อินไซต์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 06 Nov 2025 11:11:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปเทรนด์ผู้บริโภค ปี 2026 เมื่อคนไทยเข้าสู่โหมด ‘เยียวยา ปรับจูน และเติบโต’ https://positioningmag.com/1545578 Wed, 05 Nov 2025 06:35:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545578 ปี 2026 จะเป็นปีแห่งการปรับจูนและการเติบโต โดยผู้บริโภคจะเข้าสู่โหมด ‘เยียวยา ปรับจูน และใช้ชีวิตในแบบตัวเอง’ หลังจากที่ผ่านมาประเทศไทยได้ผ่านวิกฤตต่าง ๆ มา รวมถึงในปี 2025 ที่คนไทยต้องเผชิญกับความผันผวน เหตุการณ์แผ่นดินไหว ต้องเครียดจากค่าครองชีพสูงและกลัว AI จะเข้ามาแย่งงาน จนทำให้จิตใจอ่อนล้า

 

นี่คือบทสรุปจาก ‘Session : Consumer Insight รู้ทันพฤติกรรมผู้บริโภค เจาะลึกพลังซื้อใหม่ 2026’ ในงาน SME Thailand Future Day 2026 จาก ‘อรุณโรจน์ เหล่าเจริญวงศ์’ รองผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย)

 

ย้อนดูการเคลื่อนไหวของผู้บริโภคตามยุค

 

• ปี 2018 – 2019 : Aspirational Dive 

– ผู้บริโภคมีความมั่นใจทางเศรษฐกิจ

-มุ่งสู่ความสำเร็จและสถานะทางสังคม

-ใช้จ่ายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต

-เลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่สะท้อนความสำเร็จและความมีระดับ

 

• ปี 2020 – 2022  : Disruption & Reflection

– เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์แบบฉับพลัน

– ช่วง Covid-19 ลดการใช้จ่ายเน้นสุขภาพและความมั่นคง

– ใส่ใจครอบครัวและความสัมพันธ์

– หลังล็อกดาวน์ มองหาความสุขเล็กๆ และสมดุลใจ

 

• ปี 2023 – 2025  : Burnout Build-up

–  หลัง Covid-19 ผู้บริโภคไทยเผชิญความเหนื่อยล้าและความกังวลเพิ่มขึ้น

– เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง งานไม่มั่นคงและแรงกดดันจาก AI

-คนกังวลค่าครองชีพกระทบชีวิตการเงิน

 

แม้ปัจจุบันพฤติกรรมจะมีการระมัดระวังการใช้จ่าย แต่หากทำเพื่อ ‘ฮีลใจ’ ก็พร้อมจะจ่าย ซึ่งสินค้าที่มีการเติบโต    นับตั้งแต่ปี 2023-2025 ได้แก่

 

หมวดเครื่องดื่ม โต 9%

หมวดอาหาร โต 7%

หมวดของใช้ในบ้าน โต 7%

หมวดความสวยความงาม โต 3%

 

นอกจากนี้ คนไทยมีความคาดหวังว่า ตัวเองจะมีความสุขมากขึ้นทุกปี โดยมีวิธีฮีลใจตัวเองสุดฮิต 3 วิธี ได้แก่

 

-ฮีลใจด้วยความเงียบ-ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง (46%)

-ปล่อยให้เวลาเยียวยาทุกอย่าง เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง (38%)

-ท่องธรรมชาติ เติมพลังใจจากสีเขียว สายลม แสงแดด (35%)

 

เปิด 4 พลังซื้อใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2026

 

สำหรับปี 2026  เรียกว่า เป็นปีแห่งการ “ปรับจูน” และ “เติบโต” เพื่อเผชิญกับโลกที่ไม่แน่นอน ซึ่งทุกครั้งที่โลกเปลี่ยน ผู้บริโภคไม่ได้หายไป เพียงแต่ ‘เปลี่ยนเหตุผลในการตัดสินใจ’ ซึ่งนำมาสู่ 4 พลังซื้อใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2026

 

1.The Value Maximizer – ฉลาดซื้อ ดูความคุ้มเป็นหลัก

– อายุตั้งแต่ 15-59 ปี ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในไทย

– ยังซื้อเหมือนเดิม แต่อยากได้ของ ‘คุ้มกว่าเดิม’

– พฤติกรรมการซื้อจะเทียบราคา ดูรีวิว และวัดคุณค่าต่อบาท

แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มนี้ : ต้องเน้น ‘Worth & Wisdom’ ให้ลูกค้ารู้สึกภูมิใจที่ได้ซื้อสินค้าของเรา

 

2.The Soloist -อยู่คนเดียวได้ ชอบความอิสระ

– อายุตั้งแต่ 15-59 ปี

– มีความสุขกับการอยู่และทำกิจกรรมคนเดียว

แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มนี้ : ต้องสร้างประสบการณ์แบบ Personal Spaceให้พื้นที่ที่พวกเขามี ‘อิสระ-สามารถควบคุมได้เอง’

 

3.The Kidult Escapist – กลุ่มผู้ใหญ่ที่ใช้จ่ายเพื่อความสุขของตัวเอง

– อายุ 25-45 ปี เน้นความสนุก

– จับจ่ายเพื่อ Emotional Comfort เช่น ของเล่น, บอร์ดเกม, อนิเมะ ฯลฯ

แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มนี้ : ต้องสร้างประสบการณ์ที่สนุกและปลดปล่อย เพื่อมอบความสุขคืนมาให้พวกเขา

 

4.The Silver Explorer – กลุ่มที่อยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่า

– อายุ 45-69 ปี มีทุกอย่างแล้ว ตอนนี้อยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่า

– ใช้จ่ายกับ ‘การพักผ่อน’ มากขึ้น

– ชอบทำบุญ สนับสนุนสังคม

แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มนี้ : ต้องสร้างความหมาย ชวนให้ Explore และเติมเต็มเป้าหมายของชีวิต

]]>
1545578
ไม่ใช่ใส่แค่ ‘มองเห็น’ แต่ต้องบ่งบอก ‘ตัวตน’ ที่มา Silhouette ชู Style Consultation บุกตลาดแว่นตาไฮเอนด์ในไทย https://positioningmag.com/1545066 Fri, 31 Oct 2025 08:44:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545066 จากเทรนด์ของผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อ ‘แว่นตา’ ไม่ใช่แค่ใส่เพื่อให้ ‘มองเห็นชัด’ แต่ต้องเหมาะกับบุคลิกและสไตล์ของแต่ละคน จึงเป็นเหตุผลให้ ‘บริษัท อายลิ้งค์ วิชั่น จำกัด’ ผู้นำเข้าและจำหน่ายแว่นตาแบรนด์ชั้นนำ ร่วมกับ Silhouette (ซิลลูเอท) แว่นตาแบรนด์ดังจากออสเตรีย และออฟติคาน่า จัดกิจกรรม Style Consultation By Silhouette เพื่อเจาะตลาดแว่นตาระดับไฮเอนด์

 

‘เป๊กกี้ เฉิง’ ผู้จัดการฝ่ายขาย และผู้เชี่ยวชาญด้านสไตล์แว่นตาระดับนานาชาติจาก Silhouette สำนักงานใหญ่ ประเทศออสเตรีย กล่าวว่า การเลือกแว่นตาไม่ใช่แค่เรื่องของการมองเห็น แต่คือการ แสดงตัวตน และความมั่นใจในรูปลักษณ์ บริการ Style Consultation จึงเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ Silhouette และเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์

 

