สหรัฐ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 13 Aug 2025 13:26:14 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 งานเข้าแบรนด์ดังสหรัฐฯ! หลังเกิดกระแส ‘แบน’ ในอินเดีย เพื่อตอบโต้มาตรการ ‘ภาษีทรัมป์’ https://positioningmag.com/1533439 Wed, 13 Aug 2025 07:07:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1533439 หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้าอินเดียที่ 50% เนื่องจากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งนั่นได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลนิวเดลีกับวอชิงตัน ล่าสุด งานกำลังเข้าบรรดา บริษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน ที่กำลังเผชิญกระแสการ คว่ำบาตร ในอินเดีย หลังจากผู้นำธุรกิจและผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ปลุกกระแสต่อต้านสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ถือเป็นตลาดสำคัญของแบรนด์อเมริกัน ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น และมองสินค้านำเข้าเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าในชีวิต ทำให้ปัจจุบัน อินเดียได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของหลาย ๆ แบรนด์จากสหรัฐฯ

อาทิ WhatsApp ที่อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุด หรืออย่าง Domino’s Pizza ก็มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลกในประเทศนี้ และทุกครั้งที่ Apple Store หรือ Starbucks เปิดใหม่ก็มักมีคนต่อคิวรอแน่นเสมอ

แม้ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่ากระทบยอดขายโดยตรง แต่กระแสในโซเชียลมีเดียและในชีวิตจริง เริ่มหันมาสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นและเลิกใช้สินค้าสหรัฐฯ

มานิช เชาดารี ผู้ร่วมก่อตั้ง Wow Skin Science ของอินเดีย โพสต์วิดีโอใน LinkedIn เรียกร้องให้สนับสนุนเกษตรกรและสตาร์ทอัพ พร้อมผลักดันให้ Made in India กลายเป็นกระแสระดับโลก เหมือนกับที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่ทำให้สินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์ด้านความงามเป็นที่นิยมทั่วโลก

“เราต่อคิวซื้อสินค้าที่มาจากอีกซีกโลก ใช้จ่ายอย่างภาคภูมิใจกับแบรนด์ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ ในขณะที่ผู้ผลิตในประเทศต้องพยายามดิ้นรนเพื่อให้คนในประเทศสนใจ”

ราห์ม ชาสทรี ซีอีโอ DriveU โพสต์ใน LinkedIn ว่า อินเดียควรมี Twitter, Google, YouTube, WhatsApp, Facebook เวอร์ชันของตัวเองเหมือนที่จีนมี

อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทค้าปลีกอินเดียจะสามารถแข่งขันกับแบรนด์ต่างชาติในประเทศได้ แต่การขยายสู่ตลาดโลก ยังเป็นความท้าทาย ขณะที่บริษัทไอทีรายใหญ่ของอินเดีย เช่น TCS และ Infosys กลับประสบความสำเร็จในตลาดโลก ให้บริการซอฟต์แวร์แก่ลูกค้าทั่วโลก

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีโมดีได้กล่าวในงานที่เมืองบังกาลอร์ เรียกร้องให้ชาวอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น โดยระบุว่า บริษัทเทคโนโลยีอินเดียผลิตสินค้าขายไปทั่วโลก แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของอินเดียก่อน

กลุ่มสวาเดสี จักรัน มันช์ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับพรรคภราติยะชนตะของโมดี ได้มีการจัดชุมนุมเล็ก ๆ ทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชาชนแบนบแบรนด์สหรัฐฯ โดยได้จัดทำ ลิสต์รายการแบรนด์สินค้าอินเดีย เช่น สบู่ ยาสีฟัน และน้ำอัดลม ให้ผู้คนเลือกใช้แทนสินค้านำเข้า พร้อมเผยว่าบนโซเชียลมีเดีย กลุ่มได้ทำกราฟิก คว่ำบาตรเชนอาหารต่างชาติ ที่มีโลโก้แมคโดนัลด์และร้านอื่น ๆ อีกหลายแบรนด์

อย่างไรก็ตาม แม้กระแสต้านสหรัฐฯ ยังคงอยู่ แต่เทสลาก็เปิดโชว์รูมแห่งที่สองในกรุงนิวเดลีเมื่อวันจันทร์ โดยมีเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์อินเดียและเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ร่วมงานเปิด

