ฮยอนบิน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 24 Aug 2021 01:00:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ย้อนรอยพรีเซ็นเตอร์ ‘ช้อปปี้-ลาซาด้า เมื่อ ‘สายฮา’ ปะทะ ‘สายเกา (หลี)’ https://positioningmag.com/1348205 Mon, 23 Aug 2021 14:59:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348205 ใครที่พลาดช้อปในช่วง 8.8 ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะใกล้ถึงมหกรรมช้อปปิ้ง 9.9 ซึ่งถือเป็น Mega แคมเปญของ ‘ลาซาด้า’ ซึ่งแน่นอนว่าคู่แข่งไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน โดย ‘ช้อปปี้’ ก็ดึงซุปตาร์ในตำนาน ‘เฉินหลง’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์มหกรรม 9.9 แย่งซีนกันซะแล้ว ดังนั้นไปย้อนรอยเหล่า ‘พรีเซ็นเตอร์’ ของบรรดามาร์เก็ตเพลสว่าเคยใช้งานใครไปแล้วบ้าง

จาก โรนัลโด ส่งไม้ต่อ เฉินหลง

หากย้อนไปเมื่อปี 2562 ช่วงก่อนจะจัดมหกรรม 9.9 Super Shopping Day ของ ‘ช้อปปี้’ (Shopee) ก็ได้คว้าเอาไอคอนระดับโลกอย่าง ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ นักฟุตบอลชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์โดยหวังว่า โรนัลโดจะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกเพศทุกวัย

แน่นอนหากวัดจากจำนวนผู้ติดตามโรนัลโดใน Instagram ที่ปัจจุบันมีกว่า 299 ล้านคน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นที่รู้จักของคนทุกวัยจริง ๆ ประกอบกับท่าเต้นสนุก ๆ ที่หลายคนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าโรนัลโดจะออกสเต็ปแดนซ์ ก็สามารถดึงดูดคนดูพุ่งทั่วโลก 35 ล้านวิวเลยทีเดียว กลายเป็นว่า โรนัลโดช่วยสร้างยอดขายร้านค้าในไทยในช่วง Shopee 9.9 Super Shopping Day โตถึง 480 เท่า!

มาปี 2563 ช้อปปี้ก็ได้คว้าเอาซุปตาร์ระดับตำนานของโลกที่แมสยิ่งกว่าโรนัลโดก็คือ อีกหนึ่งคน ‘แจ็คกี้ ชาน’ หรือ ‘เฉินหลง’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในมหกรรม 9.9 Super Shopping Day ปี 63 นี้ และแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ สเต็ปแดนซ์ สนุก ๆ ที่เข้ากับคาแรกเตอร์ของเฉินหลงได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะนอกจากการแสดงภาพยนตร์ เฉินหลงเองก็ชื่นชอบทั้งการร้องและเต้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

เพราะเป็นที่รู้จักของคนไทยและทั่วโลกมายาวนาน คนรู้จักทุกเพศทุกวัย และปัจจุบันผลงานของเฉินหลงก็ยังออกมาให้แฟน ๆ ได้ติดตามเกือบทุกปี อีกทั้งยังเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ดี มีความบันเทิงในตัว ตรงกับคอนเซ็ปต์ของช้อปปี้ ดังนั้น ช้อปปี้เลยเลือกดึงเฉินหลงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์

หรือสายฮา คือทางที่ใช่?

สำหรับโรนัลโดและเฉินหลงเป็นพรีเซ็นเตอร์สำหรับตลาดภูมิภาค แต่สำหรับพรีเซ็นเตอร์ในไทยนั้น ช้อปปี้เคยใช้คู่จิ้นอย่าง ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ และ ‘ญาญ่า- อุรัสยา เสปอร์บันด์’ แต่มาปี 2563 ช้อปปี้ก็เริ่มเปลี่ยนแกนมาเน้นความแมสยิ่งขึ้นด้วยการคว้าเอา ‘แก๊ง 3 ช่า’ ที่ประกอบด้วย ‘หม่ำ-เท่ง-โหน่ง’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่ในไทยช่วงมหกรรม 11.11 และที่ขาดไม่ได้ ‘ท่าเต้น’ สนุก ๆ ที่ยังมีเหมือนเดิม

