เอไอเอส – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 23 Jul 2025 12:11:11 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 พลังเหลือก็มาเลย! โฉมใหม่ ‘AIS SIAM’ สู่จุดรวมพลของ ‘Gen C’ ให้มาจุดระเบิดความ ‘Creative’ เล่น ลอง ลุย แบบไร้ขีดจำกัด https://positioningmag.com/1531061 Wed, 23 Jul 2025 12:10:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531061 ย้อนไปช่วงปลายปี 2023 เอไอเอส (AIS) ได้กางอาณาเขตเปิด AIS eSports STUDIO at AIS SIAM มาสู่ใจกลางเมือง ล่าสุด เอไอเอสก็ได้ซุ่มรีโนเวท AIS eSports STUDIO ให้เป็น AIS SIAM เพื่อเป็นพื้นที่ให้บรรดา Gen C ได้มาปล่อยพลังความครีเอทีฟ โดย Positioning จะพาไปเจาะลึกถึงความพิเศษของ  AIS SIAM ว่าทำไมถึงเป็นแลนด์มาร์คสำหรับเหล่าครีเอเตอร์

สำหรับ AIS SIAM เกิดขึ้นจากแนวคิด Community Play Space ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของ Gen C หรือ Creative Generation ที่ใคร ๆ ก็เป็นได้ ไม่จำกัดเพศ อายุ หรืออาชีพ ตราบใดที่มีใจสร้างสรรค์ และเป็นตัวของตัวเอง

โดย AIS SIAM มอบประสบการณ์ครบเครื่องผ่านพื้นที่สร้างสรรค์ 4 ชั้น จัดเต็มทุกแพชชันและตัวตนของ Gen C ได้แก่

  • ชั้น 1 CAFE & EXPERIENCE SPACE: เริ่มต้นประสบการณ์ที่ AIS SIAM ด้วยคาเฟ่สุดชิลที่เปิดต้อนรับทุกเครือข่าย และมีไฮไลต์ห้ามพลาดอย่าง AIS SIAM Blend กาแฟสูตรพิเศษจาก BEANS Coffee Roaster ที่รังสรรค์ขึ้นเฉพาะที่นี่เท่านั้น และ เบเกอรี่ จาก ‘เชฟบุรินทร์ แดงดีเลิศ’ เชฟขนมหวานชื่อดัง โดยลูกค้า AIS สามารถใช้คะแนน AIS Points รับส่วนลดอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ ยังมีโซน Experience Space ที่รวบรวม Gadget, สินค้าดิจิทัลสุดล้ำ และ AIS SIAM Merchandise ดีไซน์พิเศษ ให้ลูกค้าได้ทดลองสัมผัสและเลือกช้อป พร้อมบริการสั่งซื้อออนไลน์แบบครบวงจร ส่งตรงถึงบ้าน

  • ชั้น 2: CO-PLAYING SPACE: โซนสำหรับคอ เกม, บอร์ดเกม และซีรีส์ โดยจะมีเกมสุดฮิตจากเครื่องเล่นระดับโลกอย่าง PS5 และ Nintendo Switch ให้ทดลองเล่น รวมถึงมีบอร์ดเกม และซีรีส์ให้ได้รับชม เสริมความมันด้วย Game Master และ PODs ส่วนตัว ถ้าถูกใจก็ช้อปกลับบ้านได้เลย ส่งตรงถึงบ้าน

  • ชั้น 3: AIS SIAM HYPE SPACE: เนรมิตพื้นที่สุดพิเศษสำหรับกิจกรรม Collaboration ระหว่าง AIS และพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการฝึกฝนทักษะสำหรับกลุ่มคนที่มีความฝัน เพื่อจุดประกายแรงบันดาลใจให้ได้ลองลงมือทำในสิ่งที่รัก และเตรียมความพร้อมก่อนก้าวขึ้นสู่เวทีจริง ติดตามเซอร์ไพรส์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เร็ว ๆ นี้

  • ชั้น 4: AIS SIAM STUDIO: เวทีของครีเอเตอร์ตัวจริงในรูปแบบสตูดิโอครบวงจร เปิดพื้นที่ให้ผู้ได้รับสิทธิ์ได้มาร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์แบบมือโปร ถ่ายทอดไอเดียและแสดงตัวตนอย่างเต็มที่ไปกับ AIS ครบครันด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีสุดล้ำที่รองรับการทำงานระดับมืออาชีพ พร้อมเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์เข้ากับเทคโนโลยีเร็วแรงขั้นสุดจาก AIS 5G และ Wi-Fi 7

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า สยามถือเป็นศูนย์รวมวัยรุ่นทุกยุคทุกสมัย  และถือเป็นหัวใจของความคิดสร้างสรรค์จากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้น เอไอเอสจึงมองว่าที่สยามเป็นโลเคชั่นที่เหมาะสมที่สุดในการเป็น Community ให้คนรุ่นใหม่ได้ค้นหาและแสดงตัวตน ปล่อยพลังให้ทุกสายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นสายคอนเทนต์ สายบันเทิง สายไอเดีย ต้องขอบคุณจุฬาฯ ที่สนบสนุนพื้นที่นี้

“มีคนถามเราว่าคาดหวังอะไรจาก AIS SIAM ซึ่งเราไม่ได้วัดความสำเร็จเป็นตัวเลข หรือยอดขาย แต่เราหวังว่าจะมีน้อง ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่นี้พัฒนาตัวเองจนประสบความสำเร็จ แค่เพียงคนเดียวที่แจ้งเกิดได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว” สมชัย ทิ้งท้าย

สำหรับใครที่สนใจจะไป “ลองให้ฟิน กินให้แฟ่ด เล่นให้สุด หวีดให้ลั่น ทำให้จึ้ง” ก็ไปได้ที่ AIS SIAM รับประกันว่าครบจบในที่เดียว พร้อมตอบโจทย์ทุก GEN C ทุกเจนเนอเรชันอย่างแท้จริง

]]>
1531061
ถอดความรู้จากงานเสวนา ‘Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย’ ตัดวงจร ‘มิจฉาชีพ’ ได้ตั้งแต่ต้นทางแค่มี ‘ภูมิคุ้มกัน’ https://positioningmag.com/1525717 Wed, 11 Jun 2025 10:10:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1525717 หลังจากที่ ‘เอไอเอส’ (AIS) ในฐานะ ด่านหน้า ในการรับมือกับภัยคุกคามทางดิจิทัลที่ทวีความรุนแรงในไทย ได้คิกออฟ ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ กับเป้าหมายพาไทยสู่ ‘Zero Scam’ ทางเอไอเอสก็เดินหน้า สร้างเครือข่ายดิจิทัลที่ปลอดภัยและรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง สู่งานเสวนา Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย เพื่อสร้างเกราะคุ้มกันปกป้องประชาชน และตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง

ต้องรู้เท่าทัน เพราะมิจฉาชีพมาทุกรูปแบบ

พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้เล่าให้ฟังในเวทีเสวนาว่า ปัจจุบัน แสกมเมอร์ทั่วโลกทำรายได้มากกว่าค้ายาเสพติด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่อาชญากรจึงพยายามเข้ามาหลอกลวง อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมจะเกิดได้เกิดจาก 3 ข้อ ได้แก่

  • มิจฉาชีพ
  • เหยื่อ
  • โอกาส

ขณะที่ มิจฉาชีพมักจะใช้หลักจิตวิทยาในการล่อลวง ได้แก่ รัก โลภ ตกใจ เชื่อใจ เช่น หลอกให้รักแล้วขอเงิน หรือชวนลงทุน หรืออ้างว่าเป็นตำรวจหรือหน่วยงานรัฐ เพื่อสร้างความกลัว หรือเชื่อใจ ดังนั้น อย่าตกใจ ให้ตั้งสติ ต้องเอ๊ะตลอด และหมั่นดูข่าว และหาข้อมูลความรู้เพื่อ ปิดโอกาส ไม่ให้มิจฉาชีพเกิดอาชญากรรม เช่น ถ้ามีหน่วยงานรัฐโทรมา ให้คิดเลยว่าเป็นมิจฉาชีพ เพราะไม่มีหน่วยงานรัฐโทรหาแน่นอน หรือเช็กง่าย ๆ โดยการตัดสายเบอร์แปลกแล้วโทรกลับ ถ้าปลายสายรับไม่ได้แปลว่ามิจฉาชีพ

“ต้องยอมรับว่าการจับกุมมันทำยาก เพราะฐานเขาอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นองค์กรอาชญากรรม ทำเป็นกระบวนการ มีหลายหน้าที่หลายตำแหน่ง ทำให้การจับทำได้ยาก ดังนั้น มีภูมิคุ้มกันตัวเองดีที่สุด”

ช่วยแจ้งเบาะแส ตัดไฟแต่ต้นลม

เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) หรือ ศปอท. กล่าวเสริมว่า ประชาชนสามารถ เป็นหูเป็นตา ได้ด้วยการแจ้งเบาะแส เช่น การ แจ้งเบอร์มิจฉาชีพ หรือผู้ที่เป็นเจ้าของห้องพัก ห้องเช่า หากเจอพฤติกรรมผู้เช่นแปลก ๆ เช่น ใช้ไฟฟ้าเยอะผิดปกติ ทั้งที่ไม่ค่อยมีคนอยู่ อาจแสดงว่ามิจฉาชีพใช้ห้องเป็นฐานปฏิบัติการณ์

