รถอีวี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 04 Sep 2024 06:29:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ปิดฉาก 87 ปี? ‘โฟล์คสวาเกน’ เล็งปิดโรงงานใน ‘เยอรมนี’ ประเทศบ้านเกิดเพื่อลดต้นทุน หลังถูกแบรนด์จีนตีตลาด https://positioningmag.com/1488662 Tue, 03 Sep 2024 15:52:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488662 ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันตลาดรถยนต์กำลังถูก แบรนด์จีน ตีตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฝั่งของ รถอีวี หรือ รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทำให้การมีอยู่ของแบรนด์รถยนต์สันดาปกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก ทั้งในฝั่งของญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งรวมไปถึง โฟล์คสวาเกน ที่อาจถึงขั้นต้องปิดโรงงานในประเทศบ้านเกิด

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 87 ปี ของ โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ผู้ผลิตรถยนต์ชาวเยอรมันที่กำลังเตรียม ปิดโรงงานในประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการ ลดต้นทุน เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรปกำลังอยู่ในสถานะวิกฤต เนื่องจากคู่แข่งใหม่ ๆ ที่กำลังตบเท้าเข้าสู่ตลาดยุโรป

“สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจยิ่งยากขึ้น และคู่แข่งรายใหม่กําลังเข้าสู่ตลาดยุโรป ในขณะที่ฐานการผลิตในเยอรมนีมีความล้าหลังในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน เราเลยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดในตอนนี้” โอลิเวอร์ บลูม ซีอีโอของโฟล์คสวาเกน กรุ๊ป กล่าว

ปัจจุบัน โฟล์คสวาเกนไม่ใช่แค่ต้องเผชิญกับการแข่งขันในยุโรป แต่บริษัทได้ สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ ทำกำไรได้มากที่สุด และแม้ว่าบริษัทได้เริ่มโครงการการ ลดต้นทุน มูลค่าหลายพันล้านยูโรตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากข้อตกลงกับสหภาพแรงงาน

อย่างไรก็ตาม บริษัทจําเป็นต้อง ยุติข้อตกลงการคุ้มครองการจ้างงาน ซึ่งเป็นโครงการความมั่นคงในการทํางานที่มีมาตั้งแต่ปี 1994 เพื่อให้แน่ใจว่า การปรับโครงสร้างที่จําเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่มากขึ้นในระยะสั้น

ซึ่งนั่นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งกับสหภาพแรงงาน โดยปัจจุบันบริษัทมีพนักงานประมาณ 3 แสนคนในเยอรมนี คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนพนักงานทั้งหมดทั่วโลก

แน่นอนว่าการปิดโรงงานของโฟล์คสวาเกน จะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในเยอรมนี เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียงาน รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งนั่นทำให้บริษัททำได้แค่ให้พนักงานเกษียณก่อนกำหนดและลาออกโดยสมัครใจเท่านั้น

“สถานการณ์ตึงเครียดอย่างยิ่งและไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการลดต้นทุนง่าย ๆ นี่คือเหตุผลที่เราต้องการเริ่มการสนทนากับตัวแทนพนักงานโดยเร็วที่สุดเพื่อสํารวจความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน” โอลิเวอร์ ทิ้งท้าย

bloomberg

]]>
1488662
ถึงคิว ‘แคนาดา’ ขึ้นภาษี ‘อีวีจีน’ 100% ตามรอยสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้การแข่งขันไม่เป็นธรรม https://positioningmag.com/1488025 Thu, 29 Aug 2024 08:43:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488025 หลังจากที่ สหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นภาษีการนำเข้า รถอีวีจากจีน 100% รวมถึง สหภาพยุโรป ที่ขึ้นภาษีการนำเข้ารถจากจีนเช่นกัน ล่าสุด แคนาดา ก็เป็นอีกประเทศที่ประกาศขึ้นภาษีการนำเข้ารถอีวีจีน เพื่อสกัดกั้นการนำเข้า

จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้ประกาศว่า ประเทศแคนาดาจะจัดเก็บ ภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน 100% เท่ากับภาษีของสหรัฐฯ จากเดิมที่จัดเก็บเพียง 6.1% โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. 2567 นอกจากนี้ ยังจะเรียกเก็บภาษีนำเข้า จากเหล็กและอะลูมิเนียมของจีน 25% อีกด้วย โดยจะบังคับใช้วันที่ 15 ต.ค. 2567

ที่ผ่านมา ทางการจีน มีแนวโน้ม แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังจากที่รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีนำเข้าใหม่ครั้งใหญ่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ขั้นสูง โซลาร์เซลล์ เหล็ก อะลูมิเนียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ของจีน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลจีนพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของ COVID-19 

ขณะที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหาว่า รัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนสำหรับแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้บริษัทจีนไม่ได้โฟกัสที่การทำ กำไร ซึ่งนั่นทำให้บริษัทเหล่านั้นได้รับความได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมในการค้าโลก

“แคนาดากำลังดำเนินการต่อต้านสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นนโยบายรัฐบาลจีนเลือกที่จะให้บริษัทของประเทศตัวเองได้รับข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมในตลาดโลก โดยตั้งใจผลิตเกินกว่าที่จีนจะบริโภคเพื่อส่งออก และไม่คิดว่าจีนกำลังเล่นตามกฎเดียวกัน” ทรูโด กล่าว

