จตุคามรามเทพ

ย้อนไปช่วงปีพ.ศ. 2549-2550 เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยินชื่อของ จตุคามรามเทพ เครื่องรางของขลังที่เชื่อกันว่า ถ้าใครมีในครอบครองแล้วจะช่วยให้พ้นภยันอันตราย มีโชคลาภ และมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน 

จุดเริ่มต้นของเครื่องรางจตุคามรามเทพต้องย้อนไปในปีพ.ศ.2530 ที่มีการสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกพร้อม ๆ การสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช โดยองค์จตุคามรามเทพถือเป็นความเชื่อและตำนานที่เกี่ยวโยงกับ ท้าวขัตตุคาม และ ท้าวรามเทพ ที่บ้างก็ว่าเป็นเทพพิทักษ์พระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร บ้างก็ว่าเป็นเทวดาพิทักษ์ศาลหลักเมือง

ความน่าสนใจของจตุคามก็คือ เป็นเครื่องรางที่ไม่ต้องมีเกจิชื่อดังปลุกเสก โดยกระแสขององค์จตุคามถูกปลุกขึ้นโดย พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล ที่ทำให้ในวงการข้าราชการตำรวจในจังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มบูชาองค์จตุคามรามเทพ

มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2550 นั้น การองค์จตุคามรามเทพมีมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% ของ GDP เลยทีเดียว จากนั้น ความนิยมขององค์จตุคามฯ ก็ค่อย ๆ ลดลงไปตามกาลเวลา

ไอ้ไข่ แห่งวัดเจดีย์

ไอ้ไข่ แห่งวัดเจดีย์ เป็นอีกหนึ่งตำนานสายมูของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ว่ากันว่า ไอ้ไข่เป็นลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงปู่ทวด และได้มีเครื่องรางของขลังครั้งแรกในปีพ.ศ. 2526 ที่พ่อท่านเทิ่ม เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ขณะนั้นได้เริ่มสร้างเหรียญไอ้ไข่รุ่นแรก 

โดยกระแสของไอ้ไข่เกิดขึ้นจากการบอกปากต่อปาก โดยเฉพาะบรรดานักเสี่ยงโชค ที่เชื่อกันว่า ขออะไรไอ้ไข่ก็จะสมหวังทุกอย่าง จนทำให้ในปีพ.ศ.2566 ก็เกิดเป็นกระแสดัง จนผู้คนแห่มากราบไหว้ที่วัดเจดีย์ จนทำให้วัดอื่น ๆ ได้สร้างไอ้ไข่จำลองขึ้นเพื่อให้ผู้คนที่ศรัทธาได้เข้าไปกราบไหว้บูชาเลยทีเดียว

ท้าวเวสสุวรรณ

อีกหนึ่งความเชื่อที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างช้านาน โดยท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัณ) หรือในภาษาพราหมณ์เรียกว่า ท้าวกุเวร ถ้าในพระพุทธศาสนาจะเรียก ท้าวไพสพ เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ ดังนั้น เรามักพบกับรูปปั้นของท้าวเวสสุวัณได้ทั่วไปตามประตูทางเข้าวัด โบสถ์วิหาร 

โดยคนไทยโบราณ มักนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควานแก่เด็ก อย่างไรก็ตาม ท้าวเวสสุวรรณ ได้ถูกบูชามากขึ้นในช่วงปีพ.ศ.2563 เพราะมีความเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่ให้คุณด้านโชคลาภ ทรัพย์สมบัติ และการค้าขาย 

นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันภูติผีปีศาจและเหล่าวิญญาณร้ายได้อีกด้วย โดยเฉพาะที่ วัดจุฬามณี ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม โดยที่มาของท้าวเวสสุวรรณ วัดจุฬามณี เกิดจาก หลวงพ่ออิฏฐ์ วัดจุฬามณี เจ้าอาวาสคนปัจจุบัน ที่เคยฝันเห็นท้าวสุวรรณพาเที่ยวชมยมโลก ซึ่งหลวงพ่ออิฏฐ์ ได้ตั้งสัจจะกับท่านว่าเมื่อกลับสู่โลกมนุษย์ จะตั้งรูปปั้นของท้าวเวสสุวรรณภายในวัด

