เอไอ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 09 Oct 2025 02:30:41 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘เจฟฟ์ เบซอส’ ชี้ AI กำลังอยู่ในช่วง ‘ฟองสบู่’ แม้จะต้องมีหลายคน ‘ล้มละลาย’ แต่สุดท้ายจะส่งผลดี เพราะเทคโนโลยีเป็น ‘ของจริง’ https://positioningmag.com/1542085 Wed, 08 Oct 2025 12:41:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542085 เป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นด้วยว่า AI กำลังอยู่ในช่วง ฟองสบู่ สำหรับ เจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos)  ผู้ก่อตั้ง Amazon แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้ เป็นของจริง และจะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อสังคม แม้ว่าจะต้องมีหลายบริษัทที่ล้มละลายก็ตาม

Jeff Bezos ได้รับคำถามจาก John Elkann CEO ของ Exor บนเวที Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี ว่ามีสัญญาณบ่งชี้ว่าอุตสาหกรรม AI กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่หรือไม่ ซึ่ง Bezos ตอบว่า นี่คือฟองสบู่อุตสาหกรรมประเภทหนึ่ง โดยเขาได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะสำคัญบางประการของฟองสบู่ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่

  1. ราคาหุ้นตัดขาดจากพื้นฐาน: ราคาหุ้นที่ตัดขาดจากปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ คือ บางธุรกิจยังไม่มีรายได้ หรือมีกำไร แต่มูลค่าหุ้นกลับพุ่งสูง
  2. ความตื่นเต้นอย่างล้นหลาม: ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นกับ AI มาก
  3. การระดมทุนอย่างไม่เลือก: ทุกการทดลองหรือแนวคิด ทั้งที่ดีและไม่ดี จะได้รับการสนับสนุนทางการเงิน โดยนักลงทุนจะแยกแยะได้ยากในช่วงที่ทุกคนตื่นเต้น

โดย Bezos ได้ยกตัวอย่างกรณี บริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานเพียง 6 คน แต่ได้รับการระดมทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสัญญาณของฟองสบู่ แต่ Bezos ยืนยันว่า AI เป็นของจริง และมันจะเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่า ฟองสบู่อุตสาหกรรม ไม่เหมือนฟองสบู่ทางการเงิน เพราะแม้หลายบริษัทอาจจะล้มละลายไป แต่เทคโนโลยีความรู้จะยังคงเหลืออยู่ ดังนั้น ฟองสบู่ AI อาจส่งผลดีในท้ายที่สุดได้

โดยเขายกตัวอย่าง ฟองสบู่ของบริษัทยาและไบโอเทคในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งนำไปสู่การพัฒนายาช่วยชีวิต แม้ว่าบริษัทหลายแห่งจะล้มละลายไปในที่สุด เช่นเดียวกับ AI ที่อุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากเทคโนโลยี เพียงแต่บางบริษัทอาจหายไป แต่ผู้ที่อยู่รอดจะเป็น ผู้สร้างนวัตกรรมระดับที่เปลี่ยนโลก

อย่างไรก็ตาม Jeff Bezos ไม่ใช่คนเดียวที่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับฟองสบู่ AI แต่ แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI ก็ออกมาเตือนว่า นักลงทุนอาจจะกำลังตื่นเต้นกับ AI เกินไป พร้อมกับเปรียบเทียบกระแสการลงทุน AI ตอนนี้กับ ฟองสบู่ดอทคอม (dot-com bubble) ช่วงปลายยุค 1990 ที่นักลงทุนแห่ลงทุนในหุ้นบริษัทอินเทอร์เน็ต แต่เนื่องจากหลายบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้ได้จริง ส่งผลให้ในช่วงระหว่างปี 2000–2002 ดัชนี Nasdaq ร่วงลงเกือบ 80%

Source

]]>
1542085
เยอะไปหน่อย! ‘Meta’ สั่งเบรกจ้างงานทีม ‘AI’ หลังทุ่มงบมหาศาลดึงตัว ‘หัวกะทิ’ มาเสริมทัพไม่พัก https://positioningmag.com/1534947 Fri, 22 Aug 2025 09:00:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1534947 หลังจากที่ Meta เจ้าของ Facebook, Instagram เดินหน้าดันแผนก Meta Superintelligence Labs เพื่อพัฒนา AI โดยมีการลงทุนอย่างมหาศาลโดยเฉพาะการดึงตัวนักวิจัยและวิศวกร AI เข้ามาเสริมทัพ แต่ล่าสุด Meta ก็ประกาศ หยุดการจ้างงานใหม่ เพื่อให้บริษัทมีเวลาจัดสรรทีม

The Wall street journal รายงานว่า การหยุดจ้างงานมีผลตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภายใน โดยทาง Meta ยืนยันกับ CNBC ว่านี่เป็นเพียงการจัดระเบียบองค์กรขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้างโครงสร้างที่มั่นคงสำหรับโครงการพัฒนาระบบซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์ (Superintelligence) รวมถึงการทำงบประมาณและแผนงานประจำปี ไม่ได้จะลดการลงทุนเรื่อง AI แต่อย่างใด

จากรายงาน ระบุว่า Meta มีแผนก Meta Superintelligence Labs ที่ทำเรื่องการพัฒนา AI โดยได้แบ่งการทำงานออกเป็น 4 ทีม ได้แก่

  1. ทีม TBD Lab (To Be Determined) – เน้นการพัฒนา AI ระดับซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์
  2. ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ในเชิงพาณิชย์
  3. ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐาน
  4. ฝ่ายโครงการระยะยาวและทดลอง

