เอไอ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 02 Aug 2024 04:45:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Intel’ ประกาศเลิกจ้างพนักงานระลอกใหญ่ 15,000 คน หลัง ‘กำไรหด’ สวนทางต้นทุน https://positioningmag.com/1484917 Fri, 02 Aug 2024 03:08:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484917 ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแวดวงไอทีตอนนี้คือ AI ทำให้บริษัทผู้ผลิตชิป ที่สามารถผลิตชิป AI ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ และคาดว่าตลาดชิป AI จะพุ่งแรงโตทะลุ 9.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ผู้ผลิตชิปทุกรายที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI

ล่าสุด อินเทล (Intel) ผู้ผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ประกาศว่าจะ ปลดพนักงานมากกว่า 15% หรือราว 15,000 คน นอกจากนี้ บริษัทยังเสนอมาตรการ ลาออกโดยสมัครใจ และการ Early Retire สำหรับพนักงานที่เข้าเงื่อนไข จากแผนการลดจำนวนพนักงานดังกล่าว นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนใหญ่ในการ ลดค่าใช้ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 หลังจากที่ผลประกอบการ ไม่เติบโตตามที่คาดไว้ อีกทั้งยัง ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทรนด์ AI

“ต้นทุนของเราสูงเกินไป ขณะที่อัตรากําไรของเราต่ำเกินไป เราต้องการการดําเนินการที่กล้าหาญกว่านี้เพื่อจัดการกับทั้งสองด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการทางการเงินและแนวโน้มสําหรับครึ่งหลังของปี 2024 ซึ่งยากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้” Pat Gelsinger ซีอีโอ กล่าว

แม้ 25 ปีที่แล้ว อินเทลจะเป็น ผู้นําการปฏิวัติอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกี่ยวกับชิป CPU แต่กลับปรับตัวรับกับการมาของ สมาร์ทโฟน และ AI ช้าเกินไป แม้ว่าที่ผ่านมาอินเทลจะพยายามคว้าโอกาสจากการเติบโตของ AI แบบเดียวกับที่บริษัทฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เช่น Nvidia ทำก็ตาม

โดยรายได้ของอินเทลระหว่างปี 2020-2023 ลดลงถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนทางกับจำนวนพนักงานที่เติบโต 10% ในช่วงเวลาเดียวกัน และรายได้ช่วงไตรมาส 2/2024 คาดว่าจะ ลดลง -1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และคาดว่าจะมีแนวโน้มครึ่งหลังที่ ท้าทาย มากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้

Source

]]>
1484917
ผลสำรวจพบ คนไทย 73% ใช้ ‘AI’ ยิ่งมี ‘รายได้มาก’ ยิ่งใช้ประโยชน์ได้มากกว่าคน ‘รายได้น้อย’ https://positioningmag.com/1483810 Wed, 24 Jul 2024 10:01:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1483810 ในยุคที่กระแส AI มาแรงสุด ๆ และเข้ามาเปลี่ยนชีวิตประจำวันของเราให้ล้ำไปอีกขั้น BBDO Bangkok เผยผลสำรวจเจาะลึกความคิดเห็นผู้บริโภคไทยและพฤติกรรมการใช้ AI จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 400 คนในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิด ความเข้าใจที่มีต่อ AI และพฤติกรรมการนำ AI มาใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยในปัจจุบัน

คนรวยใช้ประโยชน์จาก AI ได้มากกว่า

ผลการสำรวจพบว่า ปัจจุบัน คนไทย 73.84% ได้ใช้ประโยชน์จาก AI ในชีวิต โดย 5 เหตุผลหลักในการใช้ AI ได้แก่

  • เพิ่มความสะดวกสบาย (48.23%)
  • ประหยัดเวลา (40.60%)
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน (37.92%)
  • เพิ่มความแม่นยำ (22.48%)
  • ลดความผิดพลาด (18.12%)

แต่ที่น่าสนใจคือ คนที่มีรายได้น้อยกว่า 25,000 บาท มีแนวโน้มที่จะใช้ประโยชน์จาก AI น้อยกว่า คนที่มีรายได้ตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไป อย่างไรก็ตาม อีก 26.16% ที่ไม่ใช้ AI ผลสำรวจพบว่า เพศหญิง 44.23% กังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวเป็นเหตุผลหลัก ในขณะที่เพศชาย 32% กังวลเรื่องราคาที่สูงเกิน

