อิปซอสส์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 21 Jul 2025 06:47:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘เศรษฐกิจ’ ยังไม่มีความหวัง ทำคนไทยกลัว ‘ตกงาน’ ชะลอการใช้จ่าย https://positioningmag.com/1530643 Sun, 20 Jul 2025 15:23:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530643 เพราะยังเห็นวี่แววว่า ‘เศรษฐกิจจะดีขึ้น’ แถมมองประเทศกำลังไปผิดทาง ทำให้คนไทยกังวลกลัว ‘ตกงาน’ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเกิดขึ้นกับคน ‘ทุกกลุ่มรายได้’ ทำให้ชะลอการซื้อไม่เฉพาะของชิ้นใหญ่ แต่ลามไปถึง ‘ของใช้ทั่วไป’

 

‘บริษัท อิปซอสส์ จำกัด’ ได้จัดทำรายงาน What Worries Thailand H1 2025 ศึกษาถึงประเด็นความกังวลของคนไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2568 พบว่า แม้ ‘ปัญหาสังคม’ จะเป็นประเด็นที่คนไทยมีความกังวลเป็นอันดับต้นๆ แต่มุมมองต่อเศรษฐกิจของคนไทย ก็มีความ ‘กังวลเพิ่มขึ้น’ อย่างมีนัยสำคัญ

 

โดย 65% มองสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันย่ำแย่ลง เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำนี้ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นใน ‘ทุกกลุ่มรายได้’ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อครอบครัวต่ำกว่า 60,000 บาทต่อเดือน

ชะลอการใช้จ่ายและกลัวตกงานเพิ่มขึ้น

 

มุมมองดังกล่าว ทำให้คนไทย 53% ชะลอและลังเลที่จะจับจ่าย โดยเฉพาะสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น บ้านหรือรถยนต์ ฯลฯ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน และความกังวลยังขยายไปถึงการซื้อของใช้ในบ้านทั่วไป โดย 46% ของคนไทยรู้สึกไม่สบายใจในการซื้อของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 10%

 

การชะลอและการลังเลที่จะใช้จ่ายนี้ เกิดขึ้นกับทุกกลุ่มรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนชนชั้นกลางที่มีรายได้ต่อครอบครัวประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน

 

ขณะเดียวกัน ‘การว่างงาน’ เป็นอีกประเด็นที่คนไทยกังวลมากขึ้นเช่นกัน โดยความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงในงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

– 59% ระบุว่า รู้จักคนที่เพิ่งตกงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

– 28% แสดงความกังวลว่า ตนเองอาจประสบปัญหาการ ‘ตกงาน’ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า

– 48% มี ‘ความมั่นใจน้อยลง’ เกี่ยวกับความมั่นคงในงานของตนเอง ครอบครัว และบุคคลใกล้ชิด เพิ่มขึ้นจากการสำรวจปีก่อนถึง 12%

– 54% มั่นใจน้อยลงกับความสามารถในการลงทุนเพื่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเกษียณอายุหรือเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 15%

 

เมื่อถามถึงความหวังสถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะดีขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้าหรือไม่

 

37% ของคนไทยคาดการณ์ว่า สถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะแข็งแกร่งขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ลดลงถึง 17% จากปีที่แล้ว ขณะที่ 59% บอกต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี เศรษฐกิจถึงจะกลับมา

 

มองประเทศกำลังมาผิดทาง ขอมีผู้นำกล้าแหกกฎแก้ปัญหา

 

นอกจากประเด็นความกังวลแล้ว การสำรวจยังได้สอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทิศทางของประเทศ รวมถึงความเปราะบางของสังคมและประเทศ โดย

56% เห็นว่า ไทยกำลังมาผิดทาง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 13%

66% เชื่อว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ใน ‘ภาวะวิกฤต’

60% มองว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะถดถอย  

 

และเมื่อดู ‘ดัชนีชี้วัดสังคมวิกฤตของอิปซอสส์’ (Ipsos Society is Broken Index) พบว่า ไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 77% นับเป็นอัตราสูงสุดจาก 31 ประเทศที่ทำการสำรวจ ส่วนค่าเฉลี่ยทั่วโลกของดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 61%

 

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนเรียกร้องหาผู้นำที่มีความโดดเด่นและมีอำนาจในการจัดการแก้ไขปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดย

 

79% เรียกร้องให้มีผู้นำที่กล้าหาญพอจะ ‘แหกกฎ’ เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ  

77% สนับสนุนผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อทวงคืนประเทศจากกลุ่มคนร่ำรวยและผู้มีอำนาจ 

 

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของประชาชนต่อการเปลี่ยนแปลงและการแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาดจากผู้นำทางการเมือง

แนะแบรนด์ต้องปรับตัว

ทั้งนี้ อิปซอสส์ได้ให้คำแนะนำกับแบรนด์เพื่อปรับตัวและวางแผนกลยุทธ์สำหรับรับมือกับผลกระทบจากความกังวลของคนไทยที่ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดและภาคธุรกิจใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

1.การคืนกำไรสู่สังคมและสร้างผลกระทบเชิงบวก: เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าบริษัทสนับสนุนและคืนกลับสู่สังคม จะสามารถสร้างความรู้สึกเชิงบวกและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์นำไปสู่การสร้างความจงรักภักดีและการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า

2.สร้างความเชื่อมั่นผ่านความโปร่งใส: การดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาลที่ดีจะส่งเสริมประสบการณ์เชิงบวกให้กับลูกค้า เพราะเป็นเรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญ ดังนั้นหากแบรนด์หรือองค์กรมีธรรมาภิบาลที่ดี คนก็พร้อมสนับสนุน ทำให้ไม่ต้องไปแข่งขันด้วย ‘สงครามราคา’ หรืออัดโปรฯ แรง ๆ

]]>
1530643
โควิด 4 ระลอก ทำให้คนไทย 80% สุขภาพการเงินย่ำแย่ พ่วงเสียสุขภาพจิตรุนแรง https://positioningmag.com/1351107 Thu, 09 Sep 2021 14:32:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351107 อิปซอสส์ เผยผลสำรวจ วิกฤต โควิด 4 ระลอก ส่งผลประชาชนทั้งภูมิภาคขาดความมั่นใจในอนาคตด้านการเงิน 80% ของคนไทยระมัดระวังกับจำนวนเงินที่ใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น กระทบต่อกลุ่มสินค้า และธุรกิจ พร้อม 5 สิ่ง ความคาดหวังจากภาครัฐ ต้องการมาตรการความปลอดภัย และพ้นภัยโควิด ควบคุมราคาสินค้าและบริการตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ มาตรการสนับสนุนเงินส่วนบุคคลและครัวเรือน สร้างงานและคุ้มครองการจ้างงาน ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน

บริษัท อิปซอสส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทด้านการวิจัยตลาด และสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค ได้เปิดเผยถึงข้อมูลวิจัยชุดพิเศษ “วิกฤตการณ์โควิด 4 ระลอก กับการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และทัศนคติ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาด เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมปัจจัยเพื่อการปรับตัว และวางแนวทางให้กับภาคธุรกิจ และภาครัฐ”

โดยอิปซอสส์ ได้ทำการศึกษาสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2563 เพื่อให้รับรู้ถึงความคิดเห็นของผู้บริโภค และพฤติกรรมต่างๆ ที่ต้องเผชิญท่ามกลางการแพร่ระบาดในตลาดสำคัญ 6 ประเทศ ในแถบภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปินนส์ สิงค์โปร์ เวียดนาม และประเทศไทย

อุษณา จันทร์กล่ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิปซอสส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า

“ผลการศึกษานี้จะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบด้านทัศนคติ อารมณ์ และพฤติกรรมการบริโภค ที่อยู่ท่ามกลางแพร่ระบาดของโควิดทั้ง 4 ระลอก พร้อมแนวโน้มอนาคต ที่จะใช้เป็นข้อมูลสำคัญช่วยให้ภาคตลาด ธุรกิจ และองค์กรต่างๆ สามารถใช้เป็นแนวทางในการวางแผนล่วงหน้าให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีการทำวิจัยที่ผสมผสานกับรูปแบบ Desk Research หรือการวิจัยบนโต๊ะจากหลายแหล่ง โดยเน้นการใช้การการวิจัยของตลาดประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ภาพรวมของสถานการณ์ตลาดประเทศไทยที่สมบูรณ์ตามความเป็นจริงที่สุด เป็นการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นระบบ เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง คู่แข่ง ตลอดจนสภาพแวดล้อม”

