สวิตเซอร์แลนด์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 27 Jun 2022 15:10:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไม่ใช่ช็อกโกแลตสวิตฯ อีกต่อไป! หลัง ‘TOBLERONE’ เตรียมย้ายฐานผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น https://positioningmag.com/1390213 Mon, 27 Jun 2022 09:56:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1390213 เชื่อว่าหลายคนหากไม่เคยลิ้มลองรสชาติก็ต้องเคยเห็นผ่านตาแน่นอนสำหรับ ทอปเบอโรน’ (TOBLERONE) ช็อกโกแลตสามเหลี่ยมชื่อดังสัญชาติ สวิตเซอร์แลนด์’ ที่วางอยู่แถวเคาน์เตอร์ชำระเงินร้านสะดวกซื้อ แต่ในปี 2023 ทอปเบอโรนจะ ไม่ใช่ช็อกโกแลตสวิตฯ อีกต่อไป

หากพูดถึงช็อกโกแลต ทอปเบอโรน TOBLERONE บางคนอาจจะจำชื่อไม่ได้ แต่ถ้าเห็น โลโก้เป็นรูปภูเขา Matterhorn ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประะเทศสวิตเซอร์แลนด์ และตัวช็อกโกแลตที่เป็นแท่ง สามเหลี่ยม ที่เป็นเอกลักษณ์ ใครเห็นก็จำได้ทันทีด้วยรูปลักษณ์

ปัจจุบัน ทอปเบอโรนมีอายุกว่าร้อยปีไปเเล้ว โดยแบรนด์นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากตระกูล Tobler ซึ่งเริ่มผลิตตั้งเเต่ปี 1908 ในเมืองเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ตั้งเเต่ปี 2023 เป็นต้นไป ทอปเบอโรนจะไม่สามารถระบุข้างบรรจุภัณฑ์ว่า ผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้อีกต่อไป เนื่องจากเจ้าของแบรนด์ในปัจจุบันอย่าง Mondelez International ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารของสหรัฐฯ ได้ขยายฐานการผลิตทอปเบอโรนใหม่ในประเทศ สโลวาเกีย ภายในสิ้นปี 2023 เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น

โดยสาเหตุที่แค่เพิ่มฐานการผลิตแต่กลับไม่สามารถระบุว่าผลิตที่สวิตเซอร์แลนด์ได้ เป็นเพราะกฎหมายของประเทศที่ระบุว่า ช็อกโกแลตที่เป็นช็อกโกแลตสวิตซ์ต้องเป็นช็อกโกแลตที่ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น” ทำให้เมื่อมีฐานการผลิตนอกประเทศ สถานะการเป็น chocolate switzerland จึงถือว่า สิ้นสุดลง ทำให้ทางแบรนด์อาจต้องใช้คำว่า originated in Switzerland หรือ ต้นตำรับจากสวิตเซอร์แลนด์ แทน อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นทำให้คนในสวิตเซอร์แลนด์ไม่แฮปปี้นัก เพราะช็อกโกแลตทอปเบอโรนถือเป็น สัญลักษณ์ประจำชาติ ไปเเล้ว

บริษัทจะยังคงลงทุนในโรงงานที่เบิร์น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของทอปเบอโรนต่อไป เพราะเบิร์นเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์ของเรา และจะเป็นเช่นนั้นต่อไปในอนาคต” แถลงการณ์ระบุ

ที่ผ่านมา ช็อกโกแลตทอปเบอโรนมีการผลิตถึง 7,000 ล้านชิ้นในแต่ละปี โดย 97% ถูกส่งออกไปยัง 120 ประเทศทั่วโลก และจากข้อมูลของ Mondelez ระบุว่า ทุก ๆ 2 วิจะมีช็อกโกแลตทอปเบอโรนถูกขายอย่างน้อยหนึ่งแท่ง 

อย่างไรก็ตาม Tobias Schalger ศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ มองว่า การไม่ได้ระบุว่า ทอปเบอโรนเป็นช็อกโกแลตสวิตฯ นั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ 

