เกียรตินาคินภัทร – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 01 Feb 2024 06:21:13 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 KKP ปรับแผนต่อยอดธุรกิจ Wealth เพิ่มรายได้ คาดยอดสินเชื่อเติบโตแค่ 3% หลังคุมเข้มปล่อยกู้ https://positioningmag.com/1461059 Wed, 31 Jan 2024 12:54:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1461059 กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้ปรับแผนธุรกิจการดำเนินงานในปี 2024 โดยโฟกัสมายังธุรกิจ Wealth และตลาดทุน หลังจากในปี 2023 ที่ผ่านมามีกำไรที่ลดลง โดยธุรกิจเช่าซื้อของกลุ่มฯ รับผลกระทบจากราคารถมือสองที่ลดลง และยังรวมถึงปัญหารถถูกยึดที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงแล้วก็ตาม

KKP ได้เปิดแผนธุรกิจในปี 2024 โดยจะเน้นมายังธุรกิจธนาคาร ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน รวมถึงธุรกิจวาณิช  ธนกิจ ซึ่งจะช่วยทำให้รายได้ของทางกลุ่มนั้นมีส่วนของรายได้จากค่าธรรมเนียมที่เพิ่มมากขึ้น และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเช่าซื้ออีกทางหนึ่ง

โดยผลประกอบการปี 2023 ของ KKP กำไรของกลุ่มธุรกิจฯ ปรับลดลงอยู่ที่ 5,443 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 7,602 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ลูกค้าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และสภาวะตลาดทุนที่ซบเซา

ฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงสาเหตุที่กำไรของ KKP ลดลงจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ลูกค้าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและภาวะดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของราคารถยนต์ ซึ่งในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2023 นั้นมีรถยนต์ถูกยึดมากถึง 6,000 คัน

ในปี 2024 การดำเนินการของธนาคารเกียรตินาคินภัทรจึงโฟกัสไปที่การจัดการและบริหารคุณภาพสินทรัพย์ โดยหนึ่งในมาตรการคือการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ การช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ เขากล่าวว่าเป้าหมายหนึ่งในนั้นคือทำให้รถถูกยึดในปีนี้ลดลงเหลือประมาณ 3,500 คัน

ขณะเดียวกันในช่วงปลายไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาเขาเริ่มเห็นสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถที่ถูกยึดน้อยลง NPL ปรับตัวลดลง

อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KKP ได้กล่าวถึงภาพรวมของกลุ่มฯ​ ในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยมองว่าปีที่แล้วธุรกิจของกลุ่มไม่ดีทั้งคู่ ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนรวมถึงธุรกิจเช่าซื้อ เขามองว่าโมเดลธุรกิจของ KKP นั้นไม่ได้เสื่อมถอยแต่อย่างใด

ขณะที่แผนดำเนินธุรกิจในปี 2024 ในภาพใหญ่ เขาได้กล่าวถึงแนวโน้มทิศทางพัฒนาการตลาดเงินและตลาดทุนของโลกชี้ให้เห็นว่าธุรกิจในปัจจุบันได้ใช้ช่องทางที่หลากหลายในการระดมทรัพยากรมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ไม่จำกัดอยู่แต่เพียงสินเชื่อของธนาคาร

ดังนั้น KKP จึงได้เพิ่มโฟกัสไปยัง ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล รวมถึงธุรกิจวาณิชธนกิจ เพื่อที่จะสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยสินเชื่อของธนาคารให้กับลูกค้ารายใหญ่ รายได้ค่าธรรมเนียมในวาณิชธนกิจ ในส่วนของการควบรวมกิจการ (M&A) การเป็นผู้ประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ในส่วนของตราสารหนี้

นอกจากนี้ยังรวมถึงรายได้การบริหารความมั่งคั่ง รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริหารกองทุนรวม หรือแม้แต่รายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์จากนักลงทุนสถาบันในไทย ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KKP มองว่าเป็นจุดแข็งของกลุ่มมาโดยตลอด

