โลกคนทำงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 29 Nov 2025 14:10:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปภาพรวม ‘การจ้างงาน’ ในไทย ปี 69 เป็นอย่างไร https://positioningmag.com/1549347 Sat, 29 Nov 2025 10:40:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549347 ‘บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ ได้ทำการสำรวจพนักงานและองค์กรกว่า 900 แห่งในไทย ระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค. 68 เพื่อนำเสนอภาพรวมของตลาดแรงงาน ทักษะที่เป็นที่ต้องการ และ แนวโน้มเงินเดือน ในปี 69 ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจ ดังต่อไปนี้

 

ภาพรวมตลาดการจ้างงานในไทย ปี 2569

 

ฝั่งนายจ้าง

 

-กว่า 33% ขององค์กรมีแผนจ้างงานเพิ่ม 5–10%

-40% จะรักษาระดับการจ้างงานเท่าเดิม

-40% จ้างงานเพิ่มขึ้น

-12% มีแผนลดการจ้างงาน

-67% ขององค์กร ระบุว่า ‘ขาดผู้สมัครที่มีทักษะและประสบการณ์ตรงตามความต้องการ’ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการสรรหาบุคลากรที่ได้คุณภาพ

-97% มีแผนปรับเพิ่มเงินเดือน

 

สำหรับทักษะด้าน Soft Skills ที่นายจ้างให้ความสำคัญสูงสุด ได้แก่

1.ทักษะการแก้ปัญหาและการคิดวิเคราะห์ (58%)

2.การสื่อสารและและการทำงานร่วมกัน (57%)

3.ความฉลาดทางอารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจ และการมีทัศนคติที่ดี (52%)

 

ฝั่งพนักงาน

 

-60% กังวลไล่ตามความสามารถของ AI ไม่ทัน เนื่องจากขาดการฝึกอบรม

-กว่า 60% การได้รับค่าตอบแทน/สวัสดิการไม่ตรงความคาดหวัง คือปัญหาใหญ่ในการหางาน

-กว่า 93% คาดว่าจะได้รับการขึ้นเงินเดือน

 

ปัจจัยที่ผู้สมัครให้ความสำคัญในการเลือกองค์กร ได้แก่

1.ค่าตอบแทนที่ดึงดูด (60%)

2.ความยืดหยุ่นในการทำงาน (44%)

3.ความมั่นคงในอาชีพ (37%)

 

‘ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส เล่าว่า ความกังวลต่อสภาวะตลาดที่ผันผวนและคาดการณ์ได้ยาก ทำให้หลายองค์กรชะลอการจ้างงานออกไป โดยเมื่อมีความจำเป็นต้องจ้างจะมุ่งเน้นไปยัง ‘ผู้บริหารระดับสูง’ มากกว่า ‘ผู้บริหารระดับกลาง’ เพราะต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์ สามารถปรับตัวได้เร็ว เพื่อนำองค์กรฝ่าความไม่แน่นอนไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้

 

ขณะที่ ‘ผู้สมัคร’ ที่มีทักษะพร้อมใช้งานทันที สามารถเรียกค่าตอบแทนได้สูงขึ้น เนื่องจากการแข่งขันกันดึงดูดบุคลากรคุณภาพ โดยผู้ย้ายงานที่มีทักษะเฉพาะทางซึ่งเป็นที่ต้องการและสามารถเริ่มงานได้ทันที มีแนวโน้มได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 15–20%

 

พนักงานใหม่ กว่า 35% ขององค์กรคาดว่าจะปรับเงินเดือนให้พนักงานใหม่ 1–5% และอีกกว่า 21% วางแผนปรับเพิ่มถึง 11–15% เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพเข้าสู่องค์กร

 

แนวโน้มการปรับเงินเดือนแบ่งตามรายเซ็กเมนต์ สำหรับผู้ที่จะเปลี่ยนงาน

 

