ร้านสะดวกซัก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 21 Feb 2024 14:09:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มองตลาด ‘ร้านสะดวกซัก’ ของไทย ยังเติบโตได้อีกแค่ไหน? https://positioningmag.com/1463515 Wed, 21 Feb 2024 13:05:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463515 หากพูดถึงตลาด ร้านสะดวกซัก หากมองจากมุมคนทั่วไปก็น่าจะรู้ว่าธุรกิจนี้กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างมาก เพราะหากไม่นับร้านสะดวกซื้อ ก็มีร้านสะดวกซักนี่แหละที่พบเห็นง่ายพอ ๆ กัน อีกจุดที่ย้ำว่าธุรกิจสะดวกซักกำลังมาแรงก็คือ การที่แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่อย่าง LG ก็ยังมาเปิดบริการนี้ในไทยเลยทีเดียว คำถามคือ ธุรกิจนี้ยังเติบโตได้แค่ไหน

คาดปี 2024 ตลาดจะเติบโต 10%

ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักมีถึง 30-40 ราย เข้าไปแล้ว แต่อ้างอิงจาก บริษัท อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ แอลแอลซี (Alliance Laundry System LLC) ที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องซักอบผ้าในกลุ่มอุตสาหกรรม ได้ประเมินว่า ตลาดร้านสะดวกซักในไทยปี 2023 เติบโตประมาณ 7% คิดเป็นมูลค่า 3,900 ล้านบาท และมีร้านเปิดใหม่มากถึง 1,300 ร้าน เลยทีเดียว

โดยภาพรวมธุรกิจร้านสะดวกซักของไทยในปี 2024 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% และจะมีร้านสะดวกซักในไทยทั้งหมดประมาณ 5,500 ร้าน ซึ่งคาดว่าร้านที่เปิดใหม่จะเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นโดยเฉลี่ยจะใช้เครื่องซักและอบในร้านทั้งหมดประมาณ 15-20 เครื่องต่อร้าน และขนาดของร้านจะอยู่ที่ 80 ตารางเมตรขึ้นไป

โควิด-นักท่องเที่ยวทำให้ตลาดยิ่งเติบโต

หากไม่นับรวมร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่ใช้เครื่องซักผ้าในครัวเรือนนำไปติดตั้งระบบหยอดเหรียญเอง และร้านซักรีด ธุรกิจร้านสะดวกซักนั้นมีในไทยตั้งแต่ปี 2015 แล้ว แต่มาเติบโตมาก ๆ ในช่วงที่โควิดระบาด เพราะร้านสะดวกซักเป็นธุรกิจที่ใช้คนดูแลน้อย ไม่ต้องใช้พนักงานเฝ้าร้านเหมือนธุรกิจอื่น ๆ ไม่ต้องสต๊อกสินค้า ต้นทุนหากไม่นับค่าเครื่องซักผ้ากับการซ่อมบำรุงก็จะมีเพียงค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าแก๊สเท่านั้น

แม้ปัจจุบันสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายแล้ว แต่พฤติกรรมผู้บริโภคก็ได้เปลี่ยนไปคุ้นชินกับการใช้บริการร้านสะดวกซัก เพราะสะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ การที่นักท่องเที่ยวกลับมา ทำให้หลายคนก็ลงทุนกับธุรกิจร้านสะดวกซักมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว และอีกจุดที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ คนยังต้องการเสื้อผ้าสะอาด 

ยังเติบโตได้ถึง 10,000 สาขาเป็นอย่างน้อย

คำถามคือ ในวันที่ตลาดเติบโตเร็วขนาดนี้ จุดอิ่มตัวของตลาดอยู่ตรงไหน? ซึ่ง สุกรี กีไร ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ บริษัท อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ แอลแอลซี มองว่า มี 3 ปัจจัยที่ใช้สำหรับคำนวณว่าตลาดยังไปต่อได้หรือไม่ ได้แก่

  • จำนวนประชากร
  • รายได้
  • ภูมิศาสตร์

ซึ่งจำนวนของร้านสะดวกซัก 1 ร้าน สามารถรองรับผู้ใช้บริการได้ประมาณ 6,000-8,000 คน ดังนั้น ด้วยจำนวนประชากรไทย 66 ล้านคน ประเทศไทยสามารถมีร้านสะดวกซักได้อย่างน้อย 10,000 สาขา โดยจะมีการเติบโตเฉลี่ย 1,000 สาขาต่อปี