บริการดังกล่าว เป็นการพัฒนาร่วมกับเมกอัปอาร์ติสต์มืออาชีพ เพื่อช่วยลูกค้าค้นหากรอบที่เข้ากับรูปหน้า สไตล์ส่วนตัว และไลฟ์สไตล์ของตนเอง เพราะ Silhouette เชื่อมั่นว่า แว่นตาควรเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน และแนวทางการให้คำปรึกษานี้ช่วยให้ลูกค้าค้นพบสไตล์ของตัวเอง แทนที่จะไหลไปตามเทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และลูกค้าให้คุณค่าอย่างมากกับประสบการณ์นี้ ทั้งในด้านความพึงพอใจของลูกค้า ความผูกพันทางอารมณ์กับแบรนด์ และการ กลับมาซื้อซ้ำ

สำหรับเทรนด์แว่นตาปี 2025 และ 2026 ทาง แนะนำการเลือกแว่นตาให้เข้ากับบุคลิกและกิจวัตรประจำวันของแต่ละบุคคล ทั้งรูปทรงใบหน้าของผู้สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงคิ้ว สีของดวงตา สีผิว สีผม เพื่อให้ได้กรอบแว่นตา Silhouette ที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด

 

เป๊กกี้ เฉิง ยังได้อัปเดตเทรนด์แว่นตาในปี 2025–2026 ว่า จะถูกกำหนดโดยประสบการณ์ทางสายตาแบบองค์รวม และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น สำหรับแนวทางของ Silhouette จะเน้นการออกแบบกรอบและเลนส์ให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อมอบความแม่นยำทางสายตา น้ำหนักเบา และความสบาย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น

การดีไซน์แบบไร้ขอบ (Rimless) ที่ได้เปิดตัว The Visionary เป็นการออกแบบเลนส์ฐาน 2 แบบใหม่ พร้อมคานจมูกร่วมสมัยและขาแว่นที่พัฒนาเฉพาะสำหรับตลาดเอเชีย สำหรับดีไซน์แบบกรอบเต็ม (Full-rim) ได้ขยายคอลเลกชันด้วย Titanium Reframed, Titanium Shield, Pure Visionary และ Titanium Wire

 

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการผลิต วัสดุ SPX® Green+ ซึ่งเป็นวัสดุไบโอเซอร์คูลาร์ประสิทธิภาพสูง และการออกแบบแว่นตาของ Silhouette เริ่มต้นจากการเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงวิถีชีวิต การเคลื่อนไหว และการแสดงออกของผู้คนในแต่ละวัฒนธรรม เพื่อสร้างความเข้าใจเชิงลึกและนำมาปรับใช้กับการออกแบบทุกรายละเอียด ตั้งแต่สัดส่วนรูปทรง คานจมูก ความยาวขาแว่น ไปจนถึงโทนสี เพื่อให้เหมาะกับความชอบของแต่ละภูมิภาค โดยเฉพาะในเอเชีย เป็นต้น

 

ขณะที่ตลาดแว่นตาในประเทศไทย ‘ประพันธ์ ผดุงเกียรติสกุล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายลิ้งค์ วิชั่น จำกัด บอกว่า มีมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดแฟชั่น 80% อีก 20% เป็นตลาดฟังก์ชันนอล โดยกลุ่มฟังก์ชันนอลเป็นตลาดที่มีผู้เล่นไม่เยอะ และลูกค้ามี Loyalty สูง ซึ่งลูกค้าหลักเป็นคนอายุ 40 ปีขึ้นไป

สำหรับแบรนด์ Silhouette ถือเป็นผู้นำของตลาดฟังก์ชันนอลในระดับโลก ปัจจุบันมีจุดจำหน่ายในประเทศไทย 140-150 แห่ง ซึ่งมีการเติบโตที่ดี

 

ทั้งนี้ แว่นตา Silhouette มีการส่งออกไปใน 100 ประเทศทั่วโลก โดยในปี 1999 ได้มีการออกโปรดักต์ Titan Minimal Art มีน้ำหนัก 1.8 กรัม ไม่มีขอบ สกรู หรือบานพับ กลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่องค์การ NASA ให้การยอมรับและเลือกใช้เป็นแว่นตาสำหรับนักบินอวกาศ ร่วมเดินทางในภารกิจสำคัญถึง 35 ครั้ง รวมถึงคนดังมากมายในวงการบันเทิง ธุรกิจ และการเมือง ทั่วโลก ผู้ชื่นชอบความเบาสบาย สวมใส่ติดตัวเสมอ ซึ่งได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนการตัดสินใจอยู่เสมอ

]]>
1545066
สรุปอินไซต์น่าสนใจตลาด ‘อีคอมเมิร์ซไทย’ และเทรนด์ใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป https://positioningmag.com/1536481 Wed, 03 Sep 2025 07:31:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1536481 สรุปอินไซต์ ‘ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย’ ที่แม้ GDP บ้านเราจะเติบโตน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และเศรษฐกิจอยู่ช่วงขาลง แต่ ‘คนไทย’ ยังครองแชมป์ ‘ขาช้อป’ ที่จับจ่ายออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก รวมถึงมีเทรนด์การใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นความคุ้มค่า ซึ่งไม่ได้มองแค่ ‘ราคาถูก’ ยังมองคุณภาพ การใช้งานในระยะยาว บริการ และความน่าเชื่อถือ

 

อี-คอมเมิร์ซไทยโตสวน GDP

 

‘วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ตอนนี้แม้เศรษฐกิจภาพรวม ดูจะชะลอตัวลง และ GDP ประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนแล้วจะมีการเติบโตน้อยกว่า แต่มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยกลับมีการเติบโตสวนกระแส และคนไทยไม่ได้ช้อปออนไลน์น้อยลงเลย

 

ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเป็นอย่างไร

 

-ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทย ปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เติบโต 21.7% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่เติบโต 12%

-67% ของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยขับเคลื่อนโดย E-Marketplace

-การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปี 2568 ยอดขายสินค้าบนอีคอมเมิร์ซคิดเป็น 1 ใน 4 ของตลาดค้าปลีกไทยแล้ว

-คาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย จะมีมูลค่าเติบโตรวม 2 ล้านล้านบาท ในอีก 5 ปี หรือภายในปี 2573

 

สำหรับปัจจัยการเติบโตที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่ทำให้นักช้อปไทยเปิดใจและหันมาใช้บริการซื้อของออนไลน์มากขึ้น โดยนักช้อปไทยมีการซื้อของออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็น ‘อันดับ 1 ของโลก’ คิดเป็น 68.2% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 56.1%

คนไม่ได้ดูแค่ของถูกแต่หาความคุ้มค่า

 

นอกจากเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ‘พฤติกรรม’ ขาช้อปออนไลน์ไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน

 

วาริสฐาบอกว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยมีผู้บริโภคประมาณ 43.5 ล้านคน ที่น่าสนใจ คือ คนช้อปออนไลน์มีทุกเจนเนเรชั่น แบ่งเป็น

-กลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีสัดส่วน 62% ของตลาด

-Gen X มีสัดส่วน 33% ของตลาด

นอกจากนี้ คนไทยมองหา ‘ความคุ้มค่า’ ในทุกการช้อป ซึ่งความคุ้มค่าไม่ใช่ ‘ราคาถูก’ แต่ให้ความสำคัญกับ คุณภาพ, การใช้งานในระยะยาว, การบริการ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ สะท้อนจาก

 

-ช่วงแคมเปญมียอดสั่งซื้อเพิ่มกว่า 15%

-50% ของคำสั่งซื้อช่วงแคมเปญมีการใช้คูปองหลายต่อ ทั้งส่งฟรีและส่วนลด

-ยอดขายช่วงเมกะแคมเปญ และ Double Digits เพิ่มขึ้น 300% เมื่อเทียบกับเวลาปกติ

 

“ในอดีตพฤติกรรมนักช้อปไทยจะมองความคุ้มค่าในเรื่องราคา แต่ในปีนี้ลูกค้ามองคำว่าคุ้มค่าแบบองค์รวม ดูตั้งแต่คุณภาพ การใช้งานในระยะยาว บริการ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากกว่าราคาถูก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เปลี่ยนไปมาก”