เอกพงษ์ ย้ำว่า การช่วยแจ้งเบาะแสนั้นสำคัญมาก เพราะจะได้นำข้อมูลที่ได้ไปเชื่อมโยง เช่น เบอร์โทรศัพท์กับบัญชีธนาคาร เพื่อจะได้กำจัดภัยคุกคาม ตัดมือเท้าของคอลเซ็นเตอร์ให้ได้มากที่สุด โดยปัจจุบัน ศปอท. ถือเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติการณ์จัดการกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยฐานข้อมูลจากทุกหน่วยงานจะถูกเชื่อมโยงไว้ที่นี่ที่เดียว ทำให้การทำงานเป็น Single Command 

“ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่มิจฉาชีพใช้ แต่ที่สำคัญคือ คนไทยที่ไปร่วมมือ เพราะได้ค่าตอบแทนเยอะ ดังนั้น ถ้าเห็นเพื่อนบ้านไปทำงานต่างประเทศ หรือร่ำรวยผิดปกติ ก็แจ้งเบาะแสได้”

ความท้าทาย คือ ทำอย่างไรให้ประชาชนตื่นรู้

ด้าน นาวาเอกหญิง ศิริเนตร รักษ์วงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ยอมรับว่า ความท้าทายคือ ทำยังไงให้ประชาชนตื่นรู้ เพราะการแจ้งความถือเป็นปราการด่านสุดท้าย ซึ่งทางสกมช. พยายามจะให้ความรู้ประชาชนให้ได้มากที่สุด ผ่านการร่วมมือกับหลาย ๆ หน่วยงาน รวมถึงจะอัพเดทคอนเทนต์ให้ทันกับมิจฉาชีพ เพราะมิจฉาชีพมักมีวิธีการใหม่ ๆ มาเสมอ

“ปีนี้เราก็มีการร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และกสทช. เพื่อให้เข้าถึงผู้คนได้เยอะที่สุด แต่ที่สำคัญประชาชนก็ต้องบอกเล่า คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อน ๆ เพื่อให้ตระหนักรู้ด้วย”

เช่นเดียวกับ วิสิฐศักดิ์ เจริญไชย Corporate Affairs Manager – AIS กล่าวว่า นอกเหนือจากที่เอไอเอส เพิ่มความเข้มงวดในการซื้อซิ เพิ่มสายด่วน 1185 แล้ว ทาง AIS ก็ร่วมกับทุกภาคส่วนในการตัดสัญญาณตามตะเข็บชายแดนแล้ว รวมถึงสร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับประชาชน เช่น หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ การจัดทำ Thailand Cyber Wellness Index และ Digital Health Check เพื่อวัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย เป็นต้น

“AIS ไม่ได้มองการป้องกันภัยไซเบอร์เป็นเพียงหน้าที่เสริม แต่ถือเป็น พันธกิจหลัก ในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ได้แก่ เรียนรู้ ร่วมแรง และ เร่งมือ เพื่อพาไทยสู่ Zero Scam”

จะเห็นว่าความมั่นคงไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีความปลอดภัย ไปจนถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนคนไทย ดังนั้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สังคมไทยสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวสู่อนาคตดิจิทัลอย่างมั่นคง

]]>
1525717
เพราะการสื่อสารคือ หัวใจของการช่วยเหลือ! เจาะลึกบทบาทของ ‘AIS’ ในภารกิจกู้ภัยอาคาร ‘สตง.’ 49 วันแห่งการต่อสู้ที่ไม่ได้มีแค่ทีมกู้ภัย https://positioningmag.com/1524668 Thu, 05 Jun 2025 08:12:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1524668 เชื่อว่าคนไทยหลายคนคงไม่มีวันลืมวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มีศูนย์กลางในประเทศเมียนมาได้ส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะกรณีที่ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่มลง นำไปสู่ภารกิจการช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัยที่ใช้เวลาทั้งสิ้น 49 วัน โดย Positioning จะพาไปเจาะลึกภารกิจช่วยเหลือผ่านมุมมองของ เอไอเอส (AIS) อีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในภารกิจค้นหาผู้ประสบภัยครั้งนี้

หนึ่งในภารกิจซับซ้อนที่สุดของกทม. 

ย้อนไปเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 8.2 ริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองลอยกอ ใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ลึกลงไปประมาณ 10 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงมากจนส่งผลกระทบแผ่ขยายมาถึงประเทศไทยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานคร

ผลจากแรงสั่นสะเทือนดังกล่าวได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งเป็นอาคารสูง ตั้งอยู่ในเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร อาคารได้พังถล่มลงมาทั้งหลังในลักษณะแพนเค้ก (Pancake Collapse) ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เป็นคนงานก่อสร้างที่กำลังทำงานอยู่ภายในอาคาร 

นำไปสู่ภารกิจการช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัย โดยภารกิจดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการที่ยาวนานและซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความไม่มั่นคงของโครงสร้างอาคารที่ถล่มลงมา ความซับซ้อนของพื้นที่ และความจำเป็นในการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ยังรวมถึงฝุ่น และสภาพอากาศที่ทั้งร้อน และฝน

ในที่สุด เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ภารกิจช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัยก็ยุติลง โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 49 วัน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุอาคาร สตง.ถล่ม ล่าสุดอยู่ที่ 89 คน และอยู่ระหว่างติดตามอีกจำนวน 7 คน

การสนับสนุนไม่ใช่แค่เรื่องการสื่อสาร

ทันทีที่เกิดเหตุ เอไอเอส (AIS) ถือเป็นคนแรก ๆ ที่เข้าไปยังพื้นที่เพื่อเตรียมให้การสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัย โดยได้ส่งทีมวิศวกรพร้อมรถโมบายล์และอุปกรณ์สถานีฐานเคลื่อนที่พิเศษ (Base Station) เข้าไปในพื้นที่เพื่อตรวจสอบและประเมินความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสื่อสารยังคงทำงานได้ปกติในสถานการณ์ฉุกเฉิน

“ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ ทีมวิศวะของเราต้องเดินจากออฟฟิศไปยังพื้นที่ เพราะรถติด ทุกอย่างวุ่นวายมาก และเราคุยกันทันทีเลยว่า เราอยากช่วยคนเราทำอะไรได้บ้าง ต้องใช้เทคนิคอะไรบ้าง ใช้เทคโนโลยีอะไรได้บ้าง ดังนั้น นอกจากดูแลโครงข่ายแล้ว เราอยู่เคียงข่างทุกท่านในทุกเหตุการณ์ แม้ว่าตอนนั้นเราเองก็เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัย” วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS เล่า

วสิษฐ์ เล่าต่อว่า สิ่งแรกที่ทีม AIS คิดก็คือ “ทำอย่างไรให้แบตเตอรี่ของผู้ประสบภัยในอาคารอยู่ได้นานที่สุด” เพราะเป้าหมายแรกก็คือ หาผู้รอดชีวิต ดังนั้น ต้องยืนยันให้ได้ว่า ผู้ประสบภัยอยู่ตรงส่วนไหนในตัวอาคาร ทำให้ทีมวิศวะของเอไอเอสได้ใช้เทคนิค Small Cellular Pinpointing เพื่อ ปรับแต่งการยิงสัญญาณเพื่อให้เซฟแบตเตอรี่มือถือให้ได้มากที่สุด

“ตอนนั้นเราไม่ได้ต้องการความเร็วแรงของสัญญาณ เพราะจะยิ่งทำให้แบตฯ หมดเร็ว ดังนั้น เราจึงเน้นการปรับแต่งการยิงสัญญาณเพื่อเซฟแบตเตอรี่ให้นานที่สุด เพื่อยื้อจนกว่าจะสามารถยืนยันจุดที่อยู่ของผู้ที่ติดในตัวอาคาร”

และเนื่องจากภายในพื้นที่เกิดเหตุมีทั้งเจ้าหน้าที่ และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ภารกิจต่อมาคือ การยืนยันตัวตน ผู้ที่ติดในอาคาร ทำให้เอไอเอสจำเป็นต้องใช้เทคนิค Network Data Analytics เพื่อแยกตัวเจ้าหน้าที่และผู้ประสบภัย ก่อนจะประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ 

“ตอนนั้นเราต้องเร่งมือทำ เพราะถ้าแบตฯ หมดภายใน 2 วัน ดังนั้น เราต้องเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด ดังนั้น เราต่องแข่งกับเวลาอย่างมาก” วสิษฐ์ อธิบาย

โดย พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ยอมรับว่า การเกิดภัยพิบัติในไทยไม่ได้เกิดบ่อย ดังนั้น เมื่อมีเหตุทำให้เกิดความโกลาหล ทำให้การที่ AIS เข้ามาช่วยเรื่องการยืนยันตัวตนผู้ประสบเหตุ จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก

“AIS สามารถคัดกรองสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ ทำให้สามารถระบุหมายเลขที่เกี่ยวข้อง 249 เลขหมาย ซึ่งเราก็ประสานญาติผู้สูญหายเพื่อตรวจสอบข้อมูลจนพบ 46 หมายเลขที่ยังมีสัญญาณโทรเข้าได้ ข้อมูลนี้ช่วยให้เราจัดลำดับจุดค้นหาที่สำคัญและเร่งด่วนอย่างแม่นยำ เพิ่มโอกาสในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ” พล.ต.ต.โชติวัฒน์ อธิบาย

การสื่อสาร หัวใจของการช่วยเหลือ

หลังผ่านภารกิจค้นหาและยืนยันตัวตนในช่วง 3 วันแรก ก็เข้าสู่ภารกิจ สนับสนุนเจ้าหน้าที่กู้ภัย ด้วย High-Speed Fiber และ เทคโนโลยี 5G เพื่อให้การทำงานของหน่วยกู้ภัยและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ราบรื่น และปลอดภัยสูงสุด เนื่องจากพื้นที่เกิดเหตุมีความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะ ความไม่มั่นคงของโครงสร้างอาคารที่ถล่มลงมา และความซับซ้อนของพื้นที่

“ตอนแรกเราไม่ปล่อย 5G เลย เพราะกลัวว่าจะไปทำให้แบตฯ ของผู้ประสบภัยหมดเร็ว แต่พอผ่านไป 3 วัน ซึ่งเราคาดว่าแบตฯ น่าจะหมดทุกเบอร์ เราก็ On 5G ทันที เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่กู้ภัยให้ทำงานได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะการใช้โดรนและหุ่นยนต์กู้ภัย”

สิทธิพล คงยิ่งหาร หัวหน้าทีมปฏิบัติการสมาคม ตอบโต้ภัยพิบัติ (ประเทศไทย) เล่าเสริมว่า ในการค้นหาผู้ประสบภัย โดรนจะถูกใช้ในจุดที่อันตรายหรือเข้าถึงยาก โดยจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลภาพในระดับความละเอียดสูง เพื่อส่งมาใช้สร้างแผนภาพ 3 มิติ ของพื้นที่ รวมถึงโดรนจะทำหน้าที่ รักษาความปลอดภัยของทีมช่วยเหลือ เพราะโดรนจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับ ปูนทุกชิ้น เพื่อประเมินความเสี่ยงของอาคารที่อาจถล่มลงมา

อินเตอร์เน็ตสำคัญมาก เพราะการถ่ายทอดภาพ การไลฟ์สตรีมมิ่ง กล้องติดตัว และต้องเชื่อมต่อกับทีมช่วยเหลือเพื่อยืนยันพิกัด ต้องใช้อินเตอร์เน็ตทั้งหมด ดังนั้น ระบบการสื่อสารของเจ้าหน้าที่ห้ามล่ม และถ้าสปีดต่ำ ภาพมันไม่ชัดเขาจะมองไม่เห็น สิทธิพล อธิบาย

ปฎิบัติการณ์จะไม่ลุล่วง หากไม่มีความร่วมมือจากทุกส่วน

วัชระ อมศิริ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะ ผู้วางแผนและดำเนินการ กรณีเกิดภัยพิบัติของประเทศ ย้ำว่า ที่ผ่านมา ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักจะมีผลกระทบต่อ ระบบสื่อสาร ทำให้วิกฤตด้านการสื่อสารเมื่อเกิดภาวะวิกฤตจึงเป็นปัญหาอย่างมากในหลาย ๆ กรณีที่ผ่านมา ดังนั้น หลังจากผ่านช่วง 72 ชั่วโมงแรก การสร้างความเชื่อมั่นว่า ในพื้นที่มีระบบสื่อสารเพียงพอที่จะใช้ ทั้งใช้ในการสื่อสารในการปฎิบัติงาน สื่อสารกับภายนอก จึงเป็นสิ่งสำคัญ

“การค้นหาผู้ประสบเหตุไม่ได้ใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงจบ แต่ใช้เวลาถึง 45 วัน ดังนั้น จากการสนับสนุนของทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึงทีมกู้ภัยจากหลายประเทศ ทำให้เราสามารถกู้คืนพื้นที่ได้ในเวลาไม่ถึง 50 วัน แสดงให้เห็นว่า เราไม่สามารถทำงานด้วยตัวเองได้” 

49 วันแห่งการช่วยเหลืออาจจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่บทเรียนที่ได้จากภารกิจครั้งนี้จะยังคงอยู่ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต และเป็นบทพิสูจน์ของพลังในการร่วมมือร่วมใจระหว่างภาครัฐ และเอกชน รวมถึงตอกย้ำให้เห็นว่า เครือข่ายดิจิทัลเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมโยงชีวิต โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่การสื่อสารคือ หัวใจของการช่วยเหลือ

]]>
1524668
ค่ายไหนดี? ‘AIS Play’ หรือ ‘TrueVisions Now’ เทียบกันชัด ๆ ใครเสิร์ฟคอนเทนต์โดนใจที่สุด https://positioningmag.com/1522902 Thu, 22 May 2025 09:05:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522902 นับตั้งแต่ที่ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล คว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2025-2028 ด้วยการลงทุนกว่า 19,000 ล้านบาท หลายคนก็น่าจะเดาได้ว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส (AIS) น่าจะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ในการถ่าย ทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แล้ว TRUE ที่ไม่มีพรีเมียร์ลีก ยังน่าเป็นสมัครสมาชิกอยู่ไหม หากเทียบกับเอไอเอส?

King of Sports ที่ไม่มี พรีเมียร์ลีก

ตำแหน่ง King of Sports ที่ TrueVisions มักจะย้ำอยู่เสมอ ไม่ได้หมายถึงแค่การมี พรีเมียร์ลีก แต่หมายถึง ความหลากหลายของกีฬาด้วย ไม่ว่าจะเป็นลีกลาลีกา, บุนเดสลีกา, ลีกซาอุฯ, ลีกสหรัฐฯ, รวมถึงรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูโรป้าลีก ส่วนกีฬาอื่น ๆ ก็มีครบ ทั้ง NFL, NBA,F1, มอเตอร์สปอร์ต, เทนนิส, กอล์ฟ, UFC, MLB ฯลฯ เป็นต้น และมีความเป็นไปได้ที่ True Visons จะคว้าสิทธิ์ ไทยลีก ในปีนี้

ดังนั้น แม้ว่า True Visons ในวันที่เสียพรีเมียร์ลีกไป จึงยังคงมองว่าตัวเองเป็น King of Sports อยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า แม้ว่าจะมีรายการกีฬาแทบจะทั้งโลกมัดรวมไว้แล้ว แต่รายการที่มีผู้ชมมากที่สุด และถูกพูดถึงมากที่สุดในไทย อย่างไรก็ยังเป็นพรีเมียร์ลีก ดังนั้น เอไอเอส ถือว่ายังชิงความได้เปรียบอยู่

TrueVisions เน้นลงทุนผลิตและซื้อคอนเทนต์เอง

แน่นอนว่าการเสียพรีเมียร์ลีกไป ย่อมส่งผลกับ จำนวนสมาชิก โดยเฉพาะแฟนพรีเมียร์ลีกที่ไหลออกไป แต่จะมากน้อยแค่ไหนคงต้องรอดดูกัน อย่างไรก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้หมวดหมู่กีฬาจะได้รับความนิยมแค่ไหน แต่ก็ยัง น้อยกว่าบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ ละคร การ์ตูน รวมถึงรายการวาไรตี้ ที่คนดูมากกว่ากีฬาอยู่แล้ว

ซึ่ง TrueVisons ก็นำงบที่เคยใช้กับพรีเมียร์ลีกมาลงทุนกับคอนเทนต์บันเทิง ทำให้คอนเทนต์ที่เป็น เอ็กซ์คลูซีฟ หรือ ออริจินอล ดูเหมือนจะเปรียบกว่า โดยมีภาพยนตร์ และซีรีส์ที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟ รวมถึงมีรูปแบบคอนเทนต์ที่หลากหลายกว่า เช่น ซีรีส์ในรูปแบบวิดีโอสั้นแนวตั้ง

AIS Play เน้นจับมือพาร์ทเนอร์

ในฝั่งของ AIS Play แม้จะเคยทำออริจินอลของตัวเองบ้าง แต่ปัจจุบันทางแพลตฟอร์มไม่ได้เน้นอีกต่อไป แต่จะกลยุทธ์ จับมือพาร์ทเนอร์ แทนที่จะผลิตคอนเทนต์เอง เพราะมองว่าตัวเองไม่ได้ถนัด ดังนั้น AIS Play จึงมี แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งแทบทุกรายเป็นพาร์ทเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไทย เอเชีย และตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Max, Prime Video, Disney+ Hotstar, iQiYi, Viu, WeTV, Mono Max เป็นต้น

ส่วนฝั่ง TrueVisions เองก็มีพาร์ทเนอร์แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ได้แก่ Max, iQiYi, Viu, WeTV ซึ่งมีมากไม่เท่า AIS Play แต่ก็มีเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์ และออริจินอลคอนเทนต์ของตัวเอง ดังนั้น จะเห็นว่าทั้ง TrueVisions และ AIS Play ต่างก็มีกลยุทธ์ที่ต่างกัน

