กรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วง เหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา มีภาพของทหารนายหนึ่งที่รอดชีวิตจากแรงระเบิด โดยมีเพียง “เหรียญพหูรมาน” ในกล่องแดงของ หลวงปู่ศิลา สิริจันโท ที่รับแรงกระแทกแทน (*เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*)

จากข่าวนี้เพียงไม่กี่วัน เหรียญพหูรมานที่เคยให้เช่าบูชาในราคาเริ่มต้นเพียง 199 บาท กลับมีราคาพุ่งขึ้นไปถึง 3,200 – 7,000 บาท (อ้างอิงราคาเช่าบูชาในกลุ่มโซเชียล) ส่วนหน้าแผงพระเครื่อง (ตรงพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน) ราคาเช่าบูชาอยู่ที่ 5,000 บาท

คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 1,508% ถึง 3,417% ในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์

แล้วอะไรคือพลังเบื้องหลังราคาพุ่งทะยาน คำตอบสั้น ๆ คือ “ศรัทธา มาร์เก็ตติ้ง”

เหรียญพหูรมานไม่ได้เปลี่ยนวัสดุ ไม่ได้มีฟังก์ชันอะไรใหม่ แต่เปลี่ยน “ความหมาย” ในสายตาคนจำนวนมาก จากของมงคลธรรมดา กลายเป็น “ของที่ช่วยชีวิต”

ราคาจึงไม่ได้สะท้อนต้นทุนผลิต แต่สะท้อน แรงศรัทธา ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ศรัทธา สร้างตลาด

กรณีเหรียญพหูรมาน เป็นตัวอย่างชัดเจนของหลัก “Faith-Based Marketing” หรือ ศรัทธา มาร์เก็ตติ้ง

แนวคิดที่ว่า คือ

“เมื่อคนเชื่อมั่นในคุณค่าของบางสิ่ง พวกเขาพร้อมจะจ่ายมากกว่าที่เหตุผลจะอธิบายได้”

ในช่วงที่ตลาดพระเครื่องเงียบเหงาเพราะกระแสข่าวเชิงลบ จากกรณีสีกากอล์ฟก่อนหน้านี้ ที่ทำตลาดพระเครื่องซบเซาพอสมควร

ทว่าเรื่องราวของ “เครื่องรางในกล่องแดงช่วยชีวิตทหาร” กลายเป็นตัวจุดไฟให้ความเชื่อกลับมาอีกครั้ง และความเชื่อนั้นมีพลังมากพอจะขับเคลื่อนดีมานด์–ราคา ให้ทะยานแบบไม่ต้องพึ่งโปรโมชั่นใด ๆ

ราคาถูกตั้งด้วยกลไกความศรัทธา

สิ่งที่น่าสนใจคือ ราคาของเหรียญพหูรมาน ไม่ได้ถูกตั้งโดยวัดหรือหลวงปู่ศิลาอีกต่อไป

แต่มาจากกลไกตลาดที่เกิดจากความต้องการของผู้คนที่เชื่อในพลังของวัตถุมงคลนั้น

นี่คือภาพสะท้อนของตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย “ศรัทธา” ไม่ใช่ “ส่วนลด”

การตลาดสมัยใหม่เรียนรู้อะไรได้จากเรื่องนี้?

• ไม่ใช่แค่คุณภาพสินค้า แต่คือคุณค่าทางจิตใจ : คนจ่ายเพื่อความรู้สึกมั่นใจ ปลอดภัย เชื่อมั่น ไม่ใช่แค่เพื่อสิ่งของ
• เรื่องเล่าทรงพลังที่สุดเสมอ : หนึ่งภาพข่าวจากสนามรบ สร้าง Impact มากกว่าสื่อโฆษณาทั้งแคมเปญ
• ตลาดใดที่มีศรัทธา : ตลาดนั้นไม่มีเพดานราคา