ที่ผ่านมา Meta ใช้งบอย่างหนักเพื่อแข่งขันในสมรภูมิ AI รวมถึงการเสนอ ค่าตอบแทนสูงลิ่ว เช่น โบนัสเซ็นสัญญาที่มีรายงานว่าสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดึงตัวผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทคู่แข่ง

หนึ่งในดีลที่โดดเด่นที่สุดคือการเข้าซื้อหุ้น 49% ของ Scale AI มูลค่า 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ Meta ได้ตัวผู้ก่อตั้ง Alexandr Wang มานำทีมวิจัย AI พัฒนาโมเดลภาษา Llama แบบโอเพ่นซอร์ส อย่างไรก็ตาม แม้กลยุทธ์การจ้างงานเชิงรุกของ Meta จะเป็นข่าวดังในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีรายอื่น ๆ ก็ทุ่มงบหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านบุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน และการวิจัย AI เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การหยุดจ้างงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่าการลงทุนใน AI อาจเร็วเกินไป ประกอบกับการปรับฐานราคาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ และเมื่อต้นสัปดาห์ แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ซีอีโอ OpenAI กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาเชื่อว่า AI กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่ แต่ก็มีนักวิเคราะห์และนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย โดยมองว่าหุ้นเทคโนโลยียังมีมูลค่าต่ำเมื่อเทียบกับศักยภาพของ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

ซีอีโอ ‘OpenAI’ เตือน ตลาด ‘AI’ เสี่ยงเกิดภาวะ ‘ฟองสบู่’ เหมือนยุค ‘ดอทคอม’ ที่ตลาดหุ้นร่วงเกือบ 80%

แดน ไอฟส์ (Dan Ives) นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities มองว่า การหยุดจ้างงานของ Meta ไม่ใช่สัญญาณว่าบริษัทจะลดการลงทุนด้าน AI จริง ๆ แต่เป็นเพียง ช่วงพัก หลังจากทุ่มงบก้อนใหญ่

ด้าน แดเนียล นิวแมน (Daniel Newman) ซีอีโอ Futurum Group เสริมว่า หลังจากที่ Meta ใช้เงินมหาศาลไปกับการซื้อกิจการและจ้างงาน การหยุดครั้งนี้เป็นเหมือนจุดพัก เพื่อให้บริษัทมีเวลาในการจัดวางทีมงานใหม่และประเมินว่าพร้อมจะสร้างนวัตกรรมที่ Meta คาดหวังไว้หรือไม่

]]>
1534947
เปิดมุมมองจาก 3 องค์กรชั้นนำไทย กับการนำ ‘AI’ มาใช้ ในวันที่ ‘พนักงาน’ กลัวถูกแทนที่ https://positioningmag.com/1528864 Fri, 04 Jul 2025 08:14:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1528864 นับตั้งแต่การมาของ ChatGPT เชื่อว่าการทำงานของ หลายคน และ หลายองค์กร ได้เปลี่ยนไป และนั่นทำให้ มนุษย์ เริ่มกังวลว่าจะถูก แทนที่ ดังนั้น ในวันที่องค์กรจำเป็นต้องนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพ ทาง ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ก็ได้เชิญ 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ SCBX, SCGC และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแชร์แนวคิดการนำ AI มาใช้ในองค์กรโดยที่ พนักงานไม่กังวลว่าจะถูกแทนที่

องค์กรในไทย ใช้ AI สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Microsoft ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจ Work Trend Index 2025 พบว่า 75% ของผู้นำองค์กรในไทยจะต้องการเห็นองค์กรตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 51% แต่ 88% ของพนักงานในไทยกลับมองว่าการงานทุกวันนี้ ทำเต็มที่แล้ว สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 80%

ดังนั้น AI จึงเป็นอีกทางเลือกในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงาน โดย 68% ขององค์กรในไทย ได้เริ่มนำ AI มาใช้ช่วยในการทำงานของกระบวนการต่าง ๆ ให้เป็นอัตโนมัติ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ 46% นอกจากนี้ 93% ยังระบุว่า จะ ใช้ AI ทำงานมากขึ้น จากค่าเฉลี่ยโลก 78% และ 90% มองว่า Digital Agent จะเข้ามาช่วยการทำงานภายในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า 

นอกจากนี้ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Microsoft ประเทศไทย

รู้จัก Frontier Firm Mind set

โดยทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้

  • ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน
  • ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ
  • บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
Circular economy concept. Energy consumption and CO2 emissions are increasing.Sharing, reusing,repairing,renovating and recycling existing materials and products as much possible

เริ่มใช้ AI มาแก้ปัญหาง่าย ๆ ก่อน

สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ให้คำแนะนำสำหรับองค์กรที่จะเริ่มนำ AI มาใช้ว่า อันดับแรก ผู้นำองค์กรต้องอยากไป AI จากนั้นให้เริ่มจาก หาปัญหาที่อยากแก้ โดยให้เริ่มจากปัญหาง่าย ๆ

“ผมเชื่อว่าผู้นำทุกองค์กรพร้อมจะเอาด้วย ขอแค่มันเห็นผลลัพธ์ ดังนั้น เริ่มจากแก้ปัญหาง่าย ๆ เพื่อเป็น Proof Of Concept ว่ามันได้ประโยชน์อย่างไร” 

เช่นเดียวกับ ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ที่มองว่า จุดเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ คือต้องนำมาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ต้องเริ่มจากอะไรยาก ๆ

“COVID-19 ทำให้เราต้องไปดิจิทัล ดังนั้น เราต้องทรานส์ฟอร์ม ซึ่งโจทย์ของเราตอนนั้นคือ ทำให้ข้าราชการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ เราเลยเริ่มจากนำ Co-Pilot มาช่วยจดบันทึกการประชุม จากเดิมที่ใช้อนาล็อก”

สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC)

สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้พนักงานรู้สึกเป็นนาย AI

อย่างไรก็ตาม การจะทำให้พนักงานเปิดใจใช้งาน AI ทาง ดร.ณรัณ มองว่า ต้องทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของผลงาน ไม่ใช่ให้เขารู้สึกเสียกำลังใจว่าเขาถูกแทนที่ได้ ดังนั้น จะต้องมีคนเข้าไปร่วมตัดสินใจตลอดในลูปการทำงาน ต้องให้คนมาเห็นสิ่งที่ AI นำเสนอให้เร็วที่สุดที่ทำได้ เพื่อให้เขารู้สึกว่า เป็นเจ้าของ 

“AI ฉลาดขึ้นตลอด แต่เราต้องมี checkpoint control เพื่อตรวจเช็กความถูกต้อง ดังนั้น ผมยังเชื่อว่าไม่ว่ายังไง เอไอก็ไม่มีทางแทนที่คนได้ ”

เช่นเดียวกับ ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) ที่มองว่า องค์กรต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่า เป็นบอสของ AI โดยเริ่มจากกางกระบวนการทำงานของพนักงานในองค์กร เพื่อดูว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาเสริมพนักงานตรงไหน 

“เราต้องดูว่าพนักงานเราจะใช้ AI ได้อย่างไร เช่น พนักงานเราจะรู้พฤติกรรมลูกค้าอยู่แล้ว เราก็นำเทคโนโลยีเข้าไปเสริมเขา”

ด้าน สัญญา จินดาประเสริฐ เสริมว่า ต้องเริ่มจากให้ AI ไปเป็นผู้ช่วยส่วนตัวพนักงานก่อน เช่น ช่วยงานรูทีนที่ทำซ้ำ ๆ เพื่อให้เขาเข้าใจก่อนว่า ประโยชน์คืออะไร และถ้า AI เข้ามา พนักงานไม่ควรทำงานเหมือนเดิม องค์กรต้องปรับปรุงกระบวนการใหม่

ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS)

สกิลฝึกกันได้ แต่ต้องมีไมด์เซ็ทเปิดรับ

สัญญา ยกตัวอย่างการฝึกพนักงานของ SCGC ว่า ภายในองค์กร พนักงาน ต้องเรียน ต้องสอบ และต้องลงมือทำการใช้ AI จริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลลัพธ์ทั้งด้านไมด์เซ็ทพนักงานที่ใช้ AI ทำงานดีข้ึน เร็วขึ้น และได้นวัตกรรมใหม่ ๆ ดังนั้น จะเห็นว่า คนคือหลักในการขับเคลื่อน ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องคน และความสนใจ

“เราไม่ได้คาดหวังว่าคนอายุ 40-50 ปีจะใช้ AI แต่กลายเป็นว่าเขาใช้เป็น และนำมาปรับใช้ได้อย่างดี”

ลลินทิพย์ ทิ้งท้ายว่า การที่องค์กรจะไป AI ได้ พนักงานต้องมี ไมด์เซ็ทเปิดรับเทคโนโลยี ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ไมด์เซ็ทใหม่ที่ต้องพร้อมปรับตัว ไม่จำเป็นต้องเก่งไอที หรือเป็นเดเวลอปเปอร์ เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีทุกบริษัทใกล้กัน ทุกคนซื้อมาใช้ได้ แต่ ข้อมูลและคนที่พร้อมใช้ จะทำให้เหนือกว่าคู่แข่ง 

“ตอนนี้เรื่องเทคโนโลยีมันไม่จำเป็นต้องมีสกิล เพราะใช้ AI ทำได้ ดังนั้น ต้องมีไมด์เซ็ทที่พร้อมเปิดรับเทคโนโลยีที่จะใช้เครื่องมือพวกนี้ได้ ดังนั้น เราไม่ได้บอกว่าต้องการคนที่รู้เรื่อง AI แต่รับคนที่พร้อมปรับตัว เปลี่ยนแปลงในทุกช่วงเวลา เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว”

ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX)
]]>
1528864
เจนภาพสไตล์ ‘Studio Ghibli’ ฟีเวอร์! ดันยอดการใช้ ‘ChatGPT’ พุ่งสูงสุดทะลุ 150 ล้านครั้ง แม้จะเกิดคำถามเกี่ยวกับการ ‘ละเมิดลิขสิทธิ์’ https://positioningmag.com/1516924 Wed, 02 Apr 2025 04:34:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1516924 ในยุคของ GenAI ที่เราสามารถ สร้างรูปภาพด้วย AI ได้ และหนึ่งในกระแสที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ การใช้ ChatGPT สร้างภาพในสไตล์ จิบลิ (Studio Ghibli) ผู้ผลิตอนิเมชั่นชื่อดังของญี่ปุ่นที่มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ จนดันให้ผู้ใช้งาน ChatGPT พุ่งสูงสุดในปีนี้

กลายเป็นกระแสบนโลกโซเชียล ที่ใคร ๆ ก็กลายเป็นตัวการ์ตูนในลายเส้นของสตูอนิเมชั่นชื่อดัง สตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ที่ ฮายาโอะ มิยาซากิ (Hayao Miyazaki) ผู้กํากับชื่อดังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง โดยสตูดิโอดังกล่าวเป็นเจ้าของภาพยนตร์อนิเมชั่นชื่อดังอย่าง Spirited Away และ My Neighbor Totoro

