โควิดสายพันธุ์อินเดีย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 22 Jun 2021 06:06:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 WHO เผย ‘โควิดพันธุ์เดลต้า’ เลือกกลุ่มเปราะบางได้ดีกว่า และเป็นอันตรายถึงชีวิตมากขึ้น https://positioningmag.com/1338184 Tue, 22 Jun 2021 05:55:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338184 เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนเมื่อวันจันทร์ว่าเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าหรือสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617.2) เป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดได้เร็วที่สุดและสามารถเลือกผู้ที่เปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ

เจ้าหน้าที่ของ WHO กล่าวว่า ไม่มีตัวแปรใดที่ก่อให้เกิดการแพร่กระจายและการตายสูง แต่ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าเป็นไวรัสที่สามารถ แพร่กระจายได้เร็วที่สุด โดยติดต่อได้มากกว่าสายพันธุ์อัลฟ่าหรือสายพันธุ์อังกฤษ (B.1.1.7) 60% อีกทั้งยังสามารถเลือก ผู้ที่เปราะบาง (ผู้มีโรคประจำตัว, ผู้สูงอายุ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าสายพันธุ์อื่น ดังนั้น จึงมีศักยภาพที่จะ ส่งผลถึงชีวิต มากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสายพันธุ์เดลต้าสามารถกระตุ้นอาการที่แตกต่างจากสายพันธุ์อื่น ๆ และทำให้เกิดอาการรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันข้อสรุปเหล่านั้น

“ตัวแปรเดลต้าสามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่า และจะเลือกกลุ่มเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าตัวแปรก่อนหน้า เนื่องจากมันมีประสิทธิภาพมากกว่าในการถ่ายทอดระหว่างมนุษย์ และกลุ่มที่เปราะบางเหล่านี้หากได้เชื้อจะป่วยหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น หากยังไม่ได้รับวัคซีน พวกเขาก็ยังมีความเสี่ยงมากขึ้น” ดร.ไมค์ ไรอัน กรรมการบริหารโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพของ WHO กล่าว

ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยว่า โควิดสายพันธุ์เดลต้ากำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญของโรคทั่วโลก โดยได้ประกาศให้เป็น “ตัวแปรที่น่าเป็นห่วง” เนื่องจากเป็นโรคติดต่อร้ายแรงมากขึ้น หรือทนต่อการรักษา รวมถึงวัคซีนในปัจจุบัน

ประชาชนในเมลเบิร์นสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ ภาพเมื่อเดือนพ.ย. 2020 (Photo : Shutterstock)

ดร.พอล ออฟฟิต ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาวัคซีนที่โรงพยาบาลเด็กฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่า สายพันธุ์เดลต้ากำลังเข้ามาแทนที่อัลฟา ซึ่งเป็นเชื้อที่แพร่ระบาดไปทั่วยุโรปและต่อมาในสหรัฐฯ เมื่อต้นปีนี้ ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งฉีดวัคซีน

มาเรีย แวน เคอร์โฮฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของ WHO ด้านโควิด กล่าวว่า ขณะนี้เดลต้าได้แพร่กระจายไปยัง 92 ประเทศแล้ว ขณะนี้มีผู้ป่วยรายใหม่อย่างน้อย 10% ในสหรัฐอเมริกาตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคและกำลังจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศ ขณะที่ในสหราชอาณาจักร เชื้อสายพันธุ์เดลต้ากลายเป็นสายพันธุ์หลักเรียบร้อยแล้ว โดยคิดเป็นกว่า 60% ของผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศ

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้เรียกร้องให้ประเทศที่ร่ำรวย อาทิ สหรัฐอเมริกาบริจาควัคซีนให้ประเทศที่ขาดแคลน โดยฝ่ายบริหารของ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้เผยว่าจะส่งวัคซีน 55 ล้านโดสผ่านโครงการ COVAX ซึ่งเป็นโครงการสร้างภูมิคุ้มกันที่ได้รับการสนับสนุนจาก WHO