ผ่านไปถึงมหกรรม 12.12 ช้อปปี้ก็ดึง ‘กิ๊ก สุวัจนี’ นางร้ายยุค 90 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังยาวนานจนถึงปัจจุบัน และเสียงหัวเราะกับท่าเบะปากอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจากละคร ‘ไทรโศก’ จนกลายเป็นมีมที่ชาวเน็ตยังใช้จนทุกวันนี้ ถือว่าเป็นอีกพรีเซ็นเตอร์ที่แหวกแนวมากสำหรับช้อปปี้ นอกจากนี้ ในแคมเปญช้อปปี้ Low Price 9 บาท ทางช้อปปี้ก็เลือกที่จะใช้งานตลกซุปตาร์อย่าง ‘แจ๊ส ชวนชื่น’ มาโปรโมตแคมเปญพร้อมกับเพลงสนุก ๆ เช่นเคย

จะเห็นว่านับตั้งแต่ได้แก๊ง 3 ช่ามา ช้อปปี้ก็มาสายฮาไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าการใช้ศิลปินตลกช่วยนำแบรนด์ให้เข้าถึงใจผู้บริโภคชาวไทยอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง มีภาพจำที่ชัดเจน ยิ่งปัจจุบันอีคอมเมิร์ซเข้าถึงคนต่างจังหวัดแล้ว ดังนั้น การใช้พรีเซ็นเตอร์ยิ่งแมสก็ยิ่งดีต่อการสื่อสารและการสร้างภาพจำให้แบรนด์

ลาซาด้าเน้น สายเกา+สายวาย

ตัดภาพมาที่ ‘ลาซาด้า’ (Lazada) ที่หากพูดถึงเหล่าพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์นั้นล้วนแต่เป็น ‘ตัว Top’ ทั้งสิ้น โดยในปี 63 ก็คว้าซุปตาร์ระดับเอเชียอย่าง ‘ลีมินโฮ’ ที่ขึ้นแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยบุคลิกสดใส อบอุ่น พร้อมมอบพลังบวกให้ทุกคนมาช่วยต่อยอดการสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์

และมาในปี 64 นี้ ลาซาด้าก็ยังคงคว้าซุปตาร์เกาหลีที่เป็น ‘สามี (มโน) แห่งชาติ’ ของสาว ๆ อย่าง ‘ฮยอนบิน’ มาเป็น Brand Ambassador ระดับภูมิภาคคนใหม่ ซึ่งเพิ่งจะโด่งดังสุด ๆ กับบท สหายผู้กอง รีจองฮยอก ในซีรีส์ที่ ปักหมุดรักฉุกเฉิน (Crash Landing on You)

นอกจากในระดับภูมิภาคแล้ว ในประเทศไทยลาซาด้าก็จะเน้นเฉพาะซุปตาร์ตัวท็อปที่กำลังเป็นกระแส อย่างในช่วงปี 62 ละคร ‘บุพเพสันนิวาส’ ดังเป็นพลุแตก เกิดกระแส ‘ออเจ้า’ ไปทั่วไทย ลาซาด้าก็ไม่พลาดที่จะคว้า ‘เบลล่า-ราณี แคมเปน’ หรือ ‘แม่การะเกด’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในไทย นอกจากนี้ยังสมทบด้วย ‘ต่อ ธนภพ’ พระเอกขวัญใจเหล่าวัยรุ่น

มาปี 64 ลาซาด้าก็เลือกจะหยิบนักแสดงรุ่นใหม่โดยเฉพาะสาย ซีรีส์วาย อย่าง ‘ไบร์ท – วชิรวิชญ์ ชีวอารี และ วิน – เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร’  ‘พีพี – กฤษฏ์ อำนวยเดชกร และ บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล’ ซึ่งทั้ง 4 คนต่างก็มีฐานแฟนคลับวัยรุ่นติดตามเป็นจำนวนมาก

หากพิจารณาจากฐานลูกค้าของลาซาด้าที่กว่า 70% เป็น Gen Y (อายุระหว่าง 21-37 ปี) และถึง 52% ของผู้ใช้ยังเป็น ผู้หญิง อีกทั้งอนาคต Gen Z อายุระหว่าง 8-20 ปี ก็จะยิ่งมีส่วนสำคัญในอนาคต ดังนั้น การที่ลาซาด้าใช้งานเหล่าซุปตาร์สายสวย-หล่อน่าจะเข้าถึงฐานลูกค้าดั้งเดิม รวมถึงยังสร้างภาพจำให้กับฐานลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ให้มาสนับสนุนและสร้างภาพของแบรนด์ได้ไม่ยาก

