สมุนไพร – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Mar 2022 06:49:34 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ONETOUCH x กัญชา’ กับการรุกตลาด ‘สมุนไพร’ ของ ‘TNR’ สู่การปั้นรายได้ 5 หมื่นล. ใน 10 ปี https://positioningmag.com/1379886 Thu, 31 Mar 2022 06:32:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1379886 หากพูดถึง ‘ถุงยางอนามัย’ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า ‘ถุงยาง’ หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อแทบทุกเจ้า ส่วนแบรนด์นั้นก็หลากหลายทั้ง Durex แบรนด์ถุงยางสัญชาติอังกฤษ Okamoto จากประเทศญี่ปุ่น และ ONETOUCH ที่เป็นของไทยแท้ ๆ ภายใต้การผลิตโดย บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR

ตลาดถุงยางไม่ค่อยโต?

หากพูดถึงตลาดถุงยางอนามัย จะบอกว่าไม่ค่อยเติบโตคงจะไม่ถูกนัก เพราะเฉลี่ยแล้วก็ยังเติบโตได้ราว 8-9% ตามตลาดโลก แต่การเติบโตที่สม่ำเสมอแบบนี้ แปลว่าจะหวังให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดคงไม่ได้ อีกทั้งตลาดในไทยก็เริ่มมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามา ยังไม่รวมผลิตภัณฑ์คุมกำเนิดประเภทอื่น ๆ อย่าง ยาคุมกำเนิด เป็นต้น

นอกจากนี้ ด้วยความที่ประเทศไทยนั้นมี ความละเอียดอ่อน ในเรื่องเพศพอสมควร อีกทั้งถุงยางอนามัยยังจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ด้วย ดังนั้น การจะโฆษณาโชว์หรานั้นทำไม่ได้ การจะสื่อสารว่าแบรนด์มีของสรรพคุณดีอย่างไรเลยทำได้ยาก กลายเป็นเข้าถึงผู้บริโภคยากเข้าไปอีก

เราเลยจะเห็นความครีเอทีฟออกจากโฆษณาในกลุ่มสินค้านี้มากเป็นพิเศษ หรือบางแบรนด์ก็จะเน้นรูปร่างหน้าตาของบรรจุภัณฑ์เพื่อให้โดดเด่นสะดุดตา ไม่ก็มีฟีเจอร์ฟังก์ชันแปลกใหม่เพื่อดึงดูด

กัญชง-กัญชา New S-Curve

สำหรับ TNR บริษัทผู้ผลิตถุงยางสัญชาติไทยนั้นอยู่ในตลาดมาเกือบ 30 ปีแล้ว จากตอนแรกรับจ้างผลิต (OEM) ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นให้กับบริษัทและองค์กรอื่น ๆ จากนั้นในปี 2542 ก็หันมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองในชื่อ ONETOUCH และในปี 2561 ก็ได้ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายแบรนด์ PlayBoy ใน 188 ประเทศทั่วโลกแต่เพียงผู้เดียว และอีกธุรกิจที่คนไม่ค่อยรู้คือ เป็นผู้ผลิตกล่องกระดาษ

แต่หากดูจากรายได้ของ TNR ที่อยู่ราว ๆ 1,700 ล้านบาท และการเติบโตของตลาดที่ยังอยู่ในเลขหลักเดียว ยิ่งการทำตลาดที่มีข้อจำกัดเต็มไปหมด หรือล่าสุด บริษัทเพิ่งมีปัญหาฟ้องร้องแบรนด์ PlayBoy ฐานใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระทำผิดต่อกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกา โดย TNR ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

ดังนั้น การที่ TNR จะมองหา New S-Curve ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และตลาดที่ TNR จะไปก็คือ สมุนไพร โดยจะนำร่องที่ กัญชา, กัญชง และกระท่อม หลังจากรัฐบาลปลดล็อกให้ไม่ผิดกฎหมายและถือเป็นอนาคตพืชเศรษฐกิจของไทย ซึ่งปัจจุบันตลาดสมุนไพรไทยมีมูลค่าราว 10,000 ล้านบาท

ปี 66 เตรียมเจอ one touch x กัญชา

ในปีที่ผ่านมา TNR ได้ประกาศตั้ง บริษัท ทีเอ็นอาร์ ไบโอไซเอินซ์ จำกัด บริษัทย่อยที่ TNR ถือหุ้น 100% มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจสกัด และจำหน่ายสารสำคัญพืชสมุนไพร แต่แน่นอนว่าธุรกิจสมุนไพร โดยเฉพาะกัญชา, กัญชง และกระท่อม ไม่ได้มีแค่ TNR ที่เล็งเห็นโอกาสเติบโต ซึ่ง อมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ยอมรับว่า มาช้า แต่ก็มั่นใจใน ความพร้อม ทั้งในส่วนของกำลังการผลิตและการวิจัยพัฒนา