ทั้งนี้ จีนถือเป็นพันธมิตรการค้ารายใหญ่เป็น อันดับสองของแคนาดา รองจากสหรัฐฯ ซึ่งจีนก็ได้ออกตอบโต้มาตรการดังกล่าวว่า เป็นการกีดกันทางการค้า ซึ่งละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก และจวกว่า แคนาดากำลัง ทำลายระบบเศรษฐกิจโลก

ที่ผ่านมา รถอีวีจากจีนสามารถขายได้ในราคาเพียง 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.2 แสนบาท)

Source

]]>
1488025
ยอดขาย ‘รถอีวี’ ทั่วโลกเดือนก.ค.โต 21% หลังได้แรงหนุนจากตลาด ‘จีน’ ที่ทำสถิติเติบโตสูงสุด https://positioningmag.com/1486005 Tue, 13 Aug 2024 08:02:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1486005 ดูเหมือนยอดขายทั่วโลกของรถยนต์ไฮบริดไฟฟ้าและปลั๊กอินยังไปต่อได้ โดยในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 21% โดยปัจจัยหลักมาจากยอดขายของ จีน ที่ถือว่าเติบโตสูงสุดในปี 2024 แม้ว่าการเติบโตจากฝั่งยุโรปจะลดลงก็ตาม  

ตามรายงานโดย Rho Motion เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเดือนกรกฎาคม โดยรวมทั้ง รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) และ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) มียอดรวมทั่วโลกอยู่ที่ 1.35 ล้านคัน โดยเฉพาะประเทศจีนมียอดขายที่ 8.8 แสนคัน เพิ่มขึ้น +31% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ขณะที่ตลาด ยุโรป มียอดขาย ลดลง -7.8% ในเดือนกรกฎาคม โดยตลาด เยอรมนี ที่ถือเป็นตลาดใหญ่สุดของยุโรป ลดลง -12% ส่วนในตลาด สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ยอดขาย เพิ่มขึ้น +7.1% 

ที่น่าสนใจคือ รถปลั๊กอินไฮบริด กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดจีน ยอดขายของรถปลั๊กอินไฮบริดช่วง 7 เดือนแรกเพิ่มขึ้นถึง +70% จากปีที่แล้ว สอดคล้องกับยอดขายของค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่สุดในจีนและใหญ่สุดในโลกอย่าง BYD ที่ยอดขายรถ PHEV เติบโตถึง +44% ขณะที่รถ BEV เติบโต +13%

ทั้งนี้ สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (China Passenger Car Association) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศจีนในเดือนกรกฎาคม หดตัว -5% แต่ภาค การส่งออกเพิ่มขึ้น +20% โดยยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคัน โดยขายภายในประเทศประมาณ 1.6 ล้านคัน ลดลง 10% จากปีก่อน ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เป็น 399,000 คัน รถยนต์ที่ขายไป มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นรถยนต์พลังงานใหม่

Source

]]>
1486005
‘ซัมซุง’ โชว์นวัตกรรมแบตฯ รถอีวีใหม่วิ่งได้ไกล 900 กิโลเมตร แถมชาร์จไวใน 9 นาที อายุการใช้งานยาว 20 ปี https://positioningmag.com/1485984 Tue, 13 Aug 2024 04:42:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1485984 แม้ว่าเกาหลีใต้อาจไม่ใช่ผู้ชนะในตลาด รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี เหมือนกับ จีน ที่กำลังรุกตลาดโลกอย่างรวดเร็ว แต่เกาหลีใต้ก็ยังเติบโตไปด้วยได้ผ่านการ ขายแบตเตอรี่ โดยล่าสุด ซัมซุงได้เปิดตัวแบตเตอรี่ใหม่ที่วิ่งได้ไกล 900 กิโลเมตร

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซัมซุง (Samsung) ได้เปิดตัวนวัตกรรม แบตเตอรี่โซลิดสเตต (Solid-State battery) ที่ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 900 กิโลเมตร โดยแบตเตอรี่ดังกล่าวมีความหนาแน่นของพลังงานที่ประมาณ 500 Wh/kg หรือประมาณ สองเท่าของแบตเตอรี่รถอีวีในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังใช้เวลาชาร์จเต็มเพียง 9 นาที และแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนาน 20 ปี

Ko Joo-young รองประธาน Samsung SDI กล่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์กําลังให้ความสนใจแบตเตอรี่ Next-gen นี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีขนาด เล็กกว่า เบากว่า และปลอดภัยกว่า แบตเตอรี่อีวีในปัจจุบันมาก อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตของแบตเตอรี่โซลิดสเตตก็ยังสูงกว่าแบตเตอรี่ในปัจจุบันอยู่มาก ดังนั้น การจะใช้แบตเตอรี่โซลิดสเตตจึงถูกจํากัดให้อยู่ในกลุ่ม พรีเมียมสุด 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ซัมซุง แต่บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง โตโยต้า (Toyota) ยังตั้งเป้าผลิตแบตเตอรี่โซลิดสเตตจำนวนมากภายในปี 2027 โดยนักวิเคราะห์มองว่า โตโยต้าอาจใช้แบตเตอรี่โซลิดสเตตในรถ Lexus EV ระดับพรีเมียม