ร้านสะดวกซักก็มีความเสี่ยง

สำหรับการลงทุนในร้านสะดวกซักที่ใช้เครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมมีการลงทุนเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 1-3.5 ล้านบาท ระยะเวลา คืนทุนอยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับขนาดและเงื่อนไขของแต่ละแบรนด์ ซึ่งปัจจุบันตลาดร้านสะดวกซักมีผู้เล่นกว่า 30-40 ราย โดยมีทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจจะลงทุนควรศึกษาธุรกิจให้ถี่ถ้วนก่อน โดยเฉพาะเรื่องของ ทำเล และ คู่แข่ง เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เปิดง่าย (ขอแค่มีเงินลงทุน) นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี 2022 เคยมีที่ปรากฏการณ์ของบริษัทเจ้าของระบบแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักรายหนึ่งปิดบริษัทหนีและลอยแพผู้ลงทุนแฟรนไชส์ ดังนั้น ธุรกิจนี้ก็ไม่ได้ง่าย และมีความเสี่ยงไม่ต่างจากการลงทุนอื่น ๆ

แม้ตลาดร้านสะดวกซักจะยังเติบโตได้ แต่ด้วยจำนวนผู้เล่นที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะผู้เล่นรายใหญ่ หรือแม้แต่เจ้าของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็เข้ามาทำตลาดนี้เองด้วย คำถามคือ จากผู้เล่น 30-40 รายจะเหลือรอดสักกี่รายกัน
]]>
1463515
มองตลาด ‘ร้านสะดวกซัก’ 1,750 ล้านบาท ยังเติบโตได้แค่ไหนในยุคหลังโควิด https://positioningmag.com/1416962 Fri, 27 Jan 2023 09:30:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416962 ในช่วง 5-6 ปีมานี้ หลายคนน่าจะเห็น ร้านสะดวกซัก อยู่ตามชุมชนเต็มไปหมด ซึ่งหลายคนน่าจะสงสัยว่าตลาดมันเป็นอย่างไร เติบโตมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง บริษัท อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ แอลแอลซี (Alliance Laundry System LLC) บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ อายุ 115 ปี ที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องซักอบผ้าในกลุ่มอุตสาหกรรมโดยมีแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักหลายรายเป็นลูกค้า ก็ได้มาเล่าถึงโอกาสของตลาดสะดวกซักของไทย

โควิดเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค

สำหรับการเติบโตของร้านสะดวกซัก สุกรี กีไร ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ บริษัท อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ แอลแอลซี เล่าว่า เริ่มเห็นเทรนด์ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด เนื่องจากผู้บริโภคต้องการ ความสะอาด เนื่องจากเครื่องซักผ้าตามร้านสะดวกซักมีฟังก์ชันฆ่าเชื้อ ทำให้ธุรกิจร้านสะดวกซักเติบโต และแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น แต่เชื่อว่าตลาดยังเติบโตได้เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่คุ้นชิน รวมถึงการมาของนักท่องเที่ยว

“พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปเพราะโควิด จะเห็นว่าเริ่มเติบโตมาก เพราะเขาต้องการความสะอาด ต้องการความฆ่าเชื้อ สะดวก รวดเร็ว และหลังจากการระบาดของโควิดผู้บริโภคก็ยังคุ้นชินกับพฤติกรรมเดิม นอกจากนี้การที่นักท่องเที่ยวกลับมา เราเห็นว่าเมืองท่องเที่ยวเริ่มมีการลงทุนในร้านสะดวกซักเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงเชื่อว่าตลาดจะยังเติบโตได้”