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ใคร ๆ ก็กลายเป็นตัวการ์ตูนสไตล์สตูดิโอจิบลิก็มาจาก GPT-4o Image Generation ของ ChatGPT ที่มาพร้อมความสามารถในการเจนรูปภาพตามคำสั่ง (Prompt) ของผู้ใช้งานได้แบบละเอียด และซับซ้อนมากขึ้น ทำให้แม้แต่การเปลี่ยนรูปถ่ายปกติให้กลายเป็นการ์ตูนสไตล์ Ghibli ก็ทำได้ ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ใช้งาน ChatGPT ทะลุ 150 ล้านครั้ง เป็นครั้งแรกในปีนี้ จนทําให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานหนักเกินไป จนต้องจํากัดการใช้งานฟีเจอร์ชั่วคราว

“เราเห็นผู้ใช้เพิ่มขึ้นหนึ่งล้านคนในชั่วโมง จากในตอนที่เปิดตัว เราใช้เวลา 5 วันหลังเปิดตัวจนมีผู้ใช้ถึง 1 ล้านคน” แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI กล่าว

โดยจากข้อมูลโดย SensorTower พบว่า ทั้งจำนวนผู้ใช้ที่แอคทีฟ รายได้จากการสมัครสมาชิก และยอดการดาวน์โหลด ChatGPT เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการดาวน์โหลดทั่วโลกเพิ่มขึ้น +11 และผู้ใช้ที่ใช้งานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น +5% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ในขณะที่รายได้จากการซื้อในแอปเพิ่มขึ้น +6%

อย่างไรก็ตาม จากการที่ AI สามารถ Gen ภาพโดยเลียนแบบลายเส้นของสตูดิโอจิบลิ ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงเส้นแบ่งระหว่าง แรงบันดาลใจ กับ การลอกเลียนแบบ อย่างไรก็ตาม ทางสตูดิโอจิบลิยังไม่ได้ออกมาให้ความเห็นใด ๆ กับสื่อ เช่นเดียวกันกับ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ที่ไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลที่ใช้ในการฝึกอบรมโมเดล AI และความถูกต้องตามกฎหมายเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่นี้

ทั้งนี้ ฮายาโอะ มิยาซากิ ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างงานโดยใช้เทคนิคดั้งเดิม มากกว่าใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และในปี 2016 เขาเคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับอนิเมชั่นที่สร้างโดย AI ว่า เขาไม่เห็นด้วย และ ไม่มีวันเอาเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ในงานของเขาเด็ดขาด เพราะคิดว่านี่มันเป็นการดูถูกชีวิตอย่างแท้จริง

Reuters

]]>
1516924
ซีอีโอ ‘DeepMind’ ฟันธง AI ที่ฉลาดเทียบเท่าหรือ ‘มากกว่า’ มนุษย์ จะมาภายใน 5-10 ปีจากนี้ https://positioningmag.com/1515446 Thu, 20 Mar 2025 03:51:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1515446 ต้องยอมรับว่าตอนนี้หลายคนนำเอา AI มาช่วยในการทำงานหลายอย่าง แน่นอนว่าปัจจุบัน AI อาจจะยังมีข้อจำกัดบ้าง และอาจจะยังทำงานไม่ได้ 100% แต่แน่นอนว่าในอนาคต AI จะฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ และภายใน 5-10 ปี AI จะสามารถทำงานได้ เทียบเท่าหรือฉลาดกว่ามนุษย์ ตามการคาดการณ์ของ DeepMind

แม้ว่าปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่สามารถทำงานได้เทียบเท่ามนุษย์จะยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริง แต่ Demis Hassabis CEO ของ Google DeepMind เชื่อว่า ปัญญาประดิษฐ์ระดับทั่วไป (AGI – Artificial General Intelligence) หรือ AI ที่สามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาดเทียบเท่า หรือเหนือกว่ามนุษย์ จะเริ่ม ปรากฏขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

“แม้ระบบปัจจุบันยังมีข้อจำกัดหลายประการ ทำให้ AI ไม่ได้เก่งไปหมดทุกเรื่อง ดังนั้น เรายังต้องทำการวิจัยอีกมากก่อนจะไปถึงเป้าหมายที่ให้ AI แสดงความสามารถที่ซับซ้อนได้เช่นเดียวกับมนุษย์ ทั้งในแง่ของการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ”

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของคนในวงการ AI ก็ค่อนข้างเสียงแตกพอสมควร บ้างก็ว่า AGI จะมาเร็วกว่านี้ บ้างก็ว่าจะเกิดช้ากว่านี้ โดย

  • Robin Li CEO ของ Baidu คาดว่า AGI จะใช้เวลา มากกว่า 10 ปีข้างหน้า
  • Dario Amodei CEO ของ Anthropic มองว่า AI ที่เหนือกว่ามนุษย์เกือบทั้งหมดในเกือบทุกงานอาจเกิดขึ้นใน อีก 2-3 ปีข้างหน้า
  • Jeetu Patel ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Cisco คาดการณ์ว่าจะเห็นหลักฐานที่มีความหมายของ AGI ภายในปี 2025
  • Elon Musk CEO ของ Tesla คาดว่า AGI จะพร้อมใช้งานภายในปี 2026
  • Sam Altman CEO ของ OpenAI เชื่อว่าระบบดังกล่าวจะพัฒนาได้ในอนาคตอันใกล้

ทั้งนี้ Demis Hassabis มองว่า ความท้าทายหลักในการพัฒนา AGI คือการทำให้ระบบ AI เข้าใจบริบทจากโลกแห่งความเป็นจริง แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในการพัฒนา AI ที่เล่นเกมกลยุทธ์ที่ซับซ้อนได้ แต่นั่นก็เป็นการสร้าง AI มาเฉพาะด้าน ซึ่งการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงยังคงเป็นเรื่องยาก เพราะโลกความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยตัวแปรที่ซับซ้อน

