่งออก รถยนต์พลังงานใหม่ 534,000 คัน เพิ่มขึ้น 160%

สำหรับการส่งออกรถยนต์ มี 7 แบรนด์ ที่สามารถส่งออกรถยนต์ได้มากกว่า 1 แสนคัน ได้แก่ SAIC, Chery, Tesla China, Changan, Great Wall Motors, Geely และ Dongfeng อย่างไรก็ตาม หากวัดจากอัตราการเติบโต BYD มีการเติบโตสูงสุดที่ 1,060% โดยสามารถส่งออก 81,000 คัน ตามมาด้วยแบรนด์ Chery ส่งออกได้ 394,000 คัน เพิ่มขึ้น 170% และ Great Wall Motors ส่งออก 124,000 คัน เพิ่มขึ้น 97.3%

ทั้งนี้ การส่งออกรถยนต์ของจีนแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ แบรนด์อิสระ และ แบรนด์การลงทุน/กิจการร่วมค้าต่างประเทศ โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ Tesla China ส่งออกรถยนต์ 182,000 คัน โดยถือเป็นแบรนด์ส่งออกรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของจีน และคิดเป็น 1 ใน 3 ของการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน นอกจากนี้ SAIC ยังแสดงโมเมนตัมที่ดีในตลาดต่าง ๆ เช่น เม็กซิโก ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร ซาอุดีอาระเบีย อินเดีย และไทย

โดยรวมแล้ว เอเชีย ยุโรป และละตินอเมริกาเป็นตลาดหลักสําหรับการส่งออกรถยนต์ของจีน อ้างอิงตามข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคมปีนี้ ผู้นําเข้ารถยนต์จีน 3 อันดับแรก ได้แก่ รัสเซีย เม็กซิโก และเบลเยียม แต่หากนับเฉพาะรถยนต์พลังงานใหม่ ผู้นำเข้ารถอีวีจากจีนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เบลเยียม สหราชอาณาจักร และไทย

ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ การส่งออกรถยนต์ของจีนอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านคันต่อปี จนกระทั่งปี 2021 ปริมาณการส่งออกเกิน 2 ล้านคันเป็นครั้งแรก จากนั้นในปี 2022 ปริมาณการส่งออกเกิน 3 ล้านคัน ทําให้จีนเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่อันดับสองรองจากญี่ปุ่น และคาดว่าภายในสิ้นปี 2023 ปริมาณการส่งออกรถยนต์ของจีนคาดว่าจะเกิน 4 ล้านคัน

Source

]]>
1438203
ส่องกระแส ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ในไทย หลังค่าย ‘จีน’ แห่เข้าไทยชิงตำแหน่งผู้นำตลาด https://positioningmag.com/1398038 Mon, 29 Aug 2022 10:19:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398038 ตั้งแต่ที่ทั่วโลกเจอกับวิกฤต ราคาน้ำมัน ประกอบกับที่เห็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนตบเท้าเข้ามาในไทยแทบจะไตรมาสละราย ขณะที่ภาครัฐเองก็ออกมาตรการสนับสนุนถึงส่วนลดต่าง ๆ จึงไม่แปลกใจนักหากคนไทยจะเริ่มหันมาสนใจจะใช้งาน รถอีวี ดังนั้น เราไปดูกันว่าตลาดในตอนนี้มีค่ายไหนน่าสนใจ และทิศทางของตลาดอีวีไทยเป็นอย่างไรต่อไป

มาตรการลดคาร์บอนตัวจุดกระแสรถอีวี

ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้น โดยทาง UN ได้มีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงทั่วโลก 45% ภายในปี 2030 และตั้งเป้าปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยการผลักดันให้ลดใช้รถยนต์สันดาปและเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน ก็เป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลายประเทศทำ เนื่องจากรถยนต์แบบสันดาปเดิมนั้นปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร แต่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ไม่ปล่อยคาร์บอน

