วู้ดดี้ มิลินทจินดา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 15 Mar 2022 09:45:27 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เรื่องนอนเรื่องใหญ่! Index Living Mall x Woody ปั้นแบรนด์ Dreamia หมอนพรีเมียมตัวท็อป https://positioningmag.com/1377639 Tue, 15 Mar 2022 08:32:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1377639 เมื่อปัญหาการนอนกลายเป็นปัญหาระดับชาติ อาจจะส่งผลต่ออาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ Index Living Mall จึงปิ๊งไอเดียในการสร้างแบรนด์หมอนระดับพรีเมียม งานนี้ได้แท็กทีม “วู้ดดี้” ในการปั้นแบรนด์ Dreamia หมอนไฮบริด จับตลาดหมอนพรีเมียม เพื่อรองรับตลาดสุขภาพ

คนไทย 40% มีปัญหาการนอน

ข้อมูลจากการสำรวจ Super Poll เกี่ยวกับการนอนหลับของคนไทยทั่วประเทศ 1,109 ตัวอย่าง (ณ กันยายน 2564) พบว่า 30-40% ของประชากรไทยหรือราว 19 ล้านคนต้องเผชิญปัญหานอนไม่หลับ โดยระบุสาเหตุจากที่รองนอน ฟูก และหมอน ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการนอนถึง 96.5%

จากปัญหาด้านการนอนนี่เอง ก็ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น นอนไม่หลับ ปวดหัว ปวดคอ บ่า ไหล่ หลับไม่สนิท ตื่นก่อนเวลาที่ต้องการตื่น แน่นอนว่ากระทบต่อเนื่องไปกับการใช้ชีวิต และการทำงานต่างๆ ได้ด้วย

Photo : Shutterstock

การใช้หมอนที่ไม่ตรงกับสรีระร่างกาย ก็เป็นปัญหาหลัก รวมไปถึงระยะเวลาในการใช้งานหมอน ควรเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี เพราะมีการยุบ เมื่อหมอนมีความสูงไป หรือต่ำไปก็ทำให้นอนหลับไม่สบายได้

ด้วยเหตุผลต่างๆ ทำให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น เลือกอุปกรณ์การนอนที่ส่งผลต่อสุขภาพ เลือกสินค้าที่พรีเมียม ใช้วัสดุที่ดี เพื่อช่วยประสิทธิภาพในการนอนที่ดีขึ้น ยิ่งในช่วงของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ต้องอยู่บ้านกันมากขึ้น หลายคนจึงเลือกลงทุนกับการแต่งบ้าน อุปกรณ์การนอน การทำงาน ทำให้ตลาดนี้เติบโตมากขึ้นเช่นกัน

Collab กับวู้ดดี้ ปั้นหมอนพรีเมียมระดับตัวท็อป

คำถามที่ว่า… ทำไมต้องเป็นหมอน?

คำตอบมี 2 อย่างด้วยกัน คือ 1. ตลาดเครื่องนอนมีการเติบโตสูง และจากปัญหาเรื่องการนอนที่กล่าวไปข้างต้นทำให้มีโอกาสในการเติบโตมาก

2. ในปีนี้ Index ได้เพิ่มกลยุทธ์ในการ Collaboration กับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ หรือเซเลบริตี้ จึงเกิดเป็นการจับมือ “วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา” ผู้มีหลายบทบาททั้งพิธีกร นักธุรกิจ และเซเลบริตี้ เปิดตัวแบรนด์ DREAMIA เป็นหมอนแบบไฮบริดใช้วัสดุขนเป็ด ผสมเมมโมรี่โฟม ตอบรับตลาดสุขภาพ

index dreamia woody

หมอน DREAMIA เป็นโมเดลแบบการเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจกัน โดยทั้ง Index และวู้ดดี้ได้ร่วมกันพัฒนาสินค้า ออกแบบ และสร้างแบรนด์ โดย Index ได้รับลิขสิทธิ์เรื่องของนวัตกรรมจากอเมริกาเพียงเจ้าเดียวในไทยสำหรับการจัดจำหน่ายสินค้าตัวนี้

การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการรวมจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่าย ทาง Index มีข้อมูลสินค้า พฤติกรรมผู้บริโภค และช่องทางการขาย ส่วนทางวู้ดดี้จะช่วยโปรโมต เท่ากับว่าวู้ดดี้จะไม่ได้เป็นแค่พรีเซ็นเตอร์อย่างเดียว แต่เป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจเลย

กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) เริ่มเล่าว่า

“โมเดลนี้ไม่ใช่การ Collab แบรนด์กับดาราเฉยๆ แต่เป็นการทำธุรกิจร่วมกันโดยใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละฝ่าย จุดเริ่มต้นมาจากที่วู้ดดี้เป็นคนนอนหลับยาก มีปัญหานอนไม่หลับ จึงให้วู้ดดี้เลือก และได้ทดลองนอนหมอนจริงมากกว่า 10 ใบ เพื่อ ออกเป็นแบรนด์ DREAMIA โดย Index เป็นผู้จัดจำหน่าย และนำเข้า ส่วนวู้ดดี้ทำหน้าที่กึ่งพรีเซ็นเตอร์ทางธุรกิจ”

หมอน DREAMIA มีการพัฒนาด้วยการนำ 7 นวัตกรรมจากประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมิติใหม่แห่งการนอนแบบ All in one ได้แก่

  • Softcell Construction ให้ความนุ่มสบายรองรับศีรษะด้วยเส้นใยขนเป็ดเทียม
  • Elongated Softcell ทุกสัมผัสการนอนราบรื่น
  • ผ้าหุ้มหมอน Tencel ใช้เทคโนโลยีการผลิตจากเซลลูโลสของเปลือกไม้ ให้เนื้อสัมผัสที่ละเอียดนุ่มเรียบลื่น
  • MEMORY FOAM ช่วยกระจายน้ำหนักของศีรษะ และปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม
  • เส้นใย Celliant ช่วยการทำงานของระบบการไหลเวียนโลหิต และกล้ามเนื้อ ให้รู้สึกสดชื่นหลังตื่นนอน
  • เลือกปรับระดับสูง-ต่ำของหมอนได้ เพียงนำหมอนใบเล็กที่เสริมไว้ด้านในออก
  • Antimicrobial Silver Chloride Treatment ช่วยป้องกันแบคทีเรีย เชื้อรา กลิ่นและรอยคราบต่างๆ

ตลาดเครื่องนอน ศักยภาพสูง!

แม้ว่าตลาดกลุ่มเครื่องนอน และหมอนเพื่อสุขภาพจะมีจำนวนผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายที่หลากหลาย แต่มองว่ายังมีโอกาส และช่องว่างในการทำตลาด โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่ม Premium Segment และกลุ่ม Health Conscious ที่มีกำลังซื้อสูง ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพซึ่งคาดว่าจะยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ Index เอง กลุ่มที่นอน และเครื่องนอนมีสัดส่วนรายได้ถึง 10% และมีการเติบโต 16% กฤษชนกบอกว่า ถือว่าเป็นสัดส่วนรายได้ที่ค่อนข้างสูง และยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีก เนื่องจากหมอนเป็นสินค้าที่ทุกคนต้องมีคนละ 1 ใบ และเป็นสินค้าที่ต้องซื้อซ้ำตลอด

หมอน DREAMIA ถือว่าเป็นตัวท็อปที่สุดของ Index ในเวลานี้ ตั้งราคาขายปลีกอยู่ที่ 3,990 บาท แต่มีโปรโมชันเปิดตัว หมอนรุ่น Recovery พร้อมปลอกหมอนกันเปื้อนรุ่น Omniguard ราคาเริ่มต้น 2,990 บาท จากราคาปกติ 4,980 บาท ซึ่งวางจำหน่ายที่ Index Living Mall 31 สาขาทั่วประเทศ หรือช้อปออนไลน์

แต่เดิม Index มีจำหน่ายหมอนราวๆ 5-6 แบรนด์ มีเฮาส์แบรนด์ประมาณ 3 แบรนด์ มีราคาตั้งแต่ 199-3,990 บาท คาดว่าการออกหมอน DREAMIA จะกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น 20%

กฤษชนก บอกว่า ครั้งนี้เป็นการพัฒนาร่วมกัน แต่ยังไม่แยกบริษัท แต่ถ้าอะไรลงตัวอาจจะแยกบริษัทใหม่ก็ได้ รวมไปถึงมองผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น เครื่องนอน และที่นอน เพิ่มเติมด้วย

Photo : Shutterstock

สำหรับภาพรวมของ Index ในปี 2564 มียอดขาย 7,433 ล้านบาท เติบโต 5% ยอขายจากช่องทางออนไลน์ 1,000 ล้านบาท มีสัดส่วน 12% ต้นทุนค่าใช้จ่ายลดไป 3% หรือราวๆ 100 กว่าล้านบาท มีกำไรสุทธิ 453.2 ล้านบาท ในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้ 8,200 ล้านบาท หรือโตเติบโต 10%