ราคา อีกปัจจัยสำคัญในการเลือก

สำหรับ TrueVision จะมีให้เลือก 4 แพ็กเกจหลัก ได้แก่

  • TrueVisions NOW POP: ราคา 119 บาทต่อเดือน แพ็กเกจเน้นคอนเทนต์ไทย เช่น ซีรีส์ ภาพยนตร์ และกีฬาไทย
  • TrueVisions NOW PLUS: ราคา 249 บาทต่อเดือน แพ็กเกจสำหรับคอซีรีส์ไทย จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น,    อนิเมะ และกีฬาดัง เช่น F1, ฟุตบอลลีก และถ้วยยุโรปชั้นนำ และชมฟรีซีรีส์ดังจากแอปฯ IQIYI
  • TrueVisions NOW PRIME: ราคา 449 บาทต่อเดือน รับชมภาพยนตร์ วาไรตี้ สารคดี กีฬาดังระดับโลก MOTO GP, NBA, NFL สามารถดูซีรีส์จีน และอนิเมะจากแอปฯ IQIYI และ We TV
  • TrueVisions NOW MAX: ราคา 2,155 บาทต่อเดือน ดูฟรีแพลตฟอร์มพาร์ทเนอร์ดัง ได้แก่ IQIYI, We TV, MAX, VIU

ส่วนฝั่ง AIS Play มีให้เลือก 5 แพ็กเกจหลัก ได้แก่

  • Play Family: ราคา 119 บาทต่อเดือน ชมช่องพรีเมียมคุณภาพ เช่น Mono29 Plus, Warner TV, Cartoon Network เป็นต้น
  • Play Asian: ราคา 159 บาทต่อเดือน สามารถรับชม 3 แพลตฟอร์มดังฝั่งเอเชีย ได้แก่ IQIYI, We TV และ VIU นอกเหนือจากช่องพรีเมียม
  • Play Premium: ราคา 199 บาทต่อเดือน แพ็กเกจสำหรับคอกีฬา โดยนอกจากช่องกีฬาพรีเมียม ยังรับชมกีฬาจาก beIN Sports ด้วย
  • Play Premium Plus: ราคา 299 บาทต่อเดือน แพ็กเกจสำหรับคอภาพยนตร์และซีรีส์ มัดรวม 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่ Prime Video, MAX, IQIYI, We TV, และ VIU
  • Play Ultimate: ราคา 999 บาทต่อเดือน ดูหนัง และ ซีรีส์ จาก 6 แพลตฟอร์ม ได้แก่ NETFLIX, Max, Disney+ Hotstar, iQIYI, Viu และ WeTV

อย่างไรก็ตาม AIS ยังไม่มีการเปิดเผยถึงแพ็กเกจ พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2025-2026 แต่มีการคาดการณ์ว่าราคาอยู่ที่ 329 บาท โดยสามารถดูได้ครบ 380 แมตช์ และได้ดูเอฟเอคัพอีกด้วย

สรุปฝั่ง AIS Play จะมีแพ็กเกจให้เลือกระหว่าง บันเทิง กับ กีฬา ไปเลย และไม่ได้เน้นการซื้อคอนเทนต์มาป้อนลงแพลตฟอร์ม แต่ใช้การ จับมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ส่วนฝั่ง TrueVisions จะเป็นการ มัดรวมความบันเทิงและกีฬา และหา คอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟ มาป้อนลงในแพลตฟอร์มของตัวเอง ก็ลองพิจารณาดูกัน ว่าแพ็กเกจไหน คุ้มค่ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากที่สุด

]]>
1522902
‘เอไอเอส’ คิกออฟ ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ กับเป้าหมายพาไทยสู่ ‘Zero Scam’ https://positioningmag.com/1520997 Thu, 08 May 2025 13:32:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520997 ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางเหล่านี้ในการหลอกลวงอย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ การส่ง SMS ปลอม การสร้างเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันหลอก ซึ่งปัญหาเหล่านี้กำลังทวีความรุนแรงในไทย และเป็นภัยที่ เอไอเอส (AIS) พยายามส่งเสียงให้คนไทยทุกคนได้ตระหนักและรับมืออย่างจริงจัง สู่การคิกออฟ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์”

8 หมื่นล้าน ความเสียหายที่เกิดจากภัยไซเบอร์

นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 31 มีนาคม 2568 พบว่าประเทศไทยมีการแจ้งความออนไลน์สะสมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 31 มีนาคม 2568 ถึง 858,508 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยความเสียหาย 78 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งจากตัวเลขที่น่ากังวลนี้ นำไปสู่การเดินหน้าปราบปรามเชิงรุกของรัฐบาล ผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่ 

  • การกำหนดและพัฒนากฎหมาย เช่น มาตรการ ปิดปากม้า โดยธนาคารแห่งประเทศไทย, การออกมาตรการห้ามส่งข้อความ SMS ที่มีลิงก์ และการ ตัดไฟ ตัดเน็ต ใน 5 จุดสำคัญ เป็นต้น
  • การสร้างความร่วมมือ และประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน เช่น ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือ AOC 1441
  • การยกระดับความมั่นคงระดับประเทศ เพื่อเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดย

“จากรายงาน Global Risk Report 2025 ชี้ว่า เรื่องข่าวปลอมถือเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่ง ส่วนการโจรกรรมและสงครามไซเบอร์เป็นความเสี่ยงอันดับที่ 5 และทั้ง 2 เรื่อง เป็นความเสี่ยงที่เราต้องเจอไปอีก 10 ปี ดังนั้น เราแก้ปัญหาแค่คนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าว

Educate/Collaborate/Motivate โมเดล 3 ประสาน 

เอไอเอส (AIS) ในฐานะผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ของประเทศ และถือเป็น ด่านหน้า ในการรับมือกับภัยคุกคามทางดิจิทัล และไม่ได้มองการป้องกันภัยไซเบอร์เป็นเพียงหน้าที่เสริม แต่ถือเป็น พันธกิจหลัก ในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ได้แก่

  • เรียนรู้ (Educate) สร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับเครือข่ายทั้ง Ecosystem โดยที่ผ่านมา เอไอเอสได้ทำหลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ ตั้งแต่ปี 2012 การจัดทำ  Thailand Cyber Wellness Index และ Digital Health Check เพื่อวัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย เป็นต้น
  • ร่วมแรง (Collaborate) ผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสื่อสารและสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม เช่น ทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลฯ, ธนาคารพาณิชย์ และเอกชนอื่น ๆ เพื่อสร้างระบบแจ้งเตือนภัยไซเบอร์ ตรวจสอบเบอร์ต้องสงสัย และหยุดการแพร่กระจายของลิงก์ปลอมผ่าน SMS หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ
  • เร่งมือ (Motivate) รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนกฎระเบียบ หรือกติกา แก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

“เราเน้นที่การป้องกันมากกว่าแก้ไข โดยเราได้อบรมประชาชนคนไทยให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์แล้วกว่า 5 แสนคน มีการร่วมกับตำรวจ และกสทช. ในการให้ข้อมูล และคุมสัญญาณไม่ให้รั่วไหลไปตามตะเข็บชายแดน รวมถึงจำกัดการจำหน่ายซิมเพื่อป้องกันการรั่วไหล นอกจากนี้ เรามีสายด่วน 1185 ให้ลูกค้าโทรมารายงานเบอร์มิจฉาชีพ” สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าว

คิกออฟปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สู่เป้าหมาย Zero Scam

สมชัย ย้ำว่า การที่ประเทศไทยจะเข้าใกล้เป้าหมาย  Zeo Scam ที่ทำอยู่ไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยเอไอเอสต้องการประกาศให้จากนี้เป็น ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีเป้าหมายเชิญชวนหน่วยงานกว่า 100 องค์กร เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันในการป้องกัน และลดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อร่วมสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน 

โดยไม่ใช่แค่ภาครัฐหรือเอกชน แต่รวมถึงภาคประชาชนที่ช่วยเป็นหูเป็นตาได้ เช่น การรายงานเบอร์มิจฉาชีพ หรือเห็นความผิดปกติอย่างหอพักที่ไม่ค่อยมีคนอยู่ แต่มีการใช้ไฟฟ้า หรือพบเห็นการขายอุปกรณ์อัตราย เป็นต้น 

“เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์ แต่ภัยมันก็มีตามมา เราก็พยายามสอนให้คนเข้าใจ โดยมีเป้าหมายอบรมประชาชนคนไทยให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ให้ได้ 3 ล้านคน รวมถึงพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสกัดกั้น แต่เราต้องไม่ย่อท้อ ต้องช่วยกัน เพราะเอไอเอสทำคนเดียวไม่ได้ แม้เป้าหมาย Zero Scam จะดูยาก แต่เราก็อยากไปถึงตรงนั้น” สมชัย ทิ้งท้าย

]]>
1520997
จาก CU/TU Colorguard สู่ ‘CU/TU Cyberguard’ ถอดแนวคิด ‘เอไอเอส’ – ‘แบงก์ชาติ’ ที่ผสานพลังนักศึกษา มาสร้างปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์ให้คนไทย https://positioningmag.com/1517747 Wed, 09 Apr 2025 07:56:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1517747

ในยุคที่ภัยไซเบอร์คุกคามประชาชนอย่างต่อเนื่อง เอไอเอส (AIS) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สร้างสรรค์โครงการที่ใช้จุดแข็งของนักศึกษาจากสองสถาบันชั้นนำของประเทศ เพื่อเข้าถึงและสื่อสารความรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อสร้างปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์ให้คนไทย


ทำไมต้องเป็น CU/TU Colorguard?