1.การขายและการตลาด B2B และ FMCG ปรับขึ้น 15-25%

2.การขายและการตลาด-เภสัชกรรมและสุขภาพ ปรับขึ้น 20-25%

3.การขายและการตลาด-ค้าปลีก ปรับขึ้นประมาณ 20%

4.การขายและการตลาด-ดิจิทัล ปรับขึ้นประมาณ 20%

5.ทรัพยากรบุคคล ปรับขึ้น 15-25%

6.วิศวกรรมและซัพพลายเชน ปรับขึ้น 10-15%

7.บัญชีและการเงิน ปรับขึ้น 15-20%

8.กฎหมาย ปรับขึ้น 15-30%

9.การเงินและการธนาคาร ปรับขึ้น 15-20%

10.เทคโนโลยีสารสนเทศ ปรับขึ้น 15-25%

]]>
1549347
ซีอีโอ LinkedIn เตือน ‘ใบปริญญา’ ไม่สำคัญต่อการหางานยุค AI ครองเมือง https://positioningmag.com/1542122 Wed, 08 Oct 2025 14:01:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542122 ‘ไรอัน รอสแลนสกี’ ซีอีโอของ LinkedIn แพลตฟอร์มการจ้างงานยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ออกมาเตือน Gen Z และบัณฑิตจบใหม่ว่า การหางานในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะมีใบปริญญาดีแค่ไหน หรือจบจากมหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

เพราะปัจจุบันนายจ้างและองค์กรจะมองหาคนที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI และสามารถนำความรู้ความสามารถดังกล่าวมาผสมผสานในการทำงาน รวมถึงต้องมี 3 ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มีโอกาสได้งานและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้แก่

  1. คนปรับตัวได้ดี
  2. มีความคิดก้าวหน้า
  3. พร้อมเรียนรู้ และเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ

ผลสำรวจของ Microsoft เมื่อปีที่ผ่านมาพบว่า ผู้นำธุรกิจ 71% จะเลือกผู้สมัครที่มีประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีทักษะด้าน AI มากกว่าผู้สมัครที่มีประสบการณ์แต่ไม่มีทักษะด้าน AI

ขณะที่ข้อมูลจาก LinkedIn ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2025 ในงาน ‘AI in Work Day’ แสดงให้เห็นว่า ตำแหน่งงานที่ต้องการความรู้ด้าน AI เพิ่มขึ้นถึง 70% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

แม้เทคโนโลยีและ AI จะเข้ามามีบทบาทแพร่หลายในโลกของการทำงาน แต่ ซีอีโอ LinkedIn ไม่เชื่อว่า AI จะเข้ามาแทนที่คน แต่เป็นไปได้ที่คนที่ไม่เปิดรับ AI จะถูกแทนที่ด้วยคนที่เปิดรับ AI ซึ่งไม่ใช่แค่การคุยกับแชทบอทเป็นเท่านั้น

นอกจากนี้รอสแลนสกียังบอกว่า ทักษะด้านการสื่อสารและสร้างมนุษยสัมพันธ์ระหว่างบุคคลยังคงมีคุณค่า และเป็นอาวุธลับที่มีประสิทธิภาพของมนุษย์

“อย่าลืมความเป็นมนุษย์ ทั้งความเห็นอกเห็นใจ การสื่อสาร ความสามารถในการปรับตัว ความสามารถในการสนทนากับผู้อื่นได้จริง ๆ สิ่งเหล่านี้จะเป็นอาวุธลับของคนส่วนใหญ่และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในทุกสิ่งที่คุณกำลังพยายามทำในอนาคต”

ที่มา : https://www.businessinsider.com/linkedin-ceo-will-college-degrees-matter-ai-future-of-work-2025-10

]]>
1542122
‘ทักษะสำคัญ’ ที่ต้องมี เพื่อให้อยู่รอดในโลกของการทำงาน ปี 2030 https://positioningmag.com/1538804 Mon, 22 Sep 2025 03:26:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538804 ปัจจุบันเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญใน ‘โลกของการทำงาน’ ซึ่งส่งผลให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ต้องปรับตัวให้ทัน โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมในเรื่องของ ‘ทักษะสำคัญ’ ที่องค์กรต้องการ

 

จากรายงาน Future of Jobs Report 2025 ของ World Economic Forum (WEF) ได้เผยให้เห็นว่า ในปี 2030 ความรู้และทักษะที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่เพียงพอ พร้อมกับฉายภาพให้เห็นถึงทักษะที่จะมีบทบาทในอนาคต ทั้งทักษะที่องค์กรต้องการ และทักษะที่ความสำคัญกำลังจะลดน้อยลง โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

1.กลุ่มทักษะดาวรุ่งพุ่งแรง (Rising Skills) – เป็นกลุ่มทักษะที่มีความจำเป็นมากในยุคปัจจุบัน และจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นไปอีกในปี 2030 ได้แก่