“แม้ว่าจะมาทีหลังใครในประเทศ แต่เชื่อว่าพร้อมกว่าคนอื่น ๆ โดยตอนนี้เรามีวัตถุดิบพร้อมแล้ว และเราคาดว่าจะสกัดสาร CBD (Cannabidiol) ได้ในช่วงกลางปีนี้ และยังไม่เห็นบริษัทไหนที่สามารถสกัด CBD มาจำหน่ายในปริมาณที่มากได้”

สำหรับแผนการทำงานของ TNR จะแบ่งเป็น 3 เฟส ครอบคลุมต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยปัจจุบันได้ผ่านเฟสแรกไปแล้ว ก็คือ การรุกเข้าสู่อุตสาหกรรมกัญชง ระดับต้นน้ำ โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาสนับสนุนการทดสอบ วิจัย และพัฒนาสายพันธุ์กัญชงที่สามารถสกัดสาร CBD ในปริมาณสูง รวมถึงจัดตั้งจุดรับซื้อช่อดอกกัญชงและศูนย์ตรวจวัดค่าต่าง ๆ ตามมาตรฐาน

ส่วน ระดับกลางน้ำ บริษัทได้ลงทุน 200 ล้านบาทจัดตั้งโรงงานสกัดสารสำคัญจากกัญชงและกระท่อม เพื่อจำหน่ายสารสกัด CBD และ Mitragynine เพื่อนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ พร้อมกับจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ (แล็บทดสอบ) เพื่อตรวจวัดระดับสารสำคัญ CBD ,THC รวมไปถึงสารปนเปื้อน คาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปีนี้

สุดท้าย ระดับปลายน้ำ หรือการ พัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพที่มีส่วนผสมสารสกัดจากกัญชงภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ออกสู่ตลาด คาดว่าจะได้เห็นภายในปี 2566 โดยสินค้าตัวแรกจะสกัดกลิ่นและสาร CBD จากกัญชง-กัญชามาใช้ใน ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น เพื่อใช้ในการนวดสปา

“ปีนี้ก็มีการศึกษา CBD และ THC มาทำเป็นเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกด้วย ดังนั้นเชื่อว่า ถุงยางอนามัยและสานหล่อลื่นผสมกัญชาจะขายได้ดี ในราคาที่ไม่แพงมากมาย”

เน้นส่งออกต่างประเทศปั้นรายได้พันล้านใน 3 ปี

เนื่องจากกัญชายังเป็นธุรกิจใหม่ในไทย TNR จึงเน้นส่งออกเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายในปีนี้คือ ทำมาตรฐานให้แมตช์กับประเทศปลายทาง โดยประเทศแรกที่ส่งออกคือ สหรัฐอเมริกา เพราะหลายรัฐกัญชาถูกกฎหมายแล้ว ตามด้วยยุโรป ออสเตรเลีย และแคนนาดา

ในส่วนของธุรกิจถุงยางอนามัยที่เป็นธุรกิจหลัก จะเน้นสร้างแบรนด์ One Touch และใช้คอนเน็กชั่นเพื่อไปไปจัดจำหน่ายแทนที่แบรนด์ Playboy ที่ยังมีปัญหา ขณะที่ส่วนของ OEM ก็ยังมีการเติบโต โดยภาพรวมผลประกอบการปีนี้ คาดว่าจะปิดที่ 2,000 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจถุงยางอนามัย 1,700 ล้านบาท กล่องกระดาษอีก 200 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท จากกัญชา-กัญชง

“ผลกระทบจากแบรนด์ Playboy จบไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เรามีสต็อกสินค้าที่จำหน่ายไม่ได้ แต่ปีนี้คาดว่าจะไม่กระทบ โดยเราจะเน้นการดันแบรนด์ของตัวเองทดแทน ซึ่งที่ผ่านมา รายได้จากแบรนด์ Playboy ไม่ได้เยอะ คิดเป็นแค่ 5-6% เท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม อมร มองว่าธุรกิจสมุนไพรมีศักยภาพมากพอที่จะกลายเป็น ธุรกิจหลัก แทนที่ถุงยางอนามัย โดยคาดว่าภายใน 10 ปีจากนี้จะมีรายได้ถึง 50,000 ล้านบาท โดยภายใน 3 ปีแรกคาดว่าจะมีรายได้จากสมุนไพรราว 1,000 ล้านบาท โดยจะค่อย ๆ มีสัดส่วนต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้น จาก 5% ในปีนี้ เพิ่มเป็น 20% และ 25% ในปี 2567 ตามลำดับ