หากพูดถึงการสร้างความตระหนักรู้ทางด้านดิจิทัล ทาง เอไอเอส (AIS) ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องและหลากหลาย โดยมีเป้าหมายเดียวคือ สร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ให้กับคนไทยให้ได้มากที่สุด ดังนั้น นับตั้งแต่ปี 2018 ที่เอไอเอสได้พัฒนาหลักสูตร อุ่นใจ ไซเบอร์ ที่ปรับให้เข้ากับบริบทของคนไทย เพื่อช่วยเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัล Digital Wisdom ผ่านรูปแบบคอนเทนต์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอนิเมชั่น ภาพยนตร์โฆษณา และนิยายนอกจากนี้ เอไอเอสยังได้จัดทำ ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย Thailand Cyber Wellness Index เครื่องมือเช็กภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ ที่ชี้ให้เห็นถึงทักษะดิจิทัลในด้านต่างๆ ของประชาชนแต่ละกลุ่ม อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS มองว่า การจะสื่อสารไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมายอาจต้องใช้ จุดแข็งของเหล่า CU/TU Colorguard ที่เก่งในด้านการ เล่าเรื่อง อีกทั้งยังมีความรู้และความเท่าทันเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ จนเกิดเป็น โครงการ CU-TU CyberGuard:พลังสองสถาบัน สร้างภูมิคุ้มกันภัยทางไซเบอร์มาร่วมกันส่งต่อความรู้ด้านทักษะดิจิทัลและการป้องกันภัยไซเบอร์ทางการเงิน (Digital & Financial Literacy) ผ่านกิจกรรมค่ายอาสา

“ถ้าเราเล่าอาจดูวิชาการไม่น่าฟัง กลับกัน วิธีคิด วิธีมอง วิธีตั้งคำถามของคนรุ่นใหม่นั้นมีความแตกต่าง มีพลัง และมีประสิทธิภาพในการสื่อสาร ดังนั้น เอไอเอส และแบงก์ชาติต่างก็มีคอนเทนต์ เราจึงต้องการหาคนที่พาคอนเทนต์ของเรา ไปสื่อสารให้คนไทยเข้าถึง”

เช่นเดียวกับ ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มองว่า “การสื่อสารเหมือนเคาะประตูบ้านคน ถ้าเขาไม่อินเขาก็ไม่เปิดรับ” ดังนั้น เหตุผลที่เลือก CU Colorguard และ TU Colorguard เพราะต้องการ พลังที่จะดึงคน

เพราะการเตือนโดยคนจริง ๆ มีประสิทธิภาพมากกว่าการส่งข้อความเตือนทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเป็น การสื่อสารในภาษาเดียวกันระหว่างกลุ่มเยาวชน ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องการให้ความรู้ที่ครอบคลุมหลายด้าน ไม่เพียงแค่เรื่องภัยไซเบอร์ แต่รวมถึงความรู้ทางด้านการเงินอื่น ๆ เช่น การออมเงิน และการกู้เงินอย่างถูกวิธี”


ป้องกันดีกว่าแก้ไข

สาเหตุที่ เอไอเอส เน้นย้ำถึงการสื่อสาร สายชล มองว่า เพราะในแต่ละกระบวนการของมิจฉาชีพนั้นซับซ้อนมากขึ้นในทุกวัน แต่ถ้าสามารถสกัดการเข้าถึงมิจฉาชีพได้ ก็จะตัดวงจรของเหล่ามิจฉาชีพ ดังนั้น การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เช่นเดียวกับ ชญาวดี ที่มองว่า การป้องกันคือวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือ ดังนั้น หากประชาชนคนไทยมีภูมิคุ้มกันมิจฉาชีพ ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกการสื่อสารของเอไอเอสหรือแบงก์ชาติจะไปถึงคนไทย ดังนั้น โจทย์ในทุกวันนี้คือ ทำอย่างไรที่จะส่งต่อองค์ความรู้ให้คนไทยอย่างทั่วถึง ดังนั้น พาร์ทเนอร์จึงสำคัญมาก โดยที่ผ่านมา เอไอเอสได้ผสานความร่วมมือกับหลายองค์กร เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จนปัจจุบัน หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์มีผู้เข้าถึงเกือบล้านคน

“เดินหน้าสร้างความตระหนักรู้อย่างต่อเนื่องเพราะกลโกงมาเรื่อย ๆ เราก็ต้องทำต่อเนื่อง และไม่ใช่แค่ทำลำพัง เราต้องมีเพื่อน และเราเชื่อมั่นในเพื่อน นำจุดเด่นของแต่ละคนมาใช้” สายชล ย้ำ


มุ่งสู่ปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์

สำหรับ โครงการ CU-TU CyberGuard:พลังสองสถาบัน สร้างภูมิคุ้มกันภัยทางไซเบอร์ จะเป็นการดึงศักยภาพของกลุ่ม Colorguard จากทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมกันส่งต่อความรู้ด้านทักษะดิจิทัลและรู้เท่าทันภัยทางการเงิน เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ โดยช่วยกันสร้างสรรค์คอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดีย และจัดกิจกรรมค่ายอาสาที่โรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เนื่องจากถือเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างมีกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ตามการสำรวจโดย Thailand Cyber Wellness Index ที่เอไอเอสจัดทำขึ้น

“เอไอเอสจัดทำ Thailand Cyber Wellness Index ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว และจะทำต่อไป เพราะนี่ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุกลุ่มเปราะบางจากการสำรวจประชาชนกว่า 6 หมื่นคน เพื่อนำไปใช้เป็นเข็มทิศในการวางแผนโครงการช่วยเหลือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง” สายชล อธิบาย

สำหรับโครงการ CU TU Cyberguard เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ในการปกป้องประชาชนจากภัยไซเบอร์ เพื่อยกระดับความปลอดภัยทั้งในด้านการใช้งานบนโลกออนไลน์และการทำธุรกรรมทางการเงิน  โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ห่างไกล ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในการสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ปี 2025 เป็น “ปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์”

]]>
1517747
ถึงเวลาตรวจสุขภาพไซเบอร์ประจำปี ‘เอไอเอส’ ออก ‘Digital Health Check’ ให้คนไทยใช้เช็กและรับวัคซีนภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์! https://positioningmag.com/1487889 Thu, 29 Aug 2024 11:30:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487889

โลกออนไลน์ไม่ได้มีแค่แก็งค์คอลเซ็นเตอร์ ที่เป็นภัยไซเบอร์ในปัจจุบัน แต่ยังมีการหลอกลวงอีกหลากหลายวิธี ที่วันนี้มิจฉาชีพได้หากลลวงมาหลวงลวง ที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล

 ‘เอไอเอส’ ตระหนักถึงจุดนี้ดี จึงสร้างเครื่องมือให้คนไทยใช้ ‘เช็คภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์’ พร้อมกับสามารถรับ ‘วัคซีนป้องกัน’ ให้รู้เท่าทันการใช้งานดิจิทัล


ความเสียหายสะสมแตะ 7 หมื่นล้าน!

จากการเปิดเผยของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า นับตั้งแต่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 31 กรกฎาคม 2567 มีการแจ้งความอาชญากรรมไซเบอร์ผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ทั้งหมด 612,603 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 69,186 ล้านบาท เฉลี่ยความเสียหายวันละกว่า 78 ล้านบาท

เมื่อเจาะลึกลงไปพบว่า เหยื่อคดีอาชญากรรมไซเบอร์ส่วนใหญ่เป็น ผู้หญิง (64%) ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยทำงาน อายุระหว่าง 22-59 ปี มากที่สุด ขณะที่ 5 คดีที่มีจำนวนมากที่สุด ได้แก่

  • หลอกลวงซื้อสินค้าและบริการ 9 แสนคดี ความเสียหายกว่า 4 พันล้านบาท
  • หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน 2 หมื่นคดี ความเสียหายกว่า 1 หมื่นล้านบาท
  • หลอกให้กู้เงิน 3 หมื่นคดี ความเสียหายกว่า 3.1 พันล้านบาท
  • หลอกให้ลงทุน 5 หมื่นคดี ความเสียหายกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท
  • แก็งค์คอลเซ็นเตอร์ 2 หมื่นคดี ความเสียหายกว่า 9 พันล้านบาท


Digital Health Check = การตรวจสุขภาพดิจิทัลประจำปี

จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงระดับความเสี่ยงที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและโลกออนไลน์กำลังเผชิญอยู่ในทุก ๆ วัน และ AIS ในฐานะผู้นำด้านบริการดิจิทัล จึงได้ออก Digital Health Check เครื่องมือเช็กภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้ประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ อีกทั้งจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันด้วยหลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ เพื่อส่งเสริมการใช้งานออนไลน์ที่ถูกต้องเหมาะสม