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจของ KKP ในปีนี้คือคาดยอดสินเชื่อเติบโตแค่ 3% ขณะที่ NPL คาดว่าจะลดลงจากปี 2023 ที่ผ่านมา รวมถึงอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROAE) กลับมาอยู่ที่เลข 2 หลัก หลังจากในปีนี้อยู่ที่ 9.2% เท่านั้น

]]>
1461059
เมื่ออุตสาหกรรมแข่งไม่ไหว หรือภาคบริการคือคำตอบของไทย? https://positioningmag.com/1360917 Sun, 14 Nov 2021 14:27:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1360917 KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าถึงแม้นักท่องเที่ยวจะยังคงสามารถกลับเข้ามาได้หลังจากโควิด-19 จบลง ภาคบริการที่พึ่งพาเฉพาะการท่องเที่ยวจะไม่เพียงพอเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

จากเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ และอาจทำให้เติบโตได้ช้าลงกว่าเดิม จากทั้งปัญหาการถูกทิ้งห่างด้านความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิต ปัญหาการเข้าสู่สังคมสูงอายุ และการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์โลก หรือหมายความว่า เศรษฐกิจไทยแบบเก่ากำลังไม่เหมาะกับโลกยุคใหม่ที่มีสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างมาก” 

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความเสี่ยงที่การท่องเที่ยวในยุคหลังโควิด-19 จะฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่ากับที่คาด จากทั้งกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 10% อาจไม่กลับมาอย่างถาวรและในกรณีเลวร้ายที่นักท่องเที่ยวจีน (ประมาณ 30% ของนักท่องเที่ยว) ไม่กลับมาในระยะยาวตามนโยบายของจีนที่สนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้นอาจทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาได้ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดค่อนข้างมาก

เหตุการณ์นี้กำลังเร่งให้ไทยต้องมองหาเครื่องยนต์อื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการเติบโตที่อาจลดลงในระยะยาว 

ภาคบริการเดิมไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว 

ภาคบริการมีความหลากหลายตามนิยามโดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม คือ

  1. กลุ่มบริการสมัยใหม่ที่เน้นการใช้นวัตกรรม เช่น กลุ่มสื่อสารและสารสนเทศ
  2. กลุ่มบริการดั้งเดิมที่เน้นการใช้แรงงานทักษะต่ำ และเน้นการค้าระหว่างประเทศ (Low-Skill Tradable Services) เช่น ธุรกิจค้าส่ง ธุรกิจขนส่ง
  3. กลุ่มบริการที่ใช้แรงงานทักษะต่ำและพึ่งพาการบริโภคในประเทศเป็นหลัก (Low-Skill Domestic Services) เช่น ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์
  4. กลุ่มบริการที่เน้นแรงงานทักษะสูง (High-Skill Intensive) เช่น แพทย์ การศึกษา
Photo : Shutterstock

เมื่อพิจารณาลักษณะของภาคบริการไทยยังพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มบริการแบบเก่าซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นตัวตามเศรษฐกิจมากกว่าตัวนำเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดจาก

  1. โครงสร้างภาคบริการไทยยังอยู่ในกลุ่มบริการแบบเก่า เช่น การค้าปลีกค้าส่ง การขนส่ง การให้บริการสาธารณะ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มน้อย
  2. ภาคบริการไทยไม่ได้ทำหน้าที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม
  3. การเติบโตหลักของบริการในระยะหลังเกิดจากภาคการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ซึ่งสะท้อนทิศทางนโยบายของไทยในอดีตว่า ภาคบริการไทยยังไม่ได้รับการใส่ใจจากนโยบายภาครัฐและไม่ได้ถูกผนวกเข้าเป็นกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวทำให้โครงสร้างภาคบริการของไทยยังเป็นภาคบริการแบบเก่า

บริการโตได้แต่ตามหลังประเทศพัฒนาแล้ว  

ภาคบริการเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศพัฒนาแล้ว และมีแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น โดยประเทศรายได้สูงมีแนวโน้มพึ่งพามูลค่าเพิ่มจากภาคบริการในสัดส่วนที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา

KKP Research มองว่าลักษณะสำคัญของบริการในประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ภาคบริการสามารถเติบโตได้ดี เกิดจากองค์ประกอบของภาคบริการที่มักมีลักษณะเป็นบริการสมัยใหม่ในสัดส่วนที่สูง ตัวอย่างเช่น การบริการในกลุ่ม IT คอมพิวเตอร์ ภาคการเงิน ผู้เชี่ยวชาญในการช่วยเหลือธุรกิจ (Professional Business Services) ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 30%-40% จากบริการทั้งหมด เทียบกับประเทศกำลังพัฒนาที่มีสัดส่วนประมาณ 10%-20% เท่านั้น

สำหรับเศรษฐกิจไทยถือว่ามีสัดส่วนภาคบริการค่อนข้างใหญ่ คือ ประมาณ 60% ของ GDP แต่เป็นบริการสมัยใหม่เพียงประมาณ 14% เท่านั้นสะท้อนชัดเจนว่าภาคบริการไทยยังคงตามหลังประเทศพัฒนาแล้วอยู่มาก 

KKP Research ประเมินว่าลักษณะของภาคบริการในประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นบริการสมัยใหม่ (Modern Services) สร้างโอกาสสำคัญให้กับการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวมจากลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ  

1) ภาคบริการสมัยใหม่มีลักษณะที่สามารถช่วยส่งเสริมศักยภาพของภาคอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น ทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถพัฒนานวัตกรรมได้อย่างเต็มที่ เมื่อพิจารณามูลค่าเพิ่มของสินค้าส่งออกที่เกิดจากภาคบริการพบว่าประเทศพัฒนาแล้วพึ่งพาภาคบริการในประเทศเป็นหลักเกินกว่า 80% ของบริการทั้งหมดในขณะทีไทยพึ่งพาบริการในประเทศเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของมูลค่าทั้งหมดเท่านั้น

2) ภาคบริการสมัยใหม่สามารถเพิ่มขนาดตลาด (scalable) ผ่านการหารายได้จากการค้ากับต่างประเทศ (Tradeable) ได้ โดยในช่วงที่ผ่านมาการเติบโตและมูลค่าของการค้าบริการสูงกว่าการค้าสินค้าปกติ สะท้อนโอกาสจากการเติบโตในภาคบริการที่ยังมีอยู่สูง

3) เทคโนโลยีใหม่มีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มโอกาสการขยายตัวและประสิทธิภาพของภาคบริการในอนาคต (Innovation) โดยเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาจะให้ประโยชน์มากกว่ากว่ากับกลุ่มบริการแบบใหม่ (Modern Services) โดยสามารถทำการค้าระหว่างประเทศได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น ผ่านรูปแบบของ Online Outsourcing ในขณะที่บริการแบบเก่าได้ประโยชน์น้อยกว่าเนื่องจากเป็นกลุ่มบริการที่ต้องเจอหน้ากันโดยตรง เช่น การค้า การท่องเที่ยว

ลักษณะของภาคบริการสมัยใหม่อาจเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้ภาคบริการสามารถทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจโดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องพัฒนาภาคการผลิตมาก่อนตามความเชื่อแบบเก่า ซึ่งเป็นข้อมูลที่สะท้อนว่าในระยะต่อไปประเทศไทยควรต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคบริการเพิ่มเติมจากภาคอุตสาหกรรมเช่นกัน  

การพัฒนาภาคบริการไทยยังเผชิญอุปสรรคมหาศาล 

ภาคบริการในแต่ละกลุ่มมีโอกาสในการเติบโตและต้องการปัจจัยสนับสนุนที่แตกต่างกัน KKP Research ประเมินว่าในภาพรวมการพัฒนาภาคบริการไทยจะเจอความท้าทายมหาศาลแต่ยังมีโอกาสในบริการบางกลุ่มอยู่บ้าง ได้แก่