📌 ความยืดหยุ่น การปรับตัว และความคล่องตัว (Resilience, Flexibility, and Agility)

📌 ภาวะผู้นำและการมีอิทธิพลต่อสังคม (Leadership and Social Influence)

📌 AI และ Big Data

📌 ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking)

📌 ความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี (Technological Literacy)

📌 ความใฝ่รู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Curiosity and Lifelong Learning)

📌 การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking)

 

2.กลุ่มทักษะดาวรุ่งน่าจับตา (Emerging Skills) – กลุ่มทักษะที่ปัจจุบันอาจถูกมองว่า ยังไม่จำเป็นมากนัก แต่ในอนาคตจะจำเป็นมาก ๆ ได้แก่

 📌 เครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Networks and Cybersecurity)

📌 การดูแลสิ่งแวดล้อม (Environmental Stewardship)

📌 การออกแบบและประสบการณ์ผู้ใช้ (Design and User Experience)

 

3.กลุ่มทักษะทรงตัว (Steady Skills) – เป็น ‘ทักษะพื้นฐาน’ ที่ยังคงมีความสำคัญในหลายตำแหน่งงาน แต่ไม่ได้ถูกคาดการณ์ว่า จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอนาคต ได้แก่

 📌 การบริการลูกค้า (Service Orientation and Customer Service)

📌 ความเห็นอกเห็นใจและการรับฟังอย่างตั้งใจ (Empathy and Active Listening)

📌 การจัดการทรัพยากรและการดำเนินงาน (Resource Management and Operations)

📌 ความน่าเชื่อถือและความใส่ใจในรายละเอียด (Dependability and Attention to Detail)

 

4.กลุ่มทักษะที่ลดความสำคัญลง (Out-of-Focus Skills) – เป็นกลุ่มทักษะที่นายจ้างมองว่ามีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ลดน้อยลง ได้แก่

 📌 ความคล่องแคล่ว ความทนทาน และความแม่นยำของกล้ามเนื้อมัดเล็ก (Manual Dexterity, Endurance, and Precision)

📌 การอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์ (Reading, Writing, and Mathematics)

📌 ความสามารถในการประมวลผลทางประสาทสัมผัส (Sensory-Processing Abilities)

📌 ความเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship)

 

จากภาพดังกล่าว คนทำงานที่จะความอยู่รอดขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับเปลี่ยนทักษะ และการหยุดไม่พัฒนา ต้องมีการ Upskill สร้างทักษะใหม่ ๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี การเป็นผู้นำตนเอง และความฉลาดทางอารมณ์

นอกจากนี้ ความสามารถแบบข้ามสายงาน (Cross-functional) จะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เช่น นักการตลาดที่เข้าใจการวิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ รวมถึงต้อง ‘ปรับตัวให้เร็ว’ และทันกับการเปลี่ยนแปลงให้ทัน

 

ที่มา

 

https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2025/in-full/3-skills-outlook/?fbclid=IwY2xjawM67hFleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFuZmg2MzhzWnp3R2g3YjJ6AR63sYykDXjOQUR5KjOcKjd-XPizFBfipstZpqbieOI_nPmVty8SRW2-MSPz8g_aem_Rddw9r4A7liLY0KjUsL0Gg#3-skills-outlook

https://www.skillreporter.com/editorial/world-economic-forum-future-of-jobs-2025-core-skills-of-2030/?fbclid=IwY2xjawM67ipleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFuZmg2MzhzWnp3R2g3YjJ6AR7grNs1091hi_ZD8FNTCutNKvDm0aDQv4hQkjI9Gi1maopMlBH3y3stnFMiSg_aem_wu8CcWYfnD8hZoUku3AHug

]]>
1538804
กอดงานไว้แน่น!! ‘แรงงานไทย’ Q2/68 ยังว่างงาน 3.7 แสนคน แถม ‘ค่าจ้าง-ชั่วโมง OT’ ก็ลดลง https://positioningmag.com/1538227 Tue, 16 Sep 2025 13:01:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538227 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยถึงอัตราการว่างงานในช่วงไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 0.91% โดยมีจำนวนผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน ลดลง 14.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีจำนวน  ผู้ว่างงาน 4.3 แสนคน คิดเป็นอัตราว่างงาน 1.07%