Source

]]>
1338184
‘WHO’ ประกาศ ‘โควิดสายพันธุ์อินเดีย’ เป็นภัยคุกคามสุขภาพระดับโลก https://positioningmag.com/1331486 Tue, 11 May 2021 05:39:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331486 ‘องค์การอนามัยโลก’ (WHO) ได้ออกแถลงว่ากำลังจัดประเภทของ COVID-19 สามสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ พร้อมกับจัดให้ ‘สายพันธุ์อินเดีย’ (B.1.617) เป็น “สายพันธุ์ที่สร้างความวิตกกังวล” และกลายเป็น “ภัยคุกคามต่อสุขภาพในระดับโลก”

Maria Van Kerkhove หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของ WHO กล่าวว่า WHO มีการค้นพบตัวแปรที่เรียกว่า B.1.617 หรือไวรัส COVID-19 กลายพันธุ์ในอินเดีย โดยในการศึกษาเบื้องต้นพบว่าไวรัสดังกล่าวแพร่กระจายมากขึ้น เนื่องจากสามารถติดต่อง่ายกว่าไวรัสตัวเดิม และมีหลักฐานบางอย่างที่พบว่าอาจต่อต้านวัคซีนได้

“และด้วยเหตุนี้เราจึงจัดว่าสิ่งนี้เป็นตัวแปรของภัยคุกคามต่อสุขภาพในระดับโลก

ทั้งนี้ WHO กำลังติดตามเชื้อ COVID-19 อย่างน้อย 10 สายพันธุ์ ทั่วโลก โดยก่อนหน้านี้ได้มีการจำแนกประเภทของไวรัสแล้ว 3 สายพันธุ์ ได้แก่ COVID-19 สายพันธุ์อังกฤษ (B.1.1.7), COVID-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ (B.1.351) และ COVID-19 สายพันธุ์บราซิล (P.1)

อย่างไรก็ตาม แม้ไวรัสสายพันธุ์อินเดียจะถูกระบุว่าเป็นข้อกังวลหากพบว่ามีการติดต่อกันมากขึ้นอันตรายถึงตายหรือดื้อต่อวัคซีน แต่ข้อมูลปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าวัคซีน COVID-19 ที่มีอยู่ “ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคและการเสียชีวิตในผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์นี้”

MUMBAI, INDIA JUNE 14: Healthcare staff does door to door screening of temperature and pulse rate of a residents at Baiganwadi,Shivaji Nagar, Govandi, on June 14, 2020 in Mumbai, India. (Photo by Pratik Chorge/Hindustan Times via Getty Images)

ทั้งนี้ หลายคนเชื่อว่าตัวแปรนี้อยู่เบื้องหลังการติดเชื้อระลอกล่าสุดในอินเดีย โดยปัจจุบัน อินเดียมีผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 เฉลี่ย 3,879 คนต่อวัน และมีรายงานผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยประมาณ 391,000 รายต่อวันในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ เพิ่มขึ้นประมาณ 4% จากสัปดาห์ที่แล้ว

ปัจจุบัน เชื้อ COVID-19 สายพันธุ์อินเดียได้แพร่กระจายไปในหลายประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าววานนี้ (10 พ.ค.) มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์อินเดียเป็น รายแรก โดยเป็นหญิงไทยที่เดินทางกลับมาจากประเทศปากีสถาน

Source

]]>
1331486
เมื่อวิกฤต COVID-19 ของ ‘อินเดีย’ อาจลุกลามเป็นปัญหา ‘โลก’ หากไม่ดีขึ้นในเร็ววัน https://positioningmag.com/1330877 Thu, 06 May 2021 10:49:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1330877 ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ของอินเดียในเดือนเมษายนที่ผ่านมาพุ่งสูงสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าวิกฤตสุขภาพที่เลวร้ายลงของประเทศ อาจทำให้ความพยายามที่จะหยุดการระบาดใหญ่ทั่วโลกต้องฝันสลาย เพราเชื้อที่กลายพันธุ์ รวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่จะกระทบกับทั่วโลก

เชื้อกลายพันธุ์ที่อาจเป็นปัญหาโลก

ประเทศในเอเชียใต้ซึ่งมีประชากรราว 1.4 พันล้านคน หรือ 18% ของประชากรโลก ขณะที่ 1 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมามาจากอินเดียประเทศเดียว โดยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อินเดียมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละกว่า 300,000 ราย แซงหน้าบราซิลและกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากสุดอันดับ 2 ของโลก ปัจจุบันผู้ติดเชื้อในอินเดียมีจำนวนถึง 20.67 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 226,000 คน