แบ่งสัดส่วนรายได้ เฟอร์นิเจอร์ 69% ของตกแต่ง 19% ที่นอน 6.5% อื่นๆ 5.5%

ในปี 2565 ใช้งบลงทุนรวม 480 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนสาขาใหม่ 220 ล้านบาท ที่ลาดกระบัง, รีโนเวตสาขาภูเก็ต และเกษตรนวมินทร์ 185 ล้านบาท, ปรับปรุงเครื่องจักร 30 ล้านบาท และลงทุนด้านไอที 45 ล้านบาท

]]>
1377639
“นินจาแวน” แทงสวน! ไม่ขอเล่นราคา เร่งสร้างแบรนด์ การันตีส่งภายใน 1 วัน https://positioningmag.com/1374550 Sat, 19 Feb 2022 08:28:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374550 แม้จะเข้ามาทำตลาดในไทยได้ 6 ปีแล้ว แต่ต้องบอกว่า “นินจาแวน” มีการทำการตลาดน้อยกว่าแบรนด์อื่นๆ ค่อนข้างมาก ปีนี้จึงเป็นการโหมตลาดครั้งใหญ่ ลงทุนสร้างจุดรับสินค้า ใช้พรีเซ็นเตอร์ แถมทำคอนเทนต์ออนไลน์ โดยใช้ฝีมือ Salmon House หวังสร้างแบรนด์เพื่ออุดช่องว่างของตลาดส่งพัสดุ

สวนทางตลาด ไม่เล่นเรื่องราคา ขอเร่งสร้างแบรนด์ 

นินจาแวนเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นโลจิสติกส์ข้ามชาติ ที่ตบเท้าเข้ามาบุกตลาดในไทยเมื่อปี 2559 โดยที่นินจาแวนมีเจ้าของเป็นนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ได้ทำตลาดที่แรกที่สิงคโปร์เมื่อปี 2557 จากนั้นได้ขยายตลาดในอาเซียน ปัจจุบันได้ให้บริการใน 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และประเทศไทย

จะเห็นได้ว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดส่งพัสดุในไทยมีการแข่งขันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้เป็นช่วงของการระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งเร่งพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ทำให้แม่ค้าต้องพึ่งพาการส่งพัสดุมากขึ้น

ในช่วงแรกการแข่งขันในตลาด ผู้เล่นยักษ์ใหญ่ต่างอัดฉีดงบเพื่อจ้างพรีเซ็นเตอร์เบอร์ใหญ่ในตลาดทั้งสิ้น หวังสร้างการรับรู้ ได้แก่ KERRY Express – เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ, J&T Express – มาริโอ้ เมาเร่อ และใบเฟิร์น พิมชนก, Flash Express – ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี และ Best Express – ณเดชน์ คูกิมิยะ

หลังจากนั้นก็เริ่มชูจุดเด่นที่ส่งเร็ว ส่งไว เพราะการจัดส่งพัสดุในอดีตอาจจะต้องใช้เวลา 2-3 วัน และมีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์อีกด้วย แต่เมื่อแต่ละรายใช้กลยุทธ์เดียวกัน ยากที่จะหาความต่าง จึงลงมาแข่งกันเรื่อง “ราคา” กันอย่างหนักหน่วง

จากแต่ก่อนราคาส่งด่วนเริ่มต้นที่ 30 บาท เริ่มปรับลงมาเหลือ 25 บาท 23 บาท 19 บาท จนล่าสุด J&T ได้ทุบราคาไปจนเหลือ 15 บาท มีทีท่าว่าการแข่งขันเรื่องราคาน่าจะอยู่ไปอีกยาว ก่อนหน้านี้ทางไปรษณีย์ไทยออกมาเปิดเผยว่า ด้วยความที่ตลาดไม่มีความแตกต่างกันมาก จึงต้องอาศัยราคาเพื่อสร้างความต่าง ดึงดูดลูกค้า

ในช่วงแรกๆ ที่ทำตลาด นินจาแวนก็ไม่ได้โหมตลาดเท่าที่ควร ไม่มีการใช้พรีเซ็นเตอร์ ไม่มีการเล่นราคามากนัก อีกทั้งยังโดนคอมเพลนจากลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากปัญหาส่งช้า จากที่สำรวจคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย หรือผู้ใช้บริการ Shopee จะพบว่า หลายคนไม่ค่อยอยากได้การขนส่งของนินจาแวน เพราะบริการไม่ประทับใจเท่าไหร่ ทำให้แบรนด์ดิ้งของนินจาแวนในไทยยังไม่ค่อยดีมากนัก

ninja van

แต่ในปีนี้นินจาแวนได้บุกตลาดครั้งใหญ่ เน้นไปที่การสร้างแบรนด์ อัดงบลงทุนทั้งการสร้างจุดรับสินค้าให้มากขึ้น และใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นครั้งแรก เรียกว่าเป็นการสวนกระแสตลาด หลังจากที่ตอนนี้ไม่มีใครใช้พรีเซ็นเตอร์เท่าไหร่นัก แต่หันมาทำโปรโมชันเรื่องราคาแทน