10,000 สาขา จุดอิ่มตัวของตลาดไทย

นับตั้งแต่ปี 2017 จำนวนของร้านงร้านสะดวกซักก็เติบโตขึ้นมาโดยตลอด จากที่มีไม่ถึงหลักร้อยสู่จำนวน 3,414 สาขาทั่วประเทศ ในปี 2022 นับเฉพาะสาขาที่เปิดใหม่ในปีที่ผ่านมาก็มีมากถึง 1,058 สาขา และสำหรับบริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 63.44% หรือคิดเป็นประมาณ 2,166 สาขา ที่ใช้เครื่องซักผ้าของบริษัท โดยในปี 2022 ที่ผ่านมา ร้านสะดวกซักมีมูลค่าตลาดราว 1,480 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้มีการประเมินว่าแต่ละประเทศจะมีร้านสะดวกซักได้กี่สาขา โดยคำนวณจาก

  • จำนวนประชากร
  • รายได้
  • ภูมิศาสตร์

โดยสำหรับประเทศไทย บริษัทมองว่าปริมาณการรองรับ 1 ช้อปต่อ 6,000 คน ดังนั้น โอกาสเติบโตอยู่ได้ที่ 10,000 ช้อป เมื่อเทียบกับจำนวนในปัจจุบันที่มีประมาณ 3,000 แปลว่าโอกาสเติบโตยังมีอีกมาก โดยในปี 2023 นี้ คาดว่าตลาดจะเติบโตได้ 18% มีมูลค่าราว 1,750 ล้านบาท

วางเป้าโต 20% ดัน 1 อำเภอ 1 ร้านสะดวกซัก

ในปีที่ผ่านมา อัลไลแอนซ์มียอดขาย 1,100 ล้านบาท โดยในปี 2023 นี้ บริษัทตั้งเป้าเติบโตให้ได้ 20% มียอดขายรวม 1,320 ล้านบาท หรือคิดเป็น 75% ของมูลค่าตลาด นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าทำรายได้รวมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จาก 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 5 ปี

สำหรับปีนี้บริษัทมี 4 กลยุทธ์ ในการรุกตลาดไทยและภูมิภาค ได้แก่

  • ดันให้ทุกอำเภอมีร้านสะดวกซัก ภายใต้แคมเปญ 1 อำเภอ 1 ร้านสะดวกซัก โดยเน้นเจาะกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น, นครราชสีมา, อุดรธานี, ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี, ลพบุรี และภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี คาดจะมีครบทุกอำเภอในอีก 5 ปีข้างหน้า
  • การเปิดตัวสินค้าใหม่ โดยปีนี้จะออกสินค้า 2 รุ่นใหม่ ภายใต้แบรนด์ IPSO® และ Primus® ได้แก่รุ่น Stacked Washer-Extractor/Tumble Dryers และรุ่น New Aesthetic Design
  • การขยายตลาดต่างประเทศ เช่น กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ที่ปัจจุบันยังมีร้านสะดวกซักไม่มากนัก ซึ่งทางบริษัทมองว่าเป็นโอกาสขยายตลาดที่น่าสนใจ
  • การอัปเกรดเครื่องซักอบผ้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศที่เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 10 ปี เช่น ตลาดมาเลเซียที่ถึงเวลาต้องอัปเกรดเครื่องซักผ้าแล้ว

“เราวางตัวเองเป็นสินค้าพรีเมียม ราคาสินค้าเราสูงกว่าคู่แข่ง 20-30% แต่ที่ลูกค้าร้านสะดวกซักยอมจ่ายเพราะสินค้าเราใช้งานได้เป็น 10 ปี ในขณะที่คู่แข่งอาจต้องเปลี่ยนใน 5 ปี นอกจากนี้ เรื่องบริการเราก็เน้นมาก เพราะถ้าเครื่องใช้ไม่ได้แปลว่ารายได้เขาหายทันที ซึ่งเรามองว่าระยะเวลาคืนทุนของธุรกิจในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 ปี ขึ้นอยู่กับทำเล”

ยังลงทุนไทยต่อเนื่อง เพราะเป็นศูนย์กลางภูมิภาค

สำหรับไทยถือเป็นศูนย์กลางธุรกิจของเราในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีสัดส่วนรายได้ถึง 25% ซึ่งในปี 2017 บริษัทได้ลงทุน 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องซักผ้า ปัจจุบันมีกำลังผลิตได้ 25,000 เครื่อง/ปี และถ้าตลาดเติบโตได้เร็ว บริษัทก็พร้อมจะลงทุนเฟส 2 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต

ปัจจุบัน บริษัทผลิตเครื่องซักผ้าทั้งหมด 5 แบรนด์ ได้แก่ IPSO, Primus, UniMac, Huebsch และ SpeedQueen เพื่อรองรับ 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่

  • กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันก็มีการเติบโตล้อไปกับภาคการท่องเที่ยว
  • กลุ่มร้านสะดวกซัก หรือหยอดเหรียญ
  • กลุ่มใช้ในครัวเรือน

“ไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมากและไม่ใช่เทรนด์ที่มาแล้วไป อย่างในไต้หวันเป็นเกาะเล็ก ๆ ตลาดยังอยู่มาได้ 30 ปี และมันเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เหมือนการทานอาหาร”

]]>
1416962
อินเด็กซ์ ครีเอทีฟฯ ฉีกแนวทำ “ร้านสะดวกซัก” บทเรียน COVID-19 ต้องมีธุรกิจหลากหลาย https://positioningmag.com/1323014 Thu, 11 Mar 2021 10:49:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323014 อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ บริษัทจัดอีเวนต์-การตลาดเจ้าใหญ่ของไทย เปิดตัวธุรกิจใหม่ “KK Wash” แฟรนไชส์ร้านสะดวกซักหยอดเหรียญ ชูจุดขายลงทุนต่ำ ทำร้านไซส์จิ๋ว เริ่มต้นเพียง 2 เครื่อง มองตลาดคนต้องการมีรายได้เสริม โดยครั้งนี้เป็นธุรกิจที่สองแล้วที่บริษัทแตกไลน์ออกจากธุรกิจงานอีเวนต์ มองเป็นบทเรียนระยะยาวหลังเผชิญ COVID-19 บริษัทต้องมีธุรกิจให้หลากหลายกว่าเดิม

“เกรียงไกร กาญจนโภคิน” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวธุรกิจใหม่แฟรนไชส์ “ร้านสะดวกซัก” แบรนด์ KK Wash โดยเป็นแบรนด์ที่บริษัทก่อตั้งเอง ผ่านการร่วมเป็นพันธมิตร ใช้เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญของ บริษัท ซิงเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ในสมรภูมิร้านสะดวกซักที่กำลังร้อนแรง เกรียงไกรกล่าวว่า KK Wash มีจุดขายคือ

1) ลงทุนต่ำเริ่มต้นเพียง 99,900 บาท สำหรับแพ็กเกจไซส์ S เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญแบบฝาบน 2 เครื่อง ส่วนไซส์ใหญ่สุดแพ็กเกจไซส์ L ราคา 3.5 แสนบาท ได้เครื่องซักผ้า 4 เครื่อง เครื่องอบผ้า 2 เครื่อง เครื่องจำหน่ายน้ำยาซักผ้า 1 เครื่อง และเครื่องแลกเหรียญ 1 เครื่อง ทุกรูปแบบแถมอุปกรณ์ตกแต่งร้านและป้ายส่งเสริมการขาย

2) ใช้พื้นที่น้อย – เครื่องซักผ้า 2 เครื่องใช้พื้นที่เพียง 3 ตร.ม. ตั้งหน้าบ้านได้ ไม่ต้องมีคนเฝ้า ไม่ต้องเช่าพื้นที่ถ้าหากหน้าบ้านอยู่ในทำเลดี

3) ไม่เก็บเปอร์เซ็นต์เพิ่มจากรายได้ – ลักษณะแฟรนไชส์ KK Wash เป็นแบบจ่ายรอบเดียวจบ ไม่เก็บเปอร์เซ็นต์จากรายได้เพิ่มอีก

“เกรียงไกร” กาญจนโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน)

ส่วนสเปกเครื่องซักผ้านั้นเป็นเครื่องซักผ้าฝาบนแบบ Home Use แบรนด์ SINGER รับประกัน 2 ปี โดยแบรนด์ SINGER มีศูนย์บริการอยู่ทั่วประเทศ จึงสามารถขายแฟรนไชส์ได้ทุกจังหวัด

 