ในฝั่งของจีน ตอนนี้แบรนด์ นิโอ (NIO) ได้เสนอแบตเตอรี่กึ่งโซลิดสเตตที่เปิดใช้งานระยะทางมากกว่า 900-1,000 กิโลเมตร ความเร็วในการชาร์จ 5C หรือ 6C ultra-rapid ที่ชาร์จได้เร็วเพียง 10 นาที แต่อุปสรรคหลักของการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่ยังไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีโซลิดสเตตไม่ใช่แค่ไม้ตายเดียวของซัมซุง แต่บริษัทกำลังพัฒนา แบตเตอรี่ลิเธียมเหล็กฟอสเฟต (LFP) และแบตเตอรี่ที่ปราศจากโคบอลต์ที่มีราคา ถูกกว่า เพื่อใช้แข่งขันในกลุ่มรถอีวีราคาประหยัด ขณะที่ความนิยมของแบตเตอรี่ LFP เองก็กําลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรายงานล่าสุดคาดว่า เทคโนโลยีนี้คิดเป็น 40% ของยอดขายรถอีวีแล้ว

Source

]]>
1485984
SCB IEC ประเมินราคา ‘รถอีวี’ อาจ ‘ลดลง 50%’ เมื่อใช้งานไป 1 ปี แต่ถือว่า ‘คุ้มสุด’ เมื่อใช้ระยะยาว https://positioningmag.com/1485151 Mon, 05 Aug 2024 07:43:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1485151 จะเห็นว่า รถอีวี ในไทยมีการ ดัมพ์ราคา กันหนักมากช่วงนี้ จนผู้บริโภคที่ซื้อไปตั้งแต่แรกเกิดอาการ เซ็ง ไปตาม ๆ กัน ขณะที่ผู้บริโภคใหม่ ๆ ก็มีท่าทีว่าจะ รอดูสถานการณ์ไปก่อน ไม่รีบร้อนซื้อ โดย SCB EIC (SCB Economic Intelligence Center) ก็ได้ออกมาประเมินถึงผลกระทบและความคุ้มในการเลือกใช้รถในปัจจุบัน

คนไทยตัดสินใจนานขึ้น

พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อรถของคนไทยเปลี่ยนไป โดยมีความ ซับซ้อน ใช้เวลาตัดสินใจนาน และต้องการข้อมูลที่รอบด้าน มากยิ่งขึ้น พฤติกรรมการซื้อรถของคนไทยมีพัฒนาการที่แตกต่างไปจากอดีตใน 3 ประเด็น ได้แก่

  • อายุการใช้งานรถยนต์ยาวนานขึ้นเป็น 10 ปี จากเดิมที่มักเปลี่ยนรถกันทุก ๆ 7 ปี
  • ข้อมูลค่าใช้จ่ายจากการใช้งานรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดพลังงาน ค่าซ่อม ค่าเสื่อม และเบี้ยประกัน มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อใกล้เคียงกับการลดราคาขาย
  • รถยนต์ไฟฟ้าทั้ง BEV และ Hybrid กลายเป็นตัวเลือกหลักของตลาดรถยนต์นั่งนับตั้งปี 2023 เป็นต้นมา และคาดว่าจะครองส่วนแบ่งยอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ภาพจาก Unsplash

ทิศทางการปรับลดราคาขายรถยนต์

สงครามราคาในตลาดรถยนต์ไทยจะยังทวีความรุนแรง แต่ประสิทธิผลของกลยุทธ์ดังกล่าวมีแนวโน้มลดลง เพราะผู้บริโภคเกิดความเคยชินและหันมารอมากขึ้น SCB EIC ประเมินว่า การปรับลดราคาขายรถยนต์จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและขยายวงกว้าง โดย Segment ที่คาดว่าจะมีความรุนแรงสูงสุด คือ

  • รถเก๋งขนาดเล็ก หรือ Eco car
  • รถยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากประเทศจีนที่เปิดตัวไปแล้วในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา
  • กลุ่มรถยนต์ราคาระหว่าง 5 แสน 1 ล้านบาท จะมีตัวเลือกในตลาดเพิ่มขึ้นมาก

ผลพวงจากการจัดโปรโมชันที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจะทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อรถใหม่ออกไป เพื่อรอให้ราคาปรับลดลงอีกในอนาคต

มูลค่ารถยนต์อีวีอาจลดเกือบ

มูลค่าคงเหลือของรถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง BEV (ใช้ไฟฟ้า 100%) และ Hybrid มีแนวโน้ม ลดลงมากถึงเกือบ 50% จากราคาขาย เมื่อใช้งานไปเพียงแค่ 1 ปี เท่านั้น มูลค่าซากของรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อใช้งานไปเพียง 1 ปี จะเสื่อมค่าลงมากถึง 50% ขณะที่ รถสันดาปสามารถรักษามูลค่าในปีแรกไว้ได้ถึง 67% ของราคารถใหม่ โดยปัจจัยที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเสื่อมค่าลงมากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก ราคาขายที่ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความกังวลของภาคธุรกิจต่ออุปสงค์ของ EV ในตลาดรถยนต์มือ 2