ปัญหาที่น่ากลัวไม่ใช่แค่การที่อินเดียไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ แต่การระบาดของอินเดียกำลังแพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ อย่าง ‘เนปาล’ และ ‘ศรีลังกา’ ที่มีรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีพื้นที่ติดต่ออย่าง ‘ฮ่องกง’ และ ‘สิงคโปร์’ ก็ได้มีการระบาดที่มาจากอินเดีย ซึ่งไวรัส COVID-19 ของอินเดียเป็นสายพันธุ์ใหม่ ‘B.1.617’ เป็น ‘ชนิดกลายพันธุ์คู่’ ดังนั้น นี่คือสัญญาณว่าอินเดียอาจทำให้เกิดปัญหาระดับโลก

Photo : Shutterstock

WHO ได้จัดประเภท B.1.617 เป็นตัวแปรที่น่าสนใจ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์อาจติดต่อกันได้มากกว่า ร้ายแรงกว่า รวมทั้งสามารถต้านทานวัคซีนและการรักษาในปัจจุบันได้ดีกว่า องค์กรกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจความสำคัญของตัวแปร

“นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เราทราบดีว่าเมื่อมีการระบาดครั้งใหญ่ก็จะมีรูปแบบต่าง ๆ เกิดขึ้น และจนถึงขณะนี้วัคซีนของเรายังคงใช้ได้อยู่ แต่อินเดียเป็นประเทศใหญ่และหากมีการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ แน่นอนว่าเราทุกคนจะต้องกังวลเกี่ยวกับสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ที่อาจจะแพร่กระจายไปทั่วโลก” ดร. Ashish Jha คณบดี School of Public Health ของมหาวิทยาลัยบราวน์กล่าว

ภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจโลก

เพราะอินเดียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และเป็นประเทศหลักที่ส่งผลต่อการเติบโตของโลก โดยนักเศรษฐศาสตร์บางคนในอินเดียได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของอินเดีย แต่พวกเขายังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ เนื่องจากข้อจำกัดในการควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสได้รับการกำหนดเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย เมื่อเทียบปีที่แล้วที่ปิดทั้งประเทศ

Photo : Shutterstock

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนที่แล้วคาดว่า เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโต 12.5% ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2565 หลังจากที่หดตัว 8% ในปีงบประมาณที่แล้ว

ที่ผ่านมา หอการค้าสหรัฐฯ ได้เตือนว่าวิกฤตโควิดในอินเดียสามารถฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ตกลงได้ เนื่องจากบริษัทในสหรัฐฯ หลายแห่งจ้างคนงานชาวอินเดียหลายล้านคนเพื่อทำงาน ขณะที่ Uma Kambhampati ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก University of Reading กล่าวว่า การระบาดครั้งใหม่ในอินเดียทำให้หลายประเทศเข้มงวดการล็อกดาวน์ รวมถึงการเดินทาง และนั่นเป็นข่าวร้ายสำหรับสายการบินสนามบินตลอดจนธุรกิจอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการเดินทาง

“เมื่อพิจารณาถึงประเด็นเหล่านี้และวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เกิดขึ้น จึงมีความจำเป็นที่โลกจะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลืออินเดีย ไม่ว่าจะร้องขอความช่วยเหลือดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม” Kambhampati กล่าว

วัคซีนทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยง

Photo : Shutterstock

แม้อินเดียเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่สุดของโลก แต่อินเดียประสบปัญหาวัคซีนป้องกันโควิดในประเทศไม่เพียงพอเสียเอง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อแผนขยายการฉีดวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันให้ประชาชน และเพราะวิกฤตการระบาดของอินเดีย ทำให้ทางการต้องยุติการส่งออกวัคซีนไปต่างประเทศ เนื่องจากประเทศต้องให้ความสำคัญกับความต้องการภายในประเทศก่อน

ดังนั้น ความล่าช้าในการส่งออกวัคซีนโดยอินเดียอาจทำให้ประเทศที่มีรายได้ต่ำเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด โดยปัจจุบันมีชาวอินเดียเพียง 9% จากประชากร 1,400 ล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว

Source

]]>
1330877
ซีอีโอ ‘BioNTech’ มั่นใจวัคซีนใช้ได้ผลกับโควิดสายพันธุ์ ‘อินเดีย’ https://positioningmag.com/1330185 Fri, 30 Apr 2021 09:59:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1330185 ไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ B.1.617 ที่พบในอินเดีย เป็นสายพันธุ์ที่หลายคนมองว่าเป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดการระบาดหนักระลอก 3 ในหลายประเทศ ซึ่งทาง CEO ของ BioNTech ได้ออกมาระบุว่า ‘มั่นใจ’ ว่าวัคซีน COVID-19 ของบริษัทสามารถใช้ได้ผลกับสายพันธุ์ดังกล่าว

Ugur Sahin CEO ของ BioNTech กล่าวว่า เขา ‘มั่นใจ’ ว่าวัคซีน COVID-19 ของบริษัทที่ร่วมกับ Pfizer บริษัทเภสัชภัณฑ์สัญชาติสหรัฐฯ มีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ B.1.617 ที่พบครั้งแรกในอินเดีย โดยไวรัสกลายพันธุ์ดังกล่าวเป็น ‘ชนิดกลายพันธุ์คู่’ ซึ่งบางคนคิดว่าเป็นสาเหตุหลักของการระบาดหนักในปัจจุบัน

Sahin กล่าวว่า บริษัทได้ทำการทดสอบวัคซีนกลายพันธุ์กว่า 30 สายพันธุ์ โดยส่วนใหญ่ประสิทธิภาพของวัคซีนนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับเชื้อไวรัสฯ ชนิดดั้งเดิม ดังนั้น จากข้อมูลเหล่านั้นทำให้มั่นใจว่าวัคซีนจะยังคงป้องกันได้

“เรากำลังประเมิน และข้อมูลจะพร้อมใช้งานในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งที่ผ่านมา เราได้มีการทดสอบกับไวรัสชนิดกลายพันธุ์คู่ที่คล้ายกันกับของอินเดีย และจากข้อมูลที่เรามีทำให้เรามั่นใจว่าวัคซีนจะสามารถทำให้ไวรัสเป็นกลางได้ แต่เราจะยืนยันได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อมูลอยู่ในมือ”

Ugur Sahin (Photo by Bernd von Jutrczenka – Pool/Getty Images)

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า พวกเขามีความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่กระจายได้ง่าย และอาจมีความสามารถในการหลบต่อต้านการวัคซีนในปัจจุบัน ทำให้อเมริกาเรียกร้องให้ชาวอเมริกันได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุดก่อนที่จะมีสายพันธุ์ใหม่และอาจเป็นอันตรายมากขึ้น

การศึกษาแสดงให้เห็นว่าวัคซีน Pfizer-BioNTech ยังคงสามารถป้องกันสายพันธุ์อื่น ๆ ได้รวมถึง B.1.526 ซึ่งตรวจพบครั้งแรกในนิวยอร์กและ B.1.1.7 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบในสหราชอาณาจักร ขณะที่การศึกษาของอิสราเอลพบว่า B.1.351 ซึ่งเป็นตัวแปรที่ค้นพบในแอฟริกาใต้สามารถต่อต้านการป้องกันวัคซีน Pfizer-BioNTech ได้บางส่วน แม้ว่าการฉีดจะยังคงมีประสิทธิภาพสูง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการยิงจะฉีดวัคซีนจะมีประสิทธิภาพ แต่ Sahin กล่าวว่า อาจต้องฉีดวัคซีนเป็น 3 เข็มเพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นก่อนหน้านี้ของ Albert Bourla CEO ของ Pfizer โดยในเดือนกุมภาพันธ์ Pfizer และ BioNTech ได้ร่วมกันทดสอบการฉีดวัคซีนครั้งที่ 3 เพื่อให้เข้าใจการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ดีขึ้น

“เราสามารถขยายการตอบสนองของแอนติบอดีให้สูงกว่าระดับที่เรามีในตอนแรก และนั่นสามารถทำให้เราได้รับความสะดวกสบายอย่างแท้จริงสำหรับการป้องกันเป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือนหรือ 18 เดือน”

Source

]]>
1330185