มองว่าการเปลี่ยนเเปลงดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ หรืออย่างน้อยก็สำหรับลูกค้าปัจจุบัน เพราะคนชอบรสชาติ การเปลี่ยนเเปลงรูปร่าง บรรจุภัณฑ์ และสถานะช็อกโกแลตจากสวิตฯ อาจมีผลกระทบแต่ไม่มากและไม่ยาวนาน”

Source

]]>
1390213
เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ปรับขึ้น “ค่าแรงขั้นต่ำ” เป็น 1.3 เเสนบาทต่อเดือน ทำสถิติสูงสุดในโลก https://positioningmag.com/1300015 Mon, 05 Oct 2020 12:51:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1300015 เมืองเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ เตรียมปรับฐานเงินเดือนขั้นต่ำของคนที่อยู่อาศัยในเมืองนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 23 ฟรังก์สวิสต่อชั่วโมง หรือราว 786 บาท คิดเป็นช่วงเรทราว 1.29-1.37 แสนบาทต่อเดือน สำหรับชั่วโมงการทำงานที่ 41 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นับเป็นเมืองที่มีฐานค่าเเรงขั้นต่ำสูงที่สุดในโลก ณ ขณะนี้

ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 58% ได้ลงคะแนนสนับสนุนนโยบายปรับฐานค่าเเรงขั้นต่ำดังกล่าว ซึ่งสนับสนุนโดยสหภาพแรงงาน ระบุถึงจุดมุ่งหมายว่า เป็นการต่อสู้กับความยากจน สนับสนุนการบูรณาการทางสังคม และเป็นการเคารพเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์

สำหรับอัตราค่าแรงใหม่นี้ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน และจะทำให้ผู้ใช้แรงงานประมาณ 6% ในเจนีวาได้รับค่าแรงสูงขึ้น

ด้าน Communauté genevoise d’action syndicale สหภาพแรงงานของเจนีวา ระบุว่า การขึ้นค่าแรงนี้เป็นชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งมีแรงงานได้ผลประโยชน์ถึง 3 หมื่นคน เเละ 2 ใน 3  เป็นเเรงงานผู้หญิง

ที่ผ่านมา เเผนการขึ้นค่าเเรงขั้นต่ำของเจนีวา ถูกปฏิเสธมาแล้วถึง 2 ครั้ง เมื่อปี 2011 เเละปี 2014 เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย (ครั้งล่าสุดจะขึ้นเป็น 22 ฟรังก์สวิส เเต่ไม่ผ่าน)

เเละเมื่อการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบโดยตรงกับชีวิตชาวเมือง ผู้อาศัยอยู่ในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกอย่างเจนีวา ทำให้ในช่วงวิกฤตมีผู้คนนับพันคนมาต่อคิวรอรับอาหารเเจก

“COVID-19 ได้ฉายภาพที่ชัดเจนให้เห็นเเล้วว่า ด้วยอัตราค่าแรงขั้นต่ำเท่าเดิม ชาวสวิตเซอร์แลนด์บางกลุ่ม ไม่สามารถดำรงชีวิตในเจนีวาได้  Michel Charrat ประธานของ Groupement transfrontalier europeen องค์กรตัวแทนของแรงงานที่ทำงานในสวิตเซอร์แลนด์ฝรั่งเศส กล่าว

สำหรับอัตราค่าเเรงใหม่นี้ เเม้จะไม่สูงมากนักตามค่าครองชีพของเมือง ที่มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเฉลี่ยที่ราว 3,700-4,000 ฟรังก์สวิส เเต่เมื่อเทียบกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ เเล้วก็ถือว่าสูงมาก โดยสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในสหรัฐฯ ถึง 3 เท่า ที่มีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 7.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง หรือราว 229 บาท และสูงกว่าสหราชอาณาจักรถึง 2 เท่า ที่มีค่าแรงขั้นต่ำรายชั่วโมงที่ 8.72 ปอนด์ หรือราว 355 บาท

ผลสำรวจของบริษัทที่ปรึกษา Mercer จัดให้เจนีวาเป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงอันดับ 9 ของโลก โดยอันดับ 1 คือ ฮ่องกง ส่วนกรุงเทพฯ อยู่ในอับดับที่ 35  ขณะที่เว็บไซต์ numbeo.com ระบุว่า เจนีวาเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดเป็นลำดับที่ 4 ของโลก ต่อจาก ซูริก, ลูกาโน และบาเซิล ซึ่ง 6 จาก 10 อันดับแรกของโลก ล้วนเป็นเมืองใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์

ทั้งนี้ สวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีกฎหมายกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำในระดับประเทศ แต่นครเจนีวา เป็นเมืองที่ 4 ของประเทศ ที่มีการลงคะแนนเสียงเกี่ยวกับอัตราค่าแรงขั้นต่ำ หลังจากเมืองเนอชาแตล ชูรา และทีชีโน

 

ที่มา : CNN , CNBC , The Guardian

]]>
1300015
ภาพจากสถานที่จริง! โรงแรมคอนเซ็ปต์แหวกแนวในสวิส ไร้ผนัง-เพดาน ชมวิว 360 องศา https://positioningmag.com/1282303 Fri, 05 Jun 2020 11:37:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282303 ตากลมห่มฟ้า นอนจ้องตากับแสงดาว บนเตียงของโรงแรม Zero Real Estate ในสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์ ถึงจะบอกว่าเป็นโรงแรม แต่มีเตียงเพียงเตียงเดียวเท่านั้น และไม่มีผนัง ไม่มีเพดาน ให้คุณอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง

โครงการ Zero Real Estate กระจายทำเลวางเตียงนอนไร้ผนัง ไร้เพดาน ในมุมสวยสะกดใจใน 6 จุดทางตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์ (Toggenburg, Heidiland, St. Gallen-Bodensee, Appenzellerland AR, Thurgau Bodensee, Schaffhauserland) และอีก 1 จุดในประเทศลิกเตนสไตน์

รวมทั้งหมด 7 จุดที่แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ธรรมชาติ และอากาศบริสุทธิ์สดใสในช่วงฤดูร้อนของสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมมี “บัตเลอร์” คอยบริการและเสิร์ฟอาหารเช้าถึงเตียงนอน สนนราคาค่าที่พักเริ่มต้น 295 ฟรังก์สวิสต่อคืน (ประมาณ 9,700 บาท) เข้าพักได้ 2 ท่าน

Princes Suite จาก Zero Real Estate ตั้งอยู่กลางไร่องุ่นในลิกเตนสไตน์ พร้อมชมวิว 3 ประเทศ ลิกเตนสไตน์-สวิตเซอร์แลนด์-ออสเตรีย (Photo by zerorealestate.ch)

อันที่จริงแล้วโครงการ Zero Real Estate เป็นโครงการงานศิลปะของสองพี่น้องฝาแฝด แฟรงก์ และ แพทริก ริกคลิน ศิลปินแนวคอนเซ็ปชวล ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจโรงแรม ดาเนียล ชาร์บอนเนียร์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวท้องถิ่นให้ตีความการพัฒนาโรงแรมในรูปแบบของตัวเอง ผ่านการทดลองที่สร้างให้เห็นว่า “โรงแรม” นั้นไม่ต้องลงทุนก่อสร้างตัวตึกอะไรเลยก็ได้

โครงการยังเชื่อมโยงกับท้องถิ่น โดยบัตเลอร์ผู้บริการแขกก็คือเกษตรกรในพื้นที่นั้นนั่นเอง (ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าบัตเลอร์จะใส่เสื้อขาวผูกโบหูกระต่าย แต่ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์กับรองเท้าบูทยาง) และที่พักสำรองในกรณีฝนตกหรือฉุกเฉินก็คือบ้านพักหรือโรงนาท้องถิ่นของเกษตรกรที่อยู่ใกล้ๆ รวมถึงอาหารเช้าจะปรุงด้วยวัตถุดิบของท้องถิ่นเช่นกัน

บัตเลอร์คอยบริการ (Photo by Facebook@nullsternspinoff)

