จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีของนิวซีแลนด์ เเถลงถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ ว่าจากสถานการณ์โรคระบาดในครั้งนี้ ที่มีโควิด ‘สายพันธุ์เดลตา’ เป็นตัวแปรสำคัญ ทำให้เเผนการที่จะคุมยอดผู้ป่วยโควิดให้เป็นศูนย์นั้นทำได้ยากมาก
โดยนิวซีเเลนด์ เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่สามารถทำให้จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ลดลงเหลือศูนย์ได้ในปีที่แล้ว จนกระทั่งเมื่อช่วงกลางเดือนส.ค. ที่ผ่านมา มีการการระบาดระลอกใหม่ของสายพันธุ์เดลตาที่เเพร่เชื้อได้ง่ายเเละรวดเร็วกว่าเดิม
ดังนั้น เวลานี้รัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่ต้อง ‘เปลี่ยนแนวทาง’ การควบคุมโรคที่ดำเนินมายาวนาน โดยจะมี ‘วัคซีน’ ป้องกันโควิดมาเป็นตัวสนับสนุนแนวทางใหม่
เเละเป็นที่เเน่ชัดเเล้วว่า การที่รัฐใช้มาตรการคุมเข้มเป็นเวลานานนั้น ไม่สามารถทำให้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อเป็นศูนย์ได้อีกต่อไป
ในปีที่แล้ว นโยบายการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดในเเต่ละพื้นที่ของนิวซีแลนด์ เพื่อควบคุมไวรัสโคโรนา ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ เเละมีส่วนช่วยทำให้อาร์เดิร์น ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมัยที่ 2 แต่การจัดหาวัคซีนที่ล่าช้าและการระบาดของเดลตาที่มีอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้ความนิยมของเธอเริ่มลดลง
โดยผู้นำนิวซีเเลนด์ ระบุว่า “การล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดจะสิ้นสุดลงเมื่อ 90% ของประชากรได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสเเล้ว”
จากปัจจุบัน ที่มีชาวนิวซีแลนด์ประมาณ 2 ล้านคนได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว หรือคิดเป็น 48% ของประชากรที่อยู่ในเกณฑ์
สำหรับการผ่อนคลายมาตรการในโอ๊คแลนด์ เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์มาตั้งแต่กลางเดือนส.ค.ที่ผ่านมา เเละมีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 1.7 ล้านคน จะได้รับการผ่อนคลายเป็นระยะๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.นี้
โดยประชาชนในเมืองโอ๊คแลนด์ จะสามารถออกนอกบ้านเพื่อพบปะครอบครัวหรือเพื่อนฝูงได้ไม่เกิน 10 คน ไปชายหาดและสวนสาธารณะได้ ส่วนโรงเรียนเด็กปฐมวัยจะได้รับอนุญาตให้เปิดสอนได้ เเละร้านที่ให้บริการซื้อกลับบ้าน สามารถกลับมาเปิดต่อได้ เเต่ต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยที่จำเป็น
สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในนิวซีเเลนด์วันนี้ (4 ต.ค.) เพิ่มขึ้น 29 ราย ทำให้ยอดสะสมของระลอกครั้งล่าสุดที่ 1,357 ราย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเมืองโอ๊คแลนด์ที่ล็อกดาวน์มาเกือบ 50 วันแล้ว โดยรวมนิวซีแลนด์มียอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสะสม นับตั้งเเต่เกิดโรคระบาดราว 4,300 คน และผู้เสียชีวิตเพียง 27 คนเท่านั้น
]]>
ปัจจุบัน มีชาวฟิลิปปินส์เพียง 10% จากประชากรทั้งหมด 110 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีน ‘ครบโดส’ แล้ว ยังมีประชาชนอีกหลายล้านคนที่กำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจะติดเชื้อ ขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากร 70 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้
ท่ามกลางการระบาดหนักของโควิด ‘สายพันธุ์เดลตา’ ที่ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ทำให้ทางการต้องออกมาตรการล็อกดาวน์ใน 16 เมือง ส่งมีผลกระทบต่อประชากร 13 ล้านคน
การตัดสินใจ เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ในพื้นที่สีเเดงตลอด 24 ชั่วโมงนี้ มีขึ้นเพื่อจำกัดการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก ที่มักจะมารอคิวฉีดวัคซีนในช่วงเช้า เเละต้องการกระจายวัคซีนให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
ชาวฟิลิปปินส์ วัย 71 ปีคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์กับ Reuters หลังตัดสินใจเข้ารับการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนที่ทำการตลอด 24 ชั่วโมงว่า ตอนแรกเขาไม่อยากฉีดวัคซีน เพราะตัวเองป่วยบ่อยเเละกลัวผลข้างเคียง เเต่ช่วงนี้เขาได้เห็นผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่าทยอยไปฉีดวัคซีนกัน ภรรยาและลูกของเขาจึงบอกให้เขาไปฉีดวัคซีน “เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าจะติดเชื้อโควิดตอนไหน”
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประชาชนฟิลิปปินส์หลายพันคน ‘เข้าคิวรอ’ นอกศูนย์ฉีดวัคซีนในกรุงมะนิลา หลังมีข่าวลือแพร่สะพัดว่า พวกเขาอาจจะไม่สามารถออกจากบ้านได้ หากไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
ด้านประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต สั่งการรัฐบาลให้เปิดโครงการฉีดวัคซีนให้กับ ‘ทุกคนที่ต้องการฉีดวัคซีน’
ฟิลิปปินส์ มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 1.67 ล้านราย และผู้เสียชีวิตกว่า 2.9 หมื่นราย นับเป็นยอดผู้ป่วยติดเชื้อและผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย ในวันนี้ (11 ส.ค.) มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 1.2 หมื่นราย อัตราการเข้ารักษาในโรงพยาบาลพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยโรงพยาบาล 1 ใน 5 ของประเทศกำลังเข้าขั้นวิกฤต
ก่อนหน้านี้ ทางการฟิลิปปินส์ ได้อนุมัติการใช้วัคซีนต้านโควิด-19 แล้ว ได้เเก่ AstraZeneca, Pfizer-BioNTech , Sinovac และ Sputnik V โดยมีการสั่งจองวัคซีนจาก Pfizer จำนวน 40 ล้านโดส เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
]]>