 

อีกความน่าสนใจ คือ นักช้อปคนไทยหันมาซื้อแบรนด์แท้มากขึ้น เห็นชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่แม้สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ยอดขายจาก LazMall ซึ่งการันตีขายของแท้มีการเติบโตขึ้น 22% และมีการใช้จ่ายต่อบิลต่อครั้งเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,000 บาท

จากการเติบโตที่เกิดขึ้น ทางลาซาด้า ประกาศวิสัยทัศน์ Next-Level eCommerce ในการเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ ประกอบด้วย

  1. บุกเบิกและยกระดับมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง
  2. มุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มพรีเมียมและศูนย์รวมแบรนด์ชั้นนำ
  3. สร้างการเติบโตในระยะยาวด้วยคุณภาพอย่างแท้จริง

4.เดินหน้าสร้างคุณค่าและผลกระทบเชิงบวกให้กับผู้ซื้อ, แบรนด์, ผู้ขาย และพันธมิตรอย่างยั่งยืน

 

โดยวิสัยทัศน์ดังกล่าว จะเดินหน้าผ่าน 3 แกนหลัก

1.คัดสรรสินค้าคุณภาพครบทุกหมวดหมู่ (High-Quality Assortment) : นำเสนอสินค้าแบรนด์แท้ 100% ตลอดจนสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ลาซาด้า ผ่าน LazMall และ LazMall Luxury ที่มีมากกว่า 32,000 แบรนด์ทั่วทั้งภูมิภาค ควบคู่กับเพิ่มความหลากหลายด้วยหมวดหมู่ขายดีอย่าง LazBEAUTY, LazLOOK และ Lazada Electronics

รวมถึงนำร่องโมเดลค้าส่งสำหรับลูกค้าธุรกิจ (B2B) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ประกอบการ ด้วยสินค้ากว่า 15,000 รายการ ครอบคลุมหมวดเกษตรกรรม อุปกรณ์ประปา และอุปกรณ์ไฟฟ้า

2.มอบประสบการณ์การช้อปที่เหนือกว่า (High-Quality Experience) ด้วย 4 การันตีจาก LazMall (การันตีสินค้าแบรนด์แท้ 100%-จัดส่งตรงเวลา-คืนสินค้าพร้อมเงินคืนไว-การันตีสต๊อกพร้อม), โปรแกรมส่งเร็วพิเศษ Priority Delivery 24 Hours สั่งซื้อสินค้าภายในเที่ยง ได้รับสินค้าในวันถัดไป ฯลฯ

3.ดึงอินไซต์สร้างอิมแพคผ่านแคมเปญคุณภาพ (High-Quality Campaign)

]]>
1536481
Edgy Aging วัยเก๋าเจนใหม่ ที่กล้าเปิดรับสิ่งใหม่ กระเป๋าหนักพร้อมจ่ายในสิ่งที่ใช่ https://positioningmag.com/1534767 Thu, 21 Aug 2025 06:22:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1534767 ตอนนี้บ้านเราได้ก้าวสู่ Aging Society อย่างสมบูรณ์ โดยปัจจุบันประชากรไทยอายุ 55 ปีขึ้นมีอยู่ประมาณ 18.6 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจากกลุ่มผู้สูงวัยที่มีอยู่ทั้งหมด มีผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งที่นักการตลาดให้ความสนใจ และมองว่า มี ‘คุณค่าสูง’ นั่นคือ Edgy Aging

 

ผู้บริโภคกลุ่มนี้นักการตลาดนิยามว่า เป็น ‘กลุ่มผู้สูงวัยยุคใหม่’ ที่ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ กล้าเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ และมีกำลังซื้อสูงพร้อมจ่ายในสิ่งที่ใช่ เนื่องจากต้องการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และรู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่าเสมอ

 

โดยในปี 2019 กลุ่ม Edgy Aging มีจำนวน 2 ล้านคนจากกลุ่มผู้สูงวัยทั้งหมด 15.7 ล้านคน และในปี 2025 มีอยู่ 5.6 ล้านคน จากผู้สูงวัยทั้งหมด 18.6 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

 

พฤติกรรมการใช้จ่ายของกลุ่ม Edgy Aging เป็นอย่างไร

 

คนกลุ่มนี้ มีกำลังซื้อสูง (High Spending Power) โดย 66% รู้สึกว่า ปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ได้กระทบต่อตัวเอง และยังคงซื้อสิ่งที่อยากได้ตามปกติ, มีอำนาจการใช้จ่ายสูงในสินค้าที่ต้องการมากกว่ากลุ่มอื่นถึง 2 เท่า โดยเฉพาะในสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวกับสุขภาพ ความสุข และอิสรภาพส่วนตัว

 

นอกจากนี้ 78% เป็นนักรีวิวที่ดี เพราะชอบแชร์ประสบการณ์การใช้สินค้าหรือบริการที่รู้สึกว่า ‘ดี’ ผ่านโซเชียลและคอมมูนิตี้  อีกทั้งเกินครึ่งยังเปิดรับโฆษณาจากสื่อ เพื่อดูข้อมูลซื้อสินค้า

 

หมวดสินค้าที่กลุ่มนี้ยินดีจ่ายมากขึ้น

 

ดูแลสุขภาพ (Health Care) – 69%

อาหารและการกิน (Food & Dining) – 62%

ของใช้ส่วนตัว (Personal Care) – 48%

การเงินและการลงทุน (Finance & Investment) – 46%

ดูแลสัตว์เลี้ยง (Pet Care) – 41%

ของใช้ภายในบ้าน (Home Care) – 34%

เทคโนโลยี / อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Gadget / IT) – 25%

ท่องเที่ยวในประเทศ (Domestic Travel) – 22%

เครื่องใช้ไฟฟ้า (Home Appliance) – 17%

ของซ่อมแซม / DIY (DIY / Maintenance) – 13%

 

ส่วนสถานที่ที่กลุ่ม Edgy Aging ใช้เวลาอยู่นอกบ้าน ได้แก่ สวนสาธารณะ, ฟิตเนส, สปอร์ตคลับ,  ช้อปปิ้งมอลล์, ร้านอาหาร, โรงเรียน (รับหลาน), ตลาดสด/งานแฟร์/งานแสดงสินค้า สำหรับนัดกันเป็นกลุ่มไปเที่ยว ไปชิมด้วยกัน, โรงพยาบาล และศูนย์สุขภาพ สำหรับเช็กอัพร่างกาย

 

โดยสรุปกลุ่ม Edgy Aging เป็นกลุ่มวัยเก๋ายุคใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง เพราะทำงานมาจนถึงช่วงปลายของการทำงาน พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ และพร้อมจ่ายเพื่อสุขภาพ ความสุข และอิสระ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง หรือตอบโจทย์ต่อการใช้ชีวิต ซึ่งหากแบรนด์ใดเข้าใจ และสามารถเข้าถึงได้ นั่นหมายถึงโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ

]]>
1534767
เปิดอินไซต์กลุ่ม HNW ผู้มีความมั่งคั่ง ที่แม้สัดส่วนจะน้อย แต่มีพลังและ Value สูง https://positioningmag.com/1523098 Sat, 24 May 2025 10:22:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1523098 เจาะอินไซต์กลุ่ม High-Net-Worth (HNW) ผู้มีความมั่งคั่ง ที่ ‘พรูเด็นเชียล’ บอกว่า แม้จะมีสัดส่วนน้อย แต่มีพลังและ Value สูง จนเป็นอีกหนึ่งกลุ่มผู้บริโภคที่น่าจับตาและต้องการเข้าถึง

 

‘บัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) เล่าว่า ด้วยตอนนี้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัจจัยท้าทายรอบด้าน และฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคหลายกลุ่ม แต่กลุ่ม High-Net-Worth (HNW) หรือผู้มีความมั่งคั่งมีผลกระทบน้อยที่สุด และเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดย

 

•ปี 2566 กลุ่ม HNW ในไทยมีการเติบโต 10.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก

 

•ในอีก 5 ปีข้างหน้า การเติบโตของกลุ่ม HNW จะเพิ่มขึ้น 24% จาก 100,000 คน เป็น 124,000 คน

 

•จากการเติบโตของคนกลุ่มนี้ ทำให้ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งทั้งในระดับโลกและประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 6% และคาดว่าในปี 2571 มูลค่าสินทรัพย์ในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของไทยจะทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

“คนกลุ่มนี้เริ่มให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินและสร้างความมั่นคงให้ทายาทมากขึ้น โดย คาดว่า ภายใน 10 ปี ข้างหน้าจะมีการโอนถ่ายทรัพย์สินระหว่างรุ่นสู่รุ่นหลายล้านล้านบาท”

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทย มีการจัดทำพินัยกรรมเพียง 13% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ 30-40% เช่น สหรัฐฯอยู่ที่ 46%

 

นอกจากนี้ การวางแผนมรดกยังไม่เป็นที่เข้าใจในระดับสังคม คนไทยจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่า การจัดทำพินัยกรรมเป็นเรื่องไกลตัวหรือเฉพาะผู้มีทรัพย์สินมาก และการไม่มีแผนชัดเจน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มักพาไปสู่ข้อพิพาทภายในครอบครัว ภาระภาษีไม่คาดคิด และการสูญเสียคุณค่าที่ส่งต่อ

 

“แม้กลุ่ม HNW จะมีเพิ่มขึ้นและต้องการเอาทุนประกันก้อนใหญ่ แต่ในไทยยังมีบริการตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ไม่เยอะ ที่ผ่านมากลุ่มนี้จึงมักเลือกซื้อประกันในต่างประเทศ เพราะมีโซลูชันตอบโจทย์มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น เบี้ยประกันราคาถูกกว่าไทย และซื้อหรือรับผลประโยชน์เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า เฉพาะเบี้ยปีแรกมีเม็ดเงินการซื้อประกันกลุ่มนี้ออกไปต่างประเทศราว 15,000 ล้านบาท”

 

ด้วยแนวโน้มดังกล่าว เมื่อปี 2567 พรูเด็นเชียลได้เปิดตัว PRULegacy ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า HNW เน้นการวางแผนการเงินและการลงทุนเพื่อความมั่นคงในการวางแผนภาษี และการเลือกเครื่องมือถ่ายโอนทรัพย์สินที่มีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ประกันชีวิตเป็นมรดก รวมถึงบริการร่างพินัยกรรมและบริหารจัดการภาษีร่วมกับสำนักงานกฎหมายชั้นนำ

 

โดยปัจจุบันพรูเด็นเชียล มีลูกค้า 1.6 ล้านคนในประเทศไทย เป็นลูกค้าที่อยู่ใน PRULegacy ประมาณ 7,700 คน จ่ายเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป และ PRULegacy+ จ่ายเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป 100 คน คาดา สิ้นปีนี้จะมีลูกค้ากลุ่มนี้รวมแล้ว 10,000 คน

]]>
1523098
ถอดรหัส ‘ตลาดหัวใจหลากสี’ ขุมทรัพย์เศรษฐกิจที่มีมูลค่ากว่า 1.52 แสนล้านบาท https://positioningmag.com/1519716 Mon, 28 Apr 2025 05:10:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1519716 วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผยผลวิจัย ‘Love Wins Marketing: ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ ชี้กลุ่ม LGBTQIA+ ที่มีมากกว่า 5.9 ล้านคน คิดเป็น 9% ของประชากรไทยกำลังกลายเป็น ‘ขุมทรัพย์ทางเศรษฐกิจใหม่’ ซึ่งจะสร้างรายได้เพิ่มกว่า 152,000 ล้านบาท

 

ผลวิจัยดังกล่าว เปิดเผยว่า หลัง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ในปี 2568 ส่งผลให้กลุ่มผู้บริโภค LGBTQIA+ ในประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 5.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 9% ของประชากรทั้งประเทศ กลายเป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจใหม่ที่น่าจับตา เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มี ‘กำลังซื้อและมีแนวโน้มใช้จ่ายสูง’

 

พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ LGBTQIA+ ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงตัวตน การได้รับการยอมรับ และเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ไม่ได้มองเพียงแค่ ‘คุณภาพ’ หรือ ‘ราคา’ แต่ให้ความสำคัญกับ ‘ประสบการณ์’ ที่ได้รับจากแบรนด์ที่มีความเข้าใจและเคารพความหลากหลายอย่างแท้จริง

 

เจาะลึกพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าและบริการของชาว LGBTQIA+ใน 6 มิติหลัก

 

1.ด้านการแต่งงานและการใช้ชีวิตคู่ : 56.1% ของกลุ่ม LGBTQIA+ อยากจัดงานแต่งงาน โดย 48.7% นิยมจัดงานที่โรงแรม ซึ่งในจำนวนนี้พบว่า เป็นกลุ่ม Gay Gen Z มากที่สุดถึง 64.9% และนิยมจัดงานขนาดกลาง (50-100 คน) 54.4% ส่วนงบประมาณในการจัดงานเฉลี่ยอยู่ที่ 300,000-500,000 บาท และที่น่าสนใจคือ 4.7% ของกลุ่มนี้มีการวางแผนใช้งบประมาณมากกว่า 1 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่ม Gay Gen Z

 

2.ด้านการท่องเที่ยวและฮันนีมูน : 51.8% กลุ่ม LGBTQIA+ มีความสนใจและวางแผนไปฮันนีมูนหลังแต่งงาน โดยมี Lesbian สูงถึง 35.2% ที่ชื่นชอบการไปฮันนีมูน และ Lesbian Gen Y นิยมไปฮันนีมูนในเอเชียมากที่สุด 46.9% รองลงไปคือภายในประเทศ 32% และยุโรป 21.1% สำหรับที่พักที่นิยมสำหรับฮันนีมูน Private Villa 40.6% , โรงแรมหรู 31.3%

 

ผลวิจัยยังระบุว่า กลุ่ม LGBTQIA+ ใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 20,000-50,000 บาทต่อปี เฉลี่ยท่องเที่ยว 3-5 ครั้งต่อปี โดยกลุ่ม Gay Gen Y มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวสูงที่สุดอยู่ที่ 20,000-50,000 บาท

 

ผลวิจัยยังพบว่า 54% ของกลุ่ม Gay Gen Z ชอบให้เอเจนซี่วางแผนฮันนีมูนให้มากกว่าวางแผนด้วยตัวเอง ขณะที่ 33% ของกลุ่ม Gay Gen Z นิยมเลือกจุดหมายปลายทางประเภท Beach & Sea share

 

3.ด้านการวางแผนครอบครัวและการมีบุตร : 54% ของกลุ่ม LGBTQIA+ วางแผนมีบุตรภายใน 2 ปี

หลังแต่งงาน โดยกลุ่ม Lesbian Gen Z มีความต้องการมีบุตรสูงที่สุด และผลวิจัยยังพบว่า 12.9% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ต้องการใช้บริการธนาคารฝากเซลล์สืบพันธุ์ในการมีบุตร โดยทางเลือกในการมีบุตรของกลุ่ม LGBTQIA+ มีหลากหลาย เช่น

 

การปฏิสนธินอกร่างกาย (IVF) ที่มีค่าใช้จ่ายประมาณ 300,000-500,000 บาท, การตั้งครรภ์แทน ค่าใช้จ่ายสูงถึง 1-2.5 ล้านบาทหรือมากกว่า และการรับบุตรบุญธรรมที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่ 5,000-10,000 บาท

 