รถอีวีถูกกว่าหมด ยกเว้นประกัน

ค่าใช้จ่ายผันแปรจากการใช้งานรถ BEV ต่ำกว่ารถสันดาป และ Hybrid ค่อนข้างมาก แต่ต้องจับตาต้นทุนแฝงจากปัญหาความไม่เพียงพอของสถานีชาร์จสาธารณะ การใช้งานรถ BEV ก่อให้เกิดรายจ่ายจากการชาร์จไฟฟ้าเพียง 62 บาท/วัน ต่ำกว่าค่าเชื้อเพลิงของรถสันดาป กว่าเท่าตัว ด้านค่าใช้จ่ายการ เช็กระยะ ซึ่งถูกกว่ารถประเภทอื่น ๆ ถึง 3 เท่า อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาต้นทุนแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าเสียโอกาสจากการรอชาร์จไฟเนื่องจากสถานีชาร์จสาธารณะมีไม่เพียงพอ รวมถึงค่าเดินทางและระยะเวลาซ่อมที่ยาวนาน เพราะอุปทานอะไหล่ยนต์ในประเทศมีจำกัด รวมถึงศูนย์ซ่อมบำรุงและอู่ซ่อมรายย่อยก็มีน้อยและกระจายตัวไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่

แม้ค่าพลังงานและการเช็กระยะจะถูกกว่า แต่ เบี้ยประกัน รถ BEV พงกว่ารถสันดาป และ Hybrid กว่าเท่าตัว เนื่องจากราคาขายที่ถูกปรับลดลงต่อเนื่อง รวมถึงระบบนิเวศน์ EV ในประเทศไทยยังพัฒนาได้ไม่เท่าทันกับความต้องการของตลาด ปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เบี้ยประกันรถ BEV ผันผวนและยังอยู่ในระดับสูง คือ การคำนวณทุนประกันทำได้ยาก เพราะ

  • เหล่าผู้ผลิตมีการปรับลดราคาขายลงอย่างต่อเนื่อง
  • ราคาอะไหล่ต่อชิ้นค่อนข้างแพง
  • อู่ซ่อมรายย่อยมีน้อย
  • บริษัทรับทำประกันภัย EV ก็มีจำกัด

ดังนั้น เบี้ยประกันรถ EV จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง แม้จะทยอยปรับลดลงบ้างตามทิศทางการพัฒนาระบบนิเวศ EV ของไทยที่กำลังมีความพร้อมยิ่งขึ้น ทั้งจากการลงทุนขยายอุปทานอะไหล่ยนต์ในประเทศ รวมถึงการเร่งพัฒนาธุรกิจอู่ซ่อมและฝีมือแรงงานให้ตอบโจทย์

อีวีคุ้มสุดในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม รถ BEV เป็นตัวเลือกการขับขี่ที่ตอบโจทย์ความ ประหยัดในระยะยาว ได้ดีที่สุด แม้ว่าการใช้งานช่วง 2 – 3 ปีแรกจะมีต้นทุนการถือครองที่สูงกว่ารถประเภทอื่น ๆ เนื่องจากภาระเบี้ยประกันและค่าเสื่อมที่อยู่ในระดับสูง การเปรียบเทียบความคุ้มค่าตลอดอายุการใช้งาน 10 ปี ถือว่าภาระรายจ่ายของ รถสันดาปสูงที่สุด ขณะที่รถไฮบริดจะมีต้นทุนการใช้งานต่ำมากในระยะสั้น จากนั้นจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นตามภาระค่าเชื้อเพลิง สำหรับรถ BEV ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟฟ้าและค่าซ่อมบำรุงที่อยู่ในระดับต่ำสามารถชดเชยภาระเบี้ยประกันที่โดยรวมยังแพงกว่ารถยนต์ประเภทอื่น ๆ

Source

]]>
1485151
รวมกันเราอยู่! “Honda – Nissan” ร่วมมือกันพัฒนาองค์ความรู้ “รถอีวี” จุดหมายเพื่อสู้ในตลาด “จีน” https://positioningmag.com/1484988 Fri, 02 Aug 2024 08:23:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484988 “Honda Motor” และ “Nissan Motor” ประกาศความร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ “รถอีวี” เช่น ซอฟต์แวร์ แบตเตอรี เพื่อลดต้นทุนการพัฒนาของทั้งสองฝ่ายและทำให้แข่งขันในตลาดต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะ “จีน” ซึ่งยอดขายของทั้งสองบริษัทกำลังตกต่ำ

ขณะที่ “Mitsubishi Motors” ซึ่งมีดีลความร่วมมือกับ “Nissan” มาตั้งแต่ปี 2016 จะเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์รวม 3 บริษัท ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการเจรจาเป็นพันธมิตรด้านเงินทุนระหว่าง Honda และ Nissan หรือไม่ โทชิฮิโร มิเบะ ประธานบริษัท Honda กล่าวว่า “เรายังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรด้านเงินทุนในขณะนี้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้”

เมื่อร่วมกัน 3 บริษัทแล้วจะทำให้ต้นทุนการพัฒนาลดลง และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งญี่ปุ่นด้วยกันได้ เพราะก่อนหน้านี้มี 4 บริษัทญี่ปุ่น ได้แก่ Toyota Motor, Subaru, Suzuki Motor และ Mazda Motor ที่ประกาศสร้างกิจการร่วมค้า ผนึกกำลังกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปแล้ว