ครูกายแก้ว

อีกตำนานดราม่าสายมู จากจุดเริ่มต้นรถบรรทุกรูปปั้นครูกายแก้วขนาดใหญ่ เกิดติดคานสะพานลอยคนข้าม จนทำให้เกิดรถติดรบนถนนรัชดาภิเษกของเช้าวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ทำให้หลายคนสงสัยถึงที่มาที่ไปของ ครูกายแก้ว ว่าเป็นใคร ทำไมถึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคนกราบไหว้บูชา เพราะรูปปั้นของครูกายแก้วมีลักษณะเป็นคนกึ่งนก มีปีก มีเล็บยาวสีแดงและเขี้ยวสีทอง 

โดยตำนานเล่าว่า ครูกายแก้ว เป็นผู้ที่มีวิชาตบะแก่กล้าเมื่อพันปีก่อน และได้มีพระองค์หนึ่งได้เดินทางไปธุดงค์ไปปฏิบัติธรรม ทำสมาธิที่ปราสาทนครวัดนครธม ประเทศกัมพูชา ได้มาเรียนวิชาอาคมของครูกายแก้วสืบต่อ เมื่อได้เดินทางกลับมาพระองค์นั้นได้นำองค์จำลองของครูกายแก้วกลับมาด้วย

บรรดาลูกศิษย์ครูกายแก้วเชื่อว่า ผู้ที่บูชาจะช่วยเรื่องการเงิน การงาน ความรัก และสุขภาพ ซึ่งในช่วงที่เกิดกระแส วัตถุมงคลของครูกายแก้วราคาก็พุ่งขึ้นอย่างมาก มีตั้งแต่ราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักแสนบาทเลยทีเดียว

เหรียญพหูรมาน

เครื่องรางของขลังล่าสุด ที่โด่งดังจากเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อพบว่ามีทหารนายหนึ่งที่แขวนเหรียญพหูรมาน ของหลวงปู่ศิลา สิริจันโท แล้วรอดจากแรงระเบิด จนทำให้ราคาของเหรียญที่เคยให้เช่าบูชาในราคาเริ่มต้นเพียง 199 บาท กลับมีราคาพุ่งขึ้นไปถึง 3,200 – 7,000 บาท ภายในไม่ถึง 7 วัน คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 1,508% ถึง 3,417%

โดยหลวงปู่ศิลา สิริจันโท แห่งวัดพระธาตุหมื่นหิน ตำบลกุดปลาค้าว อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ถือเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในภาคอีสาน โดยนอกจากเรื่องวัตรปฏิบัติที่เรียบง่าย สมถะ และมีความรู้ทางธรรมะแล้ว บรรดาลูกศิษย์เชื่อว่าหลวงปู่ศิลาสามารถ หยั่งรู้อนาคต จากกรณีที่มีรถกระบะเสียหลักแล้วข้ามทางพุ่งเข้ามาหารถที่หลวงปู่นั่ง แต่รถกระบะคันดังกล่าวหยุดได้ก่อนที่จะถึงรถหลวงปู่เพียงแค่นิดเดียว ส่งผลให้วัตถุมงคลหลายรุ่นเป็นที่นิยมและมีราคาเช่าบูชาสูง เช่น เหรียญเหนือดวง ที่ผู้คนเชื่อว่ามีพุทธคุณด้านแคล้วคลาด ปลอดภัย และโชคลาภ