จีน ที่ถือว่าเป็นผู้นำของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และเป็นประเทศแรกที่ได้เริ่มมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถอีวีมาตั้งแต่ปี 2009 โดยในส่วนของผู้บริโภคนั้น รัฐบาลได้มี นโยบายอุดหนุนทางการเงินสำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมยกเว้นในภาษีนานถึง 2 ปี โดยรัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าหมายว่าจะส่งเสริมยอดจำหน่ายรถอีวีให้ได้สัดส่วนอย่างน้อย 60% ในปี 2035

สหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก็ออกตัวชัดว่าให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยต้องการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 พร้อมกับตั้งเป้าหมายให้เพิ่มสัดส่วนของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็น 40-50% ภายในปี 2030 โดยสหรัฐฯ ก็มีนโยบายกระตุ้นโดยการมอบเครดิตภาษีให้กับชาวอเมริกันที่ซื้อรถอีวี สามารถนำไปใช้ในการลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 7,500 ดอลลาร์

อย่างใน ยุโรป ทางรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของ 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ อียู ได้ออกกฎในการ ยุติการจำหน่ายรถยนต์สันดาปภายในปี 2035 โดยหลายประเทศก็ออกนโยบายกระตุ้นการใช้งานรถอีวีของตัวเอง ตัวอย่างเช่น เยอรมนี ผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก ก็มีมาตรการสนับสนุนด้านภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลเป็นเวลา 4 ปี

มาตรการไทยจุดสำคัญดันตลาดรถอีวี

สำหรับไทยได้วางเป้าลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไว้ที่ 20% ภายในปี 2030 โดยได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ขึ้นมาโดยเฉพาะ พร้อมกับออกนโยบาย 30@30 คือการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2030 หรือ รถยนต์นั่งและรถกระบะ 725,000 คัน ประเภทรถจักรยานยนต์ 675,000 คัน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีเงินอุดหนุนรถยนต์ และรถกระบะคันละ 70,000-150,000 บาท/คัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาท/คัน อีกทั้งยังลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์เป็น 0% ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหรือค่ายรถที่เข้าร่วมต้องรับเงื่อนไข ได้แก่ ผลิตรถอีวี ในประเทศชดเชยให้เท่ากับจำนวนที่นำเข้าช่วงปี 2022-2023 ภายในปี 2025 โดยจะต้องผลิตในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 คือ นำเข้า 1 คัน จะต้องผลิตในประเทศ 1 คัน

ปัจจุบัน มีค่ายรถจากจีน 3 ค่าย ลงนามร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากการนำเข้าและผลิตรถยนต์ ส่วนค่ายรถจากญี่ปุ่นและค่ายยุโรปหลายค่ายอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าร่วมโครงการ ซึ่งทางกรมสรรพสามิตคาดว่า ค่ายรถทั้งหมดทั้งจากจีน ญี่ปุ่น ยุโรป กว่า 80% จะลงนามกับกรมสรรพสามิตได้หมดภายในปีนี้

แน่นอนว่า ทั้งส่วนลดและสิทธิประโยชน์ทางภาษีถือเป็นอีกส่วนที่จูงใจให้คนหันมาใช้รถอีวีมากขึ้น เพราะเทียบกันตรง ๆ รถอีวีราคาจะสูงกว่ารถยนต์สันดาป เนื่องจากต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ที่สูง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความกังวลใหญ่ก่อนจะเลือกคือ สถานีชาร์จ โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ได้วางเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2030 จะต้องมีสถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 567 แห่ง เป็น 1,304 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ

ปัจจุบัน นอกจากที่แต่ละค่ายก็มีการเร่งติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่โชว์รูมของแบรนด์ตัวเอง ภาครัฐบาลเองก็เร่งพัฒนา โดยให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมมือภาคเอกชน ติดตั้งสถานีชาร์จตามปั๊มน้ำมันและพื้นที่เอกชนทั่วไปให้ได้อย่างน้อย 140 แห่งทั่วประเทศภายในปีนี้ ส่วน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ก็มีเป้าติดตั้งหัวจ่ายชาร์จไฟในพื้นที่ส่วนราชการและเอกชนในกรุงเทพฯ 100 หัวจ่าย