“แม้ว่าเราจะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่เรามีความท้าทายเหมือนกัน” มาโกโตะ อูชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nissan กล่าวในงานแถลงข่าวร่วมกับมิเบะ “ประเด็นหลักของความร่วมมือของเราจะเป็นด้านซอฟต์แวร์”

Honda
Honda Ye GT Concept รถอีวีของแบรนด์ที่จะเข้าทำตลาดในจีนเท่านั้น

บริษัทรถญี่ปุ่นนั้นกำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดใน “จีน” อย่างต่อเนื่อง หลังจากรถยนต์ไฟฟ้าจีน เช่น BYD ได้รับความนิยมสูงขึ้น และกินส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มรถยนต์พรีเมียม เฉพาะเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยอดขายของ Honda ในจีนตกลงถึง 40% และของ Nissan ก็ตกลง 27% เมื่อสัปดาห์ก่อน Honda เพิ่งจะตัดสินใจลดการผลิตรถสันดาปในฐานผลิตที่จีนลง 19% ส่วน Mitsubishi Motors ถึงกับถอนฐานผลิตออกจากจีนไปแล้วตั้งแต่ปีก่อน

“Honda และ Nissan กำลังเผชิญกับความยากลำบากในจีน และพวกเขาจะต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้นถึงจะยังอยู่ในตลาดที่นั่นได้” ทัตซูโอะ โยชิดะ นักวิเคราะห์ยานยนต์อาวุโสจาก Bloomberg Intelligence กล่าว ดังนั้น การเป็นพันธมิตรนี้จึง “มีเหตุผล”

อูชิตะ ซีอีโอของ Nissan กล่าวด้วยว่า แบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้าและมอเตอร์ไฟฟ้าต้องใช้การลงทุนมหาศาล ดังนั้น การที่บริษัทรถตกลงร่วมมือกันพัฒนาในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการสร้างความมั่นใจมากขึ้นว่าจะได้ผลตอบแทนจากการทุ่มทรัพยากรลงไป

Nissan
Nissan LEAF เจนเนอเรชันใหม่ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2025

สำหรับผลงานในช่วงครึ่งปีแรก 2024 ทั้ง 3 บริษัทในความร่วมมือนี้คือ Honda, Nissan และ Mitsubishi สร้างยอดขายรถยนต์ไป 4 ล้านคันทั่วโลก ซึ่งยังน้อยกว่า Toyota แค่บริษัทเดียวที่สามารถขายได้ 5.2 ล้านคัน

การต่อสู้ของบริษัทรถญี่ปุ่นในตลาดโลกนั้นมีแรงหนุนจากรัฐบาลด้วย โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่ารถญี่ปุ่นจะต้องได้ส่วนแบ่งตลาด 30% ในตลาดโลกภายในปี 2030

“รัฐบาลและบริษัทรถญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติแล้วว่า ญี่ปุ่นจะไม่ชนะในตลาดถ้าสถานะยังเป็นแบบนี้ต่อไป” ทาเครุ อิโตะ ผู้อำนวยการที่สำนักงานการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลด้านการเคลื่อนที่ของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมกล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อเดือนที่แล้ว

Source

]]>
1484988
“Uber” เซ็นดีล “BYD” นำรถอีวี “100,000 คัน” ปล่อยราคาพิเศษให้คนขับในยุโรป-ละตินอเมริกา https://positioningmag.com/1484612 Wed, 31 Jul 2024 13:09:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484612 ไม่แคร์กำแพงภาษี! บริการเรียกรถ “Uber” เซ็นดีลกับ “BYD” นำรถอีวี “100,000 คัน” ปล่อยเช่าซื้อราคาพิเศษให้กับคนขับบนแพลตฟอร์มใน “ยุโรป” และ “ละตินอเมริกา” พร้อมจับมือร่วมกันพัฒนา “ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ” เพื่อแพลตฟอร์มนี้โดยเฉพาะ

“Uber” กับ “BYD” ร่วมกันแถลงข่าวความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาว ทางบริษัท Uber สัญญาสนับสนุนรถอีวีของ BYD จำนวนรวม 100,000 คันให้กับคนขับบนแพลตฟอร์ม โดยจะมีการจัดแพ็กเกจสินเชื่อเช่าซื้อราคาพิเศษ, สนับสนุนทางการเงิน, ประกันรถยนต์, ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และค่าชาร์จไฟฟ้า ให้กับคนขับ Uber ที่ต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD มาใช้ร่วมขับขี่

โดยตลาดหลักของ Uber ที่จะเริ่มสนับสนุนรถยนต์ BYD ก่อน ได้แก่ ยุโรป และ ละตินอเมริกา ขณะที่ในอนาคตจะมีการขยายไปในตลาดอื่นๆ เช่น ตะวันออกกลาง แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

ทั้งสองบริษัทถือว่าเป็นผู้นำเรื่องรถอีวีในวงการของตนเอง เพราะ Uber ถือเป็นแพลตฟอร์มเรียกรถที่มีรถอีวีในเครือข่ายมากที่สุดในโลก ส่วน BYD เป็นผู้นำด้านการผลิตรถอีวี จากการร่วมมือกันครั้งนี้ ทั้งสองบริษัทมีเป้าหมายที่จะทำให้ต้นทุนการเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าของคนขับ Uber ต่ำลง