นับเป็นอีกความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจสำหรับการรุกตลาดสมุนไพรของ TNR แน่นอนว่าจะช่วยย้ำภาพของ คุณภาพ สินค้าเดิมอย่างถุงยางอนามัยได้แล้ว แถมยังแตกไลน์ไปยังสินค้าอื่น ๆ ได้อีก แต่ต้องรอดูเพราะธุรกิจใหม่นี้ก็มีคู่แข่งไม่น้อย แถมยังไม่ใช่สายงานที่เชี่ยวชาญอีก ดังนั้น จะไปถึงฝันที่ 50,000 ล้านได้ตามที่หวังหรือจะต้องกลับไปเน้นธุรกิจเดิมต้องติดตามต่อไป

]]>
1379886
ตลาดน้ำผลไม้ขาลง ‘ดอยคำ’ แก้เกมใหม่ ขอลุย ‘สมุนไพร’ ชิงตลาดหมื่นล้าน https://positioningmag.com/1367543 Fri, 17 Dec 2021 07:05:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367543 หากพูดถึง ‘น้ำมะเขือเทศ’ เชื่อว่าชื่อแรกที่คนไทยต้องนึกถึงเลยก็คือ ‘ดอยคำ’ เพราะถือเป็นโปรดักส์ฮีโร่ของแบรนด์ และเป็นเบอร์ 1 ของตลาด ในขณะที่ตลาดน้ำผลไม้อยู่ในช่วง ‘ขาลง’ ดอยคำก็ได้มะเขือเทศที่พยุงธุรกิจไว้ได้ แต่หากจะสร้างการเติบโตแค่มะเขือเทศนั้นไม่พอ ดอยคำจึงนำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นสินค้าเพื่อสุขภาพมาต่อยอดเข้าสู่ตลาด ‘สมุนไพร’ โดยประเดิมด้วย ‘ฟ้าทะลายโจร’

ขาลงตลาดน้ำผลไม้เพราะกระแสรักสุขภาพ

แม้กระแสรักสุขภาพมาแรง แต่ตลาดน้ำผลไม้ตกลงทุกปี โดย ชนันนัทธ์ พลปัถพี รองผู้จัดการใหญ่ ด้านขายและการตลาด บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เล่าว่า จากในปี 2561 ที่ตลาดมีมูลค่าเกือบ 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ตลาดตกลงกว่า 10% ต่อเนื่อง โดยในปี 2563 มีมูลค่าประมาณ 9,000 ล้านบาท ด้วยปริมาณน้ำตาลที่มีในน้ำผลไม้ทำให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยง ขณะที่ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจที่กระทบกำลังซื้อและพฤติกรรมการซื้อ

“เราเห็นผลกระทบชัดเจนเลยในครึ่งปีแรก ยอดขายแต่ละเดือนทำได้ไม่ถึง 10 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลในร้านดอยคำจาก 500 บาทลดลงเหลือ 200-300 บาท ยิ่งช่วงล็อกดาวน์ยอดขายหน้าร้านที่มีกว่า 50 สาขาหายไป 90% รายได้จากนักท่องเที่ยวก็ไม่มี ส่วนออนไลน์แม้จะเติบโตหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สัดส่วนยังน้อยแค่ 1-2% ของยอดขายรวม”

นายพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่, นางชนันนัทธ์ พลปัถพี รองผู้จัดการใหญ่ (ด้านขายและการตลาด)

มะเขือเทศ-น้ำผึ้งช่วยแบก

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงปัจจุบันโปรดักส์ฮีโร่อย่าง น้ำมะเขือเทศ ยังเติบโตได้กว่า 40% คาดว่าจบปีจะมีมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ซึ่งช่วยชดเชยรายได้ของน้ำผลไม้และผลิตภัณฑ์ผลไม้อื่น ๆ ที่ลดลง ส่งผลให้ภาพรวมยอดขายของบริษัทเติบโตขึ้น

นอกจากนี้ น้ำผึ้ง เป็นอีกหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคให้การตอบรับโดยเติบโตต่อเนื่องตลอด 5 ปี และในปีนี้มียอดการเติบโตสูงกว่า 50% จากผลิตภัณฑ์ใหม่ต่าง ๆ ได้แก่ น้ำผึ้งแท้แบบหลอดบีบซึ่งสร้างรายได้แล้วกว่า 50 ล้านบาท น้ำผึ้งผสมมะนาวสร้างรายได้กว่า 25 ล้านบาท