Digital Health Check ก็เปรียบเสมือนการตรวจสุขภาพประจำปี และรอฟังผลได้เลยว่าเราอยู่ในระดับไหน ซึ่งเอไอเอสจะมีวัคซีนที่เป็นสื่อการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มทักษะหลักที่ย่อยง่าย เช่น ละครคุณธรรม, การ์ตูน เป็นต้น” สายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าว


คนไทยเกินครึ่งยังขาดความเข้าใจ

นอกเหนือจาก Digital Health Check แล้ว ทาง AIS ยังได้จัดทำ Thailand Cyber Wellness Index ที่ AIS ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และนักวิชาการในการจัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อเป็นหนึ่งในชุดข้อมูลสำคัญที่จะแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมและความเข้าใจการใช้งานและรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ในมิติต่าง ๆ ได้แก่

  • การใช้ดิจิทัล
  • ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
  • การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์
  • การรู้เท่าทันดิจิทัล
  • ความเข้าใจสิทธิทางดิจิทัล
  • การสื่อสารและการทำงานร่วมกันบนดิจิทัล

การแสดงความสำพันธ์ทางดิจิทัล

สำหรับผลการศึกษาในปีนี้ จากกลุ่มตัวอย่างทุกเจนเนอเรชั่น จำนวน 50,965 ราย ใน 77 จังหวัด พบว่า คนไทยมีความเข้าใจในการใช้งานบนโลกดิจิทัลเพิ่มขึ้น แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับ พื้นฐาน (46%) ขณะที่กลุ่มที่มีความรู้ระดับสูงอยู่ที่ 35.5% และกลุ่มที่ต้องระมัดระวัง 18.5% ขณะที่กลุ่มวัยที่เสี่ยงที่สุด ได้แก่ เด็กอายุ 10-15 ปี และ ผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม จุดที่น่ากังวลที่สุดคือ คนไทยเกินครึ่งยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security and Safety) โดยเฉพาะในประเด็น ความเสี่ยงที่อาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อการใช้งานของตนเองและองค์กร อาทิ การถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์, การใช้ Wi-Fi สาธารณะในการทำธุรกรรมทางการเงิน, การใช้ วันเดือนปีเกิด มาตั้งเป็นรหัสผ่าน รวมถึงยังไม่ทราบว่า การเข้าเว็บไซต์ที่ปลอดภัยลิงค์ URL ควรจะเป็น HTTPS เป็นต้น

ในแกนการสร้างวิสดอม เราจะมีการสื่อสารที่เข้มข้นมากขึ้น เพราะเราต้องการนำเครื่องมือนี้เข้าสู่ประชาชนมากขึ้นเพื่อให้คนรู้ว่ามีภูมิแค่ไหน เพราะเป็นภัยใกล้ตัวมาก ดังนั้น ไม่ใช่แค่ร่วมกับโรงเรียนที่เราทำร่วมกับสพฐ. และกทม. แต่เราคุยกับกระทรวงพม. เพื่อนำตรงนี้เข้าไปสู่ประชาชนให้มากที่สุด


ไม่ใช่แค่ให้ความรู้ แต่ใช้เทคโนโลยีช่วยสกัดด้วย

นอกจากการเผยแพร่องค์ความรู้แล้ว AIS ยังมีสายด่วน 1185 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรและ SMS มิจฉาชีพ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยนับตั้งแต่ให้บริการในเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการกว่า 2 ล้านสาย นอกจากนี้ AIS ยังมีบริการ AIS Secure Net โดยในระยะเวลา 1 ปี สามารถบล็อกเว็บไซต์อันตรายไปแล้วกว่า 16.57 ล้านครั้ง บล็อกเว็บไซต์ปลอม 940,267 เว็บไซต์ และในปีนี้ AIS ให้ ลูกค้า AIS ใช้บริการ AIS Secure Net ฟรี 12 เดือน โดยกด *689*6#

นอกจากนี้ ยังเพิ่มเลือกให้กับลูกค้าด้วย บริการ Secure Net+ Protected by MSIG โดยจะช่วยปกป้องภัยคุกคามทางไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นไวรัส มัลแวร์ เว็บไซต์ปลอมหลอกลวง พร้อมแถมประกันภัยเพอร์ซัลนัลไซเบอร์ จาก MSIG ที่มอบความคุ้มครอง อาทิ การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล และโจรกรรมเงิน หรือการถูกหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ทางออนไลน์ ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 50,000 บาท ในราคาเดือนละ 39 บาท โดยกด *689*10# โทรออก เพื่อสมัคร

“ที่ผ่านมาเรามีการร่วมมือกับทั้งกรมตำรวจ กระทรวงดีอี นำไปสู่การจับกุมมิจฉาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการบล็อกสัญญาณตามแนวตะเข็บชายแดน, การลงทะเบียนซิม ดังนั้น AIS จะไม่หยุดแค่การสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยี แต่ AIS จะมีการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับการป้องกันมากขึ้น โดยปีหน้าเราจะยกระดับเน็ตเวิร์กให้ปลอดภัยกว่าเดิม” สายชล ทิ้งท้าย

]]>
1487889
เปิดอินไซต์ ‘เบอร์มงคล’ การตลาดสายมูของ ‘เอไอเอส’ ที่ช่วยโกย ‘ลูกค้าคุณภาพ’ เข้าค่าย https://positioningmag.com/1487403 Mon, 26 Aug 2024 04:07:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487403 ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนไทย กับความเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง โชคลาง หรือ สายมู (มูเตลู) ที่หลายคนเรียกกัน เรียกได้ว่าเป็น วิถีชีวิต มากกว่าจะใช้คำว่างมงาย และหลายแบรนด์ก็หยิบเรื่องมูเตลูมาใช้กับ การตลาด และยิ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับตัวเลขอย่าง ธุรกิจโทรคมนาคม ที่ขาย เบอร์มือถือ มีหรือจะไม่มีการตลาดสายมู

ส่องอินไซต์ตลาดเบอร์มงคล

คณาธิป ธีรทีป หัวหน้าแผนกการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และลูกค้าโพสต์เพด เล่าให้ฟังว่า ตลาดรวม เบอร์มงคล อาจมีมูลค่าสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท เพราะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจในการขายของพ่อค้า-แม่ค้าที่ขายเบอร์มงคล แต่ถ้านับเฉพาะยอดขายของเบอร์มงคลของเอไอเอสอยู่ที่ปีละ 1,000 ล้านบาท โดยลูกค้าที่เปิดเบอร์มงคล 70% จะมี 2 เบอร์ขึ้นไป และ 90% เมื่อเปิดเบอร์แล้วจะไม่ทิ้ง ดังนั้น ลูกค้ากลุ่มนี้จะมีอัตรา Churn Rate หรือยกเลิกการใช้บริการที่ต่ำกว่าเบอร์ทั่วไป 5%

ที่สำคัญ ลูกค้าเบอร์มงคลจะมียอดใช้งานเฉลี่ย หรือ ARPU (Average Revenue Per User) ที่สูงกว่าลูกค้าโพสต์เพด (ลูกค้ารายเดือน) ปกติเกือบ 2 เท่า อยู่ที่ประมาณ 800 บาทต่อเดือน จากปกติเฉลี่ย 448 บาทต่อเดือน

“80% ของคนไทยมีความเชื่อเรื่องโชคลางเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขมันเป็นพื้นฐานของความเชื่อ ซึ่งเราเข้ามาเติมในส่วนนั้น ซึ่งกลุ่มลูกค้าเบอร์คงมคลถือเป็นกลุ่มลูกค้าคุณภาพ เพราะ Chun rate ต่ำ, ยินดีใช้แพ็กสูง และมีโอกาสซื้อต่อ เพราะเขาเชื่อมั่น” คณาธิป ธีรทีป กล่าว

คณาธิป ธีรทีป หัวหน้าแผนกการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และลูกค้าโพสต์เพด

เริ่มทำตลาดมา 10 ปี โตทุกปี

คณาธิป เล่าต่อว่า สำหรับเอไอเอสได้เริ่มทำตลาดเบอร์มงคลตั้งแต่ปี 2014 โดยเริ่มจากการดึง แมน การิน (แมน แมทจิเซียน) มาช่วยคัดเบอร์มงคล โดยเริ่มจากเลขสี่ตัวท้าย จนปัจจุบันเป็นเบอร์มงคลผลรวม นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับอาจารย์ท่านอื่น ๆ อีก แต่เบอร์ของแมน การิน ถือว่าได้รับความนิยมที่สุด

ปัจจุบัน เอไอเอสมียอดขายเบอร์มงคลเฉลี่ย 3 หมื่นเบอร์/เดือน นับตั้งแต่เอไอเอสได้เริ่มทำตลาดเบอร์มงคลตั้งแต่ปี 2014 ปัจจุบัน เอไอเอสมีจำนวนเบอร์มงคลในตลาดสะสมกว่า 1.2 ล้านเบอร์ และเบอร์มงคลสามารถเติบโตเฉลี่ย 5-10% ทุกปี ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็ตาม