เจาะคนต้องการมีรายได้เสริม

โมเดลธุรกิจที่เริ่มต้นแบบไซส์จิ๋วเพียง 2 เครื่อง ลงทุนไม่ถึง 1 แสนบาทนั้นเป็นแบรนด์แรกในไทยที่ลงมาเล่นตลาดเล็กขนาดนี้ เทียบกับแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมักจะเริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำ 1.5 แสนบาท และส่วนมากจะอยู่ที่มากกว่า 1 ล้านบาท เพราะเป็นโมเดลร้านขนาดใหญ่แบบฟูลเซอร์วิส บางแบรนด์มีที่นั่งทำงาน ปลั๊กไฟ ไวไฟ ติดแอร์ให้ด้วย

ทั้งนี้ ในตลาดร้านสะดวกซัก อินเด็กซ์ฯ ให้ข้อมูลว่ามีมูลค่าราว 500 ล้านบาท และมีผู้เล่นใหญ่ประมาณ 10 แบรนด์ แบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดคือ “Otteri” ซึ่งมีกว่า 250 สาขาแล้ว

ตัวอย่างตารางคืนทุนจาก KK Wash

อย่างไรก็ตาม เกรียงไกรกล่าวว่า KK Wash จะเน้นเจาะคนต้องการ “รายได้เสริม” มากกว่าทำเป็นธุรกิจหลักของตน จึงทำโมเดลขนาดเล็ก ไม่เก็บแฟรนไชส์แพง เพื่อให้ลงทุนง่าย โดยมีการคำนวณตัวอย่างว่า ถ้ามีคนใช้บริการ 6 คนต่อเครื่องต่อวัน จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10 เดือน เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นที่ว่าง ต้องการใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า

“สมมติคนที่มาทำงานกรุงเทพฯ มีเงินลงทุน มีบ้านอยู่ต่างจังหวัด สามารถลงทุนให้พ่อแม่ก็ได้” เกรียงไกรกล่าว โดยแย้มที่มาของไอเดียธุรกิจนี้ว่าเกิดจากบริษัทไปจัดงานอีเวนต์ที่เชียงราย จึงได้เห็นว่าชุมชนต่างจังหวัดก็มีร้านสะดวกซักหรือเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญแล้ว สะท้อนดีมานด์ว่าต่างจังหวัดก็ทำได้ และถ้าไปพร้อมกับแบรนด์ที่น่าเชื่อถือน่าจะทำให้ผู้ใช้บริการมั่นใจเรื่องความสะอาดมากขึ้น

 

จับกลุ่มราคากลางๆ

ด้านลูกค้า end users ของแบรนด์นั้น ดูจากค่าซักผ้าเริ่มต้นของ KK Wash จะเริ่มที่ 30 บาทต่อครั้งต่อเครื่อง 9.5 กิโลกรัม ซึ่งถูกกว่าตลาดร้านซักผ้ามีแบรนด์ที่มักจะเริ่ม 40 บาทต่อครั้ง เป็นการตัดฟังก์ชันเสริมเพื่อให้ถูกลง เหมาะกับลูกค้า end users ในชุมชน ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย

รูปแบบเครื่องซักผ้าเป็นแบบฝาบน

แต่ราคาก็จะสูงกว่าเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญแบบไร้แบรนด์ที่มักจะคิดราคาเริ่มต้น 20 บาทต่อครั้ง ประเด็นนี้เกรียงไกรมองว่าผู้บริโภคจะยอมจ่ายสูงขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องซักผ้าดี มีคุณภาพ มีการดูแลความสะอาด ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่วงมากับการมีแบรนด์

เกรียงไกรวางเป้าหมายปีนี้ของ KK Wash ที่ 200 สาขา มูลค่ารวม 50 ล้านบาท โดยส่วนที่บริษัทจะได้กำไรคือค่าแฟรนไชส์ และส่วนแบ่งเล็กน้อยจากการขายเครื่องซักผ้าของ SINGER ขณะเดียวกันอินเด็กซ์ฯ ไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก เพราะการทำตลาดภาพรวมของแบรนด์จะใช้ทีมของอินเด็กซ์ฯ พัฒนาเอง

 

ธุรกิจใหม่ต้องมีแบบ “ระยะยาว”