แม้ว่าคนขับ Uber จะเปลี่ยนไปใช้รถอีวีเร็วกว่าคนขับบนแพลตฟอร์มอื่นถึง 5 เท่า แต่จากการสำรวจของ Uber ก็พบว่า คนขับมองว่า “ราคา” ของรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนจากรถสันดาปมาเป็นอีวี ทำให้บริษัทต้องการจะหาดีลพิเศษเพื่อให้คนขับบนแพลตฟอร์มเปลี่ยนมาใช้รถอีวีได้ง่ายขึ้น

นอกจากดีลรถยนต์ราคาพิเศษแล้ว ต่อไปในอนาคตทั้งสองบริษัทจะร่วมกันพัฒนา “ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ” เพื่อนำมาใช้บนแพลตฟอร์ม Uber โดยเฉพาะด้วย

BYD Atto 3

“Uber กับ BYD มีสัญญาร่วมกันที่จะสร้างนวัตกรรมไปสู่โลกที่สะอาดขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำงานร่วมกันไปสู่อนาคตดังกล่าว” Chuanfu Wang ประธานกรรมการและประธานบริษัท BYD กล่าว

“เมื่อคนขับ Uber เปลี่ยนมาใช้รถอีวี พวกเขาจะสร้างประโยชน์ลดการปล่อยคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อมได้มากกว่า 4 เท่าเทียบกับผู้ใช้รถปกติ เพราะคนขับ Uber นั้นใช้เวลาอยู่บนท้องถนนนานกว่า นอกจากนี้ ผู้โดยสารหลายคนบอกกับเราว่าได้สัมผัสประสบการณ์บนรถอีวีครั้งแรกเมื่อเรียกรถ Uber นั่นทำให้เราตื่นเต้นที่จะช่วยสาธิตประโยชน์ของรถอีวีให้กับผู้คนทั่วโลกให้มากขึ้น” Dara Khosrowshahi ซีอีโอ Uber กล่าว

สำหรับบริษัท BYD นั้นเป็นบริษัทสัญชาติจีนที่สามารถเอาชนะ Tesla ได้ 2 ปีติดต่อกันในแง่จำนวนการผลิตและส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก เมื่อปี 2023 บริษัท BYD มีการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าถึง 240,000 คันไปสู่ 70 ประเทศ และบริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 2024 จะเพิ่มจำนวนส่งออกเป็นเท่าตัว!

การแถลงข่าวในครั้งนี้ ทั้งสองบริษัทยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่ารถอีวีที่อยู่ในดีลจะเป็นรถรุ่นไหนบ้าง แต่รูปภาพสำหรับประชาสัมพันธ์ในงานพบว่ามีรถ BYD ทั้งหมด 3 รุ่นปรากฏอยู่ ได้แก่ รถซีดานรุ่น Seal, รถเอสยูวีรุ่น Seal U และ รถเอสยูวีรุ่น Atto 3

ที่มา: Yahoo Finance, CNBC

]]>
1484612
รถจีนพ่นพิษหนัก! ทำกำไร ‘เทสลา’ Q2 ลดฮวบ 45% แถมส่วนแบ่งตลาดใน ‘สหรัฐฯ’ ยังลดต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก https://positioningmag.com/1484149 Thu, 25 Jul 2024 11:17:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484149 ดูเหมือนผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2024 ของ เทสลา (Tesla) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการนํารถยนต์ไฟฟ้ามาสู่ผู้ขับขี่ชาวอเมริกัน ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ และเมื่อตลาดรถอีวีที่เติบโตเต็มที่ ส่งผลให้ความสนใจของผู้บริโภคก็ชะลอตัวลง

ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/2024 ของ เทสลา อยู่ที่ 25,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.23 แสนล้านบาท) ซึ่งถือว่าเติบโตเล็กน้อยที่ 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากแยกเฉพาะ รายได้จากการขายรถยนต์ จะอยู่ที่ 19,878 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.19 แสนล้านบาท) ลดลง -7% 

ในขณะที่ กำไร ของบริษัทยังลดลงมากถึง -45.32% เหลือเพียง 1,478 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.35 หมื่นล้านบาท) โดยบริษัทสามารถส่งมอบรถได้เพียง 443,956 คัน ลดลง -5% ขณะที่ การผลิตลดลง -14% เหลือเพียง 410,831 คันเท่านั้น บ่งชี้ให้เห็นว่ารถของบริษัทเป็นที่ต้องการน้อยลง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้และกำไรของเทสลาหนีไม่พ้น การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น ทั้งจากผู้เล่นจาก โดย อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอ ยอมรับว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ผลิตโดยแบรนด์อื่นมี ราคาถูก ทำให้ให้เทสลา ขายรถได้ยากขึ้น รวมไปถึงการเติบโตของตลาดที่ชะลอตัวลง เนื่องจาก ความสนใจของผู้บริโภคต่อรถอีวีลดน้อยลง

นอกจากนี้ บริษัทยัง ลดราคาสินค้า ในบางช่วง ซึ่งส่งผลต่ออัตรากำไร แม้ว่าบริษัทจะเลิกจ้างพนักงานกว่า 1.4 หมื่นคนทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนแล้วก็ตาม โดยรวมแล้ว ในช่วงครึ่งปีแรก เทสลามียอดขายรถประมาณ 831,000 คันทั่วโลก ซึ่งยังห่างจากเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ 1.8 ล้านคัน