ต่าง Gen ก็ใช้ AI ต่างกัน

แต่ละ Gen ก็มีเรื่องให้ใช้ AI ที่แตกต่างกันไป กลุ่ม Gen Z และ Gen Y ใช้ AI กับ การทำงานมากที่สุด (37.5% และ 35.5%) ในขณะที่ Gen X ใช้ AI กับเรื่อง ความปลอดภัย เป็นอันดับหนึ่ง (35.2%) เช่น เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า หรือการตรวจจับอุบัติเหตุในบ้าน นอกจากนี้ Gen X ยังมีการใช้ AI เพื่อสุขภาพและการแพทย์ เพิ่มเข้ามาใน 3 อันดับแรกอีกด้วย  

3 แบรนด์ที่คนไทยนึกถึงเรื่อง AI

Google, Chat GPT และ Samsung ครอง 3 อันดับแบรนด์แรกที่ผู้บริโภคไทยนึกถึงเมื่อพูดถึง AI โดย Google แบรนด์ที่คนไทยรู้จักและคุ้นชินเป็นอย่างดี โดยอัลกอริทึมของ Google’s Search ที่ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ AI ในการประมวลผลเพื่อผลลัพธ์การค้นหาที่ตรงตามความต้องการและใกล้เคียงมากที่สุด และหลังจากเปิดตัว Gemini AI-Chatbot ของ Google ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก Google ยังได้มีการนำ AI มาใช้ในบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นGoogle Maps, Gmail, Google Workspace หรือ Google Meet ด้วยเช่นกัน 

Chat GPT หรือ AI Chatbot ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากค่าย Open AI ล่าสุด ได้เปิดตัว Chat GPT-4o โมเดลใหม่ล่าสุดที่ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น พร้อมเข้าใจและโต้ตอบกับมนุษย์ได้ทั้งข้อความ ภาพ และเสียงแบบเรียลไทม์ ส่วน Samsung มีการเปิดตัว Galaxy AI ที่อยู่ในสมาร์ทโฟนของ Samsung และนอกจากนี้ยังนำ AI มาใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอีกด้วย 

สนับสนุนการมี AI แต่ก็กลัวตกงาน 

นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 70% สนับสนุนการมีอยู่และการพัฒนา AI และมองว่า AI จะมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตอย่างมากในอนาคต 5 ปีข้างหน้า ในส่วนของข้อกังวลใจต่อการใช้ AI คนส่วนใหญ่ยังคงกังวลเรื่อง ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยความกังวลต่อ AI ว่าจะมี ราคาสูงเกินไป ทำให้เกิดการเข้าไม่ถึงในคนบางกลุ่ม และการที่ AI จะสามารถ เข้ามาทดแทนและแย่งงานมนุษย์

]]>
1483810
สหรัฐฯ เตรียมควบคุมการลงทุนในจีน เช่น AI ควอนตัมคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การผลิตชิป ชี้เป็นภัยความมั่นคงของประเทศ https://positioningmag.com/1477005 Mon, 24 Jun 2024 05:47:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477005 สหรัฐอเมริกา เตรียมที่จะควบคุมการลงทุนในจีน เช่น AI ควอนตัมคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การผลิตชิป ชี้เรื่องดังกล่าวนั้นเป็นภัยความมั่นคงของประเทศ และปกป้องการลงทุนที่อาจส่งผลย้อนกลับมาทำร้ายประเทศได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นของ 2 มหาอำนาจ

รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ออกร่างกฎหมายที่เตรียมควบคุมให้บริษัทหรือนักลงทุนรายบุคคลต้องมีการแจ้งเตือนรัฐบาลถ้าหากมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควอนตัมคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่เทคโนโลยีการผลิตชิป

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามหลังมาจากในเดือนสิงหาคมปี 2023 ที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้เตรียมออกกฎเกณฑ์กำหนดให้บุคคลและบริษัทในสหรัฐฯ ต้องส่งเรื่องให้กับหน่วยงานรัฐเพื่อพิจารณาว่าธุรกรรมการลงทุนในประเทศจีน ซึ่งบางธุรกรรมอาจถูกจำกัดหรือมีสิทธิ์ที่จะถูกแบนได้