Konvy ดึงพระเอกหน้าฟ้าประทาน ชา อึนอู

หากพูดชื่อแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสอย่างลาซาด้า ช้อปปี้ แน่นอนว่าคงคุ้นเคยกันดี แต่สำหรับ ‘คอนวี่’ (Konvy) หลายคนคงยังไม่คุ้นโดยเฉพาะเหล่าคุณผู้ชาย ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะคอนวี่เป็นอีคอมเมิร์ซสำหรับสินค้าความสวยความงามโดยเฉพาะ ปัจจุบันมีอายุได้ 9 ปีแล้ว

และเพื่อฉลองครบรอบ 9 ปี คอนวี่ก็ทุ่มงบการตลาดมูลค่ากว่า 90 ล้านบาทในการเปิดตัวโลโก้และหนังโฆษณาตัวใหม่ พร้อมทั้งดึง ชา อึนอู ที่มีฉายา หน้าฟ้าประทาน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และด้วยหน้าตาที่หวานบวกกับลักษณะนิสัยสดใส ร่าเริง เอาใจใส่คนรอบข้าง ก็ยิ่งตอบโจทย์การวางแบรนด์โพสิชันนิ่งที่ต้องการสื่อสารว่าเป็น ‘คนที่ดูแล เอาใจใส่’ และสะท้อนถึง ‘ความงาม’ ได้อีกด้วย

JD CENTRAL ขอฉีกใช้มาสคอต

จะเห็นว่าทั้งช้อปปี้และลาซาด้าต่างก็มีพรีเซ็นเตอร์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไม่ซ้ำหน้า ขณะที่ JD CENTRAL ก็เคยมีการทำการตลาดสร้างการรับรู้ โดยมี เต๋อ ฉันทวิชช์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ในปีแรก

แม้ว่าข้อดีคือการได้ฐานแฟนคลับที่ติดตามตัวศิลปิน แต่สัญญาก็ต่อแบบปีต่อปี ดังนั้น JD CENTRAL จึงมองว่าผู้บริโภคอาจสับสน ดังนั้น การมีพรีเซ็นเตอร์ไม่ใช่เรื่อง จำเป็นที่สุด เลยเลือกที่จะใช้ น้อง Joy มาสคอตของแบรนด์ในการสื่อสาร เพื่อบ่งบอกถึง Brand Creator และจะเป็นภาพที่ติดอยู่กับแบรนด์ตลอดไปแทน อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ว่า JD CENTRAL อาจจะมีไม้เด็ดอื่น ๆ ที่มากกว่าการใช้พรีเซ็นเตอร์ อาจต้องรอดูกันใน 9.9 นี้

คงบอกไม่ได้ว่าการใช้พรีเซ็นเตอร์หรือไม่ใช้จะดีกว่ากัน และจะใช้พรีเซ็นเตอร์ประเภทไหนถึงจะดีกับแบรนด์ที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับแบรนด์ต้องการจะสื่อสารให้ภาพจำของตัวเองออกมาเป็นในทิศทางไหน แต่หากจะอยากได้ยอดขายการใช้แค่พรีเซ็นเตอร์คงไม่พอ ดังนั้น จากนี้คงจะเห็นอีกหลายกลยุทธ์โดยเฉพาะ โปรโมชัน มาอัดกันเพื่อดึงลูกค้าแน่นอน สำหรับลูกค้าก็เตรียมตัวเตรียมเงินให้พร้อมรอช้อป 9.9 ได้เลย

]]>
1348205
สร้างแบรนด์แบบ “เชน ธนา” ปั้น “อมาโด้” สู่คอลลาเจนพันล้านภายใน 6 ปี https://positioningmag.com/1289376 Thu, 23 Jul 2020 15:45:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289376 ถอดแนวคิดวิธีการสสร้างแบรนด์แบบ “เชน ธนา ลิมปยารยะ” อดีตนักร้อง นักแสดง และได้ผันตัวเป็นผู้บริหารอย่างจริงจังกับธุรกิจอาหารเสริมกับแบรนด์ “อมาโด้” สินค้าหลักคือคอลลาเจน วันนี้โกยยอดขายพันล้าน แถมยังสามารถคว้าตัว “ฮยอนบิน” เป็นพรีเซ็นเตอร์ได้ด้วย