สำหรับธุรกิจ KK Wash เป็นครั้งที่สองแล้วที่อินเด็กซ์ฯ แตกไลน์จากธุรกิจหลักเมื่อปี 2563 บริษัทเริ่มต้นแตกไลน์ด้วยการเปิดแฟรนไชส์บริการรับฉีดพ่นฆ่าเชื้อ Kill & Klean Hygienic Solutions ตอบรับกับสถานการณ์ COVID-19 โดยตรง ซึ่งเกรียงไกรระบุว่า ได้รับผลตอบรับที่ดี มีแฟรนไชซี 26 รายใน 6 ประเทศ คือ ไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา บาห์เรน และ UAE ทำรายได้ปี 2563 ประมาณ 20 ล้านบาท

การแตกธุรกิจให้หลากหลายคือบทเรียนที่เราเรียนรู้ใหม่จาก COVID-19 เมื่อก่อนเราขยายไปต่างประเทศก็คิดว่าพอ แต่มาเจอสถานการณ์นี้ งานต่างประเทศเราเป็นศูนย์ เราจึงต้องทำธุรกิจอื่นด้วย

การแตกไลน์ธุรกิจใหม่เช่นนี้เป็นแผนระยะยาวของอินเด็กซ์ฯ โดยต้องการจะหาธุรกิจอื่นในลักษณะแฟรนไชส์เพิ่มอีกตามโอกาส ในปีนี้คาดว่าจะมีธุรกิจอย่างที่สามตามมา ดังนั้น รวมธุรกิจใหม่ 3 แบรนด์คาดว่าจะทำรายได้ไปแตะ 100 ล้านบาท

“การแตกธุรกิจให้หลากหลายคือบทเรียนที่เราเรียนรู้ใหม่จาก COVID-19 เมื่อก่อนเราขยายไปต่างประเทศก็คิดว่าพอ แต่มาเจอสถานการณ์นี้ งานต่างประเทศเราเป็นศูนย์ เราจึงต้องทำธุรกิจอื่นด้วย แม้จะหมด COVID-19 แล้วก็ต้องทำต่อ และต้องปรับตัวตลอดเพราะโลกยุคใหม่ไม่มีอะไรยั่งยืน ธุรกิจใหม่ๆ จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา” เกรียงไกรกล่าว

 

อีเวนต์หดครึ่งปี เน้นทำงาน Own Project ล่ารายได้

ด้านธุรกิจหลักคือ “อีเวนต์” เกรียงไกรเปิดเผยว่า การระบาดระลอกสองเมื่อปลายปีก่อนจนถึงต้นปีนี้ ทำให้การฟื้นตัวไม่สูงเท่าที่คาด เดิมบริษัทคาดว่าปี 2564 จะมีรายได้ 1,200 ล้านบาท แต่เมื่ออีเวนต์ต้นปีถูกยกเลิกไปกว่าสิบงานรวมมูลค่า 60 ล้านบาท และงานใหม่ๆ น่าจะเงียบเหงายาว เทศกาลสงกรานต์เชื่อว่าภาครัฐจะไม่อนุญาตให้จัด และอีเวนต์ต่างๆ จะงดเว้นจนถึงปลายไตรมาสสอง ทำให้เชื่อว่ารายได้จะต้องปรับลดลงจากคาด

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจุดที่ต่ำสุดได้ผ่านไปแล้วแน่นอน เพราะปี 2563 อินเด็กซ์ฯ มีรายได้เพียง 460 ล้านบาท (ลดลง -69% จากปี 2562) ปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อนด้วยสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้นและบริษัทมีรายได้ธุรกิจใหม่เพิ่ม

งานดิจิทัล อาร์ต House of Illumination บนชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์

ขณะเดียวกัน ธุรกิจหลักก็ต้องมีการปรับตัว เพราะงานจ้างจัดอีเวนต์การตลาด (Marketing Service) หรือพัฒนาโครงการถาวร (Creative Business Development) ซึ่งเป็นงานจ้างของลูกค้าลดจำนวนลง บริษัทจึงต้องฮึดสู้สร้างงานโครงการอีเวนต์แบรนด์ตนเอง (Own Project) เพิ่มขึ้นมาและทำให้แข็งแรง