Source

]]>
1533439
ไม่อยากไปแล้ว! ผลสำรวจพบนักเดินทางชาว ‘เอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ เกือบ 80% หมดความสนใจไป ‘อเมริกา’ เพราะ ‘การเลือกปฏิบัติ’ และ ‘นโยบายทรัมป์’ https://positioningmag.com/1529671 Fri, 11 Jul 2025 06:07:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1529671 ดูเหมือน สหรัฐอเมริกา จะไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่น่าสนใจของนักเดินทางชาว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่ใช่เพราะความกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับ การเลือกปฏิบัติ และ นโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

เนื่องจากนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการตรวจคนเข้าเมืองและแรงงานต่างชาติ กำลังทำให้อเมริกา อาจไม่ใช่ปลายทางที่ชาวเอเชียสนใจอีกต่อไป โดยจากการสำรวจของ CNBC Travel พบว่า เกือบ 80% ของนักเดินทางจาก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า อเมริกากำลังสูญเสียความน่าสนใจในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว

โดย 1 ใน 4 คน ระบุว่า ความสนใจในการเยือนประเทศนี้ ลดลง ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่าพวกเขากังวลเรื่อง การเลือกปฏิบัติ ที่อาจเกิดขึ้นมากที่สุด ตามด้วยการดำเนินการของนโยบายรัฐบาลทรัมป์ และความรุนแรงจากอาวุธปืน

ขณะที่บริษัทวิจัยตลาด Milieu Insight ที่ทำการสำรวจข้อมูลจากนักเดินทางต่างชาติ 6,000 คน จากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ถึง 10 มิถุนายน พบว่า ชาวสิงคโปร์ 55% กล่าวว่าพวกเขารู้สึกสนใจเยือนสหรัฐฯ น้อยกว่าเมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนที่แล้ว มีเพียง 7% เท่านั้นที่กล่าวว่าตอนนี้พวกเขาสนใจที่จะไปมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ชาว เวียดนาม (57%) และ ฟิลิปปินส์ (49%) เป็น 2 ประเทศที่สนใจจะไปเยือนสหรัฐฯ มากกว่าเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ซึ่ง Zilmiyah Kamble อาจารย์อาวุโสด้านการจัดการการโรงแรมและการท่องเที่ยวที่มหาวิทยาลัย James Cook ในสิงคโปร์ มองว่า อาจเป็นเพราะการไป เยี่ยมครอบครัว ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ

เพราะจากข้อมูลโดย ศูนย์วิจัย Pew พบว่า ในปี 2024 จำนวนผู้อพยพชาวฟิลิปปินส์ในสหรัฐอเมริกามีมากเป็น อันดับ 4 ส่วนชาวเวียดนามอยู่ใน อันดับที่ 8

“อาจเป็นเพราะการไปเยี่ยมครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่สหรัฐฯ ทำให้ชาวฟิลิปปินส์และชาวเวียดนาม แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อย่าง การเดินทางเพื่อหาแรงบัลดาลใจ Soft power ของวัฒนธรรมสหรัฐฯ ที่ดูผ่านรายการทีวี ก็ยังมีความน่าสนใจ”

ไม่ใช่แค่ชาวเอเชียที่รู้สึกไม่อยากไปเที่ยวเมริกา แต่จากการสำรวจของ CNBC พบว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 ความประทับใจต่อสหรัฐฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวได้ลดลงอย่างมาก และยังคงลดลงต่อเนื่องจนถึงเดือนมีนาคม โดยรวมแล้วความสนใจในการเดินทางของโลกในการเดินทางไปสหรัฐฯ ลดลง 13% ตามรายงาน YouGov

ขณะที่ความรู้สึกจากโลกออนไลน์เกี่ยวกับการเดินทางไปสหรัฐฯ ก็แตกต่างกันไปตามประเทศ โดยจากข้อมูลโดยบริษัท Sprout Social พบว่า ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน ถึง 3 มิถุนายน มีการพูดคุยเกี่ยวกับการเดินทางไปสหรัฐอเมริกากว่า 87,000 ครั้ง และมีส่วนร่วมกว่า 1 ล้านครั้ง ทั้งในรูปแบบของการกดไลค์ ความคิดเห็น หรือการแชร์ บน X, YouTube, Tumblr และ Reddit อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเกือบ 50,000 ครั้งมาจากแคนาดา ซึ่ง 45% เป็นลบ แต่ที่น่าสนใจคือ ความรู้สึกเชิงลบมากที่สุดเกี่ยวกับการเดินทางของสหรัฐฯ มาจาก ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา เอง