แต่ที่น่าสนใจคือ ส่วนแบ่งการขายรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาในสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ลดลงเหลือต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก โดยทาง The New York Times มองว่า เป็นผลมาจากการสนับสนุนการเมืองฝ่ายขวา หรือ โดนัล ทรัมป์ ส่งผลยอดให้จดทะเบียนใน รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนการเมืองฝั่งซ้าย ลดลง -24% 

Source

]]>
1484149
‘ZEEKR’ น้องใหม่อีวีประนาม ‘สงครามราคา’ ทำภาพแบรนด์จีนในไทยแย่ ยันไม่ลงเล่นราคาแน่นอน! https://positioningmag.com/1482425 Thu, 11 Jul 2024 12:57:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1482425 หากจะพูดถึงแบรนด์ อีวีจีน ในไทยตอนนี้ ถือว่ามีมากมายจนนับนิ้วไม่พอ ดีไม่ดีจำนวนอาจจะแซงหน้าจำนวนแบรนด์รถญี่ปุ่นที่ครองตลาดในไทยไปแล้ว ล่าสุด แบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในงาน Motor Show 2024 ครั้งที่ 45 อย่าง ZEEKR (ซีเคอร์) ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดไทย ซึ่งกำลังเป็นช่วงที่แบรนด์จีนกำลังมีประเด็นพอดิบพอดี

รู้จัก ZEEKR

ZEEKR (ซีเคอร์) ก่อตั้งขึ้นในปี 2564 โดยเป็นแบรนด์อีวีในเครือบริษัท Geely Holding ของจีน เครือเดียวกับ Volvo Cars โดย ZEEKR นั้นจะเน้นทำตลาดในเซกเมนต์ พรีเมียม-ลักชูรี เป็นหลัก ปัจจุบัน ZEEKR ทำตลาดใน 20 ประเทศ มียอดขายสะสมในช่วง 29 เดือนกว่า 2.4 แสนคัน และภายในเดือนตุลาคมนี้ คาดว่าจะเปิดตัวแบรนด์ในอาเซียนครบทั้ง 9 ประเทศ

สำหรับประเทศไทย แบรนด์ได้เปิดตัวรถรุ่นแรกคือ ZEEKR X รถไฟฟ้าพรีเมียมเอสยูวีอเนกประสงค์ โดยมียอดจองกว่า 200 คัน จากงานมอเตอร์โชว์

ประนามผู้เริ่มสงครามราคาในไทย

เป่า จ้วงเฟย (อเล็กซ์) ประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี มองว่า ไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก โดยในปีที่ผ่านมายอดขายรถอีวีมีประมาณ 76,000 คัน หรือ 10% ของตลาดรถยนต์ในไทยทั้งหมด หรือเติบโตกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งแปลว่าคนไทยตอบรับกับรถอีวีจีนเร็วมาก อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถอีวีส่วนใหญ่จะเป็นในกลุ่ม อีโคคาร์ หรือ SUV ซึ่ง SUV ยังเป็นกลุ่มที่ยังมีช่องให้เติบโต รวมไปถึงกลุ่มอย่าง MPV (Multi Purpose Van) และคอมเมอร์เชียล

อย่างไรก็ตาม ตลาดไทยอาจจะต้องสะดุดเพราะเริ่มเห็น สงครามราคา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ เลวร้ายมาก เพราะทำให้ลูกค้าไทย ลังเลหรือชะลอการซื้อ ซึ่งมันจะทำลายทั้งระบบนิเวศ ดังนั้น จะเริ่มเห็นรัฐบบาลไทยเริ่มคุยกับแบรนด์ที่เริ่มทำสงครามราคา โดย สงครามราคาที่จีนเคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะไตรมาส 1 ที่รุนแรงมาก ซึ่งส่งผลทำให้ตลาดวุ่นวาย และต้องใช้เวลา ประมาณ 3-4 เดือนกว่าจะกลับมาเป็นปกติ ดังนั้น มองว่าตลาดไทยก็อาจจะคล้าย ๆ กัน

“การลดราคาอย่างต่อเนื่องหลังเปิดตัวไปไม่นาน มันเป็นการทำตลาดที่ไม่รับผิดชอบต่อลูกค้าที่ซื้อมาก่อน นี่เป็นการทำการตลาดที่ไม่ดี ในจีนเองก็มีสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ที่ต้องเรียกแต่ละแบรนด์มายุติสงคราม”

ดังนั้นยืนยันว่า ZEEKR จะไม่เล่นสงครามราคาเด็ดขาด แต่จะเน้นการมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ด้วยคุณภาพสินค้า บริการหลังการขาย นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เฉิน หยู (มาร์ส) รองประธาน ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี (ซ้าย), เป่า จ้วงเฟย (อเล็กซ์) ประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี (ขวา)

วางเป้าพันคันในสิ้นปี

ปัจจุบัน ZEEKR มีดีลเลอร์ 6 ราย เป็นพันธมิตร ซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นดีลเลอร์ให้กับแบรนด์พรีเมียมของยุโรป รวมแล้ว ZEEKR มีศูนย์บริการ (ZEEKR House) 14 แห่ง คาดว่าสิ้นปีจะมี 20 แห่ง โดยในปีแรกที่เปิดตัวนี้ อเล็กซ์ มองว่าอยากเน้นไปที่การ สร้างการรับรู้ ดังนั้น จึงวางเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 1 พันคัน ซึ่งมองว่ายังอยู่ในความเป็นจริงที่จะเป็นไปได้