เกรียงไกรกล่าวว่า งานแบบ Own Project เช่น House of Illumination ซึ่งเป็นงานไลต์เฟสติวัลที่เซ็นทรัลเวิลด์ แบบนี้มีความเสี่ยงสูงกว่าเพราะบริษัทต้องลงทุนเอง แต่ระยะยาวแล้วถ้างานติดตลาดจะทำให้นำงานไปจัดได้หลายที่ อย่างต้นปีที่ผ่านมามีการจัดงานไลต์เฟสฯ ในสิงห์ปาร์ค จ.เชียงราย และเดือนมีนาคมนี้จะมีจัดที่เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ อนาคตกำลังหาลู่ทางขยายไปทุกภาค ที่มองว่ามีโอกาสคือภาคอีสานและภาคใต้

โดยโครงการ Own Project รวมกับธุรกิจใหม่ตระกูล “KK” ต้องการจะดันให้เป็น 50% ของรายได้รวมภายในปี 2565 เพื่อให้เป็นดั่ง “ใบรับประกัน” ความเสี่ยงของบริษัท มีวิธีหารายได้หลายทางนั่นเอง

]]>
1323014
“ไฮเออร์” ขอลุยร้านสะดวกซัก นำร่อง “Mr.Hi Smart+ by Haier” ซอยวิภาวดี 16 https://positioningmag.com/1292981 Mon, 17 Aug 2020 16:27:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1292981 ไฮเออร์ เดินหน้าขยายธุรกิจด้วยการเปิดร้านซักผ้าอัจฉริยะ 24 ชั่วโมง “Mr.Hi Smart+ by Haier” (มิสเตอร์ ไฮ สมาร์ท พลัส บาย ไฮเออร์) สาขาแรกที่ซอยวิภาวดี 16 โดยร่วมมือกับบริษัท ดีที นิว เอ็นเนอร์จี้ จำกัด เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ และชุมชนใกล้เคียง

จับตาร้านสะดวกซัก

กลายเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างหนักสำหรับ “ร้านสะดวกซัก” หรือร้านซักผ้าที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ตอนนี้มีหลายแบรนด์เข้ามาทำตลาด และยังขยายไปยังหลายโลเคชั่นทั่วประเทศไทย

ล่าสุดแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ขอกระโดดลงมาจัดตลาดนี้กับเขาบ้าง “ไฮเออร์” ได้นำร่องเปิดร้าน “Mr.Hi Smart+ by Haier” สาขาแรกที่ซอยวิภาวดี 16

จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

วางแผนเปิดทั้งหมด 50 สาขาภายในปีนี้ ผ่านดีลเลอร์ผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า และแฟรนไชส์ และตั้งเป้าขยายสาขาให้ถึง 200 สาขาภายใน 2 ปี ซึ่งในปี 2563 นี้ จะเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก แล้วจึงเริ่มขยายไปยังจังหวัดหัวเมืองใหญ่ในปีถัดไป

จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า

“สมาร์ท พลัส บาย ไฮเออร์ คือ ร้านซักผ้า 24 ชั่วโมง ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3C ‘Clean, Care, Convenience’ ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่โดยทำให้การซักผ้าสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้สามารถควบคุมการใช้งานทั้งหมดผ่านแอปพลิเคชัน Smart Plus ของไฮเออร์”

Mr.Hi Smart+ by Haier

สำหรับ Mr.Hi Smart+ by Haier สาขาแรกมีพื้นที่ 50 ตารางเมตร ภายในร้านมีบริการเครื่องซักผ้าขนาด 12 กิโลกรัม จำนวน 6 เครื่อง เครื่องอบผ้าขนาด 12 กิโลกรัม จำนวน 6 เครื่อง เครื่องขายน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มจำนวน 1 เครื่อง และระบบกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัยที่ครบครัน รวมงบลงทุนกว่า 3 ล้านบาท

โดยทางไฮเออร์ได้พัฒนาเครื่องซัก และเครื่องอบผ้าที่ควบคุมการใช้งานด้วยแอปพลิเคชันเต็มรูปแบบ 100% และมีรูปแบบการชำระค่าบริการผ่านแอปพลิเคชันธนาคารต่างๆ แอปพลิเคชัน Smart Plus เติมเงินได้หลายช่องทาง เช่น Prompt Pay, Counter Service, Rabbit Line Pay, TrueMoney Wallet, Alipay, WeChat, บัตรเครดิตและเดบิต เพื่อช่วยลดการสัมผัสกับตัวเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ

]]>
1292981