ดังนั้น แนวทางการพัฒนา multi-agent AI systems หรือ ระบบ AI ที่มีตัวแทนหลายตัวทำงานร่วมกัน จึงเป็นหนึ่งในการพัฒนาที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยทาง DeepMind เองกำลังฝึก AI เล่นเกม Starcraft ที่ต้องอาศัยการวางแผน และการทำงานร่วมกันระหว่าง AI เพื่อที่จะช่วยให้ AI สามารถสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

]]>
1515446
ผลสำรวจชี้ ‘คนไทย’ ใช้ AI ทำงานน้อยสุดในอาเซียน เพราะ ‘กลัวถูกแย่งงาน’ และมองว่าคนใช้ AI = ‘ขี้โกง’ https://positioningmag.com/1507418 Tue, 21 Jan 2025 12:12:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507418 ไทยถือเป็นประเทศที่ชั่วโมง ออนไลน์ มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังมีมุมมองที่ บวก เกี่ยวกับ เอไอ อย่างไรก็ตาม คนไทยแม้จะมองบวกเกี่ยวกับเอไอ แต่ก็เป็นการใช้เพื่อความบันเทิงมากกว่าจะใช้มาทำงาน เพราะยังมีความกลัวว่าเอไอจะมาแย่งงาน

เทเลนอร์ เอเชีย (Telenor Asia) ได้ทำรายงาน Digital Lives Decoded 2024 ของประเทศไทย เพื่อเจาะลึกถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและทัศนคติด้านดิจิทัลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยพบว่า ชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานชาวไทยนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล โดย คนไทยใช้เวลาออนไลน์เกือบ 5 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ที่ 4 ชั่วโมง 35 นาที โดยเจนเนอเรชั่นที่มีการออนไลน์มากที่สุด ได้แก่

  • Gen Z – 5.42 ชั่วโมง/วัน
  • Millennials – 5.13 ชั่วโมง/วัน
  • Gen X – 4.28 ชั่วโมง/วัน
  • Baby Boomers – 3.49 ชั่วโมง/วัน

มอง เอไอ เป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช้ทำงานนะ

ในส่วนของ เอไอ (Artificial Intelligence : AI) กำลังก้าวขึ้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับวิถีชีวิตของคนไทย โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทย เกือบครึ่ง มองว่า อไอเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่พวกเขาตื่นเต้นมากที่สุด ที่น่าสนใจคือ คนรุ่นเก่า (Gen X และ Baby Boomers) แสดงความตื่นเต้นเกี่ยวกับเอไอมากกว่าคน Gen Z และ Millennials

นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 77% ใช้เครื่องมือเอไอ อยู่แล้ว แต่ส่วนใช้เพื่อ ความบันเทิง โดยมากกว่าครึ่ง ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้เอไอสำหรับโซเชียลมีเดีย และเกือบ 40% มีส่วนร่วมกับเอไอบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และแม้ว่า 85% จะมองว่าเอไอจะส่งผลดีต่อการศึกษาในประเทศไทยก็ตาม แต่ ไทยยังไม่มีการนำเอไอมาใช้ในการทำงานอย่างที่เป็นรูปธรรมมากนัก

โดยมีคนไทยเพียง 21% ที่ใช้เอไอในการทำงาน เมื่อเทียบกับประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งการทำงานเป็นพื้นที่ที่มีการใช้งานมากที่สุด ทั้งที่ไทยเองก็มีเครื่องมือพร้อมในการทำงาน ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจาก Mindset ที่กลัวว่า เอไอจะมาแทนที่มนุษย์ เนื่องจากเคยมีผลการศึกษาออก ระบุว่า 40% ของชั่วโมงการทำงานจะถูกแทนที่ด้วยเอไอ ทำให้คนไทยรู้สึกว่ากลัวจะตกงาน ทำให้เลือกจะไม่ใช้เอไอ

นอกจากนี้ ยังมีบางส่วนที่มองว่า ไม่รู้จะใช้เอไอทำอะไร อีกทั้งยังมีแนวคิดที่ว่า คนที่ใช้เอไอ ขี้โกง เมื่อเกิดการกลัว ทำให้ ไม่ศึกษา ด้วยเหตุนี้เองทำให้คนไทย ไม่มีสกิล ก่อให้เกิดผลกระทบต่อองค์กรไม่มีวัฒนธรรมที่จะส่งเสริมการใช้เอไอ

“ในความเป็นจริงคือ เอไอไม่ได้มาแทนที่ แต่คนที่ใช้เอไอเป็นจะมาแทนที่”

แนะ 4 ข้อองค์กรเป็น AI First

สำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างคนให้มีสกิลในการใช้งานเอไอ มีข้อแนะนำ ดังนี้

  • องค์กรและผู้นำต่องมีวิสัยทัศน์ และการสื่อสารที่ชัดเจน เพื่อขจัดความกลัวของพนักงาน ต้องย้ำให้เห็นว่า เอไอไม่ได้มาแทนที่ แต่มาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
  • องค์กรต้องให้การศึกษาในทุกระดับ ว่ามีการใช้งานเครื่องมือไหนบ้าง ใช้งานอย่างไร และเครื่องมือไหนเหมาะที่จะนำมาใช้
  • หาพาร์ทเนอร์มาช่วย องค์กรไม่จำเป็นต้องทำเองทั้งหมด แต่ควรหาพาร์ทเนอร์ภายนอกที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องเอไอมาช่วย
  • เอาคนเป็นศูนย์กลาง ต้องระลึกว่า เอไอเข้ามาเพื่อช่วยมนุษย์ให้ทำงานดีขึ้น และต้องใช้เอไออย่างมีจรรยาบรรณด้วย