ซึ่งนินจาแวนยังไม่ลงไปเล่นเรื่องราคา ปัจจุบันค่าส่งเริ่มต้นที่ 23 บาท สำหรับส่งภายในกรุงเทพฯ แต่การันตีจัดส่งภายใน 1 วัน ส่วนส่งต่างจังหวัดเริ่มต้นที่ 30 บาท แต่บริการอื่นๆ ที่หลายเจ้าลงมาจับตลาดกันนั้น นินจาแวนยังไม่ลงมาเล่น อย่างส่งควบคุมอุณหภูมิ และส่งสินค้าขนาดใหญ่

ninja van

เพียซ เอิง กรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท นินจาแวน ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า

“ประเทศไทยได้เริ่มให้บริการมากว่า 6 ปีแล้ว มีการคาดการณ์ว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกครึ่งหนึ่งจะมาจากภูมิภาคเอเชีย โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมากมายก็มาจากภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน ประเทศไทยเองก็มีการคาดการณ์ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ชจะเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 30% เมื่อเปรียบเทียบประเทศไทยกับตลาดที่ก้าวหน้าอย่างประเทศจีน เราพบว่าสัดส่วนของการทำอีคอมเมิร์ซในไทยมีเพียง 10% ของยอดขายปลีกทั้งหมด  ในขณะที่ประเทศจีนมีสัดส่วนการทำอีคอมเมิร์ชมากถึง 25% สำหรับภาพรวมของตลาดขนส่งพัสดุในประเทศไทยมียอดการจัดส่งพัสดุพุ่งขึ้นมากถึง 3 เท่า แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะเริ่มลดลง แต่ว่ายอดจัดส่งพัสดุไม่ได้ลดลงและคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น”  

สร้างคอนเทนต์ อุดช่องว่าง “มนุษย์ห่วง”

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของนินจาแวนครั้งนี้สื่อสารผ่านวิดีโอ คอนเทนต์ หวังสร้างไวรัลให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น โดยครั้งนี้ได้ Salmon House มาร่วมทำคอนเทนต์ ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งคลิปไวรัลในยุคนี้

ภายในวิดีโอนี้ได้ดึงเอาอินไซต์ และ Pain Point ของผู้บริโภคกับการส่งพัสดุในยุคปัจจุบัน ที่ต้องเจอกับความกังวลต่างๆ ไม่ว่าจะส่งช้า สิ่งของเสียหาย ไม่มีรับประกัน ค่าส่งแพง เก็บเงินปลายทางได้รับเงินช้า ที่กล่าวมานี้เรียกว่า “ห่วง” สื่อสารว่าส่งกับนิจาแวนจะหมดห่วงปัญหาต่างๆ เหล่านี้ พร้อมให้พรีเซ็นเตอร์ “วู้ดดี้” มาช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ

แคมเปญโฆษณามนุษย์ห่วง มีเป้าหมายเพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ เน้น 4 ข้อหลักๆ

  • การจัดส่งรวดเร็ว และคุ้มครองการบริการ การันตีส่งภายใน 1 วัน ถ้าอยู่ภายในกรุงเทพฯ
  • คุ้มครองพัสดุสูญหาย หรือเสียหายในวงเงินสูงสุด 5,000 บาท
  • บริการเก็บเงินปลายทางได้เงินภายใน 1 วัน
  • ราคาคุ้มค่า

อัดงบ 100 ล้าน ใช้พรีเซ็นเตอร์ครั้งแรก

ในปีนี้นินจาแวนได้ทุ่มงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท นอกจากทำแคมเปญมนุษย์ห่วงแล้ว ยังเร่งขยายศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มอีก 200 แห่ง และเพิ่มจุดบริการรับส่งพัสดุกว่า 2,000 แห่งในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีอยู่ 400 จุด ถือว่ายังมีจุดให้บริการที่น้อย เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด

ninja van

เปิดตัว “วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา” เป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์คนแรก เพื่อสร้างการรับรู้ และการจดจำแบรนด์ให้มากขึ้น ตั้งเป้าการเติบโตไม่น้อยกว่า 200%”

เหตุผลที่นินจาแวนเลือกวู้ดดี้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะวู้ดดี้มีหลายบทบาท เป็นพิธีกรรายการทอล์กโชว์ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ทุกรุ่นทุกวัย มีบุคลิก มีความคิดเห็นที่หนักแน่น เป็นนักธุรกิจ มีผู้ติดตามหลายล้านคนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เชื่อว่าจะสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ได้

]]>
1374550