“30% ของคนเปิดเบอร์ใหม่ ถ้าเลือกได้เขาจะเลือกเบอร์มงคลหรือเบอร์สวย โดยส่วนใหญ่ต้องการไปเสริมเรื่องการเงิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องของค่าใช้จ่ายก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาจะเลือก”

เห็นความต้องการจาก New Gen มากขึ้น

แม้ว่าจำนวนเบอร์จะมีมากกว่าจำนวนประชากร แต่เบอร์มงคลยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากจำนวน ดีไวซ์อื่น นอกเหนือจากสมาร์ทโฟน แม้บางดีไวซ์จะใช้ อีซิม แต่ผู้บริโภคไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา ขอแค่ได้เบอร์ที่ความหมายดี นอกจากนี้ กลุ่ม New Gen อายุต่ำกว่า 30 ปี ก็เป็นกลุ่มที่สนใจเลือกใช้เบอร์มงคลด้วย โดยจะช่วยกระตุ้นให้ เปลี่ยนจากพรีเพด เป็นโพสต์เพดเพื่อใช้เบอร์มงคล

“ตอนแรกเราคิดว่าพอเป็นอีซิมแล้วจะไปไม่ได้ แต่กลายเป็นว่าเบอร์มันกลายเป็น Identity ที่สร้างความเชื่อมั่น ดังนั้น ขอแค่มีเบอร์ก็สามารถสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ากลุ่มนี้ แม้จะไม่มีซิม”

อาจารย์ดัง ๆ มีผลต่อความมั่นใจ

อย่างไรก็ตาม ตลาดเบอร์มงคลก็ใช่ว่าจะไม่มีการแข่งขัน แต่แข่งขันกันที่ อาจารย์ ซึ่งเป็นส่วนที่มีผลมากในการตัดสินใจ โดยเอไอเอสร่วมกับแมน การินมาเป็นสิบปี ทำให้มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น ซึ่งจุดนี้ทำให้เอไอเอสสามารถทำตลาดได้ง่าย เพราะต้องยอมรับว่าเอไอเอสเป็นบริษัทเกี่ยวกับ เทคโนโลยี ดังนั้น การจะทำการตลาดเกี่ยวกับเรื่องสายมูถือเป็น ความท้าทาย ดังนั้น เอไอเอสจะทำการตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีความเชื่อหรือสนใจมากกว่าทำแบบแมส

“ตอนแรกเราก็กังวลว่าการตลาดแบบนี้จะทำให้กระทบภาพลักษณ์ของบริษัทที่ทำเรื่องเทคโนโลยีหรือเปล่า ดังนั้น เราก็มีการทำรีเสิร์ชเยอะ แต่เราไม่ได้ทำให้เขาเชื่องมงาย ไม่ได้ไปคอมมิดว่าใช้แล้วจะได้นั่นนี่ แค่เสริมสร้างความมั่นใจกับลูกค้ากลุ่มนี้

เปิดตัวเบอร์ตระกูลกวนอู 639

ล่าสุด เอไอเอสได้เปิดตัว เบอร์ตระกูลกวนอู 639 ซึ่งถือเป็นตระกูลเลขอันดับ 3 ที่ได้รับความนิยมต่อจาก กลุ่มเลขเบอร์หงส์-มังกร 789 / 289 สำหรับเบอร์ตระกูลกวนอูมีจำหน่ายทั้งหมด 20,000 เบอร์ เอไอเอสจำหน่ายในราคา 199 บาท แพ็กเกจเริ่มต้น 399 บาท สัญญาขั้นต่ำ 6 เดือน

“คนจีนยกให้กวนอูเป็นเทพแห่งสวรรค์ อยากชนะเหนือคู่แข่ง เติบโตในหน้าที่การงาน เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง หรือการสอบแข่งขัน และเรื่องของความยุติธรรม ใครโดนกลั่นแกล้งให้บูชาเทพกวนอู โดยเลข 639 เป็นเลขวีรบุรุษ ฝ่าฟันอุปสรรค เลขแห่งชัยชนะแมน การิน เล่า

สำหรับรายได้จากกลุ่มเบอร์มงคล เอไอเอสคาดว่าจะเติบโต 10% มีรายได้ 1,300 ล้านบาท

]]>
1487403
เดินหน้าต่อเนื่อง! ‘AIS’ ยกเครื่องใหม่ ‘AIS eSports STUDIO สามย่านมิตรทาวน์’ สานต่อภารกิจป้อน ‘บุคลากรอีสปอร์ต’ เข้าสู่อุตสาหกรรม https://positioningmag.com/1485017 Sat, 03 Aug 2024 03:51:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1485017

นับตั้งแต่ปี 2019 ที่ เอไอเอส (AIS) ประกาศวิสัยทัศน์ในการสนับสนุนอุตสาหกรรม เกม ของไทย เอไอเอสก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมจนปัจจุบันคาดว่าจะมีมูลค่าทะลุ 4 หมื่นล้านบาท และหนึ่งในตัวช่วยสำคัญก็คือ AIS eSports STUDIO สามย่านมิตรทาวน์


4 ปี ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกมไทย

นับตั้งแต่ประเทศไทยมี สมาคมอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย เกิดขึ้นในปี 2017 และในปี 2019 เอไอเอส (AIS) ก็ประกาศ 3 นโยบายสนับสนุนโดยมีจุดมุ่งหมาย ยกระดับเกมเมอร์ไทยไปมืออาชีพ ได้แก่ 1. สร้างเน็ตเวิร์คอินฟราสตรัคเจอร์สำหรับอีสปอร์ต 2. สร้างเวทีการแข่งขัน เพื่อเสริมสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้นักกีฬาอีสปอร์ต และผู้ที่มีความสนใจในวงการนี้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน และ 3. สร้างคอมมูนิตี้อีสปอร์ตให้แข็งแรงผ่านทาง AIS eSports STUDIO สามย่านมิตรทาวน์ และ AIS eSports STUDIO at SIAM

สำหรับ AIS eSports STUDIO สามย่านมิตรทาวน์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2020 ซึ่งถือเป็น คอมมูนิตี้ฮับอีสปอร์ตแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใจกลางกรุงเทพฯ ณ ชั้น 2 สามย่านมิตรทาวน์ และมาปลายปี 2023 เอไอเอสก็เปิด AIS eSports STUDIO at SIAM ตามมา ปัจจุบัน AIS eSports STUDIO ทั้ง 2 สาขามีจำนวนผู้ใช้งานรวมกันเฉลี่ยกว่า 300 คน/วัน หรือราว 10,000 คน/เดือน และมีจำนวน Members กว่า 30,000 ราย

“ในปี 2019 ที่เราประกาศวิสัยทัศน์ว่าจะสนับสนุนอีสปอร์ต ซึ่งอาจจะเกิดคำถามว่าถึงการสนับสนุนดังกล่าวเพราะคนทั่วไปอาจจะยังติดภาพจำในอดีตของการเล่นเกม แต่ในปัจจุบันนี้ เราเห็นนักกีฬาที่ได้เหรียญในการแข่งขันซีเกมส์ และอีกจุดเปลี่ยนคือ ในปี 2021 ที่ราชกิจจาฯ ประกาศให้อีสปอร์ตเป็นกีฬา” รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS กล่าว


ความต่อเนื่อง หัวใจสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม

นับตั้งแต่ที่เอไอเอสประกาศวิสัยทัศน์ด้านอีสปอร์ต เอไอเอสก็ได้ทำงานร่วมกับ พันธมิตร หลากหลายด้าน รวมถึงมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดทัวร์นาเมนต์แข่งขันอีสปอร์ต, โครงการ AIS eSports Young Caster Talent ที่ช่วยฝึกฝนให้เด็กรุ่นใหม่ที่อยากเป็นนักพากย์แข่งเกม จนสามารถป้อนบุคลากรด้านอีสปอร์ตใหม่ ๆ เข้าสู่อุตสาหกรรม อาทิ ณัฏฐณิชชา ภูวสิริโรจน์ หรือ MORFINN ที่เคยเข้าโครงการ AIS eSports Young Caster Talent ปี 2 โดยปัจจุบันเป็นทั้งนักกีฬาอีสปอร์ตและแคสเตอร์

“เรามองว่าความครบและความสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญ ดังนั้น เราพยายามทำให้ครบและต่อเนื่อง อย่างโครงการ AIS eSports Young Caster Talent เราทำมา 3 ปีติดต่อกัน แต่เราไม่ได้มองว่าจะไปสร้างสังกัดส่งนักกีฬาแข่ง เราเป็นแค่เวทีให้เด็ก ๆ แสดงความสามารถ เพื่อให้สังกัดหรือค่ายที่เห็นแววมานำเข้าไปในอุตสาหกรรม” รุ่งทิพย์ อธิบาย