สุขภาพการเงิน “ย่ำแย่” ชลอซื้อของชิ้นใหญ่

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคตกลงอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในระลอกที่ 1 ในเดือนมีนาคม 2563 และตกต่ำสุดในระลอก 3 ในปี 2564 ต่อเนื่องกับระลอก 4 โดยความปลอดภัยจากโควิด-19 และความมั่นคงด้านการเงิน เป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกของคนไทย พร้อมการลดช่องว่างความไม่เท่าเทียมด้านฐานะ เป็นสัญญาณที่ละเอียดอ่อนที่ภาครัฐต้องคำนึง

อุษณา เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในส่วนแรกของสรุปผลการศึกษา จะชี้ให้เห็นถึง 5 ความคาดหวังของประชาชนในด้านต่างๆ ที่ต้องการจากภาครัฐ และ 5 สิ่งที่อยากได้จากภาคธุรกิจ อาทิ ความต้องการด้านความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความมั่นคงด้านการเงิน ความคาดหวังให้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่มีบทบาทร่วมรับผิดชอบต่อสังคม พฤติกรรมการใช้จ่าย และการใช้ชีวิตที่มีการเปลี่ยนอย่างมากและรวดเร็ว ที่ส่งผลต่อกลุ่มสินค้า และภาคธุรกิจ

สำหรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และการเงินส่วนบุคคล คนไทยยังมีความกังวล และมีภาพที่ไม่ดีตอสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศโดยภาพรวม และมีอัตราสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของภูมิภาค ขณะที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม มีอัตราความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศตนสูงสุด ส่วนประเทศอื่นๆ เฝ้าระวัง และคาดหวังภาพที่ดี และประมาณ 1 ใน 3 ของคนไทย มองว่าสถานะด้านการเงินของตนเข้าขั้น “แย่” ถือเป็นสัดส่วนที่ตกต่ำสูงสุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

ส่วนการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการใช้จ่าย ที่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ พบว่า การใช้จ่ายของคนไทยในปัจจุบัน จะจ่ายเงินเฉพาะกลุ่มสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น โดยตัดการใช้จ่ายกับสินค้าที่มีมูลค่า เพื่อความสะดวกสบาย เช่น บ้าน รถยนต์ สินค้ากลุ่มนี้ มีอัตราลดลงตั้งแต่การแพร่ระบาดในระลอกที่ 3

ความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ การรวมญาติ ออกไปทานอาหารนอกบ้าน และท่องเที่ยวในประเทศ โดยสัดส่วนของกิจกรรมที่ทำการสำรวจ คือ

  • 41% ไปเยี่ยมญาติและเพื่อนถึงบ้าน
  • 32% ท่องเที่ยวภายในประเทศ
  • 28% ไปภัตตาคาร-ร้านอาหาร
  • 26% ใช้บริการขนส่งมวลชน
  • 24% ไปโรงยิมหรือสถานออกกำลังกาย
  • 22% ร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม
  • 20% ท่องเที่ยวต่างประเทศ

คุ้นชินกับช้อปออนไลน์

สำหรับพฤติกรรมการใช้จ่าย การแพร่ระบาดโควิด-19 ยาวนานกว่า 18 เดือน ได้เปลี่ยนพฤติกรรมด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคไปอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มคุ้นเคยกับการช้อปปิ้งผ่านช่องทางออนไลน์ และจับจ่ายแบบไร้เงินสด ตลอดจนมีการใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น

กิจกรรมที่มีการขยายตัวอย่างมาก คือ การซื้อสินค้าออนไลน์ การใช้จ่ายแบบไร้เงินสดยังร้านค้าต่างๆ มองหางานอดิเรกใหม่ๆ ใช้เวลากับครอบครัว ใช้เวลาบนโซเชียลมีเดีย และการเข้าถึงสตรีมมิ่งคอนเทนต์ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า จากการที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน ก็จะส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตกับครอบครัว และการใช้เวลาบนโซเชียลมีเดีย ทำให้กิจกรรม 2 ส่วนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงในอัตราที่สูงขึ้น

สำหรับรูปแบบการช้อปปิ้งแนวไลฟ์สตรีมมิ่ง เป็นตัวที่มาอุดช่องว่างพร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ในการจับจ่าย จากการสำรวจความคิดเห็นพบว่า 82% ของประชากรในกลุ่ม SEA เคยได้ยินเกี่ยวกับการช้อปปิ้งในรูปแบบนี้ และ 56% ของคนกลุ่มนี้ เคยเข้าร่วม โดยที่ 14% ของกลุ่มคนที่เข้าร่วมนี้ มีความตั้งใจที่จะซื้อสินค้า และ 36% ตัดสินใจซื้อสินค้า ทั้งนี้ กลุ่มสินค้ายอดฮิตที่มีการจับจ่ายผ่านรูปแบบไลฟ์สตรีมมิ่งที่มีการซื้อขายสูงสุด ดังนี้