ให้ความสำคัญกับความสบายมากกว่าความเป็นส่วนตัว

แม้ว่าคนไทยจะมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว แต่ผู้ตอบแบบสอบถาม 3 ใน 4 คนรู้สึกว่า ตนเองไม่สามารถควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนทางออนไลน์ได้ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (68%) ขณะที่การหลอกลวงทางการเงิน และการขโมยข้อมูลส่วนตัวยังเป็นปัญหาสำคัญอันดับต้น ๆ ของคนไทย โดยอย่างน้อย 1 ใน 2 ของกลุ่มคนยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

แม้จะกลัวและกังวล แต่คนไทยกลับ มั่นใจในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตนทางออนไลน์ และมีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะกังวลเกี่ยวกับวิธีที่บริษัทต่าง ๆ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของตนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้ โดยมีมากถึงกว่า 38% เทียบกับเพียง 21% ในประเทศสิงคโปร์ และมีแนวโน้มที่จะอนุญาตให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาเพื่อ แลกกับข้อเสนอและบริการส่วนบุคคล (6 ใน 10 เทียบกับประเทศมาเลเซีย และ 5 ใน 10 เทียบกับประเทศสิงคโปร์) 

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เน้นย้ำถึงความ ย้อนแย้ง ในด้านของความเป็นส่วนตัวทั่วไป โดยขณะที่ผู้คน แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว แต่พวกเขายอมเสียความเป็นส่วนตัวบางส่วนเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย

“การจะแก้ปัญหาดังกล่าวต้องใช้ความร่วมมือจากหลาย ๆ ภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการดิจิทัล รวมถึงภาครัฐ และภาคการศึกษา เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย”

]]>
1507418
จับตา ‘ซัมซุง’ เข้าสังเวียนชิปเอไอ หลังถูก SK Hynix คู่แข่งร่วมชาติปาดหน้า จนมูลค่าบริษัทร่วง 4 ล้านล้านบาท https://positioningmag.com/1498217 Fri, 08 Nov 2024 14:01:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498217
ในวันที่แอปพลิเคชัน AI เช่น ChatGPT ของ OpenAI ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็นในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ก็เติบโตขึ้นตาม ซึ่งหนึ่งในหัวใจหลักของโครงสร้างพื้นฐานก็คือ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ซึ่งนั่นทำให้ Nvidia บริษัทผู้ผลิต GPU ชั้นนำของโลกกลายเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 ในตลาด และกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก เนื่องจาก GPU ของ Nvidia ได้กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้โดยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสําหรับการฝึกอบรม AI

อย่างไรก็ตาม ส่วนสําคัญของสถาปัตยกรรมเซมิคอนดักเตอร์นั้นคือ หน่วยความจําแบนด์วิดท์สูง หรือ HBM ซึ่งก่อนที่ AI จะเติบโตตลาด HBM นั้นมีขนาดค่อนข้างเล็ก และนั่นคือจุดที่ ซัมซุง (Samsung) พลาดไป เพราะบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นที่จะพัฒนาในส่วนนี้ เนื่องจากมีความซับซ้อนและลงทุนสูง แถมตลาดยังเล็ก

อย่างไรก็ตาม SK Hynix มองเห็นโอกาสนี้ บริษัทเปิดตัวชิป HBM ซึ่งชิปดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้ใช้ในสถาปัตยกรรม Nvidia ส่งผลให้บริษัท SK Hynix จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ Nvidia

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ซัมซุงต้องพ่ายให้กับ SK Hynix จนทำให้บริษัทสูญเสียมูลค่าตลาดไปถึง 126,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4 ล้านล้านบาท เพราะแม้ว่าซัมซุงจะมีธุรกิจหลากหลาย และรายได้หลักจะมาจากธุรกิจอย่างสมาร์ทโฟนกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ธุรกิจชิปเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีที่สุด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลประกอบการของซัมซุงจะลดลง จนทำให้บริษัทต้องยอมออกมาขอโทษบรรดานักลงทุน ในขณะที่ SK Hynix กลับสามารถทำกำไรสูงเป็นประวัติศาสตร์ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ซัมซุงกำลังเร่งผลิต HBM ในชื่อ HBM3E โดยในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยอดขาย HBM ของซัมซุงเติบโตกว่า 70% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 และซัมซุงได้เปิดเผยว่ากำลังพัฒนา HBM4 ซึ่งเป็นรุ่นถัดไป โดยคาดว่าจะสามารถผลิตจำนวนมากได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2025

แม้ว่าซัมซุงจะมี HBM3E ในตลาด แต่ยังถือว่าตามหลังคู่แข่งอย่าง SK Hynix อยู่ ดังนั้น ถ้าซัมซุงจะกลับมาสู่ตลาด HBM ในตอนนี้อาจต้องรอ Nvidia คัดเลือก ซึ่งในปัจจุบันซัมซุงยังไม่เสร็จสิ้นการตรวจสอบนี้ และถ้าซัมซุงได้ไฟเขียวจาก Nvidia ก็จะทำให้ซัมซุงกลับสู่การเติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับ SK Hynix โดยทางซัมซุง

โดยทางซัมซุง เปิดเผยว่า บริษัทมีความก้าวหน้าเกี่ยวในกระบวนการคัดเลือกของ Nvidia ว่า เสร็จสิ้นขั้นตอนสําคัญในกระบวนการคัดเลือก และคาดว่าจะเริ่มขยายยอดขายในไตรมาส 4 ในขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ด้วยความแข็งแกร่งของซัมซุงในการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนความสามารถในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัท อาจจะช่วยให้บริษัทตามทัน SK Hynix ได้