ร่างดังกล่าวนั้นส่งผลต่อการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทั้งในหุ้นบริษัท หุ้นกู้ หรือแม้แต่การกู้เงิน และยังรวมถึงการร่วมทุนกับบริษัทหรือบุคคลในฝั่งจีนด้วย

Paul Rosen ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ที่ดูแลด้านความมั่นคงด้านการลงทุน ได้กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวที่เสนอนี้ทำให้ความมั่นคงของชาติของเราก้าวหน้าขึ้นโดยป้องกันผลประโยชน์การลงทุนของสหรัฐฯ ที่บางประเทศที่ใช้เพื่อคุกคามความมั่นคงต่อประเทศชาติ

แผนการดังกล่าวนี้ต้องการที่จะชะลอในการพัฒนาเทคโนโลยีที่คุกคามความมั่นคงขอสหรัฐฯ ซึ่งจีนต้องการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหรือไล่ตามสหรัฐฯ ให้ใกล้เคียงมากที่สุด และจำกัดไม่ให้จีนเข้าถึงด้านเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะนำไปใช้ในทางทหารได้

นอกจากนี้ร่างกฎหมายยังห้ามไม่ให้บริษัทหรือนักลงทุนรายบุคคลลงทุนในเทคโนโลยี AI ที่มีความเสี่ยงว่าจะใช้ในการทหาร และยังจะต้องมีการแจ้งเตือนรัฐบาลถ้าหากมีการพัฒนาเทคโนโลยี AI หรือแม้แต่ในด้านเซมิคอนดักเตอร์

ในช่วงที่ผ่านมาสหรัฐได้ออกมาตรการเพื่อไม่ให้จีนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดไม่ให้เข้าถึงชิปเร่งการประมวลผล AI ของ Nvidia จนทำให้ภาคเอกชนจีนต้องรีบซื้อชิปดังกล่าวจำนวนมาก หรือแม้แต่การขอร้องให้ชาติพันธมิตรอย่าง ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ไม่ให้จีนเข้าถึงอุปกรณ์การผลิตชิปรุ่นใหม่ล่าสุด

ไม่เพียงเท่านี้บริษัทในสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เน้นลงทุนในเหล่าสตาร์ทอัพ (VC) ได้ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะชะลอตัวลงไปเนื่องจากความขัดแย้งของ 2 มหาอำนาจที่เพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา

และกรณีดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่เริ่มลุกลามบานปลายเพิ่มมากขึ้น ไม่มีท่าทีที่จะชะลอตัวลงแต่อย่างใด

ที่มา – Al Jazeera, Reuters

]]>
1477005
แอปเปิล ชูเทคโนโลยี AI ภายใต้ชื่อ ‘Apple Intelligence’ และเตรียมนำ ChatGPT เข้ามาผนวกบนระบบปฏิบัติการของบริษัท https://positioningmag.com/1477447 Tue, 11 Jun 2024 03:37:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477447 แอปเปิล (Apple) เปิดตัว Apple Intelligence หรือเรียกสั้นๆ ว่า AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท โดยเน้นไปยังการช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้สะดวก และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังชูในเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัว

เมื่อคืนที่ผ่านมา Apple ได้จัดงาน Worldwide Developers Conference หรือ WWDC โดยในปีนี้ผู้ผลิตสินค้าชื่อดังอย่าง iPhone และ iPad นั้นได้ชูจุดเด่นในเรื่องการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาผนวกกับการใช้งานสินค้าของบริษัท

ภายในงาน WWDC นั้น Apple ได้เปิดตัว Apple Intelligence (AI) โดยได้นำเสนอเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานหรือช่วยเหลือผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังรวมถึง Siri ที่มีความสามารถในการทำงานที่มากกว่าเดิม

ฟังก์ชันที่น่าสนใจของ Apple Intelligence เช่น

  • Apple Intelligence จะเป็นพื้นฐานของการทำงาน แต่ผู้ใช้งานจะต้องเปิดใช้งานเอง
  • Safari และ Mail สามารถใช้ Apple Intelligence สรุปเนื้อหาข้อความแบบกระชับได้
  • สามารถสรุปเนื้อหาจากคลิปการอัดเสียงได้
  • ช่วยการทำงานเวลาผู้ใช้งานต้องการที่จะเขียนหรือพิมพ์ข้อความ
  • ระบบสามารถสร้างภาพ หรือสร้าง Emoji ขึ้นมาได้ตามที่ผู้ใช้งานสั่ง

สำหรับการประมวลผลระบบปัญญาประดิษฐ์นั้น Apple ได้กล่าวว่าจะมีการประมวลผลข้อมูลจากบนอุปกรณ์ก่อน และถ้าหากอุปกรณ์ไม่สามารถประมวลผลข้อมูลดังกล่าวได้ ก็จะนำข้อมูลส่งขึ้นไปยังระบบคลาวด์ของบริษัทเพื่อที่จะให้ประมวลผลข้อมูล และส่งผลกลับมาที่อุปกรณ์ผู้ใช้งาน

ไม่เพียงเท่านี้ Apple ได้ประกาศความร่วมมือกับ OpenAI เจ้าของบริการแชตบอทอย่าง ChatGPT โดยเตรียมนำระบบดังกล่าวเข้ามาผนวกในระบบปฏิบัติการของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น iOS และ iPadOS รวมถึง MacOS เป็นต้น แต่บริษัทยังคงยืนยันถึงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน

Apple ยังกล่าวว่า บริษัทได้เตรียมนำ Siri เข้ามาผนวกกับการทำงานของ ChatGPT เพิ่มด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าบริษัทได้เตรียมยกเครื่องระบบการทำงานใหม่ยกชุด เพื่อที่จะทำให้ความสามารถนั้นทัดเทียมกับบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นๆ ที่เร่งพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

อย่างไรก็ดี Apple เองยังคงยืนยันถึงเรื่องของความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทได้ยึดถือมาโดยตลอด

นอกจากนี้ผู้ผลิต iPhone ยังเตรียมที่จะนำเทคโนโลยี AI จากบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นเข้ามาผนวกการทำงานให้กับผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับผู้ใช้งาน iPhone นั้น Apple Intelligence จะรองรับตั้งแต่ iPhone 15 Pro ขึ้นไปเท่านั้น

ที่มา – Apple

]]>
1477447
สหรัฐฯ เตรียมตรวจสอบ OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia ในเรื่องการผูกขาดเทคโนโลยี AI https://positioningmag.com/1477270 Mon, 10 Jun 2024 05:58:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477270 กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ (DOJ) และ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ได้บรรลุข้อตกลงเตรียมที่จะเปิดฉากสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia ซึ่งบริษัทเหล่านี้อาจมีพฤติกรรมผูกขาดตลาดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

แหล่งข่าวของสื่อต่างประเทศหลายแห่ง เช่น AP และ CNBC รวมถึง New York Times รายงานข่าวตรงกันว่า หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้ง กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ และ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เตรียมเข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia หลังจากที่บรรลุข้อตกลงดังกล่าว

ทั้ง 2 หน่วยงานของสหรัฐอเมริกาได้ตกลงที่จะสืบสวนพฤติกรรมบริษัทเหล่านี้ โดยทาง DOJ จะมีการสอบสวน Nvidia ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปเร่งประมวลผล AI ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดในตอนนี้มากถึง 80% ขณะที่ FTC จะสอบสวน Microsoft และ OpenAI

นอกจากนี้ FTC เตรียมที่จะสอบสวน Microsoft ในดีลการลงทุน Infection AI มูลค่า 650 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงในเรื่องการควบรวมกิจการหรือไม่

การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ได้ทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมีมูลค่าบริษัทเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Microsoft ที่มีการลงทุนใน OpenAI เจ้าของบริการอย่าง ChatGPT หรือแม้แต่ Nvidia ที่ล่าสุดบริษัทมีมูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผลประกอบการและธุรกิจบริษัทกำลังเติบโต

สำหรับความร่วมมือของ 2 หน่วยงานดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ในปี 2019 นั้นมีความร่วมมือเพื่อที่จะตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ มาแล้ว โดย FTC ได้ตรวจสอบ Meta และ Amazon และทาง DOJ ได้ตรวจสอบ Apple และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google