 

สำหรับค่าจ้างเฉลี่ยในภาพรวมของแรงงานทุกสถานภาพในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ก็ปรับตัวลง มาอยู่ที่ 15,977 บาท/คน/เดือน ลดลงมา 1.9% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนว่า กลุ่มแรงงานอาชีพอิสระมีรายได้ลดลง

 

ขณะที่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยในภาพรวมลดลง 0.4% หรืออยู่ที่ 42.7 ชั่วโมง/สัปดาห์ ส่วนผู้ทำงานล่วงเวลา (Over Time: OT) ที่มีชั่วโมงการทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมง/สัปดาห์ขึ้นไป มีจำนวน 6.3 ล้านคน ลดลง 8.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัว และอีกประเด็นที่ต้องจับตามองก็คือ การปรับรูปแบบการจ้างงานของสถานประกอบการจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน จากเดิม ‘จ้างงานแบบเต็มเวลา’ (Permanent Full-time) มาเป็น ‘จ้างงานแบบไม่เต็มเวลา’ และ ‘พนักงานชั่วคราว’ มากขึ้น โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่

 

โดยในปี 2565 พนักงานชั่วคราวมีสัดส่วนอยู่ที่ 6% เพิ่มเป็น 42% ในปี 2567 ขณะที่พนักงานสัญญาจ้างจากปี 2565 อยู่ที่ 4% เพิ่มเป็น 28% ในปี 2567 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ    ซึ่งแน่นอนว่า จะไปกระทบความมั่นคงและรายได้ของแรงงานไทย

 

 

]]>
1538227
รู้จักกฎ 8-8-8 แนวคิดจัดสรรเวลาแต่ละวันให้ชีวิตลงล็อก https://positioningmag.com/1530634 Sun, 20 Jul 2025 09:24:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530634 ในแต่ละวันเราต้องเผชิญกับความวุ่นวายมากมาย จนบางครั้งสับสนและเรียงลำดับไม่ถูกเลยว่า ควรลงมือทำอะไรก่อน วันนี้ จึงอยากจะแนะนำ ‘กฏ 8-8-8’ แนวคิดการจัดสรรเวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน เพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต

 

กฎดังกล่าว เป็นแนวคิดของ Robert Owen นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ ซึ่งแบ่งเวลาออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 

 

8 ชั่วโมงแรก เป็น ‘เวลาทำงาน’ ช่วงเวลาแห่งนี้การทำงาน หรือศึกษาเล่าเรียน

8 ชั่วโมงที่สอง เป็น ‘เวลาส่วนตัว’ สำหรับให้คุณได้ใช้ช่วงเวลานี้ทำกิจกรรมส่วนตัว ไม่ว่าจะอยู่กับครอบครัว พบปะเพื่อนฝูง พักผ่อนหย่อนใจ ทำงานอดิเรกต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งนอกจากช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์กับคนรอบตัว

8 ชั่วโมงสุดท้าย  ‘เวลานอน’ ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุด เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจให้พร้อมกับวันใหม่

 

ทำไม 8-8-8 จึงสำคัญต่อชีวิตเรา?

 

การแบ่งเวลาแบบ 8-8-8 จะช่วยสร้างขอบเขตที่ชัดเจนให้รู้ว่า ช่วงเวลาไหนต้องทำอะไร ทำให้เกิดโฟกัสในแต่ละช่วงเวลา ไม่ปล่อยให้งานเข้าไปรุกล้ำเวลาส่วนตัวมากเกินไป เพราะชีวิตของคนเราไม่ได้มีงานเพียงอย่างเดียว

 

เมื่อหมดเวลาทำงาน ให้รู้ตัวว่า ถึงเวลาพัก ทำในสิ่งที่ชอบ หาคุณค่าของชีวิตมากกว่าความสำเร็จจากหน้าที่การงาน โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลานอน ก็จำเป็นต้องนอนให้เพียงพอ 

 

อย่างไรก็ตาม กฎ 8-8-8 ไม่มีสูตรตายตัว ดังนั้น เราสามารถทบทวนและปรับแต่งให้กับกับการใช้ชีวิตของแต่ละคนได้

 