  • 51% เครื่องแต่งกายและรองเท้า
  • 15% อาหาร
  • 14% ของใช้ส่วนบุคคลและความงาม
  • 10% สินค้าในครัวเรือน
  • 4% เครื่องดื่ม
  • 3% ของเล่น และเกม
  • 2% อื่นๆ

5 สิ่งความคาดหวังจากภาครัฐ

เมื่อถามถึงเรื่องเร่งด่วนในอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้า ประเด็นที่ประชาชนคาดหวังสูงสุดจากภาครัฐ 5 อันดับแรก คือ

  • 56% มาตรการป้องกันพนักงานให้ปลอดภัยและพ้นภัยโควิด
  • 36% ควบคุมราคาสินค้าและบริการตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ
  • 34% มาตรการเงินช่วยเหลือและสนับสนุนด้านการเงินให้ครัวเรือน
  • 26% สร้างงานและคุ้มครองการจ้างงาน
  • 24% เพิ่มและพัฒนาระบบสวัสดิการด้านสุขภาพ

5 สิ่งความคาดหวังจากภาคธุรกิจ

ส่วน 5 สิ่งความคาดหวังจากภาคธุรกิจ หลักๆ คือ ด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจจะต้องนำมาพิจารณา เพื่อเตรียมแผนการรองรับใน 6 เดือนต่อไป โดยเรียงตามลำดับ ดังนี้

  • 53% ป้องกันพนักงานให้ปลอดภัยและพ้นภัยโควิด
  • 46% ควบคุมราคาสินค้าและบริการ
  • 41% จ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรมให้พนักงาน
  • 30% มีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการสร้างงาน
  • 29% ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการอุดหนุนสินค้าของพ่อค้าในท้องที่

สุขภาพทางจิตก็ย่ำแย่

ในแง่ของความเจ็บป่วยทางจิต จากการประชาชนต้องอยู่ท่ามกลางผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 มาเป็นเวลายาวนานต่อเนื่อง ส่งผลให้คนไทยมีอัตราเสียสุขภาพจิตอย่างรุนแรงในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสังเกตได้จากอัตราการฆ่าตัวตายเทียบเท่ายุควิกฤตการเงินต้มยำกุ้งในปี 2540

ความล่าช้าของวัคซีน และข้อมูลที่ไม่ชัดเจน ตลอดจนข่าวบิดเบือนที่แพร่กระจายขยายวงกว้าง ได้สร้างความเข้าใจผิดในเรื่องผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน กลายเป็นสาเหตุหลักของการลังเลใจในการรับวัคซีน ขณะที่ประเทศต่างๆ พร้อมใจรับการฉีดวัคซีนทันทีที่ให้บริการ แต่ประเทศไทยกลับตรงข้าม เห็นได้จากอัตราความลังเลใจที่ลดลง เมื่อเปรียบเทียบระหว่างระลอก 3 กับระลอก 4 ที่ 79% และ 69% ติดลบ 10%

เกี่ยวกับผลสำรวจ

รายงานการวิจัย ชุดสรุปผลการศึกษาของการระบาดระลอก 4 นี้ เป็นการดำเนินการบนระบบออนไลน์ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน (16-24/6/2564) โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างระดับอายุ 18 ขึ้นไป จำนวน 3,000 คน (500 รายต่อประเทศ) โดยสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างจะถูกจัดสรรให้เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่างของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ การศึกษาสำหรับระลอก 1 ถึง 3 นั้น ได้ดำเนินการในเดือนพฤษภาคม และเดือนกันยายน ในปี 2563 และเดือนกุมภาพันธ์ ในปี 2564 ตามลำดับ

ส่วนสรุปรายงานวิจัยสำหรับประเทศไทย ได้มีการทำผสมผสานกับรูปแบบ Desk Research หรือ การวิจัยบนโต๊ะ จากหลายแหล่ง เพื่อให้ได้ภาพรวมของสถานการณ์ตลาดประเทศไทยที่สมบูรณ์ตามความเป็นจริงที่สุด (Desk Research) โดยเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นระบบ เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง คู่แข่ง และ/หรือสภาพแวดล้อม

]]>
1351107