]]>
1529671
เชือดไก่ให้ลิงดู? ‘Calvin Klein’ และ ‘Tommy Hilfiger’ แบรนด์แฟชั่นสหรัฐฯ ถูก ‘จีน’ ขึ้น ‘บัญชีดำ’ หนักสุดอาจโดนปิดหน้าร้านและโรงงานทั้งหมด https://positioningmag.com/1509895 Fri, 07 Feb 2025 04:27:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1509895 หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมาตรการ ขึ้นภาษี นำเข้าสินค้าจาก จีน 10% มายังสหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้โดยการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม 10-15% ล่าสุด แบรนด์แฟชั่นสัญชาติสหรัฐฯ อย่าง  PVH ได้ถูกจีนขึ้น บัญชีดำ ยิ่งย้ำถึงสงครามการค้าระหว่างสองประเทศปะทุขึ้นอีกครั้ง

ย้อนไปช่วงเดือนกันยายน 2024 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เริ่มสอบสวน บริษัท PVH ในข้อหา ปฏิเสธที่จะจัดหาฝ้ายจากภูมิภาคซินเจียง ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ล่าสุด รัฐบาลจีน ได้เพิ่มบริษัท PVH เจ้าของแบรนด์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Calvin Klein และ Tommy Hilfiger ไปยังรายชื่อ หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือ บัญชีดำ ของรัฐบาลจีน ซึ่งทำให้ให้รัฐบาลจีนมีอำนาจจะ ปรับ ห้ามกิจกรรมนําเข้าและส่งออก เพิกถอนใบอนุญาตทำงาน และปฏิเสธการนำพนักงานต่างชาติเข้าประเทศ

ดังนั้น จีนสามารถบังคับให้บริษัท ปิดหน้าร้าน ที่ดําเนินงานในภูมิภาคและ ห้ามขายสินค้าให้กับผู้บริโภคชาวจีนทางออนไลน์ หรือพนักงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในจีน ก็มีโอกาสที่จะ ถูกเนรเทศ ได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าจีนจะพยายามบังคับใช้การดําเนินการกับ PVH ในเขตปกครองตนเองของฮ่องกงหรือไม่ เนื่องจาก ฮ่องกงเป็นที่ตั้งของสํานักงานใหญ่ในเอเชียแปซิฟิกของบริษัท

หลังจากมีคำสั่งดังกล่าวออกมา PVH ได้ออกแถลงการณ์ว่า “บริษัทประหลาดใจและผิดหวังอย่างสุดซึ้งต่อการตัดสินใจของกระทรวงพาณิชย์ของจีน” อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัท PVH ยังคงดําเนินธุรกิจในจีนตามปกติ

ในช่วง 20 ปีของการดําเนินงานในประเทศจีนและให้บริการผู้บริโภคของเรา PVH ยังคงปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และดําเนินงานตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติของอุตสาหกรรมที่กําหนดไว้ เราจะให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป และหวังว่าจะได้รับการแก้ไขในเชิงบวก” บริษัทกล่าว

ตัวเลขผลประกอบการของ PVH ในปี 2023 แสดงให้เห็นว่า ยอดขายในตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วน 6% และคิดเป็น 16% ของรายได้ แม้ว่ายอดขายและรายได้จะไม่ได้มีสัดส่วนสูงมาก แต่บริษัทต้องพึ่งพาประเทศจีนใน การผลิต มากกว่า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ซึ่งทำให้ธุรกิจทั่วโลกมีความเสี่ยงไปด้วย

Neil Saunders กรรมการผู้จัดการและนักวิเคราะห์การค้าปลีกของ GlobalData กล่าวว่า การถูกขึ้นบัญชีดำในจีน ถือเป็นปัญหาที่ก่อกวน PVH อย่างมาก เพราะบริษัทจะต้องแย่งชิงเพื่อหาแหล่งกําลังการผลิตใหม่อย่างแน่นอน และแม้จะหาได้ทัน แต่อีกปัญหาที่ตามมาก็คือ คุณภาพ เพราะแม้ว่าบริษัทจะทํางานกับซัพพลายเออร์และโรงงานในกว่า 30 ประเทศ แต่บริษัทปักหลักอยู่ในจีนมานานถึง 20 ปี และสินค้าระดับไฮเอนด์ที่ผลิตอาจผลิตได้ยากก็ผลิตที่จีน