กว่าจะมาเป็น “อมาโด้”

“เชน ธนา” เป็นอดีตศิลปินบอยแบนด์วง Nice 2 Meet U สังกัด RS รวมถึงกับเป็นนักแสดง พิธีกรด้วย เท่ากับอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 15 ปี และได้เริ่มผันตัวเข้าสู่วงการธุรกิจทางด้านสายการตลาดกับ บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ก่อนที่จะทำธุรกิจเป็นของตัวเองอย่างจริงจังในปี 2557 กับการสร้างแบรนด์ “อมาโด้ (amado)”

อมาโด้เป็นเหมือน “สตาร์ทอัพ” บริษัทหนึ่ง แรกเริ่มเดิมทีได้ใช้ชื่อบริษัทว่า บริษัท เชนธนา ซัพพลีเมนท์ จำกัด เป็นการลงทุนด้วยเงินก้อนแรก 5 ล้านบาท บวกกับนักลงทุนอีกคนที่ร่วมก่อตั้งกันมาให้เงินลงทุนอีก 5 ล้านบาท เป็นการทำตลาดอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ความงามหลายๆ อย่าง เชนเล่าว่าตอนแรกไม่ได้ทำตลาดแค่คอลลาเจน แต่ทำทั้งหมด 6-7 อย่าง มีทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ลดน้ำหนัก กลูต้า คอลลาเจน

ธนา ลิมปยารยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด

แต่มีช่วงปีหนึ่งที่เป็นดราม่าใหญ่ในวงการอาหารเสริม ทำให้ในตอนนั้นตลาดลดลงไปมาก แต่ก็พบว่าสินค้ากลุ่มคอลลาเจนไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด จึงมองเห็นโอกาสในการพัฒนามาเรื่อยๆ

ในปี 2560 ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด” มีทุนจดทะเบียน 43 ล้านบาท ซึ่งคำว่าอมาโด้เป็นภาษาสเปน แปลว่า “สุดที่รัก” โดยแบรนด์มีวิสัยทัศน์ที่ว่าต้องการเป็น Vitamin & Supplement’s Expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริม มีเป้าหมายว่าอยากให้ผู้บริโภคมีสุขภาพดี

คนกินคอลลาเจนเพื่อสุขภาพมากขึ้น

ปัจจุบันอมาโด้มีสินค้าหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.อาหารเสริม ทั้งคอลลาเจน กลูต้าเม็ดฟู่ ไฟเบอร์ 2.สกินแคร์ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และ 3.เจลแอลกอฮอล์ ที่เริ่มออกสินค้าช่วง COVID-19

แต่สินค้าที่เป็นโปรดักส์ฮีโร่มีอยู่ 4 ตัว ได้แก่ Colligi เป็นคอลลาเจนสำหรับสุขภาพ, วิตามินเม็ดฟู่, กลูต้าเม็ดฟู่ และวิตามินบำรุงผิว ในปีนี้ได้แตกไลน์กลุ่มสกินแคร์ออกมาเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีแรก

ยิ่งในช่วงของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งดันกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพให้มีการเติบโตมากยิ่งขึ้น เพราะผู้บริโภคเริ่มมองหาสินค้าที่ช่วยดูแลร่างกายได้ดีขึ้น และสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้กลุ่มคอลลาเจนได้รับอานิสงส์ในการเติบโต

ต่างจากเทรนด์ของคอลลาเจนในช่วงหลายปีก่อนที่จะเป็นคอลลาเจนเพื่อความสวยงาม หลายแบรนด์ออกมาชูจุดเด่นเรื่องความขาวใส จับกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งในตอนนี้ผู้บริโภคทานคอลลาเจนเพื่อสุขภาพมากขึ้น