Photo : Shutterstock
  1. ภาคบริการสมัยใหม่ (Modern Services) มีโอกาสเติบโตจากการยกระดับสู่เศรษฐกิจดิจิทัล แต่ไทยขาดการลงทุนด้าน R&D และนวัตกรรม และแรงงานมีฝีมือซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนา ทำให้ในระยะสั้นประเทศไทยจะไม่มีศักยภาพมากพอในการพัฒนาไปสู่ Modern Services และเป็นศูนย์กลางบริการของโลกได้
  2. ภาคการเงินมีโอกาสเติบโตจากความเชื่อมโยงของภาคการเงินระหว่างประเทศที่มากขึ้น แต่ไทยยังมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบและข้อจำกัดในระบบการเงิน โอกาสในการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค (Financial Center) ในไทยจึงมีความท้าทายสูง
  3. อุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานทักษะต่ำ (Low-Skilled Labor) เช่น การท่องเที่ยว การค้าปลีกค้าส่ง ยังเติบโตได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติแต่ในระยะยาวต้องเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ภาคบริการในกลุ่มนี้ของไทยมีโอกาสเติบโตได้แต่ต้องหันไปพึ่งพาปัจจัยด้านคุณภาพมากขึ้น เช่น พัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นการท่องเที่ยวมูลค่าสูงรวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยวและการค้า
  4. บริการที่เน้นแรงงานทักษะสูงมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะแนวโน้มความต้องการดูแลสุขภาพและการเข้าสู่สังคมสูงอายุ แต่ไทยยังการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทางและเทคโนโลยีด้านการสื่อสารขั้นสูง บริการสุขภาพของไทยมีศักยภาพในการเติบโตผ่านการสนับสนุนท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ แต่ต้องเร่งดำเนินการในหลายเรื่อง คือ 1) เพิ่มจำนวนแรงงานเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 2) การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและโทรคมนาคม

นโยบายภาครัฐ ปัจจัยสำคัญเพื่อขับเคลื่อนภาคบริการ 

แม้ภาคบริการอื่นๆ ของไทยนอกเหนือจากการท่องเที่ยวในปัจจุบันจะยังเผชิญกับอุปสรรคจำนวนมาก การพัฒนาภาคบริการให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น มีมูลค่าเพิ่มที่สูง และผนวกเข้าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ

ทั้งในแง่ของการช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในทางอ้อม ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจไทยในมิติของการกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกในยุคของ De-Globalization และสร้างโอกาสให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาจากลักษณะของภาคบริการที่พึ่งพาแรงงานเป็นหลัก 

Photo : Shutterstock

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร สรุปภาพรวมว่าเพื่อให้ประเทศไทยได้ประโยชน์และสามารถพัฒนาภาคบริการได้อย่างเต็มที่ในระยะต่อไป จำเป็นต้องดำเนินนโยบายในอย่างน้อย 4 เรื่องหลัก

  1. การปฏิรูปกฎระเบียบ เพิ่มการแข่งขันในภาคบริการ
  2. การปฏิรูปและปรับปรุงระบบการศึกษาและการพัฒนาทักษะแรงงาน การพัฒนาภาคบริการจะเกิดขึ้นได้จากแรงงานที่มีทักษะสูงซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของภาคบริการซึ่งต่างจากภาคอุตสาหกรรม
  3. การลดการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศของภาคบริการ ภาคบริการยังถือเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจที่ได้รับการปกป้องมากที่สุดของไทย การเปิดเสรีจะช่วยให้การพัฒนาภาคบริการเกิดเร็วขึ้น
  4. เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตลาดแรงงานและตลาดทุน โดยเปิดให้มีการแข่งขันในตลาดแรงงาน และตลาดทุนอย่างเสรี จะช่วยส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจในการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ ในกลุ่มผู้ประกอบการในภาคบริการ 

การพัฒนาภาคบริการในระยะยาวจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง และการวางแผนนโยบายเศรษฐกิจระยะยาวจำเป็นต้องพิจารณาโอกาสของภาคบริการในการเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพิ่มไปด้วย การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้หรือการพัฒนาบริการเชิงสร้างสรรค์จะเป็นอีกหนึ่งทางออกของไทย 

]]>
1360917