เริ่มต้นด้วย การวางแผนและกำหนดช่วงเวลาให้ชัดเจน เช่น เวลาทำงาน อาจเป็น 9.00-17.00 น. ส่วน 8 ชั่วโมงหลังจากนั้นอาจเป็นเวลาส่วนตัว และเวลานอนอยู่ในช่วง  22.00-06.00 น. เป็นต้น

 

นอกจากนี้ ควรสร้างขอบเขตที่ชัดเจน โดยหากอยู่ช่วงเวลาแห่งการทำงาน ก็โฟกัสกับงานให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาส่วนตัวหรือเวลานอน ก็หยุดพัก พยายามวางงานลง และให้ความสำคัญกับ ‘คุณภาพ’ ของเวลา ไม่ใช่แค่ ‘ปริมาณ’  มีความยืดหยุ่น รวมถึงคิดถึงผลลัพธ์และประสิทธิภาพเป็นสำคัญ  

]]>
1530634
Post- Vacation Blues อาการซึมเศร้าหลังหยุดยาว และวิธีรับมือให้ปลุกไฟให้พร้อมลุยงาน https://positioningmag.com/1518668 Thu, 17 Apr 2025 13:35:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518668 หลังจากหยุดยาวมาหลายคนอาจรู้สึกเศร้า วิตกกังวล หดหู่ ขี้เกียจ หลับไม่สนิท หมดไฟ รู้สึกเครียดเมื่อคิดถึงการ กลับมาทำงาน ทั้ง ๆ ที่ความจริงน่าจะรู้สึกผ่อนคลายจากการได้พักผ่อนและชาร์จพลังมาอย่างเต็มที่แล้ว นั่นหมาย ความว่า คุณอาจกำลังเผชิญกับ ‘อาการซึมเศร้าหลังวันหยุดยาว’ หรือ Post – Vacation Blues อยู่

 

อาการซึมเศร้าหลังวันหยุดยาว ไม่ใช่โรคทางจิตเวช แต่เป็นสภาวะอารมณ์เชิงลบที่เกิดขึ้นหลังวันหยุดยาว ซึ่งปกติแล้วจะเกิดขึ้น 2-3 วัน หรือบางคนอาจจะมีอาการถึง 2-3 สัปดาห์เลยก็มี

 

แล้วจะรับมืออย่างไรเมื่อเกิดอาการดังกล่าว เพื่อเตรียมตัวและปลุกไฟให้พร้อมกับมาลุยงานอีกครั้ง

 

1.ให้เวลาพักที่บ้านอย่างน้อย 1 วันหลังจากหยุดยาว : ที่ผ่านมาเรามักจะเริ่มงานในวันรุ่งขึ้นหรือทำงานทันทีหลังจากหยุดยาว ทำให้เราอาจปรับภาวะทางอารมณ์ไม่ทัน จึงควรวางแผนล่วงหน้าให้มีเวลาพักอยู่บ้านอย่างน้อย 1 วันก่อนเริ่มทำงาน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่โหมดชีวิตปกติ

 

2.เขียนเป้าหมายการทำงานของสัปดาห์ที่ต้องเริ่มทำงานหลังจากวันหยุดยาว : การเขียนเป้าหมายของการทำงานจะทำให้รู้ว่า เราควรเริ่มทำอะไรก่อน ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่รอคุณอยู่ อย่างเป้าหมายต้องการการตามงานให้ทัน เช่น จัดการอีเมลทั้งหมดให้เสร็จภายใจวันนี้ หรือ จัดเวลาในปฏิทินสำหรับทำงานที่จำเป็น ฯลฯ

 

3.อัปเดตงานคร่าว ๆ กับเพื่อนร่วมงาน : เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวคุณเองและทีมได้แจ้งสิ่งที่อาจตกหล่นไปในช่วงวันหยุดยาว และช่วยให้ทราบถึงลำดับความสำคัญของงาน หรืออาจจะอัปเดตคงวามเคลื่อนไหวของงานใหม่ๆ ที่วางแผนไว้จะทำหลังจากกลับจากวันหยุดยาว สำหรับให้คุณสามารถสานต่องานได้ทันที

 