ทำให้มีการคาดการณ์ว่าตลาดอาหารเสริมในปี 2563 จะมีมูลค่า 24,000 ล้านบาท (ข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์) เป็นตลาดอาหารเสริมในช่องทางขายตรง เบอร์หนึ่งในตลาดยังเป็นแอมเวย์อยู่ โดยที่อมาโด้ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาด 7% จากที่ปีทีแล้วมี 2%

มีแต่ดีลเลอร์ใหญ่ ไม่มีลูกทีมย่อยให้ปวดใจ

เป็นภาพที่คุ้นเคยกันกับธุรกิจอาหารเสริม หรือธุรกิจความงามที่ในยุคนี้จะเน้นช่องทางการขายผ่านออนไลน์ รวมถึงมีตัวแทนจำหน่ายเพื่อให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น ขายได้เร็วขึ้น

อมาโด้ก็เติบโตด้วยการใช้ช่องทางการขายผ่านออนไลน์ และขยายเข้าสู่ช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติม แต่โมเดลหลักที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นในตลาดคือ มีดีลเลอร์รายใหญ่เท่านั้น เหมือนกับดีลเลอร์รถยนต์ และจะไม่มีลูกทีมย่อย ทำให้ไม่มีการตัดราคากันเอง

“จริงๆ เมื่อปี 58 เคยมีตัวแทนจำหน่ายรวม 200 คน แต่ก็เป็นช่วงเรียนรู้ ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอมีเรื่องสงครามราคา มีการตัดราคากันไปมา ก็มีการลงโทษ จนปัจจุบันเหลืออยู่ 35 รายที่เป็นดีลเลอร์รายใหญ่ เป็นคนที่อยู่กับเราตั้งแต่ต้น ไม่มีแผนที่จะรับเพิ่ม และไม่มีลูกทีมรายย่อย เพราะจะมีปัญหาเหมือนแบรนด์อื่นๆ ที่มีการตัดราคากัน”

ดีเลอร์เป็นหัวใจสำคัญของอมาโด้ เพราะยอดขายหลักมาจากช่องทางดีลเลอร์ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 35 ราย เมื่อถามว่ามีหลักการคัดเลือกดีลเลอร์อย่างไร เชนบอกว่า ตอนแรกไม่มีหลักการเลือกอะไรเลย ใครเข้ามาก็คุย ก็รับหมด เพราะตอนนั้นก็เป็นเหมือนสตาร์ทอัพพยายามเล่าว่าจะทำอะไร มีเป้าหมายอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม Gen Y ที่อยากทำธุรกิจ พยายามทำตรงนี้ให้เป็นโมเดลเหมือนดีลเลอร์รถยนต์

การไทอินในรายการทีวี

ปัจจุบันอมาโด้มีช่องทางขายทั้งหมด 5 ช่องทาง ได้แก่

  • ดีลเลอร์ มีทั้งหมด 35 รายทั่วประเทศ เป็นโมเดลขายราคาส่งให้ดีลเลอร์ ส่วนใหญ่มียอดขายเฉลี่ยรายละ 2-6 ล้านบาท/เดือน
  • ออนไลน์ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
  • คีออส จุดขายในศูนย์การค้า มี 40 จุด ตั้งเป้าจะเพิ่มที่เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี
  • เทเลเซลล์ เป็นเหมือนคอลเซ็นเตอร์ รับออเดอร์จากการขายผ่านรายการทีวี เพิ่งเริ่มทำเดือนเมษายน
  • โมเดิร์นเทรด มีวางขายที่วัตสัน และเซเว่นฯ

“ตั้งแต่เดือนมีนาคมมีการสั่งซื้อออนไลน์มากขึ้น คนดูแลสุขภาพมากขึ้น ในช่องทางทีวีช้อปปิ้ง ตอนแรกใช้เอเจนซี่คอลเซ็นเตอร์ จากนั้นเลยมาทำเทเลเซลล์เอง พบว่าสามารถแก้เกมได้ คุมเรื่องการจัดส่งได้ ในเดือนมิถุนายนมีรายได้เกือบ 40 ล้าน จำนวนการโทรเฉลี่ย 12,000-13,000 คอลต่อเดือน เทเลเซลล์กลายเป็นช่องทางน่าสนใจ”