ในขณะที่คุณสามารถเปลี่ยนกําลังการผลิตได้อย่างง่ายดายพอสมควร แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับประกันคุณภาพ รับประกันกระบวนการผลิต สิ่งเหล่านั้นต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะ และจีนมีทักษะเหล่านั้น เพราะ PVH ดําเนินงานที่นั่นมานานหลายศตวรรษ ในขณะที่ประเทศอื่น โรงงานผลิตอื่น อาจไม่มีทักษะเหล่านั้นในตอนนี้”

ด้าน Sam Eide รองประธานของ Asia Group บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียด้านจีน มองว่า จีนต้องการทำให้บริษัท PVH เป็นตัวอย่างแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องเจอกับการขึ้นบัญชีดำ จากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทที่โดนจีนขึ้นบัญชีดำส่วนใหญ่เป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมกลาโหมของสหรัฐฯ หรือบริษัทที่มีบทบาทในด้านเทคโนโลยีความมั่นคง

ดังนั้น มีโอกาสที่จีนจะใช้ PVH เป็นตัวต่อรองเพื่อเจรจากับทรัมป์ และใช้เป็นตัวอย่างเพื่อแสดงอํานาจที่จะเกิดให้เกิดผลเสีบต่อธุรกิจอื่น ๆ ของสหรัฐฯ ที่มีการดําเนินงานหลักและฐานลูกค้าในประเทศ เช่น Nike, Apple เป็นต้น

]]>
1509895
สหรัฐฯ สั่ง ‘TSMC’ ห้ามส่งชิปขั้นสูงให้ ‘จีน’ หวังสกัดการพัฒนา AI https://positioningmag.com/1498278 Mon, 11 Nov 2024 04:25:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498278 สหรัฐอเมริกา ยังคงเดินหน้าแบนหัวเว่ย โดยไม่ใช่แค่คุมเข้มการส่งออก ชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ ของบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ เพราะหลังจากที่มีการพบว่า หัวเว่ย ได้ใช้ชิปจาก TSMC บริษัทผู้ผลิตชิปสัญชาติไต้หวัน ทำให้สหรัฐฯ ได้ขอให้เลิกจัดส่งชิปขั้นสูงไปยังจีน

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ขอให้ TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของโลก หยุดส่งชิปขนาด 7 นาโนเมตร หรือมากกว่า ซึ่งเป็นชิปขั้นสูงที่มีไว้สําหรับขับเคลื่อน AI และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ไปยังประเทศจีน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. นี้

โดยก่อนหน้านี้ ทาง Tech Insights บริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยีได้แยกชิ้นส่วนสินค้าของ หัวเว่ย (Huawei) ที่เผยให้เห็นชิปของ TSMC อยู่ภายใน ซึ่งถือเป็นการ ละเมิดการควบคุมการส่งออก เพราะหัวเว่ยถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ ส่งผลให้ทาง TSMC ต้องหยุดจัดส่งชิปให้กับบริษัท Sophgo เนื่องจากคาดว่าเป็นบริษัทที่ส่งต่อชิปให้ทางหัวเว่ย

จากเหตุการณ์ดังกล่าวนำมาสู่การปราบปรามครั้งนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัทอื่น ๆ อีกมากมายในจีน และจะช่วยให้สหรัฐฯ ประเมินว่าบริษัทอื่น ๆ กําลังเปลี่ยนเส้นทางชิปสําหรับ AI ไปยังหัวเว่ยหรือไม่ 

ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ร่างกฎใหม่เกี่ยวกับการส่งออกอุปกรณ์ทําชิปจากต่างประเทศ และวางแผนที่จะเพิ่มบริษัทจีนประมาณ 120 แห่ง ในรายชื่อนิติบุคคลที่จํากัดของกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงโรงงานผลิตชิป ผู้ผลิตเครื่องมือ และบริษัทที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ร่างดังกล่าวยังไม่ถูกบังคับใช้

ทั้งนี้ จากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาของ TSMC แสดงให้เห็นว่า บริษัทมีรายได้จากชิปขนาด 7 นาโนเมตรหรือชิปขั้นสูงถึง 69% จากรายได้ทั้งหมด 

Source

]]>
1498278
ถึงคิว ‘แคนาดา’ ขึ้นภาษี ‘อีวีจีน’ 100% ตามรอยสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้การแข่งขันไม่เป็นธรรม https://positioningmag.com/1488025 Thu, 29 Aug 2024 08:43:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488025 หลังจากที่ สหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นภาษีการนำเข้า รถอีวีจากจีน 100% รวมถึง สหภาพยุโรป ที่ขึ้นภาษีการนำเข้ารถจากจีนเช่นกัน ล่าสุด แคนาดา ก็เป็นอีกประเทศที่ประกาศขึ้นภาษีการนำเข้ารถอีวีจีน เพื่อสกัดกั้นการนำเข้า

จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้ประกาศว่า ประเทศแคนาดาจะจัดเก็บ ภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน 100% เท่ากับภาษีของสหรัฐฯ จากเดิมที่จัดเก็บเพียง 6.1% โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. 2567 นอกจากนี้ ยังจะเรียกเก็บภาษีนำเข้า จากเหล็กและอะลูมิเนียมของจีน 25% อีกด้วย โดยจะบังคับใช้วันที่ 15 ต.ค. 2567

ที่ผ่านมา ทางการจีน มีแนวโน้ม แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังจากที่รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีนำเข้าใหม่ครั้งใหญ่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ขั้นสูง โซลาร์เซลล์ เหล็ก อะลูมิเนียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ของจีน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลจีนพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของ COVID-19 

ขณะที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหาว่า รัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนสำหรับแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้บริษัทจีนไม่ได้โฟกัสที่การทำ กำไร ซึ่งนั่นทำให้บริษัทเหล่านั้นได้รับความได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมในการค้าโลก

“แคนาดากำลังดำเนินการต่อต้านสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นนโยบายรัฐบาลจีนเลือกที่จะให้บริษัทของประเทศตัวเองได้รับข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมในตลาดโลก โดยตั้งใจผลิตเกินกว่าที่จีนจะบริโภคเพื่อส่งออก และไม่คิดว่าจีนกำลังเล่นตามกฎเดียวกัน” ทรูโด กล่าว

ทั้งนี้ จีนถือเป็นพันธมิตรการค้ารายใหญ่เป็น อันดับสองของแคนาดา รองจากสหรัฐฯ ซึ่งจีนก็ได้ออกตอบโต้มาตรการดังกล่าวว่า เป็นการกีดกันทางการค้า ซึ่งละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก และจวกว่า แคนาดากำลัง ทำลายระบบเศรษฐกิจโลก

ที่ผ่านมา รถอีวีจากจีนสามารถขายได้ในราคาเพียง 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.2 แสนบาท)

Source

]]>
1488025
รัฐบาลสหรัฐฯ ทุ่ม 6.6 พันล้าน ดึง ‘TSMC’ ผู้ผลิตชิปเบอร์ 1 ของโลก ขยายโรงงานในอเมริกา https://positioningmag.com/1469461 Tue, 09 Apr 2024 03:29:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469461 ไม่ใช่แค่สกัดกั้น จีน ในการเข้าถึงชิประดับสูง แต่ สหรัฐฯ ยังเดินเกมดึงพันธมิตรเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ วางแผนที่จะมอบเงิน 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง TSMC เพื่อขยายโรงงานในรัฐแอริโซนา

รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่า ได้ลงนามในข้อตกลงที่ไม่มีผลผูกพันกับ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Co.) บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลกสัญชาติไต้หวัน เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับลงทุนเปิดโรงงานผลิตในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะให้เงินอุดหนุนมูลค่า 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกเหนือจากเงินกู้รัฐบาลประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ จากกฎหมาย Chips and Science Act

ขณะที่ TSMC เองก็ตกลงจะเพิ่มวงเงินลงทุนในสหรัฐฯ อีก 25,000 ล้านดอลลาร์ รวมเป็น 65,000 ล้านดอลลาร์ โดยเตรียมที่จะสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ภายในปี 2030 โดยการลงทุนดังกล่าว ถือเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแอริโซนา  

“อเมริกาคิดค้นชิปเหล่านี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเปลี่ยนจากการผลิตเกือบ 40% ของกำลังการผลิตของโลก เหลือเพียง 10% และไม่มีชิปที่ทันสมัยที่สุดเลย นั่นทำให้เราเผชิญกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติอย่างมีนัยสำคัญ” โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าว

ปัจจุบัน TSMC ครองสัดส่วนถึง 90% ของชิปที่ทันสมัยที่สุดในโลก โดย Mark Liu ประธาน TSMC กล่าวว่า การจัดตั้งโรงงานในสหรัฐฯ จะทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงชิปภายในประเทศ ที่สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนไปจนถึงดาวเทียม รวมถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ด้วย