“ช่วงครึ่งปีหลังเราฟื้นกลับมาได้ด้วยน้ำมะเขือเทศ ซึ่งมันมีกระแสจากใน TikTok ที่มีคนรีวิวน้ำมะเขือเทศดอยคำช่วยเรื่องผิว เลยทำโชคดีที่ทำให้เรากลับมาเติบโตได้”

ปัจจุบัน มะเขือเทศคิดเป็นกลุ่มใหญ่สุดคิดเป็น 40% ตามด้วยน้ำผึ้ง 25% น้ำผลไม้ 10% สมุนไพร 10% ที่เหลือเป็นสินค้าอื่น ๆ

3 ปีจากนี้มุ่งตลาดสมุนไพร

แม้โควิดจะส่งผลกระทบต่อยอดขาย แต่ก็ทำให้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม สมุนไพร เติบโตกว่า 50% ดอยคำจึงมองเห็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโตให้มากขึ้น ที่ผ่านมาดอยคำมีสินค้ากลุ่มสมุนไพร 15 SKU แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.เครื่องดื่ม เช่น น้ำเก๊กฮวย 2.น้ำสกัดเข้มข้น และ 3.ผง

ล่าสุด ได้ออก สารสกัดฟ้าทะลายโจร แอนดร็อกซิล ตราเคเอ็มพี นอกจากนี้ ดอยคำกำลังพัฒนาสูตร ‘กัญชง-กัญชา’ ซึ่งปัจจุบันอาจติดในเรื่องของกฎหมาย ทำให้ยังอยู่ในช่วงทดลองสูตรต่าง ๆ ยังไม่จัดจำหน่ายจริงจัง โดย 3 ปีจากนี้ดอยคำจะเน้นไปที่ตลาดสมุนไพร พร้อมดันสินค้า Daily Life โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 20% ในปีหน้า

ในปีต่อ ๆ ไปเรามองเรื่องสมุนไพร เน้นธรรมชาติบำบัด จะเดินไปทางสุขภาพมากขึ้น ไม่ใช่แค่ยา แต่รวมถึงเครื่องดื่มต่าง ๆ ซึ่งตลาดสมุนไพรไทยในปัจจุบันมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่เน้นส่งออกเป็นหลัก

ดันแบรนด์สู่ทุกไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค

ที่ผ่านมา ดอยคำพยายามปรับภาพลักษณ์ให้ดูเด็กลงคงความสดใหม่ของแบรนด์ให้ดูสดใสและมีความร่วมสมัยมากขึ้น โดยเน้นสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ใช้ KOL เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในการทำแผน CRM รวมถึงการออกแพ็กเกจจิ้งใหม่ ๆ อาทิ แยมหลอดดอยคำ ที่เป็นเจ้าแรกในไทยเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ แก้เพนพอยต์ของแบบกระปุก

“เราเห็นปัญหาว่าแยมแบบกระปุกมันยาก ต้องเปิด ทา ปาด ดังนั้น เราจึงทำวิจัยประมาณ 6 เดือนออกแบบแพ็กเกจแบบหลอด มีการปรับสูตรนิดหน่อย ซึ่งแบบหลอดก็จะเข้าถึงได้ง่ายกว่าเพราะราคาถูก โดยหลังจากที่วางจำหน่ายได้ไม่กี่เดือนฟีดแบ็กค่อนข้างดี แต่ต้องยอมรับว่าตลาดไม่ได้ใหญ่ เพราะคนไทยไม่นิยมกินขนมปัง”

นอกจากนี้ มีการพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ในการนำสินค้าของดอยคำเข้าไปอยู่ในทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ที่ผ่านมา ดอยคำก็ร่วมกับไอศกรีมวอลล์ในการทำไอศกรีมรสผลไม้ และก็พยายามจับมือกับพาร์ตเนอร์รายอื่น ๆ เพราะดอยคำไม่ได้ต้องการขายแค่สินค้า แต่ขายวัตถุดิบด้วย อย่างไรก็ตาม การจะออกโปรดักส์ค่อนข้างใช้เวลา เพราะต้องคิดสูตรต่าง ๆ ก่อนจะออกลงตลาด

ทั้งนี้ ภายในสิ้นปี 2564 ดอยคำคาดว่าจะมีรายได้ 1,850 ล้านบาท เติบโตจากปี 63 ที่มีรายได้ 1,577 ล้านบาท โดยถือเป็นการเติบโตครั้งแรกในรอบหลายปี

]]>
1367543