งานวิจัยยังชี้ว่า ค่าใช้จ่ายในการมีบุตรของกลุ่ม LGBTQIA+ สอดคล้องกับงบประมาณที่วางแผนไว้ที่ประมาณ 500,000-1,000,000 บาท

 

4.ด้านการเงิน ที่อยู่อาศัย และการลงทุนร่วม : 54% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง และพบว่า กลุ่ม Lesbian มีความต้องการสูงที่สุด โดยในจำนวนนี้ 79.1% ของกลุ่ม LGBTQIA+ เลือกซื้อที่อยู่เป็นบ้านเดี่ยว และ 20.9% เลือกย้ายไปอยู่กับคู่รัก โดยมีงบประมาณเฉลี่ย 3-5 ล้านบาท

 

ขณะที่กลุ่ม Lesbian Gen Z สนใจซื้อคอนโดมิเนียมสูงถึง 44% ส่วนกลุ่ม Gay Gen Z และ Others Gen Z สนใจบ้านเดี่ยวมากกว่า 40% นอกจากนี้ 86% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ยังมองหาสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำกว่า 5% โดยกลุ่ม Lesbian Gen Y และ Gay Gen Z ยอมรับดอกเบี้ยได้สูงถึง 7.01-10%

สำหรับด้านการวางแผนการเงินพบว่า กลุ่ม Lesbian วางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศัยสูงที่สุด ขณะที่กลุ่ม Gay วางแผนการเงินเพื่อยานพาหนะมากที่สุด และกลุ่ม Others วางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุและแปลงเพศที่ 2.9%

 

ผลการวิจัยยังพบว่า 55% ของชาว LGBTQIA+ เลือกที่อยู่อาศัยโดยให้ความสำคัญกับ ‘ทำเลและความปลอดภัย’ เป็นหลักโดย 30% ของ Gay Gen Z เลือกทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า และ 56% มีแนวโน้มกระจายตัวอาศัยนอกเขตธุรกิจ

 

6.ด้านสุขภาพและประกันภัย  พบว่า 48.6% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้จ่ายกับประกันในช่วง 10,000-30,000 บาทต่อปี โดยประกันสุขภาพเป็นที่ต้องการของกลุ่ม Gay Gen Y มากที่สุด ประกันชีวิตแบบระบุผู้รับผลประโยชน์เป็นที่ต้องการของกลุ่ม Lesbian Gen Y มากที่สุด และประกันการเดินทางเป็นที่ต้องการของกลุ่ม Gay Gen Z มากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการในการท่องเที่ยว

 

นอกจากนี้ กลุ่ม Lesbian สนใจบริการศัลยกรรมแปลงเพศ 8.7% มากกว่ากลุ่ม Gay ที่สนใจเพียง 3.5% และยังมีความต้องการบริการด้านสุขภาพจิต บริการด้านสุขภาพทางเพศสำหรับ LGBTQIA+และการตรวจสุขภาพทั่วไปอีกด้วย

ด้านพฤติกรรมการบริโภคและทัศนคติต่อแบรนด์ พบว่า 77% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้ปัจจัยด้านราคาและคุณภาพเป็นเหตุผลในการตัดสินใจซื้อ โดย

กลุ่ม Gay Gen Y เน้น ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ราคา’

กลุ่ม Lesbian Gen Y มอง ‘ภาพลักษณ์’ มากกว่า ‘ราคา’

กลุ่ม Others Gen Y กว่า 61% เป็นกลุ่ม Price-Sensitive ที่อ่อนไหวต่อราคา

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า 23% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้ประสบการณ์ด้านบริการเป็นเหตุผลในการตัดสินใจซื้อ โดยบริการที่เป็นที่ต้องการในกลุ่ม LGBTQIA+ ได้แก่ บริการให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย, บริการการวางแผนครอบครัวและการมีบุตร และบริการแพทย์เฉพาะทาง/คลินิกพิเศษเฉพาะกลุ่ม

 

กลุ่ม Lesbian Gen Z นิยมออกเดทมากที่สุด โดย 77.8% ของกลุ่มนี้ออกเดท ส่วนที่เหลือไม่ออกเดท และยังพบว่า กลุ่ม LGBTQIA+ ใช้จ่ายเฉลี่ย 2,000-5,000 บาทต่อเดือนในการออกเดท โดย 22.46% มีการใช้จ่ายสูงกว่า 5,000 บาทต่อเดือน

 

‘อาจารย์ประเสริฐ ธนัชโชคทวี’ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการสาขาการตลาด CMMU กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลุ่ม LGBTQIA+ ไทย และโอกาสทางธุรกิจที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่า หลัง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมบังคับใช้ จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 4 ล้านคน สร้างรายได้ 152,000 ล้านบาท และส่งผลให้ GDP ไทยเพิ่มขึ้น 0.3%

 

น่าสนใจไปกว่านั้น ไทยยังติดอันดับใน Top Quartile ของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อ LGBTQIA+ จาก 213 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจกลุ่มนี้ในประเทศไทย และจากผลวิจัยยังพบว่า กลุ่ม LGBTQ+ อยากมีลูกสูงถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับคนทั่วไปและตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของไทยมีมูลค่า 6.3 พันล้านบาท โตขึ้น 6.2% รวมถึงการซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านจากคู่ LGBTQIA+ เพิ่มขึ้น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา 15-20%

 

]]>
1519716
คนไทยแต่ละวัย เสพคอนเทนต์ต่างกันหรือไม่ แล้วเสพเพื่ออะไร? https://positioningmag.com/1515815 Sat, 22 Mar 2025 05:30:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1515815 สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) ได้เผยถึงผลสำรวจฉบับพิเศษประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ ‘Content ต่างใจ เพราะวัยต่างกัน’ ทำให้พบอินไซต์น่าสนใจ หลังจากปี 2567 เป็นยุค ‘แฟนด้อมครองเมือง’ มีผลต่อสังคมและเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่กระแส ‘หมูเด้งฟีเวอร์’ ไล่มาถึงความฮอตของ ‘ซีรีส์จีน’ และ ‘ซีรีส์วาย’

 

การศึกษานี้ เป็นการสำรวจกลุ่มตัวอย่างชายและหญิงรวม 1,200 คน อายุ 20-59 ปีจาก 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ผ่านการทำแบบสอบถามเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งเมื่อเจาะลึกถึงอินไซต์ของคนแต่ละกลุ่ม พบว่า  

 

1.วัย 20+ เติมพลังค้นหาตัวตนแบบ NO Judge

 

คนกลุ่มนี้อายุ 20 – 29 ปี ให้ความสำคัญกับการเยียวความเศร้า หาความรู้สึกสร้างแรงบันดาลใจ และเติมพลังให้กับตัวเอง โดยมักเสพคอนเทนต์โรแมนติก (+9) เพื่อหลีกความเป็นจริงและเติมเต็มความรู้สึก มีความสนใจในศิลปะ วัฒนธรรม และนวัตกรรม (+7) รวมถึงเนื้อหาที่ท้าทายและเร้าใจ (+4) ซึ่งสามารถกระตุ้นแรงบันดาลใจและเติมเต็มพลังชีวิตได้

 

สำหรับเหตุผลหลักที่ทำให้คนเสพเนื้อหา คือ 35% เพื่อเยียวยาความเศร้า สะท้อนถึงความรู้สึกสับสนและความเหงาในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นผู้ใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็ยังมองหาแรงบันดาลใจและความตื่นเต้น 33% เพื่อค้นพบตัวตนและเสริมสร้างความมั่นใจในการเดินหน้าต่อไป

 

แล้วแบรนด์และนักการตลาดจะทำอย่างไรเพื่อเข้าถึงคนกลุ่มนี้ ?