สำหรับ ZEEKR X จะเริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคม และภายในไตรมาส 3-4 ปีนี้คาดว่าจะเปิดตัวอีกรุ่นคือ ZEEKR 009 รถ MPV ไฟฟ้า ส่วนแผนการเปิดโรงงานในไทยนั้นกำลังอยู่ระหว่างการศึกษา

“เราไม่ได้เทียบตัวเองกับแบรนด์จีน แต่เราเทียบตัวเองกับ BMW หรือ Mercedes-Benz เพราะมั่นใจในโปรดักส์ที่มีคุณภาพสูงจริง ๆ เพราะแบรนด์จีนที่เข้ามาก่อน ก็เหมือนมาช่วยโปรโมทแบรนด์จีนให้เป็นที่รู้จัก” เฉิน หยู (มาร์ส) รองประธาน ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี ทิ้งท้าย

]]>
1482425
“Tesla” ถอยดีลลงทุน “อินเดีย” คาดเพราะการเงินไม่พร้อม-ยอดขายปีนี้ไม่เปรี้ยง https://positioningmag.com/1481486 Fri, 05 Jul 2024 07:46:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481486 เทกันไปแบบเงียบๆ สำหรับดีล “Tesla” ที่เคยจ่อลงทุนใน “อินเดีย” แต่ล่าสุดความคืบหน้าคือไม่คืบหน้า คาดเป็นเพราะบริษัทมีปัญหาด้านแหล่งเงินทุน และยอดขายปีนี้หดตัวติดต่อกันมาสองไตรมาส รัฐบาลแดนภารตะหันหนุนผู้ผลิตรถอีวีในประเทศแทน

“อีลอน มัสก์” เจ้าของบริษัทรถอีวี “Tesla” ยกเลิกทริปไปเยือนประเทศอินเดียเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาอย่างกะทันหัน ล่าสุดสำนักข่าว Bloomberg รายงานจากแหล่งข่าวใกล้ชิดว่า หลังจากนั้นมา มัสก์ไม่มีการติดต่อรัฐบาลอินเดียเพื่อดำเนินเรื่องการไปเยือนหรือลงทุนต่อแต่อย่างใด

แหล่งข่าวยังกล่าวด้วยว่า ทางรัฐบาลอินเดียเข้าใจว่าการถอยจากดีลการลงทุนเกิดจาก Tesla เองมีปัญหาด้านแหล่งเงินทุน จึงไม่มีแผนที่จะลงทุนฐานผลิตแห่งใหม่ในอินเดียเร็วๆ นี้

ข่าวการล่าถอยจากแผนลงทุนอินเดียเกิดขึ้นต่อเนื่องหลัง Tesla ประกาศการส่งมอบรถทั่วโลกที่หดตัวลงต่อเนื่องสองไตรมาส หลังต้องเผชิญการแข่งขันสูงจากรถอีวีแบรนด์จีน โดยไตรมาสที่ 2 ของปีนี้บริษัทส่งมอบรถไป 4.43 แสนคันทั่วโลก หดตัวลง 4.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

การส่งมอบรถที่หดตัวของบริษัทมีสาเหตุอีกส่วนหนึ่งเกิดจากรถกระบะอีวี “Cybertruck” รถรุ่นใหม่ในรอบหลายปีของ Tesla ที่ออกวางจำหน่ายแล้วและได้รับความสนใจล้นหลาม แต่ไม่สามารถส่งมอบให้ลูกค้าได้ตามกำหนดเดิมที่จะต้องส่งมอบเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยบริษัทเองก็ไม่ได้แจ้งเหตุผลที่แน่ชัดกับลูกค้า

สัญญาณความสนใจของอีลอน มัสก์ต่อการลงทุนในอินเดียก่อนหน้านี้ เกิดจากนโยบายของอินเดียที่จะลดภาษีให้บริษัทผู้ผลิตรถอีวีต่างชาติหากเข้ามาลงทุนในประเทศเป็นมูลค่าอย่างน้อย 4.15 หมื่นล้านรูปี (ประมาณ 1.82 หมื่นล้านบาท) และดำเนินการผลิตได้ภายใน 3 ปีหลังเริ่มลงทุน

อย่างไรก็ดี แม้ Tesla จะถอยทัพไปแล้ว แต่ทางอินเดียไม่ได้สูญเสียมากนักเพราะรัฐบาลต้องการจะเน้นสนับสนุนผู้ผลิตรถอีวีภายในประเทศมากกว่าอยู่แล้ว นำโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ “Tata Motors” และ “Mahindra & Mahindra”

ตลาดรถอีวีในอินเดียถือว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ เพราะรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรีคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.3% ของตลาดรถอินเดียเมื่อปี 2023 ตามข้อมูลของ BloombergNEF เนื่องจากผู้บริโภคส่วนมากยังลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า จากค่าใช้จ่ายการซื้อรถที่สูงกว่ารถสันดาปและในอินเดียยังหาสถานีชาร์จไฟฟ้าได้ยาก

ที่มา: The Economics Times, CNBC, Robb Report

]]>
1481486