อัพเกรด AIS eSports STUDIO สามย่านมิตรทาวน์ ย้ำความเป็น Hub อาเซียน

อีกความต่อเนื่องที่ทำก็คือ อักเกรด AIS eSports STUDIO สามย่านมิตรทาวน์ โดยครั้งนี้เอไอเอสตั้งใจจะพลิกโฉมให้ยกระดับไปอีกขั้นด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่าด้วย บรอดแบนด์ไฟเบอร์ระดับ 5000/5000 Mbps ควบคู่ไปกับ สุดยอดเทคโนโลยีเกมมิ่งพีซี เกมมิ่งเกียร์สเปกไฮเอนด์ระดับโปรเพลเยอร์แบบครบวงจร อาทิ การใส่ INTEL CORE i7-14700KF และการ์ดจอตัวแรงระดับเทพ VGA GALAX RTX 4080 SUPER SG PCI-E 16GB GDDR6X ในคอมพิวเตอร์ การใช้จอภาพ Samsung Odyssey G7 Series 28” 4K 144Hz เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับ RIOT Games นำเกมยอดนิยมอย่าง Valorant, League of Legends และ Teamfight Tactics มาเปิดให้บริการที่นี่ที่เดียว

นอกจากอัพเกรดเครื่องและได้พาร์ทเนอร์ค่ายเกมระดับโลกเป็นพันธมิตร AIS eSports STUDIO สามย่านมิตรทาวน์ ยังการเปิด Arena Zone ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำหรับจัดการแข่งขันอีสปอร์ต และกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยการจัดการที่ครบครันทั้งระบบแสง สี เสียง ที่ทันสมัย เพื่อรองรับการแข่งขันอีสปอร์ตที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังเปิดกว้างให้กับโปรโมเตอร์, แบรนด์, และองค์กรต่าง ๆ เข้ามาใช้พื้นที่ในการจัดกิจกรรมและการแข่งขัน โดยที่ผ่านมา Arena Zone ได้จัดกิจกรรมและการแข่งขันมาแล้ว มากกว่า 100 รายการ

“เอไอเอสย้ำมาตลอดเรื่องการไปกับพันธมิตร ดังนั้น เราคิดว่าเอไอเอสทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มมากกว่าจะสร้างทั้งต้นน้ำและปลายน้ำเอง”


ตลาดอีสปอร์ตไทย 4 หมื่นล้านยังโตได้อีก

สำหรับอุตสาหกรรมเกมไทยถือเป็น อันดับ 2 ของอาเซียน โดยในปีนี้คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าถึง 41,000 ล้านบาท มีจำนวนประชากรที่เล่นเกมราว 42 ล้านคน และกว่าครึ่ง (23 ล้านคน) มีการใช้จ่ายกับเกมโดยเฉลี่ยแตะเกือบ 1,800 บาท เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอุตสาหกรรมเกมไทยจะใหญ่ และภาพลักษณ์ก็ดีขึ้นกว่าอดีต แต่ รุ่งทิพย์ มองว่า อุตสาหกรรมยัง มีความท้าทาย คือ ไทยยังเป็นประเทศผู้บริโภค ยังขาดส่วนของ การผลิต นี่จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งพัฒนาในอนาคต

“อุตสาหกรรมเกมไทยพัฒนาขึ้นมาก แต่เราพัฒนาแต่ยังไม่สุด โดยเฉพาะเกมจากคนไทยที่ยังมีน้อย ส่วนใหญ่ยังเป็นเกมอินดี้เล็ก ๆ ดังนั้น ขาของเดเวลอปเปอร์ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ อีกเรื่องคือ เรายังไม่มีสถานที่ที่จัดแข็งระดับโปรจริง ๆ ส่วนใหญ่จะจัดในห้างฯ ยังไม่มีสเตเดี้ยมเฉพาะ ซึ่งถ้าเป็นประเทศใหญ่ ๆ อย่างเกาหลีมี แต่ในอาเซียนยังไม่มีใครมี” รุ่งทิพย์ ทิ้งท้าย

 

]]>
1485017
AIS ผนึก GULF และ สวพส. เดินหน้าติดตั้งไฟฟ้า-เครือข่ายสัญญาณดิจิทัล ปักเป้า 30 พื้นที่ใน 5 ปี https://positioningmag.com/1477189 Sat, 08 Jun 2024 03:12:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477189 ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในยุคปัจจุบันนี้ก็คือ ระบบสื่อสาร และในไทยเองก็ยังมีพื้นที่ห่างไกลที่ไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึง ซึ่ง GULF และ AIS ได้ผนึกกำลัง พร้อมร่วมกับ สวพส. เพื่อนำโครงสร้างพื้นฐานเข้าไปสู่พื้นที่ห่างไกล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

แค่ไฟฟ้าไม่พอ

หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นอย่างดี เพราะถือเป็นองค์กรชั้นนำด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานยั่งยืนในระดับภูมิภาค แต่ที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ GULF ได้ทำโครงการ CSR มากว่า 30 ปี และหนึ่งในโครงการที่ทำอยู่ก็คือ การติดตั้งไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ในพื้นที่ทุรกันดาร โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2566 ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ บ้านห้วยน้ำไซ อ.นครไทย จ.พิษณุโลกเกาะทุ่งนางดำ อ.คุระบุรี จ.พังงา และบ้านดอกไม้สด อ.ท่าสองยาง จ.ตาก

หลังจากที่ไปติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ GULF ก็เห็นปัญหาว่าในหลายพื้นที่ที่ไปนั้น ไม่มีเสาสัญญาณดิจิทัล ดังนั้น เพื่อจะให้พื้นที่นั้น ๆ เข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน GULF จึงได้ร่วมกับ AIS ทำโครงการ Green Energy Green Network for THAIs เพื่อผนึกกำลังขยายสัญญาณสื่อสาร มอบโอกาสในการเข้าถึงพลังงานและเทคโนโลยีดิจิทัล มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสทางการศึกษา การพัฒนาอาชีพ และการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข

“ที่ที่เราไปถนนก็ไม่มี สายไฟไม่มี และเพราะเป็นพื้นที่ห่างไกลมีคนไม่หนาแน่น อาจไม่คุ้มกับการลงทุนของรัฐ ทำให้ระบบสาธารณูปโภคไม่เพียงพอ ซึ่งเมื่อก่อนเราทำได้แค่ให้พลังงาน ทำให้ไม่มีการต่อยอด ไม่มีแวร์ลูแอดไป เราจึงร่วมกับเอไอเอสเพื่อต่อยอด” ธีรตีพิศา เตวิชพศุตม์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าว

ปักเป้า 60 พื้นที่ใน 3-5 ปี

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS เล่าเสริมว่า สำหรับการร่วมมือกับ GULF จะเป็นโครงการระยะยาว โดยภายในปีนี้คาดว่าจะดำเนินโครงการ Green Energy Green Network for THAIs เพิ่มอีกประมาณ 5-6 แห่ง โดยได้รับความร่วมมือจาก สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ในการคัดเลือกพื้นที่ที่ไฟฟ้าหรือสัญญาณยังเข้าไม่ถึง และภายใน 3-5 ปี คาดว่าจะสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ประมาณ 30 แห่ง 

โดยหลังจากติดตั้งเสาสัญญาณ ทาง AIS จะมีการประเมินงาน 3 ระยะ เกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมโดย สมชัย ย้ำว่า โครงการดังกล่าวเป็น โครงการระยะยาว และ AIS ต้องการให้ชุมชนใช้เทคโนโลยีสร้างโอกาสในการพัฒนาองค์ความรู้ และต่อยอดการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่น ๆ ทั้งบริการด้านสาธารณสุข การศึกษา การพัฒนาทักษะด้านอาชีพ และการตลาด เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างประโยชน์ทั้งชุมชน เศรษฐกิจ และยังเป็นการดูแลรักษาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

“ตลอด 34 ปีที่ผ่านมาเราลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาทเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน จนปัจจุบันสัญญาณโมบายครอบคลุม 98% และ 5G ครอบคลุม 90% ของพื้นที่ประเทศไทย ส่วนอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ครอบคลุม 13 ล้านครัวเรือนจากทั้งหมด 20 ครัวเรือน แต่เป้าหมายของ AIS ไม่ใช่แค่สร้างรายได้ แต่ต้องยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น”

มีพื้นที่อีกนับพันที่ยังเข้าไม่ถึงระบบสาธารณูปโภค 

ชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) กล่าวว่า สวพส. ดูแลพื้นที่ที่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลปากลาง 500 เมตร ซึ่งในประเทศไทยมีพื้นที่ดังกล่าวประมาณ 20 ล้านไร่ กระจายใน 20 จังหวัด รวมแล้วกว่า 4,000 ชุมชน ซึ่งปัจจุบัน สวพส. สามารถเข้าถึงได้ประมาณ 2,000 ชุมชน และคาดว่ามีประมาณ 1,000 ชุมชนที่ยังไม่มีไฟฟ้าหรือคลื่นสัญญาณดิจิทัลเข้าถึง โดย สวพส. จะทำหน้าที่ให้ข้อมูลและจัดลำดับความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือ

“AIS ยังเชื่อมั่นใน Ecosystem Economy หรือการทำงานร่วมกัน ทั้ง GULF และ AIS เข้าไปช่วยก็ทำให้มันดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เท่าเทียม ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องช่วยเหลือ ดังนั้น ก็หวังว่าจะมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมมือกันช่วยเหลืออีก” สมชัย ทิ้งท้าย

]]>
1477189