]]>
1498217
‘Intel’ ประกาศเลิกจ้างพนักงานระลอกใหญ่ 15,000 คน หลัง ‘กำไรหด’ สวนทางต้นทุน https://positioningmag.com/1484917 Fri, 02 Aug 2024 03:08:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484917 ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแวดวงไอทีตอนนี้คือ AI ทำให้บริษัทผู้ผลิตชิป ที่สามารถผลิตชิป AI ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ และคาดว่าตลาดชิป AI จะพุ่งแรงโตทะลุ 9.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ผู้ผลิตชิปทุกรายที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI

ล่าสุด อินเทล (Intel) ผู้ผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ประกาศว่าจะ ปลดพนักงานมากกว่า 15% หรือราว 15,000 คน นอกจากนี้ บริษัทยังเสนอมาตรการ ลาออกโดยสมัครใจ และการ Early Retire สำหรับพนักงานที่เข้าเงื่อนไข จากแผนการลดจำนวนพนักงานดังกล่าว นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนใหญ่ในการ ลดค่าใช้ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 หลังจากที่ผลประกอบการ ไม่เติบโตตามที่คาดไว้ อีกทั้งยัง ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทรนด์ AI

“ต้นทุนของเราสูงเกินไป ขณะที่อัตรากําไรของเราต่ำเกินไป เราต้องการการดําเนินการที่กล้าหาญกว่านี้เพื่อจัดการกับทั้งสองด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการทางการเงินและแนวโน้มสําหรับครึ่งหลังของปี 2024 ซึ่งยากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้” Pat Gelsinger ซีอีโอ กล่าว

แม้ 25 ปีที่แล้ว อินเทลจะเป็น ผู้นําการปฏิวัติอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกี่ยวกับชิป CPU แต่กลับปรับตัวรับกับการมาของ สมาร์ทโฟน และ AI ช้าเกินไป แม้ว่าที่ผ่านมาอินเทลจะพยายามคว้าโอกาสจากการเติบโตของ AI แบบเดียวกับที่บริษัทฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เช่น Nvidia ทำก็ตาม

โดยรายได้ของอินเทลระหว่างปี 2020-2023 ลดลงถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนทางกับจำนวนพนักงานที่เติบโต 10% ในช่วงเวลาเดียวกัน และรายได้ช่วงไตรมาส 2/2024 คาดว่าจะ ลดลง -1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และคาดว่าจะมีแนวโน้มครึ่งหลังที่ ท้าทาย มากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้

Source

]]>
1484917
ผลสำรวจพบ คนไทย 73% ใช้ ‘AI’ ยิ่งมี ‘รายได้มาก’ ยิ่งใช้ประโยชน์ได้มากกว่าคน ‘รายได้น้อย’ https://positioningmag.com/1483810 Wed, 24 Jul 2024 10:01:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1483810 ในยุคที่กระแส AI มาแรงสุด ๆ และเข้ามาเปลี่ยนชีวิตประจำวันของเราให้ล้ำไปอีกขั้น BBDO Bangkok เผยผลสำรวจเจาะลึกความคิดเห็นผู้บริโภคไทยและพฤติกรรมการใช้ AI จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 400 คนในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิด ความเข้าใจที่มีต่อ AI และพฤติกรรมการนำ AI มาใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยในปัจจุบัน

คนรวยใช้ประโยชน์จาก AI ได้มากกว่า

ผลการสำรวจพบว่า ปัจจุบัน คนไทย 73.84% ได้ใช้ประโยชน์จาก AI ในชีวิต โดย 5 เหตุผลหลักในการใช้ AI ได้แก่

  • เพิ่มความสะดวกสบาย (48.23%)
  • ประหยัดเวลา (40.60%)
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน (37.92%)
  • เพิ่มความแม่นยำ (22.48%)
  • ลดความผิดพลาด (18.12%)

แต่ที่น่าสนใจคือ คนที่มีรายได้น้อยกว่า 25,000 บาท มีแนวโน้มที่จะใช้ประโยชน์จาก AI น้อยกว่า คนที่มีรายได้ตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไป อย่างไรก็ตาม อีก 26.16% ที่ไม่ใช้ AI ผลสำรวจพบว่า เพศหญิง 44.23% กังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวเป็นเหตุผลหลัก ในขณะที่เพศชาย 32% กังวลเรื่องราคาที่สูงเกิน

ต่าง Gen ก็ใช้ AI ต่างกัน

แต่ละ Gen ก็มีเรื่องให้ใช้ AI ที่แตกต่างกันไป กลุ่ม Gen Z และ Gen Y ใช้ AI กับ การทำงานมากที่สุด (37.5% และ 35.5%) ในขณะที่ Gen X ใช้ AI กับเรื่อง ความปลอดภัย เป็นอันดับหนึ่ง (35.2%) เช่น เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า หรือการตรวจจับอุบัติเหตุในบ้าน นอกจากนี้ Gen X ยังมีการใช้ AI เพื่อสุขภาพและการแพทย์ เพิ่มเข้ามาใน 3 อันดับแรกอีกด้วย  