 

กลุ่มอายุ 20 – 29 ปี คือ ช่วงเวลาแห่งความคิดสร้างสรรค์ ค้นหาตนเอง ทดลองเรียนรู้ และทำอะไรใหม่ ๆ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แค่กล้าที่จะเป็นตัวเองในแบบที่ตัวเองต้องการ และแสดงไอเดียใหม่ ๆ ให้โลกได้เห็น แบรนด์ต่าง ๆ สามารถสร้างแคมเปญเพื่อให้คนช่วงวัยนี้มีส่วนร่วมได้ เช่น

 

The Magic Hour: เปิดพื้นที่ให้วัยนี้ได้ Co-Create ร่วมคิดและเสนอ Tagline หรือไอเดียแคมเปญใหม่ของแบรนด์ โดยเชื่อมโยงกับเทรนด์ฮิตในช่วงเวลานั้น เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับแคมเปญ รวมถึง Out of purpose” Challenge สนุกไปกับการรีวิวของต่าง ๆ อย่างมีความคิดสร้างสรรค์และไม่ซ้ำใครให้แชร์ไอเดียการใช้สินค้าในแบบใหม่ แบบครีเอทีฟ และคาดไม่ถึง

 

2.วัย 30+ ชีวิตของเดอะแบก

 

คนกลุ่มนี้อยู่ในช่วงอายุ 30-39 ปี เป็นช่วงวัยที่มีการเสพความบันเทิงที่หลากหลายและรอบด้านมากที่สุด มีรสนิยมที่หลากหลาย สนใจทั้งเนื้อหาการสำรวจ (+2) อาหารและการทำอาหาร (+3) และศิลปะ วัฒนธรรม และนวัตกรรม (+2)

 

คอนเทนต์ที่คนวัยนี้เสพ กว่า 32% เสพเพื่อการอัปเดตเทรนด์ และ 27% เพื่อเยียวยาความเศร้าเพราะผู้คนในช่วงวัยนี้ คือ ‘เดอะแบก’ ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องงาน ครอบครัว และชีวิตส่วนตัว ถูกถาโถมด้วยความรู้สึกที่ต้องรู้เทรนด์ต่าง ๆ ทำให้ในทางกลับกันเขามองหาชีวิตจริง หรืออยากรับรู้ว่าคนอื่น ๆ ก็เหน็ดเหนื่อยอย่างเขาเช่นกัน ทำให้พวกเขาชื่นชอบคอนเทนต์เสียดสีชีวิตประจำวัน เช่น ปัญหาการทำงาน การเลี้ยงลูก และโครงสร้างอำนาจในที่ทำงาน เป็นต้น

 

ชีวิตวัย 30+ ปี มักเต็มไปด้วยเรื่องราวและความวุ่นวาย แต่ก็ยังต้องการการเชื่อมต่อที่ ‘ไม่ต้องพยายามแต่ยังมีความหมาย’ แบรนด์ลองใช้กลยุทธ์เหล่านี้ได้ เช่น แคมเปญ Real or Reel ชวนวัย 30+ ร่วมแชร์โมเมนต์ Unfiltered ของชีวิต แสดงมุมมองของชีวิตจริง ที่มีประโยชน์และเข้าใจต่อผู้คนทั่วไป

 

รวมถึง อาจจะ ‘สรุปประเด็น เทรนด์รายสัปดาห์’ ช่วยให้ติดตามประเด็นข่าวสารได้ง่ายและรวดเร็วในที่เดียว ช่วยให้ผู้คนในช่วงวัย 30+ ได้อย่างมีคุณค่าในทุกช่วงเวลาของชีวิต

 

3.วัย 40+ มองหาการฮีลใจ

 

คนกลุ่มนี้อายุ 40-49 ปี มักให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่สร้างความผ่อนคลายและเติมเต็มความสุขส่วนตัว เช่น อาหารและการทำอาหาร (+3%) และเรื่องราวลี้ลับ (+1%) และสวนทางกับคนในช่วงวัย 20+ เนื่องจากความสนใจในเนื้อหาโรแมนติกลดลง (-7%)

 

เหตุผลหลักที่เสพเนื้อหาเหล่านี้ 27% เพื่อผ่อนคลายความเครียดและความกังวล และ 26% เพื่อสนับสนุนคนที่ชอบหรือสิ่งที่ชอบ เพราะแม้พวกเขาจะมีชีวิตที่มั่นคง แต่ต้องเผชิญกับความรู้สึกซ้ำซาก จำเจ และขาดความตื่นเต้น ทำให้มองหาเนื้อหาที่สนุก ง่ายต่อการรับชม และสร้างแรงบันดาลใจแบบเบา ๆ

 

สำหรับชาว 40+ แบรนด์สามารถเชื่อมต่อผ่านแคมเปญต่าง ๆ เช่น Thorwback Watch Party ชวนย้อนยุคกลับไปในช่วงเวลาแห่งความคลาสสิกในช่วงยุค 80s หรือ 90s , 5 Ingredients, 15 Minutes ความสนุกท้าทายความคิดสร้างสรรค์และจัดการแข่งขันแบบเบา ๆ ฮีลใจ ทำให้ทุกช่วงเวลาของชีวิตมีความหมายและสนุกคุ้มค่ามาก ยิ่งขึ้น

 

4.วัย 50+ มองหาความหมายใหม่ ๆ ให้ชีวิต

 

ช่วงอายุ 50 – 59 ปี ผลสำรวจชี้ว่า เป็นกลุ่มที่มีความรู้สึกเหมือน Empty Nest นั่นคือลูก ๆ เริ่มโตและกำลังออกไปสร้างรังใหม่ของตัวเอง ทำให้คนกลุ่มนี้ต้องเริ่มมองหาความหมายใหม่ ๆ ให้ชีวิต และพบว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสังคมและขนบธรรมเนียม เช่น เสียดสีสังคม การเมือง และศาสนา (+2%) ในทางกลับกันความสนใจในเนื้อหาผจญภัย (-9%) อาหารและการทำอาหาร (-5%) และโรแมนติก (-4%) ลดลง

 

เหตุผลที่คนในช่วงวัยนี้ให้ความสนใจคอนเทนต์ประเภทนี้ 32% เพื่อเชื่อมโยงกับชุมชน, 30% เพื่อสนับสนุนคนที่ชอบหรือสิ่งที่ชอบ และ 17% เพื่อเยียวยาความเศร้า

แบรนด์และนักการตลาดที่ต้องการเข้าถึงคนกลุ่มนี้ ด้วยความคนวัย 50+ กำลังเริ่มต้นการเดินทางใหม่กับชีวิตช่วงวัยหลังเกษียณ รวมถึงค้นหาจุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิตกับครอบครัวและเพื่อน ๆ แบรนด์อาจทำแคมเปญ เช่น From Our Time to Yours ให้วัย 50+ ถ่ายทอดภูมิปัญญาเก่าในรูปแบบร่วมสมัย การผสมผสานความทรงจำและความเกี่ยวข้องจะทำให้ความบันเทิงเป็นตัวเชื่อมโยงทุกยุคสมัย

 

หรือจะเป็นการสร้าง Legacy Moments ให้พวกเขาแบ่งปันเรื่องราวชีวิตและประสบการณ์กับคนรุ่นใหม่ ผ่านกิจกรรมออนไลน์หรือเวิร์กช็อป เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและสร้างแรงงงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นถัดไป เป็นต้น

]]>
1515815
มองเศรษฐกิจรอบด้าน เปิดวิเคราะห์ SCB EIC ครัวเรือนไทยรายได้-ใช้จ่ายลดในรอบ 10 ปี หนี้สูง https://positioningmag.com/1261075 Fri, 17 Jan 2020 11:32:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1261075 EIC ปรับลด GDP ไทยปีนี้เหลือ 2.7% คาดส่งออกฟื้นเพียงแค่ 0.2% เงินบาทยังเเข็งค่าต่อ มองเจรจาสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ เฟส 2 มีแนวโน้มลงเอยค่อนข้างยาก การลงทุนภาคเอกชนในไทยยังชะลอตามกำลังซื้อ ภาครัฐจะประคับประคองเศรษฐกิจมากขึ้น คาดประมูล 5G กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนภาคครัวเรือนไทย รายได้-การใช้จ่ายลดลงครั้งเเรกในรอบ 10 ปี หนี้สูง การเงินเปราะบาง