4.จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ : หลังจากหยุดพักผ่อนและต้องกลับมาทำงาน หลายคนอาจรู้สึกว่า มีงานมากมายรออยู่ จนไม่รู้จะเริ่มลงมือตรงไหนก่อน ทำให้เกิดรู้สึกเบื่อและหมดไฟในการทำงาน ดังนั้น ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญของงาน เพราะทุกงานไม่จำเป็นต้องลงมือทำทันที โดยต้องจำกฎ 80/20 ไว้เสมอ คือ 80% พยายามใช้เวลาทำงานอย่างตั้งใจจนสำเร็จ และอีก 20% ใช้แยกแยะระหว่างสิ่งที่เร่งด่วนและสิ่งที่สำคัญก็ต้องรีบทำก่อน

 

5.กำหนดวันตามงาน : การกำหนดวันดังกล่าว หมายถึงในวันแรกของการกลับมาทำงานหลังจากหยุดยาวจะไม่มีการนัดหมายใด ๆ แต่จะใช้เวลาทำงานไปกับการเคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จสิ้น โดยการทำเช่นนี้ จะช่วยให้มีสมาธิและสามารถวางแผนงานสำหรับสัปดาห์ที่เหลือได้อย่างเหมาะสม

 

6.จัดกลุ่มงานเพื่อทำเป็นชุด : ก่อนจะเริ่มงานวันแรกหลังหยุดยาว การวางแผนล่วงหน้าถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มีเวลาปรับตัวและเอาชนะอาการซึมเศร้าหลังหยุดยาว โดยให้พยายามจัดกลุ่มงานที่คล้ายกันเพื่อทำพร้อมกัน เช่น จัดเวลา 1-2 ชั่วโมงสำหรับอีเมลส่วนตัว จากนั้นเปลี่ยนไปประชุม ฯลฯ ซึ่งการทำงานที่โฟกัสสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบนี้ จะช่วยให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

7.พยายามหลีกเลี่ยงการประชุมในช่วงครึ่งวันแรก : การประชุมถือเป็นสิ่งที่ดูดพลังเอามาก โดยเฉพาะเมื่อเราต้องตกอยู่ในภาวะ Post – Vacation Blues ดังนั้น หากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการประชุมในช่วงครึ่งแรกของวันที่เริ่มทำงานหลังหยุดยาว เพื่อทำงานที่เร่งด่วนก่อน

 

นอกจากนี้ อย่าพยายามตามงานหรือทำงานทั้งหมดภายในวันเดียวของการเริ่มต้นทำงาน จนละเลยการดูแลตัวเอง เช่น การออกกำลังกายในตอนเช้า หาเวลาพักผ่อนระหว่างทำงาน หรือจัดเวลาพักผ่อนให้เพียงพอหลังกลับมาถึงบ้าน เพราะสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญให้คุณเอาชนะอาการเป็นที่อยู่ และปลุกไฟให้พร้อมกลับมาลุยงานที่รักอีกครั้งนั่นเอง

 

ที่มา

 

https://edition.cnn.com/travel/article/travel-post-vacation-blues-wellness/index.html

https://www.forbes.com/councils/theyec/2022/09/09/back-from-a-long-vacation-nine-tips-for-getting-back-into-your-work-routine/

]]>
1518668
ทำความรู้จัก Pomodoro Technique ที่จะช่วยให้คุณทำงานเสร็จเร็วขึ้น แถมมีประสิทธิภาพดี https://positioningmag.com/1510143 Mon, 10 Feb 2025 09:14:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510143 เชื่อว่า เมื่องานเยอะจนล้นมือ หลายคนคงเคยประสบปัญหาบริหารจัดเรียงลำดับความสำคัญไม่ถูกและโฟกัสอะไรไม่ได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคที่จะมาช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ นั่นคือ  ‘Pomodoro Technique’ หรือ ‘เทคนิคมะเขือเทศ’

‘ฟรานเชสโก ซิริลโล’ (Francesco Cirillo) เป็นผู้คิดค้นเทคนิคบริหารเวลานี้ ส่วนที่มาของชื่อ เทคนิคมะเขือเทศ เพราะ Pomodoro มาจากภาษาอิตาลีที่หมายถึง ‘มะเขือเทศ’ เนื่องจากเขาได้แรงบันดาลใจมาจากตัวจับเวลาสำหรับทำอาหารในห้องครัวที่มีรูปทรงมะเขือเทศ (Tomato kitchen timer) นั่นเอง

หัวใจของ Pomodoro Technique คืออะไร?

