เอสซีจี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 29 Sep 2025 08:30:27 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เอสซีจีจัดแสดงนิทรรศการภายใต้แนวคิด “Green Breakthrough – เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน” เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและแนวทางสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ https://positioningmag.com/1539985 Tue, 30 Sep 2025 03:46:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1539985 เอสซีจีจัดแสดงนิทรรศการภายใต้แนวคิด “Green Breakthrough – เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน” เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและแนวทางสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยตอกย้ำว่าการเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Net Zero ไม่ได้อาศัยเพียงนวัตกรรมเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ต้องอาศัย Collaboration Action หรือ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ การจัดแสดงแบ่งเป็น 3 ไฮไลต์สำคัญ

Green Manufacturing – การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Green Innovative Solutions – โซลูชันนวัตกรรมกรีนที่ตอบโจทย์ทั้งทั้งด้าน B2B (Green Business Solutions) และ B2C (Green Innovation for Better Living)

Green Synergy – ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero

พบกับบูท เอสซีจี ได้ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ชั้น G ระว่างวันที่ 26 กันยายน – วันที่ 5 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)

#SCG #เร่งด้วยกรีนรอดด้วยกัน #GreenBreakthrough #SX2025 #พอเพียงยั่งยืนเพื่อโลก

]]>
1539985
SCG ชูจุดแข็ง ‘ฐานผลิตอาเซียน’ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ – สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1532122 Sun, 03 Aug 2025 06:07:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532122 ช่วงครึ่งปีแรก 2568 ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ส่วนสถานการณ์ครึ่งหลัง ‘ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี (SCG) บอกว่า ‘จะยิ่งท้าทายกว่า’ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย, อาเซียน ไปจนถึงเศรษฐกิจโลก

 

โดยปัจจัยที่กระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ได้แก่ 1.ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 3.ความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งทุกองค์กรต้องเตรียมความพร้อม และแผนรับมือไว้ให้ดี รวมไปถึงเอสซีจี

 

“หลังจากข้อสรุปอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเก็บไทย อย่าลืมเรื่อง Transhipment หรือภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งผ่านไทยก่อนจะไปอเมริกา ที่ถือเป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องสนใจ หากมีอัตราสูงก็อาจกระทบต่อซัพพลายเชน โดยสถานการณ์เศรษฐกิจต่อจากนี้ จะมีเหตุการณที่ทำให้เราเดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวตกใจ สลับกันไปมา ทำให้หัวใจเราแข็งแรงขึ้น”

 

ดังนั้น เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ โดยจะใช้การมี ‘ฐานผลิตในอาเซียน’ ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มาสร้างความได้เปรียบกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และรับมือการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่การลงทุนในไทย ก็ยังเดินหน้าต่อ เพื่อเน้นจำหน่ายและใช้งานในประเทศ

 

โดยกลยุทธ์สำหรับสู้กับทุกความท้าทาย ประกอบด้วย

 

1.ชูฐานผลิตหลากหลายในอาเซียน (Regional Optimization) ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี อาทิ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย ฯลฯ

 

นอกจากนี้ ทางเอสซีจียังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาดปูนเม็ด (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด ‘3D Printing Solution’ เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย ฯลฯ

 

2.ลดต้นทุนเพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น การใช้หุ่นยนต์และ AI สำหรับผลิตสินค้าคุณภาพตามมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ รวมถึง ลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ เป็นต้น

 

3.ดันสินค้า Smart Value – HVA – Green รุกตลาดเติบโตสูง โดยเร่งขยายสินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products – SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

 

“การโฟกัส 3 เรื่องนี้ จะทำให้ฐานการผลิตในอาเซียนของเราเข้มแข็งขึ้น และเพิ่มอัตราการเติบโตระยะยาวให้สูงขึ้น แต่ต้องใช้เวลา”

 

สำหรับผลประกอบการครึ่งแรกปี 2568 เอสซีจีมีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท และหากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไร 3,266 ล้านบาท ขณะที่กระแสเงินสด (EBITDA) อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งหลังของปีก่อน 21%

 

การดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 2568

 

1.ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น เอสซีจีซี บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากสายผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ 6,989 ล้านบาท ฯลฯ

2.ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ โดยหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท

 

3.ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ

 

รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท

]]>
1532122
“เอสซีจี” ผนึก “มัส บี” บริษัทร่วมทุนในกลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ถือหุ้น 50 : 50 ดัน NocNoc ขึ้นเบอร์ 1 Home and Living Destination Platform ในตลาดอาเซียน https://positioningmag.com/1433835 Tue, 13 Jun 2023 11:00:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433835

“เอสซีจี” ผนึก “มัส บี” บริษัทร่วมทุนในกลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมทุนใน BetterBe โดยถือหุ้นฝ่ายละ 50% รวมมูลค่ากว่า 3,900 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าดัน “NocNoc” ผู้ให้บริการ ทุกเรื่องออนไลน์มาร์เก็ตแพลตฟอร์มในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ขึ้นเบอร์ 1 ในธุรกิจ Home and Living Destination Platform ในตลาดอาเซียน ภายในปี 2571 พร้อมชูประสบการณ์เป็นแพลตฟอร์มการซื้อสินค้าและบริการตกแต่งบ้านที่เข้าถึงง่าย หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์สำหรับลูกค้า ผู้ขาย และผู้ให้บริการ ด้วยเทคโนโลยีระบบ AI ช่วยเปลี่ยนแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านเป็นแรงบันดาลจริง มั่นใจสิ้นปี 2566 ยอดขายเติบโต 2.5 เท่าจากปีก่อน

นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า “บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ BetterBe ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเอสซีจี ที่ประกอบธุรกิจออนไลน์มาร์เก็ตแพลตฟอร์มในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ NocNoc และในประเทศอินโดนีเซียภายใต้ชื่อ Renos เป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูง เติบโตต่อเนื่อง เข้าถึงตลาดรวมกว่า 300 ล้านคน อีกทั้งยังตอบรับกับเทรนด์การอยู่อาศัยที่ต้องการความสะดวกสบาย รวดเร็วมากขึ้น

การร่วมทุนใน BetterBe ระหว่างเอสซีจี กับ บริษัท มัส บี จำกัด (“มัส บี”) บริษัทร่วมทุนของกลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ และบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ครั้งนี้ โดย เอสซีจี ถือหุ้น 50% และมัส บี ถือหุ้น 50% ถือเป็นการผสานศักยภาพของเอสซีจี กับมัส บี ที่มีเครือข่ายระบบโลจิสติกส์ ทั้งการขนส่ง คลังสินค้า รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์การค้า และโรงแรมที่ครอบคลุมทั่วประเทศ จะทำให้ NocNoc แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมคว้าโอกาสเติบโตในอนาคต จากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและการเปิดตลาดบ้านและที่อยู่อาศัย (Home and Living) ไปสู่วงกว้างมากขึ้น”

นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้มีอำนาจของ มัส บี และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มดิจิทัลและเทคโนโลยี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การที่มัส บี ได้เข้ามาร่วมทุนกับเอสซีจีครั้งนี้ เนื่องจากมองเห็นทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมออนไลน์มาร์เก็ตเพลสแพลตฟอร์ม ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2566 ทางศูนย์วิจัยกสิกร ได้ประเมินว่ามูลค่าตลาด B2C E-Commerce น่าจะมีอัตราการขยายตัวในอัตรา 4-6% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 606,000-618,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโอกาสทางการตลาดในการสร้างการเติบโตด้านยอดขายและรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ มัส บี ยังมองว่าการร่วมทุนใน BetterBe กับเอสซีจี มีศักยภาพและความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในธุรกิจเกี่ยวกับการตกแต่งบ้านและการอยู่อาศัย ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ มีช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลาย รวมถึงระบบการจัดส่งสินค้าหรือโลจิสติกส์ที่สามารถกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้โดยตรง และยังมี Home and Living Platform จัดจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านและการอยู่อาศัย ที่มีความแข็งแกร่งอย่าง NocNoc ซึ่งจะเข้ามาเสริมโอกาสทางการตลาดและเพิ่มยอดขาย ให้กับสินค้าในกลุ่มบริษัทฯได้อีกมากด้วย”

นางชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc กล่าวว่า “NocNoc มุ่งสู่ Home and Living Destination Platform ที่ช่วยให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ที่เปิดกว้างให้ผู้ขาย แบรนด์ และพันธมิตรทุกรายสามารถนำเสนอสินค้าบนแพลตฟอร์มได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ขณะที่ผู้บริโภคเข้าถึงตัวเลือกสินค้าและบริการในกลุ่มบ้านและที่อยู่อาศัย (Home and Living) หลากหลาย ครบวงจร ตอบโจทย์ทุกความต้องการ โดย NocNoc เร่งนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประสบการณ์การซื้อสินค้า อาทิ AI Personalization และ NocNoc GPT ซึ่งช่วยให้การต่อเติม ตกแต่งบ้านทั้งหลังเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น ตลอดจนสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องบ้าน เพื่อให้ผู้บริโภคใกล้ชิดกับ NocNoc มากขึ้น เปรียบเสมือนเพื่อนรู้ใจคนแต่งบ้าน อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ขายบนแพลตฟอร์มเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

การร่วมทุนครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ NocNoc เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสของผู้ขาย แบรนด์ และพันธมิตรทุกรายบนแพลตฟอร์มที่จะเติบโตไปพร้อมกัน โดยบริษัท ฯ ตั้งเป้าขึ้นแท่น ผู้นำตลาดเบอร์ 1 Home and Living Destination Platform ในตลาดอาเซียน ภายในปี 2571

28 มิ.ย. 66 – 2 ก.ค. 66 นี้ NocNoc เตรียมจัดงานใหญ่ใจกลางเมืองครั้งแรก “NocNoc Fair” งานแฟร์เพื่อคนรักบ้านที่รวบรวมสินค้าและบริการทุกเรื่องบ้านจากร้านค้าบนแพลตฟอร์ม NocNoc กว่า 3,000 ร้านค้า ในดีลคุ้มสุดพิเศษ พร้อมอัปเดตเทคโนโลยีที่พร้อมเป็นผู้ช่วยให้การแต่งบ้านเป็นเรื่องง่ายผ่าน “NocNocGPT” ที่ใช้ระบบ AI วิเคราะห์และออกแบบบ้านในสไตล์ที่ใช่เพื่อคนแต่งบ้านโดยเฉพาะ และต่อเติมแรงบันดาลใจ Home InspiRealtion จากเหล่าศิลปินและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่พร้อมแชร์เรื่องบ้านในทุกสไตล์ ความสุขอัดแน่นเพื่อคนรักบ้านตลอด 5 วันเต็ม ที่ ชั้น 1 CentralwOrld, Central Court & Eden Zone ข้อมูลเพิ่มเติม https://bit.ly/3MrYdBe”

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา NocNoc มียอดขายรวมบนแพลตฟอร์มกว่า 10,000 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่เปิดให้บริการ ปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยมากกว่า 3 ล้านรายต่อเดือน ทั้งกลุ่มลูกค้า B2C และ B2B จากการร่วมทุนกันในครั้งนี้ รวมถึงกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ เชื่อมั่นว่า NocNoc จะมียอดขายบนแพลตฟอร์มเติบโต 2.5 เท่า จากปีที่ผ่านมา

]]>
1433835