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (Economic Intelligence Center : EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2020 ว่าจะเติบโตที่ 2.7% จากเดิมที่ 2.8% ฟื้นตัวเล็กน้อยจากปี 2019 ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 2.5% ตามภาคส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากภาวะการค้าโลกที่น่าจะปรับดีขึ้นบ้าง
เเต่ปัจจัยค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังเป็นปัจจัยที่กดดันผู้ส่งออกเเละการท่องเที่ยวไทยอยู่

“เงินบาทที่แข็งค่าสะสมกว่า 24% เมื่อเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับแข็งค่าต่อเนื่องจะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อรายได้ผู้ส่งออกในรูปเงินบาท และความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกไทย

รวมถึงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะยังขยายตัวได้แต่ก็เติบโตในอัตราที่ชะลอลงเช่นกัน

“คาดว่าปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 41.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.7% เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงจากปีก่อนที่ขยายตัวได้ 4.3%”

ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า การส่งออกไทยในปีนี้ จะเป็นบวกได้เล็กน้อยที่ 0.2% (ปีก่อนติดลบที่ -3.3%) เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เเละสหรัฐฯ และจีนสามารถมีข้อตกลงร่วมกันได้ในเฟสแรก ทำให้คลายความกังวลเรื่องสงครามการค้าลงไปได้ แต่การส่งออกที่แม้จะฟื้นตัว เเต่ก็ยังมีข้อจำกัดจากเงินบาทที่ยังแข็งค่าในปีนี้

มองเศรษฐกิจโลก

ประเด็นสงครามการค้า มองว่าการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระยะแรกระหว่างสหรัฐฯ และจีน เฟส 1 ที่จะนำไปสู่การยกเลิกและลดภาษีสินค้านำเข้าบางส่วนที่ขึ้นไปก่อนหน้า รวมถึงแนวนโยบายการเงินและการคลังของหลายประเทศทั่วโลกที่มีทิศทางผ่อนคลายเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่แม้จะบรรลุข้อตกลงระยะแรกได้ แต่ต้องติดตมการปฎิบัติตามข้อตกลง รวมทั้งยังมีข้อขัดแย้งพื้นฐานในหลายมิติที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและเสี่ยงที่จะกลับมาปะทุได้อีก

EIC คาดว่าภายในปี 2020 ข้อตกลงจะบรรลุได้เพียงเฟส เพราะการเจรจา เฟส 2 มีแนวโน้มลงเอยค่อนข้างยาก เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนในประเด็นโครงสร้าง เศรษฐกิจเชิงลึกของจีนที่ต่างกัน เช่น 1) นโยบายอุตสาหกรรมเป้าหมาย 2) นโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ และ 3) เงื่อนไขการยกเลิกภาษีในช่วงก่อนหน้า

โดยรวมเศรษฐกิจโลกจะส่งสัญญาณดีขึ้นจากกการส่งออกและดัชนี PMI ภาคการผลิตที่เริ่มพ้นจุดต่ำสุดในหลายประเทศ จากอานิสงส์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้า

ขณะที่ผลสำรวจความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกในอีก 12 เดือนข้างหน้าของ McKinsey ที่สอบถามผู้บริหารทั่วโลก 1,881 ราย เห็นว่าความเสี่ยงที่น่าจับตามองที่สุดคือ

อันดับ 1 ความตึงเครียดทางการค้า 65%
อันดับ 2 ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ 54%
อันดับ 3 การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า 35%
อันดับ 4 การประท้วง 20%
อันดับ 5 การเปลี่ยนผ่านผู้นำทางการเมือง 17%

ด้านเศรษฐกิจจีน ในปีนี้คาดว่าโตต่ำกว่า 6% ซึ่งโตต่ำสุดตั้งแต่ปี 1990 จากปัจจัยนโยบายในประเทศเเละสงครามการค้า ขณะที่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Markets : EM) อย่างลาตินอเมริกา แอฟริกา จะเติบโตได้ดี

ในภาพรวม สัดส่วนการค้าโลกที่เผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่สหรัฐฯ ยังมีการใช้มาตรการทางการค้าสำหรับคู่ค้าอื่นๆ รวมถึงไทยด้วย ทั้งนี้ สินค้าไทยที่โดนตัดสิทธิ GSP คิดเป็น 0.5% ของการส่งออกรวมของไทย โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ สุขภัณฑ์ เม็ดพลาสติก อาหาร และเครื่องประดับ

ความตึงเครียดสหรัฐฯ-อิหร่าน หากรุนเเรงเเละขยายวงกว้างมากขึ้นอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ผ่านช่องราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น การผันผวนในตลาดเงิน และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่จะปรับแย่ลง

“ในปี 2020 EIC คาดว่าน้ำมันเฉลี่ยจะทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อน จากภาวะตลาดที่ค่อนข้างสมดุล แต่มีความเสี่ยงสูงจากประเด็นข้อขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน”

การเงินในไทย : ค่าเงินบาทเเข็งค่า อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำตลอดปี

ค่าเงินบาท

มีแนวโน้มทรงตัวในระดับแข็งค่าต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยน ณ สิ้นปี 2563 จะอยู่ในช่วง 29.50-30.50 บาท/ดอลลาร์ ตามแรงกดดันของดุลบัญชีเดินสะพัดไทยที่ยังจะเกินดุลในระดับสูง

“เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าในปีนี้ ด้วยแรงกดดันต่อเนื่อง อีกทั้งไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง ประกอบกับเมื่อเวลาเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าเพราะความต้องการดอลลาร์ลดลงนอกจากนี้ยังมีแนวโน้มเงินของทุนไหลเข้าในตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นด้วย” ยรรยงระบุ

เงินเฟ้อ

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 0.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว

อัตราดอกเบี้ย 

SCBEIC คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังใช้นโยบายการเงินในระดับผ่อนคลายต่อเนื่อง เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดย กนง.มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.25% ตลอดทั้งปี 2563 และอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีก 1 ครั้งหากเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าที่คาด

“เชื่อว่าธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันน่าจะต่ำเพียงพอแล้ว หากลดดอกเบี้ยลงไปมากกว่านี้ อาจจะกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินต่างๆ แต่ก็ยังมีโอกาสที่ดอกเบี้ยจะลงได้ หากเศรษฐกิจแย่กว่าคาด”

ขณะที่ธนาคารกลางที่สำคัญของโลก อย่างธนาคากลางสหรัฐฯ (FED) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ไว้ แต่ก็พร้อมที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม
หากภาวะเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้

 

อุปสงค์ในประเทศของภาคเอกชน

มีแนวโน้มขยายตัวได้แต่ในอัตราที่ชะลอลง โดยแม้ว่าภาคส่งออกจะมีโอกาสฟื้นตัว แต่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังมีทิศทางชะลอตัวต่อเนื่องตามหลายปัจจัยกดดัน ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดต่าต่อเนื่อง รายได้นอกภาคเกษตรที่เริ่มหดตัว

ส่วนรายได้ภาคเกษตรก็มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ล้วนส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนโดยเฉพาะในหมวดสินค้าคงทนในระยะต่อไป

“กรมอุตุฯ พยากรณ์ปริมาณฝนใน Q1 ลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งภัยเเล้งปีนี้จะกระทบเกษตรภาคกลางมากที่สุด คาดการณ์ผลผลิตรายสินค้าในปี 2020 ว่าอ้อยจะ -16% เเละข้าวเปลือก -10% ” 