จริง ๆ ยังมีอีกหลายไอเทมเครื่องรางของขลังที่เคยเป็นไวรัลในไทย อย่างเช่น ตุ๊กตาลูกเทพ ที่เคยเป็นกระแสในช่วงหนึ่ง แต่ปัจจุบันก็ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา สุดท้ายแล้ว เรื่องเครื่องรางของขลังถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างพุทธศาสนา ความเชื่อพื้นบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สร้างความมั่นใจ ในการดำรงชีวิต และเชื่อว่าจะไม่มีวันเลือนหายไป แม้ว่าสังคมจะพัฒนาไปสู่ยุค AI แล้วก็ตาม

โดยสิ่งของที่ได้รับความนิยมในการส่งผ่านไปรษณีย์จากไทยไปปลายทางประเทศจีน 5 อันดับแรก ได้แก่

• เอกสาร
• ของเล่น
• เสื้อผ้าคอตตอน
• อาหารเสริม
• เครื่องรางของขลัง

“ในอดีตขนส่งระหว่างไทยจีน จะเป็นจดหมาย เงิน และโทรเลข ที่คนไทยเชื้อสายจีนส่งกลับไปให้พ่อแม่ แต่ปัจจุบันสัดส่วนการส่งจดหมาย/เอกสารถูกแซงด้วย การส่งสินค้าแทน โดยมีแรงหนุนจากอีคอมเมิร์ซของทั้ง 2 ประเทศขยายตัว”

ทั้งนี้ สินค้า “เครื่องรางของขลัง” อาทิ พระห้อย พระพุทธรูป ตะกรุด และเหรียญพระ เป็นที่นิยมในกลุ่มคนจีน รวมถึงคนชาติอื่น ๆ ทั้งญี่ปุ่น ฮ่องกง ติดลิสต์สินค้าส่งออกยอดฮิตของไปรษณีย์ไทยนานกว่า 10 ปี

โดยสินค้าเหล่านี้ จะมีเซียนพระในส่วนภูมิภาค เช่น ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นต้น นำมาฝากขายในที่ทำการไปรษณีย์ไทยบริเวณใกล้เคียง ซึ่งไปรษณีย์ไทยก็ได้สินค้าในช่องทาง ThailandPostMart

อย่างไรก็ดี ในแง่สินค้านำเข้าหมวดเครื่องรางของขลัง ก็เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคไทยสายมูเตลูเช่นกัน อาทิ เครื่องรางนำโชคด้านการเงินและความรัก ทั้งจากฮ่องกง และจีน

จากการเห็นโอกาสในการส่งสินค้าระหว่างไทย-จีน ไปรษณีย์ไทย จึงมีแผนพัฒนาการขนส่งทางบกจากต้นทางจีน เพื่อให้บริการสำหรับลูกค้ากลุ่ม B2B และกลุ่ม B2C โดยใช้การขนส่งในช่องทางพาณิชย์ เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในการลดต้นทุนค่าขนส่ง สามารถขนส่งได้ในปริมาณมากขึ้นเมื่อเทียบกับการขนส่งทางอากาศ

ขณะเดียวกัน ยังเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าทั้งต้นทางและปลายทางได้มากขึ้น เช่น มีบริการดำเนินพิธีการภาษีศุลกากรทั้งที่ต้นทางและปลายทาง

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังอยู่ระหว่างศึกษาการใช้ประโยชน์จากช่องทางการขนส่งทั้งทางรถและทางราง (Multimodul Transport) ไปปลายทางจีน และพร้อมเป็นจุดกระจายสินค้าเข้าไทย โดยใช้เครือข่ายในประเทศและส่งต่อไปทั่วโลก ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้น

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 สถานการณ์การส่งสินค้าจากไทยไปยังจีนและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ยังมีปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยาก ด้วยเศรษฐกิจและกำลังซื้อทั่วโลกชะลอตัว รวมถึงประเด็นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้รูปแบบการส่งออกต้องปรับเปลี่ยนเร็วขึ้น

โดยปัจจุบันไปรษณีย์ไทยส่งออกสินค้ามากสุด ใน 5 ประเทศ คือ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย