เทรนด์ผู้บริโภค – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 06 Nov 2025 11:11:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปเทรนด์ผู้บริโภค ปี 2026 เมื่อคนไทยเข้าสู่โหมด ‘เยียวยา ปรับจูน และเติบโต’ https://positioningmag.com/1545578 Wed, 05 Nov 2025 06:35:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545578 ปี 2026 จะเป็นปีแห่งการปรับจูนและการเติบโต โดยผู้บริโภคจะเข้าสู่โหมด ‘เยียวยา ปรับจูน และใช้ชีวิตในแบบตัวเอง’ หลังจากที่ผ่านมาประเทศไทยได้ผ่านวิกฤตต่าง ๆ มา รวมถึงในปี 2025 ที่คนไทยต้องเผชิญกับความผันผวน เหตุการณ์แผ่นดินไหว ต้องเครียดจากค่าครองชีพสูงและกลัว AI จะเข้ามาแย่งงาน จนทำให้จิตใจอ่อนล้า

 

นี่คือบทสรุปจาก ‘Session : Consumer Insight รู้ทันพฤติกรรมผู้บริโภค เจาะลึกพลังซื้อใหม่ 2026’ ในงาน SME Thailand Future Day 2026 จาก ‘อรุณโรจน์ เหล่าเจริญวงศ์’ รองผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย)

 

ย้อนดูการเคลื่อนไหวของผู้บริโภคตามยุค

 

• ปี 2018 – 2019 : Aspirational Dive 

– ผู้บริโภคมีความมั่นใจทางเศรษฐกิจ

-มุ่งสู่ความสำเร็จและสถานะทางสังคม

-ใช้จ่ายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต

-เลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่สะท้อนความสำเร็จและความมีระดับ

 

• ปี 2020 – 2022  : Disruption & Reflection

– เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์แบบฉับพลัน

– ช่วง Covid-19 ลดการใช้จ่ายเน้นสุขภาพและความมั่นคง

– ใส่ใจครอบครัวและความสัมพันธ์

– หลังล็อกดาวน์ มองหาความสุขเล็กๆ และสมดุลใจ

 

• ปี 2023 – 2025  : Burnout Build-up

–  หลัง Covid-19 ผู้บริโภคไทยเผชิญความเหนื่อยล้าและความกังวลเพิ่มขึ้น

– เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง งานไม่มั่นคงและแรงกดดันจาก AI

-คนกังวลค่าครองชีพกระทบชีวิตการเงิน

 

แม้ปัจจุบันพฤติกรรมจะมีการระมัดระวังการใช้จ่าย แต่หากทำเพื่อ ‘ฮีลใจ’ ก็พร้อมจะจ่าย ซึ่งสินค้าที่มีการเติบโต    นับตั้งแต่ปี 2023-2025 ได้แก่

 

หมวดเครื่องดื่ม โต 9%

หมวดอาหาร โต 7%

หมวดของใช้ในบ้าน โต 7%

หมวดความสวยความงาม โต 3%

 

นอกจากนี้ คนไทยมีความคาดหวังว่า ตัวเองจะมีความสุขมากขึ้นทุกปี โดยมีวิธีฮีลใจตัวเองสุดฮิต 3 วิธี ได้แก่

 

-ฮีลใจด้วยความเงียบ-ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง (46%)

-ปล่อยให้เวลาเยียวยาทุกอย่าง เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง (38%)

-ท่องธรรมชาติ เติมพลังใจจากสีเขียว สายลม แสงแดด (35%)

 

เปิด 4 พลังซื้อใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2026

 

สำหรับปี 2026  เรียกว่า เป็นปีแห่งการ “ปรับจูน” และ “เติบโต” เพื่อเผชิญกับโลกที่ไม่แน่นอน ซึ่งทุกครั้งที่โลกเปลี่ยน ผู้บริโภคไม่ได้หายไป เพียงแต่ ‘เปลี่ยนเหตุผลในการตัดสินใจ’ ซึ่งนำมาสู่ 4 พลังซื้อใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2026

 

1.The Value Maximizer – ฉลาดซื้อ ดูความคุ้มเป็นหลัก

– อายุตั้งแต่ 15-59 ปี ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในไทย

– ยังซื้อเหมือนเดิม แต่อยากได้ของ ‘คุ้มกว่าเดิม’

– พฤติกรรมการซื้อจะเทียบราคา ดูรีวิว และวัดคุณค่าต่อบาท

แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มนี้ : ต้องเน้น ‘Worth & Wisdom’ ให้ลูกค้ารู้สึกภูมิใจที่ได้ซื้อสินค้าของเรา

 

2.The Soloist -อยู่คนเดียวได้ ชอบความอิสระ

– อายุตั้งแต่ 15-59 ปี

– มีความสุขกับการอยู่และทำกิจกรรมคนเดียว

แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มนี้ : ต้องสร้างประสบการณ์แบบ Personal Spaceให้พื้นที่ที่พวกเขามี ‘อิสระ-สามารถควบคุมได้เอง’

 

3.The Kidult Escapist – กลุ่มผู้ใหญ่ที่ใช้จ่ายเพื่อความสุขของตัวเอง

– อายุ 25-45 ปี เน้นความสนุก

– จับจ่ายเพื่อ Emotional Comfort เช่น ของเล่น, บอร์ดเกม, อนิเมะ ฯลฯ

แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มนี้ : ต้องสร้างประสบการณ์ที่สนุกและปลดปล่อย เพื่อมอบความสุขคืนมาให้พวกเขา

 

4.The Silver Explorer – กลุ่มที่อยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่า

– อายุ 45-69 ปี มีทุกอย่างแล้ว ตอนนี้อยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่า

– ใช้จ่ายกับ ‘การพักผ่อน’ มากขึ้น

– ชอบทำบุญ สนับสนุนสังคม

แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มนี้ : ต้องสร้างความหมาย ชวนให้ Explore และเติมเต็มเป้าหมายของชีวิต

]]>
1545578
5 สัญญาณเสี่ยงคนไทย เมื่อประเทศก้าวสู่ ‘สังคมสูงวัยระดับสุดยอด’ https://positioningmag.com/1543364 Sun, 19 Oct 2025 04:44:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543364 สิ่งที่น่ากังวลและเป็นความท้าทายกับการก้าวสู่ ‘สังคมสูงวัยระดับสุดยอด’ (Super Aged Society) ของประเทศ ไทยในอีก 10 ข้างหน้า ไม่ใช่ ‘จำนวนของผู้สูงอายุ’ แต่เป็นการที่ชีวิตของคนทุกวัยกำลัง ‘ไร้อิสระ’ จากผล กระทบของวิกฤตประชากรที่จะเกิดขึ้น

 

บนเวทีเสวนา ‘ภารกิจคิดเผื่อ X Life Fest 40+’ ในงาน ‘Life Fest 40+ รู้ก่อน ดีกว่า’ ได้สะท้อนให้เห็นว่า ในอีกไม่เกิน 10 ปี ไทยกำลังเข้าสู่ Super Aged Society โดยในปี 2567 ข้อมูลจากสำนักสถิติแห่งชาติ (สสช.) ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 60 ขึ้นไป เพิ่มขึ้นคิดเป็น 20% ของประชากร หรือสูงถึง 1 ใน 5 ของประเทศ

 

นอกจากนี้ ไทยกำลังเผชิญสถานการณ์มีเด็กเกิดใหม่น้อยที่สุดในรอบ 70 ปี ชัดเจนในปี 2567 ที่บ้านเรามีเด็กเกิดใหม่น้อยกว่า 500,000 คน ซึ่งเป็นการเร่งให้สังคมเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดไวมากขึ้น ขณะเดียวกัน สัดส่วนแรงงานก็ลดน้อยลงอย่างเห็นชัดเจน

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นความท้าทายและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนในครอบครัวทุกวัย เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังพึ่งพารายได้จากผู้อื่นเป็นหลัก เมื่อรวมกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสุขภาพที่เพิ่มขึ้นด้วยแล้ว ทำให้การที่ชีวิตของคนทุกวัยกำลังไร้อิสระ โดยเฉพาะ ‘เดอะแบก’ ที่ต้องดูแลทั้งผู้สูงอายุในครอบครัวและดูแลครอบครัวของตัวเอง 

 

5 ข้อที่ทำให้ชีวิตของคนไทยไร้อิสระ

 

1.ด้านการเงิน (Wealth+) : ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปี 2568 พบว่า กว่า 95% ของครัวเรือนไทยยังมีหนี้ และหนี้เฉลี่ย 740,596 บาท/ครัวเรือน สูงสุดรอบ 4 ปี ขณะที่ข้อมูลจาก สสช. ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการวางแผนการเก็บออมในยามชราและเมื่อต้องเกษียณของคนไทย พบว่า 

-มีเพียง 13.2% ที่คิด/วางแผน และทำได้ตามแผน

-21.7% คิด/วางแผน แต่ยังไม่เริ่มทำ

-45.3% คิด/วางแผน แต่ทำไม่ได้ตามแผนหรือที่ตั้งใจ 

-19.8% ยังไม่คิด ยังไม่วางแผน 

 

ส่วนรายได้หลักของผู้สูงอายุ โดย 35.7% มาจากลูกหลาน รองลงมา 33.9% มาจากการทำงาน โดยผู้สูงอายุที่ยังต้องทำงานมีอยู่ 5.26 ล้านคน หรือ 37.2%

 

สะท้อนให้เห็นถึงเหตุจำเป็นที่อาจทำให้ผู้สูงอายุหยุดทำงานไม่ได้ รวมถึงในวันที่ทำงานไม่ไหว หรือ ไม่มีตลาดแรงงานรองรับ หนี้สินทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูก็จะตกมาถึงลูกหลานวัยทำงาน

2.ด้านสุขภาพ (Health+) : ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคเผยไทยมี “ผู้ป่วยความดัน” ราว 14 ล้านคน แต่ขึ้นทะเบียนรักษาเพียง 7 ล้านคน อีกทั้งคนไทยป่วยเบาหวานราว 6.5 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 10 และจำนวนผู้ไม่รู้สถานะอีกจำนวนมาก ซึ่งโรคในหมวด NCDs เหล่านี้เป็นฐานความเสี่ยงใหญ่ของวัย 40+ ที่จะลากยาวถึงวัยสูงอายุ ทั้งต้นทุนรักษาค่อนข้างสูงและทอนคุณภาพชีวิตครัวเรือน

 

3.ด้านจิตใจ (Mind+) : จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อย่างน้อย 1 ใน 4 ของผู้สูงอายุเผชิญภาวะ social isolation ขณะที่สสช. ระบุจากผู้สูงอายุทั้งหมด 14 ล้านคน มี 12.9% ที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้สูงวัยพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าแบบไม่รู้ตัว และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติภายในบ้าน หรือเจ็บป่วยโดยไม่มีผู้ดูแล เพิ่มโอกาสในการเสียชีวิตสูงมากขึ้น

 

4.ด้านไลฟ์สไตล์ (Living+): จากข้อมูล สสช. มีผู้สูงอายุหกล้มที่บ้านสูงถึง 82.9% แบ่งเป็นบริเวณบ้าน 50.5% และภายในบ้าน 32.4% สอดคล้องข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ชี้ 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุ หกล้มทุกปี และต้องเข้าพักรับการรักษาในโรงพยาบาลกว่า 165,000 คน บาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นกระดูกสะโพกหักกว่า 40,000 รายต่อปี โดย 17% ของผู้ที่กระดูกสะโพกหัก จะเสียชีวิตภายใน 1 ปี ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ไม่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย

 

5.ด้านเทคโนโลยี (Digital+) : ผู้สูงวัยตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์เพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2564 เป็น 23.12% ในปี 2567 สาเหตุเกิดจากการขาดทักษะตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ และขาดการไตร่ตรองก่อนเชื่อหรือแชร์ ส่งผลให้ต้องสูญเสียทรัพย์สิน กระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความมั่นคงในการใช้ชีวิต

นอกจากสะท้อนให้เห็นผลกระทบเมื่อไทยเข้าสู่ Super Aged Society เวทีเสวนาดังกล่าว ยังแนะนำเพื่อรับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพื่อแก้ปัญหาของสังคมสูงวัย และทำให้คนทุกวัยมีชีวิตที่เป็นอิสระ โดยด้านการเงิน แนะนำให้วางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด ปลดภาระหนี้สิน สร้างความมั่นคงระยะยาว

 

ด้านสุขภาพ แนะนำบาลานซ์สุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการกิน การออกกำลังกาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทุกช่วงวัย, ด้านจิตใจ ให้สร้างสมดุลชีวิต ดูแลความสัมพันธ์ และความสุขที่ยั่งยืน, ด้านไลฟ์สไตล์ ให้ปรับไลฟ์สไตล์และที่อยู่อาศัย เปิดมุมมองชีวิตใหม่ เพิ่มคุณภาพชีวิตในทุกมิติ และการเป็น Active citizen

 

สุดท้ายด้านเทคโนโลยี ให้พัฒนาตัวเองให้เท่าทันทันเทคโนโลย ใช้นวัตกรรมอย่างฉลาดและปลอดภัย

]]>
1543364
ธุรกิจ ‘ร้านอาหาร’ ปีนี้ไม่ง่าย ตกอยู่ในสถานการณ์ ‘เปิดช้า ปิดไว’ https://positioningmag.com/1528095 Fri, 27 Jun 2025 12:28:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1528095 หลังจากโควิด-19 มีการคาดการณ์ว่า ‘ธุรกิจร้านอาหาร’ จะกลับมาสดใสอีกครั้ง แต่จากการเปิดตัวสถิติร้านอาหารที่คนทำร้านอาหารต้องรู้ ในงาน Thailand Restaurant Conference 2025 โดย ‘เอกลักษณ์ วิริยะโกวิทยา’ จาก LINE MAN wongnai ทำให้รู้ว่า ตอนนี้สถานการณ์ของธุรกิจร้านอาหารไม่ได้ดีตามที่คาดหวัง

 

สนามแข่งร้านอาหาร ‘เปิดช้า…ปิดไว’

 

ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2025 ธุรกิจร้านอาหารมีการเปิดร้านใหม่ลดลง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 50% ของร้านที่เปิดใหม่มีการปิดตัวตั้งแต่ปีแรกของการเปิด สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในธุรกิจร้านอาหาร

 

อีกสถิติที่น่าสนใจ คือ เมื่อพิจารณาถึงทำเลที่ตั้ง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยชี้วัดการอยู่รอดของร้านอาหาร จะเห็นได้ว่า ร้านที่เปิด ‘ในห้าง’ จะมีโอกาสรอดสูงกว่าร้าน ‘นอกห้าง’ ถึง 22% โดยแนวโน้มนี้เห็นความชัดเจนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

เหตุผลก็เนื่องจากห้างมีทราฟฟิกของลูกค้าที่พร้อมซื้อรออยู่แล้ว ดังนั้น การเปิดสาขาในร้าน ก็ไม่ต่างจากการซื้อประกันที่การันตีว่ามีลูกค้าแน่

 

เดลิเวอรี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่ต้องทำ

 

เมื่อพิจารณาถึงช่องทางระหว่าง ‘หน้าร้าน’ กับ ‘เดลิเวอรี่’ ลูกค้าเทใจให้ช่องทางไหน?

 

จากข้อมูลของ LINE MAN wongnai พบว่า ยอดขายหน้าร้านลดลง 14% ขณะที่ยอดขายบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่อย่าง Line Man เติบโตขึ้นมากกว่า 15% ทำให้เดลิเวอรี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ร้านอาหารต้องทำ

 

ดังนั้น ยุคนี้การยืนบน ‘ไหล่ยักษ์’ อาจจะช่วยให้ร้านอาหารสร้างยอดขายได้ไว ทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้เร็วขึ้น

 

ส่วนเมื่อเข้าแอปฯแล้ว ลูกค้ามองหาอะไร?

คำตอบ คือ ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการค้นหาโปรโมชั่น

-88% เล็งหาโปรฯ ค่าอาหาร

-59% ส่วนลดค่าส่ง

-56% โปรโมชั่นเซตเมนู

-29% Flash Sale

-27% โปรฯ ลูกค้าใหม่

 

สำหรับเมนูที่ลูกค้าค้นหามากสุด เพื่อให้ผู้ประกอบการรู้ทิศทางของความนิยมของผู้บริโภคนั้น 5 อันดับแรก ได้แก่ หม่าล่า 60%, หมี่ไก่ฉีก 58%, สุกี้ 51%, ผัดไทย (34%), และ ขนมปัง (28%) เมนูใหม่ที่เพิ่งติดโผในปีนี้

 

นอกจากนี้ ‘ชิโอะปัง’ เป็นเทรนด์อาหารที่มาแรงมาก โดยตั้งแต่ต้นปี 68 มีการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 130 เท่า มียอดขายเพิ่มขึ้น 11 เท่าภายใน 1 เดือน แม้ช่วงไตรมาส 2 จะเห็นเทรนด์การเติบโตที่เริ่มลดลงเล็กน้อย

 

สรุป ในปีนี้ธุรกิจร้านอาหารยังเผชิญความท้าทายมากมาย รวมถึงการแข่งขันที่ดุเดือด ซึ่งการจะอยู่รอดได้ในธุรกิจนี้สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีการปรับตัวและทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า

 

]]>
1528095
แค่ ‘สะดวกซัก’ ไม่พอ!! WashXpress เปิดบริการใหม่ ‘รับรีด’ ราคาเริ่มต้น 15 บาท https://positioningmag.com/1527631 Thu, 26 Jun 2025 07:22:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1527631 การใช้ชีวิตที่เร่งรีบและต้องการความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นของผู้คนในยุคปัจจุบัน ถือเป็นโจทย์สำคัญให้หลายธุรกิจพยายามสร้างบริการใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว รวมถึง ‘ธุรกิจร้านสะดวกซัก’ อย่าง WashXpress ซึ่งตอนนี้ไม่เพียงมีบริการซักและอบเท่านั้น ยังเพิ่ม ‘บริการรับรีด By พี่วัว’ ขึ้นมา

 

บริการใหม่นี้ เป็นการต่อยอดจาก ‘บริการซัก อบ พับ’ ให้ลูกค้าสามารถนำผ้ามาฝากไว้ที่ร้าน แล้วทางพนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดีของ WashXpress จะเป็นผู้ดำเนินการซัก อบ และพับผ้าให้เรียบร้อย ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้บริการ

 

ขณะที่บริการรับรีด By พี่วัว จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการบริการซักอบรีดแบบครบวงจร ส่วนราคาค่าบริการนั้น เช่น 

เสื้อยืด 15 บาท

เสื้อเชิ๊ต 20 บาท

กางเกงขายาว/กระโปรงยาว 20 บาท

กางเกงขาสั้น/กระโปรงสั้น 15 บาท

ชุดเดรส/สูท/ผ้าปูที่นอน 50 บาท

 

รวมถึงมีแพ็กเกจรายเดือน โดยบริการรับรีด By พี่วัวตอนนี้พร้อมให้บริการใน 4 สาขา ได้แก่ สาขาลาดพร้าว 101, สาขาตลาดกิเลน ศาลายา, สาขาแบริ่ง 34 และสาขาลาดพร้าววังหิน 28 ซึ่งในปี 2568 มีแผนจะขยายบริการนี้ไปยังสาขาอื่น ๆ

 

สำหรับอุตสาหกรรมร้านสะดวกซักในประเทศไทย ‘กวิน กลองกระโทก’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการร้านสะดวกซัก WashXpress ให้ข้อมูลว่า มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธุรกิจนี้มีมูลค่าตลาดราว 3,000 ล้านบาทในปี 2563 เพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาทในปี 2565 และคาดการณ์จะมีมูลค่าประมาณ 13,500 ล้านบาทในปี 2567

 

การเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย เช่น การขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) ทำให้ความต้องการบริการที่ทันสมัยและสะดวกสบายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่มักอาศัยอยู่ในครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) และมีเวลาจำกัดในการดูแลงานบ้าน ทำให้ร้านสะดวกซักกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และผลักดันให้อุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง

]]>
1527631
Pet Parents แรงไม่หยุด ส่งผลให้ธุรกิจสัตว์เลี้ยงโตสวนกระแสเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/1522203 Sun, 18 May 2025 05:11:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522203 ปัจจุบันการเลี้ยงน้องหมาน้องแมวไปจนถึงสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ อาจไม่ใช่แค่เพื่อคลายเหงา แต่เป็นการเลี้ยงเสมือนหนึ่งในสมาชิกครอบครัวหรือเป็นลูก หรือ Pet Parents เทรนด์ที่มาแรง ทำให้ทิศทางของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงมีการเปลี่ยนแปลงและมีการใช้จ่ายเติบโตแบบก้าวกระโดดสวนกระแสเศรษฐกิจ

 

สำหรับเทรนด์ดังกล่าว เกิดขึ้นจากคนยุคใหม่นิยมอยู่เป็นโสด หรือถ้าแต่งงานก็ไม่แพลนจะไม่มีลูก และนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นลูก บวกกับการก้าวสู่สังคม Aging Society ของไทย ซึ่งผู้สูงวัยมักจะมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา เอาไว้ผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็เอาใส่ใจดูแลไม่ต่างไปจากสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว 

 

Pet Parents ทำให้ธุรกิจเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงโตแค่ไหน?

 

จากข้อมูลของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือเคทีซี เปิดเผยว่า การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดสัตว์เลี้ยงปี 2567 มียอดรวมที่ 1,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2566 ส่วนเดือนมกราคม–เมษายน 2568 การใช้จ่ายในหมวดนี้โตขึ้น 10%

 

สำหรับกลุ่มที่ใช้จ่ายในหมวดสัดสัตว์เลี้ยงมากสุด ได้แก่ ‘กลุ่มอายุ 30-34 ปี’ มีสัดส่วนการใช้จ่ายมากสุดที่ 17% รองลงมาคือ ‘กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป’ มีสัดส่วน 16% โดยทั้งสองกลุ่มยังใช้จ่ายในหมวดนี้อย่างสม่ำเสมอ 

 

ด้านผู้จัด Pet Expo Thailand เปิดเผยว่า ตอนนี้การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่แค่เป็น ‘เพื่อน’ แต่ดูแลเหมือนลูก ทำให้มีการใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มขึ้น อย่างการจัดงานครั้งที่ผ่านมามีอัตราการใช้จ่ายในงานอยู่ที่ 30,000-50,000 บาทต่อคน โดยผลิตภัณฑ์ยอดนิยม 3 อันดับแรกที่มีการใช้จ่ายมากสุด ได้แก่ 

 

1.ขนมและอาหาร

2.อุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง

3.การบริการ การรักษาพยาบาล

 

ขณะที่ ‘บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)’ คาดการณ์ตลาดประกันภัยสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยปี 2568 ว่า จะมีมูลค่าประมาณ 100–200 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 15–20% ทั้งในแง่มูลค่าตลาดและจำนวนผู้ทำประกัน 

 

ปัจจัยหลักของการเติบโตดังกล่าว มาจากการตระหนักถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลและรักษาสัตว์เลี้ยงที่สูงขึ้น โดยค่ารักษาพื้นฐาน เช่น การฉีดวัคซีนหรือการตรวจสุขภาพอยู่ที่ 1,000–5,000 บาทต่อครั้ง ส่วนการผ่าตัดหรือรักษาเฉพาะทางอาจสูงถึง 10,000–50,000 บาท ทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงเริ่มมองหาทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงผ่านประกันภัย

 

ด้วยพฤติกรรมของ Pet Parents จะเอาใส่ใจและให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงค่อนข้างสูง ดังนั้น นอกจากอาหาร การกิน การรักษาแล้ว ยังมีการใช้จ่ายด้านอื่น ๆ อย่างเช่น ทริปท่องเที่ยว เป็นต้น

 

ข้อมูลของ SCB EIC พบว่า ตอนนี้การเที่ยวพร้อมสัตว์เลี้ยง หรือ Pet Tourism กลายเป็นเทรนด์ฮิตในหมู่คนเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะกลุ่มที่เลี้ยงแบบลูก ซึ่งตอนนี้มีถึง 49% ของผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยง ความน่าสนใจของคนกลุ่มนี้ยอมจ่ายไม่อั้นเพื่อสัตว์เลี้ยง ทั้งค่ากิน ค่าอยู่ ค่าดูแลสุขภาพ รวมถึงค่าทริปท่องเที่ยวสูงถึง 78% 

 

นอกจากนี้ เรายังได้เห็นการเปิดพื้นที่ Pet Friendly ของทั้งอสังหาฯ และศูนย์การค้า ให้เหล่าทาสได้ใช้ชีวิตกับนายท่านได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้น Pet Parents  จึงเป็นเทรนด์ที่จับตามอง และธุรกิจต้องปรับตัวให้ทัน

]]>
1522203
YONO เทรนด์ใหม่ในกลุ่ม Gen z ที่ขอเลิกติดแกรม เน้นประหยัดมากขึ้น https://positioningmag.com/1508743 Wed, 29 Jan 2025 13:20:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508743 ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราคงอาจได้ยินว่า ชีวิตนี้มีครั้งเดียวก็ใช้ซะให้คุ้มค่า ทำให้เกิดเทรนด์ฮิตในกลุ่มวัยรุ่นที่เรียกว่า ‘YOLO’ ย่อมาจาก You only live once ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตมีความสุขอย่างเต็มที่ ณ ปัจจุบัน และไม่ต้องคิดหรือกังวลกับอนาคตที่ไม่แน่นอน เพราะคนเรามีชีวิตแค่ครั้งเดียว อยากจะกินอะไรก็กิน อยากช้อปอะไรก็ช้อป 

 

แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ และค่าครองชีพสูงขึ้นแต่รายได้ดันไม่สูงตาม แถมการจ้างงานยังลดน้อยลง จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ยากลำบากยิ่งขึ้น กลายเป็นตัวจุดกระแสให้ตอนนี้เกิดเทรนด์ใหม่ในการใช้ชีวิต นั่นคือ ‘YONO’ หรือ You only need one 

 

หลักการของกลุ่มนี้ก็ง่าย ๆ คือ พวกเขาจะลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เลิกพฤติกรรมติดแกลม มีการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการเฉพาะ ‘จำเป็นจริงๆ’ และต้อง ‘คุ้มค่า’ เท่านั้น รวมถึงหันมาใส่ใจการออมและวางแผนด้านการเงินในระยะยาวมากขึ้น

 

สำหรับเทรนด์ YONO กำลังมาแรงในกลุ่มคนรุ่นใหม่เกาหลีใต้และจีนอายุตั้งแต่ 12-27 ปี หรือ คน Gen Z นั่นเอง โดยเฉพาะช่วงอายุ 20 ปีกลาง ๆ ซึ่งมีรายได้จากการทำงานแล้ว ที่ได้เปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์และนิสัยให้หันมาใช้จ่ายอย่างประหยัดขั้นสุด ซื้อของชิ้นเดียวเฉพาะจำเป็นเท่านั้น และงดการไปกินอาหารนอกบ้านหรือกินดื่มสังสรรค์กับเพื่อนลง

 

นอกจากนี้ กลุ่ม YONO ยังหันมาสนใจกับการวางแผนการเงินล่วงหน้า มีการแบ่งเงินออมก่อนใช้ และลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ 

 

ส่วนการทุ่มเงินเพื่อซื้อความสุขตอบสนองความต้องการของตัวเองให้ได้ลองของดี ๆ สักครั้งในชีวิต พวกเขามองเป็น ‘เรื่องเชย’ หรือปล่อยให้เป็นเรื่องของ Gen Y ที่อายุมากกว่า และมีกำลังซื้อมากกว่าไปซะ

 

การเปลี่ยนแปลงจาก YOLO สู่ YONO สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวในการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ที่พยายามหาทางสร้างความสุขที่แท้จริงและยืนยาว มากกว่าจะมองแค่เรื่องสุขนิยมแบบชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น

]]>
1508743
‘ตลาดครีมซอง’ น่าสนใจแค่ไหน? ถึงเติบโตมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท https://positioningmag.com/1506998 Mon, 20 Jan 2025 08:43:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506998 หากถามว่า ‘ตลาดครีมซอง’ ตอนนี้ร้อนแรงแค่ไหน ? คงหาคำตอบได้ง่าย ๆ แค่ลองเดินเข้าร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven หรือตามร้านค้าความสวยความงามต่าง ๆ เราจะเห็นครีมซองวางจำหน่ายเรียงราย แถมมีสินค้าหลากหลายให้เลือกทั้ง ‘แบรนด์’ และ ‘ประเภทสินค้า’ เรียกได้ว่า มีครีมซองให้เลือกตอบโจทย์ ‘ตั้งแต่หัวจรดเท้า’

 

‘สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย’ ได้ประเมินภาพรวมตลาดความงามของไทยในปี 2567 จะมีมูลค่า 3.40 แสนล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) 46.8%, ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผม (Haircare) 18.3%, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย (Hygiene) 16.3%, ผลิตภัณฑ์ตกแต่งใบหน้า (Makeup) 13.5% และน้ำหอม (Fragrance) 5.1%

 

สำหรับตลาดครีมซอง ‘ภญ.ปิยวดี สอนสิงห์’ ผู้ก่อตั้งบริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS หนึ่งในผู้เล่นในตลาดครีมซอง เล่าให้ Positioning ฟังว่า เริ่มต้นมาไม่ถึง 10 ปี และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยแต่ละปีโตไม่ต่ำกว่าตัวเลขสองหลัก โดยผู้บุกเบิกตลาดนี้ ก็คือ กลุ่มอินเตอร์แบรนด์ อาทิ ลอรีอัล, ยูนิลีเวอร์, เมย์เบลรีน ฯลฯ ด้วยการออกผลิตภัณฑ์แบบ ‘ซองฉีก’ ขนาด 2-10 กรัม จำหน่ายในราคา 10-49 บาท เป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคตามพื้นที่รอบนอกและต่างจังหวัดที่อาจมีกำลังซื้อไม่มากนักได้ทดลองใช้สินค้า

 

 

แล้วอะไรถึงทำให้ตลาดนี้น่าสนใจ ?

 

1. ‘ราคา’ ที่ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ โดยแต่ละแบรนด์จะมีสินค้าในปริมาณ 2-50 กรัม วางราคาขายไว้ในหลักสิบตั้งแต่ 10-59 บาท ซึ่งเป็นราคาและขนาดที่ควักจ่ายได้แบบง่าย ๆ ช่วยเพิ่มการทดลองสินค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังตอบโจทย์กำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ดีได้อีกด้วย

 

2.‘ความสะดวกสบาย’ ด้วยการเป็นสินค้าในรูปแบบซองและมีขนาดเล็ก ทำให้ผู้บริโภคสามารถพกพาได้อย่างสะดวกสบายไม่ว่าจะไปที่ไหน เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเดินทางด้วยเครื่องบินที่ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณของเหลวที่ถือขึ้นเครื่อง

 

3.ผู้บริโภคมี Brand loyalty หรือ ความจงรักภักดีต่อแบรนด์น้อยลง ส่งผลให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเปิดรับและอยากลองใช้แบรนด์ใหม่มากขึ้น ซึ่งด้วยขนาดและราคาของครีมซอง ถือว่า ตอบโจทย์กับพฤติกรรมนี้มาก ๆ คือ ถ้าซื้อมาใช้แล้วชอบ จะ ‘ไปต่อ’ หากลองแล้วไม่ชอบ จะ ‘หยุด’ แบบไม่ต้องเสียดายเงิน

 

ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่เป็นโอกาสดีของแบรนด์ที่ต้องการขยายตลาดและฐานลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เดิมหรือแบรนด์ใหม่ ๆ ทำให้มีหลายแบรนด์เข้ามาช่วงชิงมาร์เก็ตแชร์ในตลาดครีมซองมากมาย

 

ขณะเดียวกันก็มีการขยายไลน์สินค้าครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคแบบ ‘ตั้งแต่หัวจรดเท้า’ จากเดิมจะมีแค่กลุ่ม Skincare ตอนนี้ขยายไปยังกลุ่มอื่น ๆ ทั้งกลุ่ม Haircare , Personal care , กลุ่ม Makeup ไม่ว่าจะเป็นมาสคาร่า, รองพื้น, ปกปิดร่องรอย, ลิปสติก ฯลฯ ไปจนถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเท้า

นอกจากนี้ แบรนด์ยังได้มีการพัฒนาแพ็กเกจให้มีฝาปิด เพิ่มความปลอดภัยและสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ รวมถึงมีการเพิ่มอุปกรณ์ในการใช้ ทำให้ครีมซองเป็นที่นิยมมากขึ้น และเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยมากกว่า Double digit  

 

โดยปัจจุบัน ภญ.ปิยวดี บอกว่า ตลาดครีมซองเฉพาะช่องทางของ 7-Eleven มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่หากรวมห้าง ร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ ร้านความสวยความงาม เช่น วัตสัน ฯลฯ และร้านโชห่วย ตลาดครีมซองจะมีมูลค่ารวมแล้วกว่า 50,000 ล้านบาท

 

“ตอนนั้นพวกแบรนด์ใหญ่ใช้เรื่องไซส์ซิ่งแบบซองมาใช้ เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มแมส ขายผ่านร้านโชห่วย หรือตามรถขายของที่วิ่งไปตามพื้นที่รอบนอก ตอนหลังแบรนด์ไทยเห็นโอกาสจึงเข้ามา และแนวโน้มจะมีแบรนด์และสินค้าเข้ามาในตลาดครีมซองมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ครีมซองกลายเป็นตลาด Red Ocean ไปแล้ว”

 

ต้องหาช่องว่างให้เจอ

 

เมื่อการแข่งขันดุเดือดเป็นน่านน้ำทะเลเลือด จุดชี้ขาดว่า แบรนด์ใดจะรอดบนสนามแข่งขันนี้ จำเป็นต้องจับเทรนด์ของตลาดให้ถูกและทำความเข้าใจความต้องการผู้บริโภคให้ได้ เพราะปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แถมมี Brand loyalty ค่อนข้างต่ำ กล้าลองอะไรใหม่ ๆ และพร้อมสวิตช์แบรนด์ตลอดเวลา

 

ผู้ก่อตั้ง KISS บอกว่า เมื่อก่อนอินเตอร์แบรนด์อาจได้เปรียบเรื่องชื่อเสียง แต่ตอนนี้แบรนด์ไทยก็ได้รับการยอมรับไม่แพ้กัน และจุดได้เปรียบในความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้ดีกว่า และสามารถออกสินค้าได้เร็วกว่า อย่างอินเตอร์แบรนด์จะใช้เวลา 1-2 ปี ในการออกสินค้าใหม่ เพราะเขาจะลงเฉพาะตลาดที่มั่นใจ ขณะที่แบรนด์ไทยมีความยืดหยุ่นมากกว่า อย่าง KISS เอง การพัฒนาสินค้าใหม่จะใช้เวลา 3-6 เดือน

แต่ประเด็นสำคัญ ก็คือ ต้องหาช่องว่างของตลาดแล้วนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ให้ได้ อย่างที่ผ่านมาโรจูคิส เป็นผู้บุกเบิกนำเซรั่มเข้ามาในตลาดเมืองไทย และมีการนำเสนอโปรดักต์สำหรับแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง จากอดีตแบรนด์ส่วนใหญ่จะนำเสนอโปรดักต์ที่ตอบโจทย์เรื่องริ้วรอยและผิวกระจ่างใสเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันโรจูคิสในประเทศไทยมียอดขายในกลุ่มสกินแคร์เติบโต 3 เท่า โดยสัดส่วนการขายมาจาก Normal size 50% และในรูปแบบซอง 50%

 

“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย  ๆ แต่ต้องหาให้เจอ เพราะการแข่งขันดุเดือดมาก และผู้บริโภคพร้อมเปลี่ยนใจตลอดเวลา ถือเป็นความท้าทายของแบรนด์ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะในตลาดครีมซอง หลายธุรกิจก็เจอเหมือนกัน”

 

]]>
1506998
สรุปสถิติ-เทรนด์น่าสนใจจาก #FacebookIRL https://positioningmag.com/1501451 Fri, 29 Nov 2024 12:30:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501451 FacebookIRL หรือ Facebook In Real Life เป็นโครงการระดับโลกของ Meta เพื่อตอกย้ำการเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้คนจำนวนหลายพันล้านทั่วโลก ซึ่งถูกจัดขึ้นใน 4 ประเทศทั่วโลก และ ‘ประเทศไทย’ เป็น 1 ใน 3 ประเทศนอกสหรัฐอเมริกาที่มีการจัดงานนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของบ้านเราต่อ Meta