3 แบรนด์ที่คนไทยนึกถึงเรื่อง AI

Google, Chat GPT และ Samsung ครอง 3 อันดับแบรนด์แรกที่ผู้บริโภคไทยนึกถึงเมื่อพูดถึง AI โดย Google แบรนด์ที่คนไทยรู้จักและคุ้นชินเป็นอย่างดี โดยอัลกอริทึมของ Google’s Search ที่ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ AI ในการประมวลผลเพื่อผลลัพธ์การค้นหาที่ตรงตามความต้องการและใกล้เคียงมากที่สุด และหลังจากเปิดตัว Gemini AI-Chatbot ของ Google ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก Google ยังได้มีการนำ AI มาใช้ในบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นGoogle Maps, Gmail, Google Workspace หรือ Google Meet ด้วยเช่นกัน 

Chat GPT หรือ AI Chatbot ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากค่าย Open AI ล่าสุด ได้เปิดตัว Chat GPT-4o โมเดลใหม่ล่าสุดที่ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น พร้อมเข้าใจและโต้ตอบกับมนุษย์ได้ทั้งข้อความ ภาพ และเสียงแบบเรียลไทม์ ส่วน Samsung มีการเปิดตัว Galaxy AI ที่อยู่ในสมาร์ทโฟนของ Samsung และนอกจากนี้ยังนำ AI มาใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอีกด้วย 

สนับสนุนการมี AI แต่ก็กลัวตกงาน 

นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 70% สนับสนุนการมีอยู่และการพัฒนา AI และมองว่า AI จะมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตอย่างมากในอนาคต 5 ปีข้างหน้า ในส่วนของข้อกังวลใจต่อการใช้ AI คนส่วนใหญ่ยังคงกังวลเรื่อง ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยความกังวลต่อ AI ว่าจะมี ราคาสูงเกินไป ทำให้เกิดการเข้าไม่ถึงในคนบางกลุ่ม และการที่ AI จะสามารถ เข้ามาทดแทนและแย่งงานมนุษย์

]]>
1483810
สหรัฐฯ เตรียมควบคุมการลงทุนในจีน เช่น AI ควอนตัมคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การผลิตชิป ชี้เป็นภัยความมั่นคงของประเทศ https://positioningmag.com/1477005 Mon, 24 Jun 2024 05:47:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477005 สหรัฐอเมริกา เตรียมที่จะควบคุมการลงทุนในจีน เช่น AI ควอนตัมคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การผลิตชิป ชี้เรื่องดังกล่าวนั้นเป็นภัยความมั่นคงของประเทศ และปกป้องการลงทุนที่อาจส่งผลย้อนกลับมาทำร้ายประเทศได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นของ 2 มหาอำนาจ

รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ออกร่างกฎหมายที่เตรียมควบคุมให้บริษัทหรือนักลงทุนรายบุคคลต้องมีการแจ้งเตือนรัฐบาลถ้าหากมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควอนตัมคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่เทคโนโลยีการผลิตชิป

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามหลังมาจากในเดือนสิงหาคมปี 2023 ที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้เตรียมออกกฎเกณฑ์กำหนดให้บุคคลและบริษัทในสหรัฐฯ ต้องส่งเรื่องให้กับหน่วยงานรัฐเพื่อพิจารณาว่าธุรกรรมการลงทุนในประเทศจีน ซึ่งบางธุรกรรมอาจถูกจำกัดหรือมีสิทธิ์ที่จะถูกแบนได้

ร่างดังกล่าวนั้นส่งผลต่อการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทั้งในหุ้นบริษัท หุ้นกู้ หรือแม้แต่การกู้เงิน และยังรวมถึงการร่วมทุนกับบริษัทหรือบุคคลในฝั่งจีนด้วย

Paul Rosen ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ที่ดูแลด้านความมั่นคงด้านการลงทุน ได้กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวที่เสนอนี้ทำให้ความมั่นคงของชาติของเราก้าวหน้าขึ้นโดยป้องกันผลประโยชน์การลงทุนของสหรัฐฯ ที่บางประเทศที่ใช้เพื่อคุกคามความมั่นคงต่อประเทศชาติ

แผนการดังกล่าวนี้ต้องการที่จะชะลอในการพัฒนาเทคโนโลยีที่คุกคามความมั่นคงขอสหรัฐฯ ซึ่งจีนต้องการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหรือไล่ตามสหรัฐฯ ให้ใกล้เคียงมากที่สุด และจำกัดไม่ให้จีนเข้าถึงด้านเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะนำไปใช้ในทางทหารได้

นอกจากนี้ร่างกฎหมายยังห้ามไม่ให้บริษัทหรือนักลงทุนรายบุคคลลงทุนในเทคโนโลยี AI ที่มีความเสี่ยงว่าจะใช้ในการทหาร และยังจะต้องมีการแจ้งเตือนรัฐบาลถ้าหากมีการพัฒนาเทคโนโลยี AI หรือแม้แต่ในด้านเซมิคอนดักเตอร์

ในช่วงที่ผ่านมาสหรัฐได้ออกมาตรการเพื่อไม่ให้จีนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดไม่ให้เข้าถึงชิปเร่งการประมวลผล AI ของ Nvidia จนทำให้ภาคเอกชนจีนต้องรีบซื้อชิปดังกล่าวจำนวนมาก หรือแม้แต่การขอร้องให้ชาติพันธมิตรอย่าง ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ไม่ให้จีนเข้าถึงอุปกรณ์การผลิตชิปรุ่นใหม่ล่าสุด

ไม่เพียงเท่านี้บริษัทในสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เน้นลงทุนในเหล่าสตาร์ทอัพ (VC) ได้ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะชะลอตัวลงไปเนื่องจากความขัดแย้งของ 2 มหาอำนาจที่เพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา

และกรณีดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่เริ่มลุกลามบานปลายเพิ่มมากขึ้น ไม่มีท่าทีที่จะชะลอตัวลงแต่อย่างใด

ที่มา – Al Jazeera, Reuters

]]>
1477005