ในช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกา ได้แสดงความกังวลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้เปรียบกว่าบริษัทอื่นๆ ในการเข้าถึงข้อมูลที่ใช้ในการฝึกอบรมโมเดล AI ไปจนถึงความร่วมมือระหว่างบริษัทต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการตรวจสอบการควบรวมกิจการจากหน่วยงานกำกับดูแลเหล่านี้

ที่มา – CNBC, Euronews, New York Times

]]>
1477270
Nvidia มูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว แถมแซง Apple กลายเป็นบริษัทใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก https://positioningmag.com/1476814 Thu, 06 Jun 2024 02:48:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1476814 Nvidia กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้มูลค่าของบริษัทยังแซงหน้า Apple กลายเป็นบริษัทใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก สาเหตุสำคัญมาจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทำให้บริษัทสามารถขายชิปเร่งการประมวลผลได้เพิ่มมากขึ้น

ราคาหุ้นของ Nvidia ในช่วงการซื้อขายเมื่อคืน (5 มิถุนายน) ได้บวกเพิ่มมากถึง 5% มาอยู่ที่ 1,224.40 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทำให้มูลค่าของบริษัทนั้นแตะระดับที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย

สิ่งที่เกิดขึ้นยังทำให้ผู้ผลิตชิปกราฟิกรวมถึงชิปเร่งประมวลผล AI กลายเป็นบริษัทใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก แซงหน้า Apple ซึ่งมีมูลค่าบริษัทน้อยกว่า Nvidia เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ปัจจุบันมีบริษัทในโลกเพียง 3 บริษัทที่มีมูลค่าแตะ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ได้แก่ Microsoft Nvidia และ Apple เท่านั้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Nvidia เติบโตกลายเป็นบริษัทมูลค่า 3 ล้านล้านเหรียญคือการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความนิยมของ ChatGPT ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมต่อกลุ่มเทคโนโลยีที่ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว จากความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่ทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทเติบโตก็คือการใช้งานชิปเร่งประมวลผล AI เพิ่มมากขึ้น และราคาของชิปดังกล่าวนั้นมีราคาระดับหลักแสนดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยคือหลักล้านบาท ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ชิปของบริษัทนั้นใช้เร่งประมวลผลกราฟิกซึ่งมีการนำไปใช้งานในด้านเทคโนโลยีอย่างอื่น เช่น ขุดบิตคอยน์ หรือเร่งการประมวลผลในด้านอื่นๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ชิปเร่งประมวลผล AI ของ Nvidia ยังเป็นไม่กี่บริษัทที่มีความเร็วในการประมวลผลเป็นอันดับต้นๆ ของท้องตลาด ยิ่งทำให้ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีจากจีนเร่งสั่งซื้อชิปดังกล่าวจากบริษัทเพิ่มมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ CEO ของบริษัทอย่าง Jensen Huang เองยังได้ประกาศเปิดตัวชิปเร่งประมวลผล AI ตัวใหม่ของบริษัทนั้นจะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าเดิม ยิ่งทำให้นักลงทุนนั้นแห่ลงทุนในบริษัทเพิ่มมากขึ้น

การที่บริษัทเติบโตอย่างมากยังส่งผลตอบแทนของหุ้น Nvidia อย่างมหาศาล โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทมีผลตอบแทนมากถึง 3,300% และถ้านับผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นของบริษัทนั้นบวกไปแล้วมากถึง 216% เลยทีเดียว

ที่มา – Yahoo Finance

]]>
1476814
Meta พิจารณาซื้อข้อมูลจากสำนักข่าวเพื่อฝึกฝน AI ชี้ข้อมูลมีคุณภาพ ส่งผลให้ลูกค้าใช้แชตบอทบริษัทมากขึ้น https://positioningmag.com/1474700 Thu, 23 May 2024 09:10:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474700 เจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instagram อย่าง Meta ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวว่าบริษัทกำลังพิจารณาข้อมูลในการซื้อข้อมูลจากสำนักข่าว เพื่อนำมาฝึกฝนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท เนื่องจากเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันคู่แข่งหลายรายก็เริ่มที่จะปิดดีลกับสำนักข่าวบ้างแล้ว

Business Insider รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Meta เจ้าของบริการเครือข่ายทางสังคม เช่น Facebook หรือ Instagram ฯลฯ กำลังมีการพิจารณาในบริษัทเรื่องของการฝึกฝนปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยการซื้อข้อมูลจากสำนักข่าว

แหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวได้กล่าวว่าผู้บริหารแผนกที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง AI ได้เริ่มพูดคุยในการเพิ่มประสิทธิภาพของ AI ซึ่งถ้าหากฝึกฝนโดยข้อมูลที่มีคุณภาพแล้วจะช่วยทำให้ AI เก่งขึ้น ซึ่งหนึ่งในข้อมูลที่มีคุณภาพก็คือข่าวของสำนักข่าวต่างๆ นั่นเอง

บริษัทเจ้าของ Facebook และ Instagram ต้องการที่จะเข้าถึงเนื้อหาข่าวและภาพข่าว ไปจนถึงวิดีโอข่าว ของสำนักข่าว เพื่อที่จะนำมาฝึกฝน AI

Meta หวังว่าเมื่อ AI เก่งขึ้นนั้นจะทำให้มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการแชตบอทของบริษัท และแหล่งข่าวรายหนึ่งชี้ว่าบริษัทอาจต้องจ่ายเงินให้กับสำนักข่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนหน้านี้สำนักข่าวหลายแห่งได้ฟ้องบริษัทเทคโนโลยี เช่น กรณี Axel Springer ได้ฟ้อง OpenAI ที่นำข่าวไปใช้ฝึกฝน AI โดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนที่จะมีข้อตกลงกันได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจเนื่องจากสำนักข่าวหลายแห่งนั้นไม่ได้รับผลตอบแทนที่ควรจะได้ หรือการนำข่าวไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ได้เปลี่ยนทิศทางการดำเนินธุรกิจของ Meta ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชิปเร่งประมวลผล AI เพื่อที่จะลดการพึ่งพาจากผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia หรือแม้แต่โมเดล AI ตัวใหม่ที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ซึ่งแตกต่างกับในอดีตที่บริษัทได้เน้นไปยังโลก Metaverse เป็นหลัก

นอกจากนี้แรงกดดันจากคู่แข่งไม่ว่าจะเป็น Google หรือ OpenAI ที่เป็นเจ้าของ ChatGPT เริ่มปิดดีลกับสำนักข่าวเพิ่มมากขึ้นก็เป็นแรงกดดันให้ Meta ต้องรีบพิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน

]]>
1474700
เกินต้าน! ‘Nvidia’ ฟันรายได้ 2.6 หมื่นล้าน โต 262% แง้มในสิ้นปีเปิดตัวชิปเอไอใหม่ ‘Blackwell’ https://positioningmag.com/1474731 Thu, 23 May 2024 04:54:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474731 ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีของโลกตอนนี้กำลังแข่งขันกันเรื่อง เอไอ (AI) ไม่ว่าจะเป็น OpenAI ที่เปิดตัวโมเดล GPT-4 Omni หรือ Google ที่อัปเกรด  Gemini 1.5 Pro และบริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากเทรนด์นี้สุด ๆ ก็คือ NVIDIA ผู้ผลิตชิป GPU รายหลักของโลก

โดยผลประกอบการของ เอ็นวิเดีย (NVIDIA) ประจำไตรมาสที่ 1 ตามปีงบประมาณ 2025 (สิ้นสุดเดือนเมษายน) มีรายได้อยู่ที่ 26,044 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น +18% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และโตขึ้น +262% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 14,881 ล้านดอลลาร์ โตขึ้น 7 เท่า

โดยรายได้กว่า 80% ของบริษัทมาจากกลุ่มธุรกิจ Data Center โดยคิดเป็นรายได้กว่า 22,563 ล้านดอลลาร์ โดยเติบโตถึง +427% ซึ่ง Jensen Huang ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง NVIDIA กล่าวว่า การเติบโตของรายได้บริษัทได้รับแรงผลักดันจากบริษัทและประเทศต่าง ๆ ที่ร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อเปลี่ยนจาก Data Center แบบเดิมไปเป็น AI Factories ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่

โดยในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา บริษัททำงานร่วมกับลูกค้ามากกว่า 100 รายในการสร้าง AI Factories ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดหลายร้อยไปจนถึงหมื่น GPU โดยบางส่วนมีถึง 100,000 GPU โดยปัจจุบัน ลูกค้ารายสำคัญของ Nvidia ล้วนแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีของโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Amazon Web Service, Microsoft Azure, Google Cloud และ Oracle ซึ่งรวมแล้วคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของรายได้ ในส่วนธุรกิจ Data Center

“ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของบริษัทคือ การขาย Data Center ซึ่งรวมถึงชิปเอไอและชิ้นส่วนเพิ่มเติมที่จำเป็นในการใช้งานเซิร์ฟเวอร์เอไอขนาดใหญ่ อาทิ โปรเซสเซอร์กราฟิก Hopper และ H100 GPU ซึ่งไฮไลต์สำคัญในไตรมาสนี้คือการประกาศ Lama 3 ของ Meta ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ล่าสุดซึ่งใช้ GPU H100 จำนวน 24,000 ตัว”

ทั้งนี้ Jensen Huang เชื่อว่าบริษัทจะสามารถเติบโตขึ้นได้อีก เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดตัว Blackwell ชิป AI GPU รุ่นต่อไปของบริษัทภายในไตรมาส 4 และจะเพิ่มชิปนี้ใน Data Center ของบริษัทด้วย นอกจากนี้ บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังส่งสัญญาณว่าพวกเขาจะใช้จ่ายมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ากับชิปและ Data Center ซึ่งจำเป็นสำหรับฝึกและใช้งานระบบเอไอของพวกเขา

จากผลประกอบการที่ดีเกินคาด ทำให้มูลค่าหุ้น Nvidia แตะระดับ 1,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่าตลาดสูงสุดเป็น อันดับสาม ในตลาด Wall Street ตามหลังเพียง Microsoft และ Apple

Source

]]>
1474731
ByteDance ก้าวสู่โลกฮาร์ดแวร์อีกราย ปิดดีลซื้อกิจการ Oladance ผู้ผลิตหูฟังในประเทศจีน มูลค่า 1,800 ล้านบาท https://positioningmag.com/1474639 Wed, 22 May 2024 11:04:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474639 บริษัทแม่ของแอปฯ TikTok ล่าสุดได้ปิดดีลการซื้อกิจการของ Oladance ผู้ผลิตหูฟังในประเทศจีน มูลค่า 1,800 ล้านบาท โดยบริษัทสัญญาณว่าเริ่มเข้าสู่โลกฮาร์ดแวร์อีกราย และเตรียมนำเทคโนโลยี AI ของบริษัทเข้ามาผนวกกับหูฟัง

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok นั้นได้เข้าซื้อกิจการของ Oladance ผู้ผลิตหูฟังจากประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อย และส่งสัญญาณว่ายักษ์ใหญ่จากเทคโนโลยีจากจีนรายนี้เริ่มเข้าสู่โลกฮาร์ดแวร์อีกราย

แหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวได้กล่าวว่า ByteDance ได้ปิดดีลการซื้อกิจการผู้ผลิตหูฟังเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยดีลมูลค่าราวๆ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการเข้าสู่โลกฮาร์ดแวร์ของบริษัทเทคโนโลยีรายนี้ด้วย

ดีลในการซื้อบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ของ ByteDance ที่ขึ้นชื่ออีกอันต้องย้อนไปเมื่อปี 2021 เมื่อบริษัทได้ปิดดีลซื้อกิจการ Pico ซึ่งเป็นผู้ผลิตแว่น VR เพื่อบริษัทจะเข้าสู่โลกดังกล่าว อย่างไรก็ดีบริษัทได้เตรียมขายธุรกิจดังกล่าวออกมาพร้อมกับธุรกิจเกมของบริษัท

สำหรับ Oladance นั้นเป็นผู้ผลิตหูฟังในประเทศจีน มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองเซินเจิ้น ก่อตั้งเมื่อ 5 ปีที่แล้วโดยอดีตวิศวกรของ Bose บริษัทที่ผลิตหูฟังหรือลำโพงชื่อดัง และผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นมีขายในประเทศไทยผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งที่เน้นพัฒนาในด้านซอฟต์แวร์เองได้สนใจเข้าสู่โลกฮาร์ดแวร์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Meta ที่เน้นไปยังเทคโนโลยี VR หรือ Metaverse หรือแม้แต่ Snap เองที่เน้นไปยังการพัฒนาแว่นตาไฮเทค ซึ่งหลายบริษัท

