สหประชาชาติ หรือ UN คาดว่า ชั้นโอโซนที่ปกป้องโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์กำลัง ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวเท่ากับระดับปี 1980 ภายใน 40 ปีข้างหน้า ถ้านโยบายการควบคุมในปัจจุบันยังใช้อยู่ โดยพื้นที่ในแถบอาร์กติกจะกลับมาเป็นปกติภายในปี 2045 ขณะที่แอนตาร์กติกาน่าจะกลับสู่ระดับปกติภายในปี 2066
นักวิทยาศาสตร์และกลุ่มสิ่งแวดล้อมยกย่องการห้ามใช้สารเคมีที่ทำลายชั้นโอโซนทั่วโลกว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดจนถึงปัจจุบัน และอาจเป็นแบบอย่างสำหรับการควบคุมการปล่อยมลพิษจากภาวะโลกร้อนที่กว้างขึ้น
“ความสำเร็จของเราในการเลิกใช้สารเคมีที่ทำลายชั้นโอโซน แสดงให้เราเห็นถึงสิ่งที่สามารถทำได้และต้องทำอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในการเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก และจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ” Petteri Taalas เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก กล่าว
นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า การปล่อยสารเคมีของคลอโรฟลูออโรคาร์บอน-11 หรือ CFC-11 ซึ่งใช้เป็นสารทำความเย็นและโฟมฉนวน ซึ่งเป็นสารต้องห้ามที่เป็นศัตรูตัวฉลากของโอโซนได้ลดลงตั้งแต่ปี 2018 หลังจากเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นเวลาหลายปี รายงานระบุว่าส่วนใหญ่ของการปล่อย CFC-11 ส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกของจีน
รายงานยังพบว่าสารเคมีคลอรีนที่ทำลายโอโซนลดลง 11.5% ในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ นับตั้งแต่จุดสูงสุดในปี 1993 ขณะที่โบรมีนลดลง 14.5% นับตั้งแต่จุดสูงสุดในปี 1999
]]>