ทั้งนี้ โรงงานทั้ง 3 แห่งคาดว่าจะสร้างงานด้านเทคโนโลยีประมาณ 6,000 ตำแหน่ง และงานทางอ้อมมากกว่า 20,000 ตำแหน่ง เช่น ในการก่อสร้างการรักษาความปลอดภัย และซัพพลายเชน รวมถึงจะดึงดูดซัพพลายเออร์เซมิคอนดักเตอร์ 14 ราย ให้กับรัฐ

การที่สหรัฐฯ สามารถดึง TSMC มาลงทุนในประเทศได้นั้น ถือว่า Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องนำการผลิตชิปมาใช้ในประเทศมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากประเทศอื่น หลังจากที่เจอปัญหาชิปขาดแคลนไปในช่วงการระบาดของ COVID-19 จนส่งผลให้ราคาสูงขึ้น

ขณะที่ประเทศไต้หวันก็อยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอเช่นกัน เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญด้านซับพลายเชนและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กังวลว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อาจทำให้เกิดการรุกรานทางทหารกับไต้หวัน อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตชิปที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ ไต้หวันเพิ่งเจอกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งย้ำให้เห็นถึงความเสี่ยงของอุตสาหกรรมต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ

สำหรับกฎหมาย Chips and Science Act ได้ผ่านการรับรองในเดือนสิงหาคม 2022 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศของสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีขึ้น เช่น จีน โดยรัฐบาลได้ วางงบอุดหนุนด้านการวิจัยและการผลิตสูงถึง 52,700 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้สมาชิกสภาคองเกรสยังได้อนุมัติวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอีก 75,000 ล้านดอลลาร์ด้วย

Source

]]>
1469461
‘จีน’ จวก ‘อเมริกา’ ว่าสร้างอุปสรรคให้กับอุตสาหกรรมชิปมากขึ้น หลังเพิ่มเกณฑ์ควบคุมส่งออกไปยังจีน https://positioningmag.com/1468601 Mon, 01 Apr 2024 11:59:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468601 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้แก้ไขกฎเกี่ยวกับการส่งออกชิป โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้จีนเข้าถึงชิปปัญญาประดิษฐ์และเครื่องมือสร้างชิปของสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น เนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ เพรากลัวว่าจีนจะนำชิปไปเสริมประสิทธิภาพให้กองทัพ

ล่าสุด จีน ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กฎเกณฑ์การส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้น โดยกล่าวว่า อเมริกากำลังสร้างอุปสรรคในการค้าขายและเพิ่มความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรมชิปมากขึ้น โดยความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างบริษัทจีนและบริษัทต่างชาติ และยังเป็นอันตรายต่อสิทธิและผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของพวกเขา จีนต่อต้านสิ่งนี้อย่างแข็งขัน

สหรัฐฯ ได้ขยายแนวคิดเรื่องความมั่นคงของชาติ แก้ไขกฎเกณฑ์ตามอำเภอใจ และมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างอุปสรรคมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างภาระในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่หนักขึ้นสำหรับบริษัทจีนและอเมริกาที่ต้องการทำงานร่วมกันในเชิงเศรษฐกิจและทางการค้าตามปกติ และยังสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก” โฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าว

ย้อนไปช่วงเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ กำหนดกฎเกณฑ์ห้ามการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีน ทำให้บริษัทอย่าง Nvidia และ AMD ได้แก้ปัญหาโดยการ ผลิตชิปสำหรับจำหน่ายให้จีนโดยเฉพาะ โดยจะออกแบบให้ตรงตามสเปกที่สหรัฐฯ ตั้งไว้ แต่จากกฎใหม่ที่สหรัฐออกมา จะมาอุดช่องว่างดังกล่าว โดยกฎเกณฑ์ใหม่ซึ่งมีความยาว 166 หน้าจะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีหน้า (4 เม.ย.) นี้

จีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และส่งเสริมความมั่นคงและเสถียรภาพของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก”

Source

]]>
1468601
คาดยอดขาย ‘รถอีวี’ ทั่วโลกทะลุ 14 ล้านคัน เติบโต 35% https://positioningmag.com/1430481 Mon, 15 May 2023 03:18:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1430481 จากรายงานของ Global Electric Vehicle Outlook ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี ทั่วโลกจะสดใส เพราะทั้งเทรนด์ต่าง ๆ รวมถึงมาตรการจูงใจในหลาย ๆ ประเทศ ทำให้ยอดขายรถอีวีทั่วโลกปีนี้จะทะลุ 14 ล้านคัน เติบโตสูงถึง 35%