Zero Real Estate เป็นโครงการต่อยอดมาจาก Null Stern Hotel โปรเจกต์ลักษณะเดียวกันที่เคยจัดในปี 2016 คำนี้แปลได้ตรงตัวว่า “โรงแรม 0 ดาว” เพราะดาวดวงเดียวที่มีในโรงแรมแห่งนี้คือ “คุณ” เนื่องจากศิลปินมองว่าแขกที่เข้าพักคือนักแสดงที่ขึ้นสู่เวที และสิ่งที่แขกได้แสดงก็คือการพิสูจน์คอนเซ็ปต์ที่ว่า โรงแรมไม่ต้องมีผนังหรือเพดานก็เป็นที่พักได้จริง

“ห้องที่ไม่มีผนังหรือเพดานเป็นการแสดงออกถึงการปลดปล่อยสู่เสรีภาพด้วย และคงไม่มีที่ไหนที่เราจะได้อยู่ใน ‘ห้อง’ ที่อากาศหมุนเวียนได้ดีเท่าฤดูร้อนของสวิตเซอร์แลนด์อีกแล้ว” แพทริก ริกคลิน กล่าว

Lüsis Suite วิวเทือกเขาแอลป์ และทะเลสาบ (Photo by zerorealestate.ch)

ในห้วงเวลาที่หลายๆ คนต้องการไปท่องเที่ยว แต่ก็ยังกลัวการอยู่ในพื้นที่ปิดกับคนแปลกหน้ามากมาย โรงแรมไร้ผนัง เพดาน และอยู่กันแค่ 2 คนกับบัตเลอร์อีก 1 คนอาจจะเป็นคำตอบที่ใช่ แต่ใครที่เพิ่งคิดจะจองตอนนี้อาจไม่ทัน เพราะโครงการระบุในเว็บไซต์ว่ามีคนต่อคิวยาว 9,000 คน และบางจุดถูกจองเต็มไปจนถึงสิ้นปี 2020 แล้ว

Source: zerorealestate.ch, Reuters, Nuvo Magazine

]]>
1282303
ช้อปต่อเนื่อง! กลุ่มเซ็นทรัล เข้าซื้อกิจการห้างหรู Globus ในสวิส มูลค่า 3.1 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1263137 Tue, 04 Feb 2020 06:03:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1263137 กลุ่มเซ็นทรัลร่วมกับซิกน่า เข้าซื้อกิจการ “โกลบัส” (Globus) เชนห้างสรรพสินค้าสุดหรูในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จำนวนทั้งหมด 8 แห่งที่ตั้งอยู่ในสุดยอดโลเคชั่นตามเมืองต่างๆ จากบริษัท Migros-Genossenschafts-Bund (MGB) โดยมีสัดส่วนการร่วมทุน 50 : 50  

การเข้าซื้อกิจการ Globus ในครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมทุนครั้งใหม่ของกลุ่มเซ็นทรัลและซิกน่า ที่เป็นเจ้าของร่วมในกิจการกลุ่มคาเดเว (KaDeWe Group) ธุรกิจห้างสรรพสินค้าในประเทศเยอรมนี และกำลังพัฒนาโครงการห้างสรรพสินค้าใหม่ร่วมกันในเมืองดึสเซิลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี และกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

นอกจากนี้กลุ่มเซ็นทรัลยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตอีก 9 แห่ง ในประเทศอิตาลี และห้างสรรพสินค้าอิลลุม ในประเทศเดนมาร์ก การร่วมทุนครั้งนี้จึงถือเป็นการขยายอาณาจักรค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัล ให้ครอบคลุมทวีปยุโรป ถึง 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศเยอรมนี, ออสเตรีย, อิตาลี, เดนมาร์ก และสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมทั้งทำให้กลุ่มเซ็นทรัลและซิกน่าขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำที่ครอบครอง และบริหารงานธุรกิจห้างสรรพสินค้าหรูในยุโรป

ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเซ็นทรัล เผยว่า

“เรามีความยินดีที่จะประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องการเข้าซื้อกิจการ ห้างสรรพสินค้าโกลบัส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนในสัดส่วน 50:50 ระหว่างกลุ่มเซ็นทรัลและกลุ่มซิกน่า พันธมิตรของเราในการบริหารงานห้างคาเดเว และเวียนนา ข้อตกลงทางธุรกิจในครั้งนี้มีมูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านฟรังก์สวิส หรือราวๆ 31,900 ล้านบาท ซึ่งรวมไปถึงการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ชั้นนำต่างๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ และโรงแรมอีกหนึ่งแห่ง”

ทศกล่าวเสริมว่า ตั้งแต่การซื้อกิจการรีนาเชนเต ประเทศอิตาลี เมื่อปี 2011 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลในยุโรป กระทั่งวันนี้ธุรกิจของเรามีรายได้เติบโตจาก 200 ล้านยูโร และคาดว่าจะก้าวกระโดดแตะ 2,000 ล้านยูโรในปีนี้

โดยปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลบริหารธุรกิจใน 5 ประเทศ 19 เมืองในยุโรป รวมถึงอีก 2 เมือง คือ ดึสเซิลดอร์ฟ และเวียนนา ที่โครงการอยู่ในระหว่างการพัฒนา เรามีห้างสรรพสินค้าที่เป็นแฟลกชิปสโตร์ทั้งหมด 8 แห่ง ทำให้      กลุ่มเซ็นทรัลเป็นหนึ่งในผู้นำค้าปลีกระดับลักชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป”

เป็นแบรนด์สวิสที่แข็งแกร่ง

กลุ่มเซ็นทรัลและซิกน่า ในฐานะเจ้าของใหม่ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโกลบัสให้เป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้าหรูชั้นนำในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยจะเร่งปรับภาพลักษณ์ และจุดขายของห้างให้มีความทันสมัย พร้อมต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ประจำชาติ อันเป็นจุดเด่นของห้างโกลบัส

วิททอริโอ ราดิเช กล่าวเพิ่มเติมว่า ความรู้ และประสบการณ์จากการบริหารงานห้างสรรพสินค้ากลุ่มคาเดเว, รีนาเชนเต และอิลลุม เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาห้างโกลบัส การร่วมทุนในครั้งนี้จะเป็นการนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของทั้งสองบริษัท มาต่อยอดให้โกลบัสขึ้นแท่นห้างสรรพสินค้าระดับแนวหน้าที่จะส่งมอบประสบการณ์ชั้นเลิศในแบบฉบับสวิส ให้กับคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเราพร้อมอย่างยิ่งที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่องในห้างสรรพสินค้าโกลบัส เพื่อที่จะสร้างอนาคตที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้กับโกลบัส

จุดแข็งของห้างนี้คือการเป็นแบรนด์สวิสดั้งเดิมที่มีชื่อเสียง และได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในกลุ่มลูกค้าชาวสวิส การมีพนักงานที่มากประสบการณ์และความมุ่งมั่นในการทำงาน การมีลอยัลตี้โปรแกรมในรูปแบบบัตรสมาชิก รวมถึงการจำหน่ายสินค้าที่ครบครัน และหลากหลายประเภท เช่น อาหารสำเร็จรูป, สินค้าเกี่ยวกับบ้าน และความสวยความงาม ตลอดถึงการตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่โดดเด่นและเหนือกว่า

“แม้ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกจะเป็นตลาดที่ท้าทายและแข่งขันสูง แต่การผนึกกำลังศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งของกลุ่มเซ็นทรัลและซิกน่า จะเป็นสิ่งรับประกันความมั่นคง และความสามารถในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องให้โกลบัส ก้าวสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าที่ครองตำแหน่งผู้นำ และครองใจลูกค้าทุกคน”

แม้การเซ็นสัญญาร่วมทุนจะเสร็จสิ้นไปแล้วแต่การครอบครองกิจการอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับการอนุมัติจากองค์กรควบคุมการแข่งขันทางการค้าในยุโรป (European competition authorities) โดยมีกำหนดที่จะได้รับการอนุมัติในช่วงกลางปี 2020 นี้

]]>
1263137