ดึง “สหายผู้กอง” เมกะซุปตาร์เป็นพรีเซ็นเตอร์

ในช่วงครึ่งปีหลังอมาโด้ได้บุกตลาดด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ อมาโด้ เฮช-คอลลาเจน (Amado H-Collagen) เป็นคอลลาเจนเพื่อความงาม สำหรับบำรุงผิว ออกมาเพื่อจับกลุ่มวัยทำงานอายุ 23-30 ปี อีกทั้งยังได้ “ฮยอนบิน” พระเอกเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด

อมาโด้ได้ใช้กลยุทธ์ “พรีเซ็นเตอร์” มาโดยตลอด เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 ใช้ “โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร” เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรก จากนั้นในปี 2561 ได้ใช้ “ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ” และในปี 2562 ได้ใช้ “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ตัว Colligi คอลลาเจนเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ในปีนี้ได้ใช้ใบเฟิร์นต่อกันเป็นปีที่ 2 พร้อมกับได้ฮยอนบินมาเสริมทัพ

“การเลือกพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์คือต้องทานจริง อย่างใบเฟิร์นก็ไม่เคยรับงานเสริมอาหารเหมือนกัน แต่พอได้ทานจริง ได้คุยกันก็เลยโอเค ฮยอนบินก็เหมือนกัน ไม่เคยรับเสริมอาหาร เราเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรก มีการส่งไปให้ทดลอง 3 เดือน ทางนั้นก็มีการเช็กข้อมูลบริษัทเรื่องความน่าเชื่อถือ จนได้ตกลงกัน และเราอยากได้พรีเซ็นเตอร์ที่จับกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วย กลุ่มอายุ 22-40 ปี เป็นกลุ่มที่ยังเข้าถึงไม่มากนัก”

ในปีนี้คาดว่าจะใช้งบการตลาดรวม 100 ล้านบาท รวมงบการใช้พรีเซ็นเตอร์ด้วย จากปกติใช้ 5-7% ของยอดขาย

6 ปี ยอดขายพันล้าน

จากเทรนด์การดูแลสุขภาพในช่วง COVID-19 ดันให้อมาโด้มีรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยภายใน 7 เดือนแรกของปี จากปีที่แล้วมีรายได้ราวๆ 700 ล้านบาท เป็นรายได้ที่มากกว่าเป้า 50%

เปิดรายได้ย้อนหลังของอมาโด้

  • ปี 2560 รายได้ 222 ล้านบาท
  • ปี 2561 รายได้ 176 ล้านบาท
  • ปี 2562 รายได้ 694 ล้านบาท
  • ปี 2563 รายได้ 1,800 ล้านบาท (คาดการณ์)

จากเป้าหมายในตอนแรกที่วางไว้ที่รายได้ 1,200 ล้านบาท ตอนนี้ปรับเป้าหมายเป็น 1,800 ล้านบาท เติบโต 160%

สัดส่วนยอดขายแบ่งเป็น

  • ดีลเลอร์ 60% หรือจำนวน 600 ล้านบาท
  • ออนไลน์ของบริษัททั้งเฟซบุ๊กแฟนเพจ และไลน์ 16% จำนวน 160 ล้านบาท
  • เทเลเซลล์ 20% จำนวน 200 ล้านบาท
  • คีออส 3% จำนวน 30 ล้านบาท
  • ยอดขายต่างประเทศ 1% จำนวน 10 ล้านบาท

ถ้าพูดถึงหลักการในการทำธุรกิจ และความท้าทายที่สุดในตอนนี้ เชนบอกว่า “เราคือสตาร์ทอัพที่เติบโตจากเงินก้อนเล็กๆ ต้องควบคุมให้ได้มากที่สุด ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ  อุปสรรคของธุรกิจนี้คือ ความเชื่อ และดราม่าต่างๆ เราต้องสร้างความเชื่อมั่น ต้องทำให้ถูกต้อง มีการรับมือให้ดี

“ผมเคยเป็นศิลปิน เคยสร้างความสุขให้คน รู้ว่ามีจุดที่พีค จุดที่ดรอป จริงๆ ทุกวันนี้ก็เหมือนได้ร้องเพลงให้ลูกค้าฟังผ่านทีวี ผ่านการเล่าเรื่องสินค้าต่างๆ ทำให้เขาตื่นเต้น อยากโทรมาสั่งสินค้า เป็นเรื่องของอีโมชันนอล ต้องใช้ประสบการณ์ในการเล่า”
]]>
1289376