Pomodoro Technique จะเน้นถึงพลังของ ‘การโฟกัส’ ด้วยวิธีการง่าย ๆ โดยมีขั้นตอนหลักอยู่ 5 ขั้นตอน ได้แก่

  1. เลือกโฟกัสชิ้นงานสำคัญมา 1 งาน เขียนรายละเอียดงานที่ต้องทำออกมาเป็นข้อ ๆ
  2. กำหนดกรอบเวลาทำงานไว้ที่ 25 นาทีต่อ 1 งานนี้
  3. เริ่มต้นทำงานพร้อมกับจับเวลาไม่ให้เกิน 25 นาที
  4. เมื่อถึง 25 นาทีครบกำหนดให้ขีดกำกับงานที่ทำเสร็จไปแล้ว ก่อนจะไปพักเบรคเพื่อผ่อนคลายเป็นเวลา 5 นาทีเต็ม เช่น ลุกเดินออกจากโต๊ะทำงานและห้ามคิดหมกมุ่นกับงานในหัว เป็นต้น
  5. เมื่อหมดเวลาพัก 5 นาที ให้กลับมาทำงานชิ้นต่อไป โดยกำหนดไว้ที่ 25 นาทีเหมือนเดิม วนลูปแบบนี้ต่อไป โดยงานชิ้นหลัง ๆ ให้เพิ่มเวลาพักเบรกเป็น 15-30 นาที

ทั้งนี้ ฟรานเชสโกผู้คิดค้น Pomodoro Technique แนะนำให้ใส่ความ ‘ยืดหยุ่น’ ลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งเทคนิคให้เหมาะสมกับงานและจริตของตัวเราเอง รวมถึงอย่ายึดติดกับตัวเลขมากจนเกินไป

ยกตัวอย่างเช่น ถ้างานเสร็จก่อน 25 นาทีที่กำหนด อาจใช้เวลานั่งทบทวนความถูกต้องอีกครั้ง เพื่อความรอบคอบ หรือ ถ้างานยังไม่เสร็จแม้จะครบ 25 นาทีแล้ว ก็ยังบังคับควบคุมจิตใจตัวเองให้หยุดเลิกทำแล้วไปพัก 5 นาทีก่อน

Pomodoro Technique เป็นเทคนิคบริหารเวลาที่ได้รับการยอมรับและมีความนิยมในวงกว้าง เนื่องจากทำได้ง่ายและสอดคล้องกับกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์เราที่เรียกว่า Parkinson’s Law คือ คนเรามักมีแนวโน้มทำงานไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่มีเวลา ถ้ามีเวลามาก ก็จะทำงานเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อย ๆ แต่ถ้ามีเวลาน้อย ก็จะรีบทำงานให้เสร็จ

เมื่อเทคนิคดังกล่าวบังคับจำกัดเวลาลงเหลือแค่ 25 นาที เราจึงมีแนวโน้มพยายามทำให้เสร็จอย่างดีเยี่ยมภายใน 25 นาทีเท่าที่มี

นอกจากนี้ Pomodoro Technique ยังให้พลังกับการ ‘โฟกัส’ ที่งานเพียงชิ้นเดียว ซึ่งผลวิจัยชี้ว่า สมองคนเรามีสมาธิในการทำงานได้ดีกว่าเมื่อเพ่งสมาธิไปกับการทำงานเพียงอย่างเดียว (Single tasking) ขณะที่การกำหนดเวลา 25 นาที เป็นระยะเวลาที่ ‘ไม่มากไป’ และ ‘ไม่น้อยไป’ สำหรับการที่สมองจะโฟกัสตั้งใจทำอะไรได้อย่างมีสมาธิ

สิ่งที่หลายคนชื่นชอบเทคนิคนี้ ก็คือ ‘เวลาเบรกพัก 5 นาที’ เสมือนการทำงานของสมองคนเราที่จะโฟกัสเพ่งสมาธิ สลับกับการหยุดพักเบรก

ขณะเดียวกัน ก็ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะออฟฟิศซินโดรม เพราะการได้ลุกออกเดินขณะพักเบรค 5 นาที จะทำให้เราไม่เครียดจัดจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเราได้

อ้างอิง

  • https://www.pomodorotechnique.com
  • https://www.jobillico.com/blog/en/the-pomodoro-technique
  • https://medium.com/@theintrovertalert/the-man-behind-the-pomodoro-technique-a-look-into-the-life-of-francesco-cirillo-80ca95ed0535
]]>
1510143