ตามรายงานของ Global Electric Vehicle Outlook ที่ได้แพร่เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา คาดว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 35% โดยมีรถอีวีทั้งหมดกว่า 14 ล้านคัน ส่งผลให้ส่วนแบ่งของรถอีวีในตลาดรถยนต์ทั้งหมดเพิ่มเป็น 18% จากที่ปี 2020 มีส่วนแบ่งเพียง 4% โดยยอดการซื้อใหม่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในปลายปีนี้จากช่วงไตรมาสแรกมียอดขายมากกว่า 2.3 ล้านคัน

การขยายตัวอย่างรวดเร็ว ได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในตลาด จีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งแต่ละประเทศก็มีหลากหลายปัจจัยในการผลักดันให้เกิดการเติบโต อาทิ ในสหภาพยุโรปที่ออกแพ็กเกจ Fit for 55 อีกทั้งยังมีกฎหมายที่ตั้งเป้าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์สำหรับรถยนต์ใหม่ภายในปี 2035

หรือในสหรัฐอเมริกา ได้มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติลดอัตราเงินเฟ้อเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และรวมถึงมาตรการจูงใจทางภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะติดตั้งแท่นชาร์จเพิ่มเติมมากขึ้น ขณะที่ประเทศจีนเองก็ได้ขยายนโยบายจูงใจในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติม ส่งผลให้ส่วนแบ่งยอดขายของรถอีวีกับรถยนต์ทั้งหมดในประเทศทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 29% ในปีนี้ จากที่ปี 2021 มีสัดส่วน 16%

ปัจจุบัน จีนถือเป็นผู้นำของตลาดอีวีทั่วโลก โดยมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกถึง 60% ส่วนในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ โดยยอดขายในปี 2022 ขยายตัว 15% และ 55% ตามลำดับ

ส่วนใน ญี่ปุ่น การเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าตามหลังตลาดอื่น ๆ โดยมีจำนวนรถอีวีเพียง 3% เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ โดยเติบโตเพียง 1% เท่านั้น

“รถยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจพลังงานใหม่ของโลกที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และกำลังนำการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ทั่วโลก โดยรถยนต์เป็นเพียงคลื่นลูกแรก รถเมล์ไฟฟ้าและรถบรรทุกจะตามมาในไม่ช้า” Fatih Birol ผู้อำนวยการบริหารของ IEA กล่าว “รถยนต์เป็นเพียงคลื่นลูกแรก รถเมล์ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม มีการประเมินถึงความเสี่ยงที่อาจลดการเติบโตของยอดขายรถอีวีในปีนี้ ได้แก่ เศรษฐกิจโลกที่ซบเซาและการยุตินโยบายสนับสนุนรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศจีน

ทั้งนี้ มีการประเมินว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะลดความต้องการน้ำมันลงอย่างน้อย 5 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2030

Source

]]>
1430481
ผู้บริโภคสหรัฐฯ วางเเผนประหยัด-ลดเที่ยว-ทานข้าวนอกบ้านน้อยลง หลังราคาน้ำมันพุ่ง https://positioningmag.com/1377250 Fri, 11 Mar 2022 13:05:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1377250 ผู้บริโภคในสหรัฐฯ วางเเผนจะลดค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารนอกบ้านเเละการชมภาพยนตร์ลง หากราคาน้ำมันยังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง หลังรัสเซียบุกโจมตียูเครนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

จากผลสำรวจของสำนักข่าว Reuters เเละ Ipsos บริษัทด้านการวิจัยตลาด ที่ได้รวบรวมความคิดเห็นของชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ 1,005 คน พบว่า 54% เตรียมจะลดค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารนอกบ้านลง หากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นถึงระดับ 6-7 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ขณะที่ 49% เตรียมจะลดการใช้จ่ายในการรับชมภาพยนตร์และความบันเทิงอื่น ๆ ลง และกว่า 60% กล่าวว่าพวกเขาจะไม่ขับรถทางไกล เพื่อไปทำกิจกรรมยามว่าง

สมาคมยานยนต์อเมริกัน หรือ AAA ระบุว่า ราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ปั๊มในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 10 มี.. อยู่ที่ประมาณ 4.32 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เพิ่มขึ้นจาก 3.48 ดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว โดยราคาน้ำมันเบนซินอาจพุ่งขึ้นสู่ระดับ 6-7 ดอลลาร์ต่อแกลลอน หากราคาน้ำมันดิบพุ่งแตะ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

รัฐบาลสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ตอบโต้การบุกยูเครนของรัสเซีย ซึ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ด้วยมาตรการการคว่ำบาตรต่อรัสเซียครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงการห้ามนำเข้าพลังงานจากรัสเซียด้วย

การคว่ำบาตรทำให้เศรษฐกิจรัสเซียปั่นป่วน เเละผู้บริโภคในสหรัฐฯ เองก็ยังต้องแบกรับต้นทุนจากความขัดแย้งที่เพิ่มสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันที่สูงอยู่แล้วได้พุ่งไปสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เเละส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในครัวเรือน

ผู้ตอบแบบสำรวจ 47% จะลดการใช้จ่ายในการตกเเต่งเเละปรับปรุงบ้าน อย่างเช่น เฟอร์นิเจอร์ใหม่และเครื่องใช้ต่างๆ หากราคาน้ำมันยังคงเเพงขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงจะใช้จ่ายปกติในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่าย ‘จำเป็น’ เช่น 64% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มองว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่พวกเขาใช้จ่ายในการซื้อยารักษาโรค เเละ 58% คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ส่วนอีกประมาณครึ่งหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาจะยังคงใช้จ่ายในการซื้อของชำเหมือนเดิม โดยในส่วนนี้ 28% คาดว่าจะใช้จ่ายน้อยลง 28% และ 18% คาดว่าจะใช้จ่ายมากขึ้น

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1377250
‘Tencent’ – ‘Alibaba’ ถูกสหรัฐฯ จับขึ้นบัญชี ‘ตลาดละเมิดลิขสิทธิ์’ https://positioningmag.com/1374645 Sun, 20 Feb 2022 04:46:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374645 เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ดำเนินการโดย Tencent Holdings Ltd และ Alibaba Group Holding Ltd อาทิ AliExpress และ WeChat ได้ถูกรวมอยู่ในบัญชีกลุ่มตลาดที่มีการ ‘ละเมิดลิขสิทธิ์’ ล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (USTR) ได้ออกมาแถลงว่า ตลาดซื้อขายออนไลน์จำนวน 42 แห่งและตลาดออฟไลน์จำนวน 35 แห่งที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีว่า มีความเกี่ยวข้องกับการขายและการอำนวยความสะดวกสำหรับการขายสินค้าลอกเลียนแบบและละเมิดลิขสิทธิ์ทั่วโลกในระดับสูง (Notorious Markets)

โดยในจำนวนดังกล่าวมีแพลตฟอร์มของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Tencent และ Alibaba ซึ่งก่อนหน้านี้ทางการสหรัฐฯ ได้มีการขึ้นบัญชีแพลตฟอร์มอย่าง Baidu Wangpan DHGate Pinduoduo และ Taobao ซึ่ง USTR ระบุว่า แพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นที่รู้จักในด้านการผลิต การจัดจำหน่าย และการขายสินค้าลอกเลียนแบบ

“แพลตฟอร์มอย่าง AliExpress และอีโคซิสเต็มส์ด้านอีคอมเมิร์ซของ WeChat ซึ่งเป็นตลาดออนไลน์ที่สำคัญสองแห่งในจีนซึ่งมีรายงานว่าอำนวยความสะดวกในการปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าจำนวนมาก” สำนักงาน USTR กล่าวในแถลงการณ์

อย่างไรก็ตาม Alibaba กล่าวว่า จะทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ขณะที่ Tencent กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้อย่างยิ่ง” และมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยที่ผ่านมา แพลตฟอร์มได้ติดตามตรวจสอบ ขัดขวาง และดำเนินการกับการละเมิดข้ามแพลตฟอร์มอย่างแข็งขัน และได้ลงทุนทรัพยากรที่สำคัญในการคุ้มครองสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา

ทั้งนี้ การที่แบรนด์มีรายรายชื่ออยู่ในบัญชีกลุ่มตลาดที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ระดับสูง แม้ไม่มีบทลงโทษโดยตรง แต่ถือเป็นการทำลายชื่อเสียงของบริษัท ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาและจีนมีส่วนร่วมในความตึงเครียดทางการค้ามาหลายปีในประเด็นต่าง ๆ เช่น ภาษี เทคโนโลยี และทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

Source

]]>
1374645