ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวว่า ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายจากภูเขาอุปสรรค 3 ด้าน คือ
ซ้ำร้ายปีนี้ยังต้องจับตาความผันผวนเศรษฐกิจโลก จากการเข้ามารับตำแหน่งของทรัมป์ รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย
ดั้งนั้น บริษัทฯ จึงต้องปรับพอร์ตฯ ธุรกิจ เพื่อกระจายความเสี่ยง ใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
ในจำนวนนี้จะเป็นการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 15 โครงการ มูลค่า 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 12 โครงการ มูลค่า 18,000 ล้านบาท และคอนโด 3 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท
ไฮไลต์ คือ การเปิดตัวโครงการบ้านหรู SONLE จำนวน 5 ยูนิต ราคาเริ่มต้นหลังละ 200 ล้านบาทเป็นครั้งแรก ขนาดใหญ่ราวครึ่งไร่ พื้นที่ใช้สอย 1,300 – 1,500 ตร.ม. จากเดิมเคยเปิดตัวราคาหลัก 100 ล้านบาท ในโครงการ 95E1 และ คอนนาเซอร์
เนื่องจากมีดีมานด์จากกลุ่มเศรษฐีที่อยากมีบ้านขนาดใหญ่ ในโซนกลางเมือง จึงเกิดเป็นโปรเจกต์นี้ขึ้น ประกอบกับแนวราบกลุ่มอื่น ๆ ยังเผชิญปัญหาซัพพลายล้น
”ปีนี้วางเป้ายอดขาย (พรีเซล) 26,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% (YoY) ประมาณ 23,000 ล้านบาท (สัดส่วน 92% จากพอร์ตฯ รายได้รวม) ปัจจุบันมีแบ็กล็อกในมือราว ๆ 17,000 ล้านบาท“
สำหรับ ธุรกิจโรงแรมมีแผนขยายให้ครบ 1,000 ห้อง ภายใน 3 ปี รองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยว เช่น KROMO บริหารกลุ่ม Hilton และ The Standard Pattaya ที่ SC ร่วมทุน (JV) กับ บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวกลางปี 2568 นี้
ส่วน ธุรกิจแวร์เฮ้าส์ เตรียมขยายพื้นที่เพิ่มเติม ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ บางนา กม.20 จำนวน 78,000 ตร.ม., แหลมฉบัง 46,000 ตร.ม. และอมตะ ชลบุรี 37,000 ตร.ม. จากปัจจุบันมีพื้นที่แวร์เฮ้าส์ประมาณ 200,000 ตร.ม.
“บริษัทฯ ตั้งเป้าให้กลุ่มธุรกิจ Engine 2-3 มี EBIDA สูง 25% จากตอนนี้อยู่ที่ 20% รวมถึงตั้งเป้าปี 2568 มีรายได้ 25,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% (YoY) แบ่งเป็นรายได้จากแนวราบ 70% คอนโดมิเนียม 22% และ ธุรกิจ Engine 2-3 ประมาณ 8% ส่วนภายใน 3 ปี ตั้งเป้ารายได้แตะ 30,000 ล้านบาท ขณะที่วางงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท“
]]>สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้รวมมากที่สุดในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมาของปี 2567 คือ กลุ่มแสนสิริ มีรายได้เป็นอันดับ 1 จำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ส่วนคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วนที่มากกว่ากรุงเทพฯ
อันดับ 2 คือ กลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 27,676 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากกว่าคอนโดฯ เช่นกัน และ กลุ่มศุภาลัยตามมาเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 22,792 ล้านบาท
ส่วนผู้ประกอบการอีก 2 รายที่มีรายได้รวม 9 เดือนแรก มากกว่า 10,000 ล้านบาท คือ กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,454 ล้านบาท และ 13,534 ล้านบาท ตามลำดับ
ในส่วนของกำไรสุทธิอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม 3 อันดับแรก ที่มีกำไรสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดย ศุภาลัย มีกำไรมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 4,201 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6% เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่บางโครงการได้รับการตอบรับสูงมาก ตามมาด้วย กลุ่มแสนสิริ ที่มีกำไร 4,009 ล้านบาท และ เอพี (ไทยแลนด์) กำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทั้ง แสนสิริ และ เอพีฯ อาจจะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังมากเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วก็มีผลกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทุกราย ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดีเมื่อเทียบกับปัญหาต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปัจจัยบวกที่จะมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกำลังซื้อมากนัก เพราะสิ่งที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องการในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่เป็นเรื่องของการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก และไม่ค่อยมีการผ่อนปรนหรือประนีประนอมแบบก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาขายไม่ให้สูงเกินไป และมีการลดราคาลงด้วยในบางครั้ง หรือมีมาตรการทางการตลาดอื่น ๆ ที่ส่งเสริมช่วยเหลือผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง ๆ
ดังนั้นปีนี้อาจจะเป็นปีที่ไม่ได้เห็นการสร้างรายได้หรือกำไรที่ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ประเมินว่าจนถึงสิ้นปีจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เมื่อตอนต้นปี
]]>