 

ภายในงานได้มีการแชร์สถิติสำคัญ และเทรนด์น่าสนใจหลายอย่าง รวมถึงอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่กำลังจะเปิดตัวในไทยเร็ว ๆ นี้ ยกตัวอย่าง Meta AI เวอร์ชั่นภาษาไทยที่จะเปิดตัวภายในสัปดาห์หน้า พร้อมเผยถึงเทคนิคในการสร้าง Engagement บน Facebook

 

สถิติน่าสนใจ

 

– Meta มีผู้ใช้จากแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมแล้ว 3.29 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 5% ทุกปี โดยเป็นผู้ใช้ Facebook มากกว่า 2 พันล้านคน

สำหรับในประเทศไทย Facebook มีผู้ใช้งานมากกว่า 60 ล้านคนต่อเดือน เพิ่มขึ้น 5%จากปีก่อน และมีผู้ใช้งาน Messenger กว่า 56 ล้านคนต่อเดือน

– บน Facebook มี Group มากกว่า 43 ล้านกลุ่ม และ 25 ล้านกลุ่มเป็นสาธารณะ ซึ่งในแต่ละเดือนมีผู้ใช้กว่า 1.8 ล้านคนมีส่วนร่วมในกลุ่ม

– Facebook มีผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Young Adult หรือคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 19-29 ปี

คนรุ่นใหม่ใช้เวลา 60% เพื่อดูวิดีโอบน Facebook และ 50% ดู Reels

 

เทรนด์ที่มาแรง บน Facebook

 

– พฤติกรรมการใช้ Facebook ของกลุ่ม Gen Z เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมใช้เพื่อเชื่อมต่อกับผู้คน ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็น Expand & Explore ซึ่งถือเป็นเทรนด์ใหม่ของกลุ่มนี้ โดยจะเน้นสำรวจความสนใจและค้นหาสิ่งใหม่ ๆ รวมถึงใช้ขยายคอมมูนิตี้ และคอนเน็กชันของตัวเอง

– Reel มาแรง และคนรุ่นใหม่เกินครึ่งจะดู Reels เป็นหลัก ที่สำคัญจะดูทุกวัน

– ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่จะแชร์วิดีโอในสาธารณะ แต่ตอนนี้พวกเขาจะแชร์เฉพาะตัวเองหรือกลุ่มเฉพาะ ทำให้เทรนด์ Private Sharing เติบโตขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับปีก่อน

– 4 ฟีเจอร์บน Facebook ที่คนรุ่นใหม่นิยมใช้ ได้แก่ Market Place, Group, Event และ Messenger

ไฮไลต์ของ Meta AI มีอะไรบ้าง

 

– Meta ได้ลงทุนเงินกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับเรื่อง AI เพื่อจะเป็นเบอร์ 1 ของโลกทางด้านนี้

– ตอนนี้มีผู้ใช้งาน Meta AI อยู่ประมาณ 500 ล้านคน

– บน Facebook มีผู้ใช้ราว 15 ล้านคน ใช้ Generative AI สำหรับทำคอนเทนต์และโฆษณา

Meta AI เวอร์ชั่นภาษาไทยกำลังจะเปิดตัวในสัปดาห์หน้า

– Meta AI จะมีฟีเจอร์ใหม่เพื่อช่วยให้ Admin สามารถบริหารจัดการคอมเมนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือและฟีเจอร์อื่น ๆ อาทิ Imagine yourself ที่ AI จะช่วย Gen ภาพตามที่ต้องการ และ AI Comment Summary สำหรับช่วยสรุปเนื้อหา และไฮไลต์คอนเทนต์หลักในโพสต์ เป็นต้น

 

อัปเดตเทรนด์ Creator สร้างรายได้น่าสนใจ

 

ทาง Facebook เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีครีเอเตอร์กว่า 4 ล้านคนที่สร้างรายได้บน Facebookโดยระหว่างปี 2023 จนถึงปี 2024 Facebook ได้จ่ายเงินค่าตอบแทนให้ครีเอเตอร์ที่ทำคอนเทนต์ไปแล้วกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวส่วนมากเป็นคอนเทนต์ Reels ที่เติบโตสูงถึง 80%

นอกจากนี้ Facebook ยังได้แนะนำครีเอเตอร์ที่ต้องการปั้นช่องและสร้างรายได้ว่า ให้เปิด Professional Mode เพื่อให้สามารถเข้าถึงเครื่องมือและข้อมูลอินไซต์ต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของคอนเทนต์แต่ละตัว รวมไปถึงการสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มด้วยรูปแบบต่าง ๆ

ขณะเดียวกัน Facebook ยืนยันว่า สนับสนุนครีเอเตอร์ที่โพสต์คอนเทนต์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น บทความ ภาพ วิดีโอ และวิดีโอสั้น ซึ่งประสิทธิภาพของคอนเทนต์ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจ และการทำได้อย่างตรงจุด ไม่ได้เกี่ยวกับรูปแบบของการโพสต์

ยกตัวอย่างที่มีครีเอเตอร์หลายครีเอเตอร์ โดยเฉพาะสื่อ นิยมโพสต์คอนเทนต์ในรูปแบบสเตตัส เพราะเชื่อว่า เอนเกจจะดีกว่ารูปแบบบทความ ถือเป็นความเชื่อที่ไม่ตรงกับความจริง

 

 

]]>
1501451