นอกจากนี้ บริษัทบางจากฯ ร่วมมือค่ายรถ เร่งติดตั้งสถานีชาร์จให้ได้ 500 แห่งทั่วประเทศภายในปีนี้ หรือกลุ่ม ปตท.เร่งขยายสถานีชาร์จให้ได้ 1,000 แห่งทั่วประเทศภายในปีนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ของโรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน เป็นต้น

ค่ายจีนดาหน้ายึดตลาดอีวีไทย

ซึ่งนับตั้งแต่ไทยมีนโยบายสนับสนุนรถอีวี อีกทั้งส่วนลดจากรัฐบาลที่ว่าด้วยข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-จีน ซึ่งทำให้จีนส่งรถยนต์มาที่ประเทศไทยได้อย่างปลอดภาษี จะเห็นว่า ค่ายจีน ต่างตบเท้าเข้ามามากหน้าหลายตา และมีแนวโน้มที่จะกลายเป็น ผู้นำ ได้ไม่ยาก

เพราะปัจจุบันก็เป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกด้วยส่วนแบ่งตลาด 60% และด้วย ราคา ของรถที่มีราคาไม่ถึงล้านก็เป็นเจ้าของได้ ขณะที่ค่ายญี่ปุ่นและยุโรปที่ส่วนใหญ่ราคาเริ่มต้น เกือบ 2 ล้านบาท ดังนั้น ไปดูกันว่ามีค่ายไหนบ้างที่น่าสนใจ

MG

ย้อนไปปี 2013 เซี่ยงไฮ้ ออโตโมทีฟ หรือ เอสเอไอซี ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีน ได้ร่วมทุนกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ตั้ง บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อผลิตและจำหน่ายรถยี่ห้อ เอ็มจี (MG)

ปัจจุบันรถ MG มีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย 70-80% โดยส่งออกจำหน่ายไปแล้ว ได้แก่

  • MG HS PHEV รถ SUV ปลั๊กอิน-ไฮบริด ราคาเริ่มต้น 1,359,000 บาท
  • MG ZS EV รถยนต์ SUV ไฟฟ้า 100% ราคาเริ่มต้น 1,190,000 บาท
  • MG EP EV Plus รถ Station Wagon ไฟฟ้า 100% ราคาเริ่มต้น 998,000 บาท

GWM

เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor : GWM) ถือเป็นค่ายที่ถูกจับตามองตั้งแต่เข้าไทยในปี 2021 เนื่องจากเป็นผู้ที่เข้ามาซื้อโรงงานต่อจาก General Motor (GM) หรือแบรนด์ เชฟโรเลต ที่ได้ม้วนเสื่อเลิกกิจการในไทยไป พร้อมกันนี้ ค่าย GWM ยังปักธงชัดว่าจะเดินหน้าทำตลาดอีวีโดยเฉพาะ พร้อมกับหอบเงินลงทุนมาถึง 22,600 ล้านบาท

โดยค่าย GWM นั้นมีรถ 4 แบรนด์ย่อย ได้แก่ HAVAL (ฮาวาล) แบรนด์รถเอสยูวี WEY (เวย์) แบรนด์รถเอสยูวีลักชัวรี ORA (โอรา) แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า และ GWM POER (จีดับเบิลยูเอ็ม พาวเออร์) แบรนด์รถกระบะ สำหรับประเทศไทย GWM เปิดตัวรถแล้ว 3 รุ่น จาก 2 แบรนด์ มียอดขายรวมทั้งหมด 8,921 คัน ได้แก่

  • Haval H6 ราคาเริ่มต้น 149 ล้านบาท (ยอดขายสะสม 4,859 คัน)
  • Haval Jolion ราคาเริ่มต้น 879,000 บาท (ยอดขายสะสม 2,198 คัน)
  • Ora Good Cat ราคาเริ่มต้น 828,500 บาท (ยอดขายสะสม 1,864 คัน)

NETA

สำหรับค่าย NETA AUTO หรือ บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด ถือว่าเป็นสตาร์ทอัพด้านยานยนต์ไฟฟ้า 100% อีกรายของจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 จนมาปี 2018 ทางค่ายก็ออกรถรุ่นแรกในชื่อ NETA No1 (เนต้า นับเบอร์ 1) รถอีวีครอสโอเวอร์ 100% จากนั้นในปี 2020 ก็ได้เปิดตัว NETA U รถ SUV ไฟฟ้า และ NETA V รถซิตี้คาร์ หรือ อีโคคาร์ และในปี 2022 นี้ ทางค่ายก็เปิดตัวรถอีวีรุ่นล่าสุด NETA S รถซีดาน

ความน่าสนใจของ NETA คือ ภายในระยะเวลา 4 ปี มียอดจำหน่ายรถยนต์รวมกว่า 170,000 คัน โดยในปี 2021 นั้นมีเติบโตสูงกว่า 362% และสำหรับการรุกตลาดโลก NETA ก็ได้เลือกไทยเป็นประเทศแรก โดยได้จัดตั้ง บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด (Neta Auto (Thailand) Co., Ltd.) พร้อมกับจับมือเป็นพันธมิตรกับ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100% ให้เป็น ผู้ผลิตรถยนต์ในไทย โดยได้เปิดตัวรถรุ่นแรก NETA V เพื่อมาจับตลาด ซิตี้คาร์ หรือ อีโคคาร์ โดยราคาหลังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐจะเริ่มต้นอยู่ที่ 549,000 บาท

BYD

BYD (บีวายดี) ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนด้วยยอดขาย 641,000 คัน ในครึ่งแรกของปี 2022 ถือเป็นเบอร์ 1 ของจีน ซึ่งในประเทศไทย BYD ได้ถูกนำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวโดย บริษัท เรเว่ ออโตเมทีฟ จำกัด (RÊVER AUTOMOTIVE) ซึ่งมี ประธานวงศ์ และ ประธานพร สองพี่น้องของตระกูล พรประภา ถือหุ้นและลงทุน 100% ซึ่งในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์จะคุ้นกับนามสกุลเป็นอย่างดี เพราะทั้งคู่เป็นทายาทของ กลุ่มสยามกลการ

สำหรับรถยนต์รุ่นแรกของ BYD นั้นจะได้เห็นภายในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งทางบริษัทยังไม่เปิดเผยว่าจะเป็นรุ่นไหน เพียงแต่บอกว่าจะเป็นรุ่นที่อยู่ในกลุ่ม Ocean series ซึ่งในซีรีส์ดังกล่าวมีทั้งหมด 3 รุ่น ดังนั้น ใครที่สนใจก็ต้องอดใจรออีกนิดนะ

อีวี ไพรมัส

อีกหนึ่งตระกูลที่คร่ำหวอดในตลาดอะไหล่รถยนต์มานานกว่า 50 ปี อย่าง ธนาดำรงศักดิ์ เจ้าของบริษัท บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ หรือ FPI ก็เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่เข้ามาในตลาดรถอีวี โดย พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ ได้ก่อตั้ง บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด พร้อมวางตัวเองเป็น ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามัลติแบรนด์ (Multi-Brand EV Distributor) เนื่องจากแบรนด์รถอีวีจีนนั้นมีหลายสิบแบรนด์ บริษัทได้เปิดตัวแบรนด์ที่จะนำเข้ามาเบื้องต้น 3 แบรนด์ ได้แก่ DFSK, SERES และ VOLT

โดย อีวี ไพรมัส เตรียมเงินลงทุน 400 ล้านบาท ใช้ในการสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยโรงงานดังกล่าว มีพื้นที่ 20 ไร่ มีกำลังการผลิต อีวี  4,000 คัน/ปี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ภายในปี 2023

Tesla จ่อเข้าไทย

ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลก อย่าง เทสลา (Tesla) มีข่าวลือว่าจะเข้าไทยอย่างเป็นทางการ หลังมีการยื่นจดทะเบียน บริษัท เทสลา (ประเทศไทย) จำกัด กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 เพื่อขายรถยนต์ไฟฟ้า, ระบบเก็บพลังงานแบบติดตั้งและอุปกรณ์ที่ใช้กับระบบเก็บพลังงานแบบติดตั้ง และระบบผลิตพลังงานและอุปกรณ์ที่ใช้กับระบบพลังงาน ภายใต้ทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท

แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะ คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยว่า Volkswagen (โฟล์คสวาเกน) คู่แข่งรายสำคัญของเทสลา ก็อยู่ระหว่างตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เช่นกัน ดังนั้น อาจต้องจับตาดูอีกทีว่า 2 ค่ายใหญ่ฝั่งยุโรปจะเข้ามาสู้กับแบรนด์จีนที่กำลังรุกตลาดไทยเมื่อไหร่

Photo : Shutterstock

ค่ายญี่ปุ่นไม่เชื่อในรถอีวี 100%?

สำหรับค่ายญี่ปุ่นที่ครองส่วนแบ่งการตลาดจากรถยนต์สันดาปมากถึง 82% ของประเทศไทย แต่ในตลาดอีวีกลับไม่ค่อยเห็นความเคลื่อนไหว โดยค่ายอันดับ 1 ของไทยอย่าง โตโยต้า แม้จะออกมาสนับสนุนมาตรการ EV ของรัฐบาลไทย แต่ก็ทำแค่เอา Toyota bZ4X รถอีวี 100% ของค่ายมาอวดโฉมเรียกกระแสแต่ยังไม่เปิดเผยราคา และคาดว่าจะนำเข้ามาก็ไตรมาส 4 ปีนี้ หรืออย่าง New NISSAN LEAF 2022 ของ นิสสัน นอกนั้นก็ยังไม่ค่อยมีให้เห็น ส่วนใหญ่จะเป็น รถไฮบริด มากกว่า

โดยความเห็นจากผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามองว่า ที่ค่ายรถญี่ปุ่นไม่เน้นพัฒนารถอีวี 100% แต่เน้นหนักไปที่รถไฮบริดเป็นเพราะ ไม่เชื่อมั่นว่ารถไฟฟ้า 100% จะตอบโจทย์ โดยมีแนวคิดว่าเป็นสัดส่วนไฟฟ้า 80% และน้ำมัน 20% ตอบโจทย์มากกว่า รวมถึงการพัฒนาและ รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน

คาดยอดขาย BEV ทะลุ 1 หมื่นคัน

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ของยอดขายรวม รถยนต์ไฟฟ้า 100% ในประเทศไทยจะมีมากกว่า 1 หมื่นคัน หรือเติบโตขึ้นมากกว่า 412% จากปี 2021 โดย รถยนต์ไฟฟ้าจีน มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่กว่า 80% และคาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้าฝั่งยุโรปจะได้ส่วนแบ่งราว 14% และค่ายญี่ปุ่นอยู่ที่ 5% เนื่องจากจีนได้เข้ามารุกตลาดไทยอย่างรวดเร็ว

แม้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ถือว่ายังตลาดยังอยู่ในจุดเริ่มต้น ดังนั้น อาจต้องรอดูว่าในปีต่อ ๆ ไปภาพของตลาดจะเป็นอย่างไร และเป้าหมายของ บอร์ดอีวี ที่ตั้งเป้าผลิตรถอีวี 100% ให้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2030 จะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่

]]>
1398038