การลงทุนภาคเอกชน

นอกจากจะมีแนวโน้มชะลอลงตามกาลังซื้อในประเทศแล้วอัตราการใช้กาลังการผลิต (CapU) ที่อยู่ในระดับต่ำและระดับสินค้าคงคลัง (inventory) ภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในระดับสูง ก็จะส่งผลต่อการชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชนในระยะข้างหน้า นอกจากนี้ ยอดขายรถยนต์เพื่อการบริโภคและการพาณิชย์ที่มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง
รวมถึงการก่อสร้างภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ในช่วงก่อนหน้าก็จะเป็นอีกปัจจัยกดดันภาคอุปสงค์ในประเทศในระยะต่อไป

ภาครัฐจะมีบทบาทประคองเศรษฐกิจปี 2020 มากขึ้น

โดยจะมีส่วนในรูปแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลกลุ่มเปราะบางระยะสั้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการกำหนดแนวนโยบายเศรษฐกิจที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน (Enabler) โดยเฉพาะการเปิดประมูลโครงการ 5G ที่จะผลักดันให้เกิดการลงทุนภาคโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ประกอบกับการจัดทางบประมาณที่ล่าช้าจากเมื่อปลายปี 2019 จึงทำให้หลายโครงการมีการเลื่อนเบิกจ่ายมาในปี 2020

“การประมูล 5G ในเดือนหน้าคาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาประมาณ 93,000 ล้านบาท รวม 4 ปี น่าจะได้ประมาณ 4 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินที่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้” 

ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยปีนี้

มี 3 ปัจจัยหลัก ได้เเก่

  • ความไม่แน่นอนของสงครามการค้า ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และความเปราะบางทางการเงินของภาคครัวเรือนและธุรกิจ ด้านสงครามการค้า แม้ล่าสุดจะมีข้อตกลงการค้าระยะแรกระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจกระทบต่อการค้าโลกได้ อาทิ การเจรจากับจีนในระยะต่อไป การตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป และการพิจารณาของสหรัฐฯ ในการตัดสิทธิ GSP ของหลายประเทศ
  • ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ
    การประท้วงที่ยืดเยื้อในฮ่องกง และประเด็น Brexit ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัว
    ของเศรษฐกิจโลก
  • ความเปราะบางทางการเงินของภาคครัวเรือนและธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีหนี้ในระดับสูงและการสร้างรายได้ถูกกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี (Technology Disruption) และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

ครัวเรือนไทย : รายได้ – การใช้จ่ายลดลงครั้งเเรกในรอบ 10 ปี หนี้สูง การเงินเปราะบาง

ครัวเรือนไทยลดการใช้จ่ายลง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 ครัวเรือนไทยใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 21,236 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือนลดลง -0.9% จาก 21,437 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือนในปี 2017 ถือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง

ทั้งนี้การลดลงของการใช้จ่ายยังอาจมีสาเหตุมาจากความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น รวมถึงภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

ครัวเรือนไทยเป็นหนี้มากขึ้น ภาระหนี้ต่อรายได้แตะระดับสูงสุด

ครัวเรือนไทยมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาเฉพาะครัวเรือนที่มีหนี้ (46.3% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด) พบว่า ภาระหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 353,210 บาทต่อครัวเรือนในปี 2017 มาอยู่ที่ 362,373 บาทต่อครัวเรือนในครึ่งแรกของปี 2019 หรือเพิ่มขึ้น2.6% ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ (หารเฉพาะครัวเรือนที่มีหนี้) เพิ่มขึ้นจาก 96.1% มาเป็น 97.7% จากการที่หนี้ยังเติบโตสูงกว่ารายได้

ทั้งนี้สัดส่วนหนี้ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2015 และถือเป็นระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ต่างจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่มีการลดลง (deleverage) ในช่วงปี 2015 ถึงปี 2017 แล้วจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงหลังจากนั้น

สาเหตุหลักเป็นเพราะในช่วงดังกล่าวสัดส่วนรายได้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลง ขณะที่สัดส่วนของกำไรภาคธุรกิจ (ซึ่งส่วนมากน่าจะมาจากกำไรของธุรกิจขนาดใหญ่) ต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น

ครัวเรือนไทยก่อหนี้เพิ่มในด้านที่อยู่อาศัย การบริโภค และการเกษตร แต่ลดการก่อหนี้ธุรกิจนอกภาคเกษตรลง เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในด้านการก่อหนี้ในครึ่งแรกปี 2019 เทียบกับปี 2017 พบว่า

การก่อหนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ของครัวเรือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น จาก 128,287 บาทต่อครัวเรือนในปี 2017 มาอยู่ที่ 135,312 บาท ต่อครัวเรือนในช่วงเเรกของปี 2019 หรือเพิ่มขึ้น 5.5% ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ที่อยู่อาศัยต่อหนี้ครัวเรือนทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก36.3% มาเป็น 37.3% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009

หนี้เพื่อการบริโภคเพิ่ม ในส่วนของหนี้เพื่อการบริโภค (รวมหนี้รถยนต์) ซึ่งเป็นหนี้ที่มีสัดส่วนสูงที่สุดของครัวเรือนในปัจจุบันเพิ่มขึ้นจาก 137,678 บาทต่อครัวเรือนในปี 2017 มาอยู่ที่ 139,904 บาทต่อครัวเรือนในครึ่งแรกของปี 2019 คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 1.0% สำหรับหนี้เพื่อการบริโภคนี้ถือเป็นหนี้ที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
โดยเติบโตเฉลี่ย 7.0% ต่อปี ขณะที่หนี้ส่วนอื่น ๆ เติบโตเฉลี่ยเพียง 3.7% ต่อปี ทำให้หนี้เพื่อการบริโภค
มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 30.8% ในปี 2009 มาเป็นที่ 38.4% ในปัจจุบัน (2019)

การก่อหนี้เพื่อทำกิจการเกษตร ยังคงเพิ่มขึ้น จาก 49,273 บาทต่อครัวเรือนในปี 2017 มาอยู่ที่
51,574 บาทต่อครัวเรือนคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 4.7% ทั้ง ๆ ที่กำไรจากกิจการการเกษตรลดลงในช่วงเดียวกัน คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากการก่อหนี้เพื่อ ประคับประคองธุรกิจและค่าใช้จ่ายในครัวเรือนในช่วงที่ต้องเผชิญปัจจัยลบ รวมถึงอาจมีผลส่วนหนึ่งมาจากมาตรการภาครัฐในการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกรต่อเนื่อง

ในทางกลับกัน การก่อหนี้เพื่อทำธุรกิจนอกภาคเกษตรลดลง จาก 30,120 บาทต่อครัวเรือนในปี 2017 ลดลงมาอยู่ที่ 29,478 บาทต่อครัวเรือนในปัจจุบัน คิดเป็นการลดลง -2.1% สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของกำไรกิจการนอกภาคเกษตร

ทั้งนี้ หนี้ในส่วนนี้มีสัดส่วนมีแนวโน้มลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเคยมีสัดส่วนสูงถึง 16.3% ในปี 2009 ลดลงมาเหลือเพียง 8.1% ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากการที่จนวนครัวเรือนที่ทำกิจการ นอกภาคเกษตรลดลงจาก 30.5% ในปี 2009 มาอยู่ที่ 25.2% ในปัจจุบัน อีกทั้งในบรรดาครัวเรือนที่ทำธุรกิจนอกภาคเกษตร สัดส่วนครัวเรือนที่กู้ก็ลดน้อยลงเช่นกันจาก 14.2% ในปี 2009 มาอยู่ที่ 10.0% ในปัจจุบัน

ดาวน์โหลด Outlook ไตรมาส 1/2020 ฉบับเต็ม ได้ที่ : SCB EIC 

]]>
1261075