นอกจากนี้ยังรวมถึงเหตุผลของการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั้นทำให้ ByteDance ต้องการนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไปผนวกกับฮาร์ดแวร์เพิ่มมากขึ้น เพื่อขยายธุรกิจของบริษัท ซึ่งผู้ผลิตหูฟังรายดังกล่าวอยู่ในแผนการของบริษัท

]]>
1474639
สรุปฟีเจอร์ ‘Gemini 1.5 Pro’ จาก Google ที่ออกมาชนกับ ‘GPT-4 Omni’ https://positioningmag.com/1473749 Wed, 15 May 2024 10:45:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1473749 หลังจากที่เมื่อวานทาง OpenAI ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ GPT-4 Omni ที่มีจุดเด่นที่สามารถประมวลผลคำสั่งได้มากกว่า พูดคุยด้วยเสียงได้ สามารถวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ผ่านวิดีโอได้ มาวันนี้ Google ก็แสดงวิสัยทัศน์ที่น่าทึ่งไม่แพ้กันเกี่ยวกับ AI จะมายกระดับการใช้งานของผู้คนหลายพันล้านคน ที่ใช้งาน Google ทุกวันได้อย่างไรบ้าง

ภายในงาน Google I/O ที่จัดเป็นประจำทุกปี นำโดย Sundar Pichai ซีอีโอของ Google ที่จะมาอัปเดตถึงเทคโนโลยี AI ของ Google ในปีนี้เริ่มจาก Gemini 1.5 Pro ที่อัปเกรดให้รับข้อมูลได้ 1 ล้าน Tokens (หนังสือประมาณ 1,500 หน้า) รองรับ 35 ภาษา ถือว่า Gemini 1.5 Pro มีขนาดของ Context Window ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา LLM ที่เปิดให้บริการแก่ผู้ใช้ทั่วไป

ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถใช้ภาษาได้อย่าง เป็นธรรมชาติหรือตรงประเด็นมากขึ้น และให้คำตอบในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ผลลัพธ์เชิงลึกหรือสรุป นอกจากนี้ยังสามารถให้คำแนะนำที่ตรงประเด็น เช่น แนะนำร้านอาหารที่เหมาะกับเด็กในบางพื้นที่

อีกความสามารถใหม่ที่อัปเกรดขึ้นก็คือ สามารถรับอินพุตประเภทต่าง ๆ ได้หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับข้อความ, คำสั่งเสียง หรือรูปภาพ อีกทั้งยังสามารถอัปโหลดไฟล์เอกสาร Doc, PDF ขึ้นบน Gemini Advanced เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ในไฟล์ นอกจากนี้ Gemini 1.5 Pro สามารถสรุปอีเมลล่าสุดทั้งหมดได้จากการ วิเคราะห์ไฟล์แนบภายในอีเมล

นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Gem บน Gemini เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง Gemini เวอร์ชั่นที่เรากำหนดเองได้ เช่น การสร้าง Gem เพื่อช่วยวางแผนการออกกำลังกาย เป็นต้น

ที่น่าสนใจคือ ภายในปีนี้ Google จะรวมฟังก์ชัน AI เข้ากับสมาร์ทโฟนมากขึ้น เช่น ผู้ใช้จะสามารถลากและวางรูปภาพที่สร้างโดย AI ลงใน Google Messages และ Gmail และถามคำถามเกี่ยวกับวิดีโอ YouTube และ PDF บนอุปกรณ์ Android ได้ นอกจากนี้ Google มีแผนจะเพิ่มเครื่องมือใหม่สำหรับ Android จะช่วย ตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัยในระหว่างการโทร ซึ่งอาจเป็นมิจฉาชีพ

อีกสิ่งที่ Google กำลังทำเพิ่มเติมก็คือ การป้องกันเพื่อลดการใช้งานในทางที่ผิด ที่อาจเกิดขึ้น โดย Google กำลังขยายฟีเจอร์ SynthID ที่มีอยู่เพื่อตรวจจับเนื้อหาที่สร้างโดย AI เมื่อปีที่แล้ว โดยเครื่องมือนี้เพิ่มลายน้ำให้กับภาพและเสียงที่สร้างโดย AI

CNN / googleblog

]]>
1473749