โอ้กะจู๋ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 11 Jun 2025 01:51:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘สลัดแฟคทอรี่’ จะสู้ในตลาด Healthy Food อย่างไร ในวันที่มีคู่แข่งมากกว่า 20 แบรนด์ https://positioningmag.com/1525548 Tue, 10 Jun 2025 13:27:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1525548 ตอนนี้เทรนด์สุขภาพได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทยแล้ว ทำให้ธุรกิจด้านนี้มีการเติบโต โดยเฉพาะ ‘ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ’ ซึ่ง ‘ปิยะ ดั่นคุ้ม’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรีนฟู็ด แฟคทอรี่ จำกัด ผู้บริหารร้าน ‘สลัดแฟคทอรี่’ ฉายภาพว่า มีแนวโน้มการเติบโตดีเฉลี่ย 15-20% ในช่วง 3-4 ปีหลังจากการระบาดของโควิด-19 

 

โดยปี 2564 ตลาดร้านอาหารเพื่อสุขภาพมีมูลค่าอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท, ปี 2565 มีมูลค่า 3,000 ล้านบาท, ปี 2566 มีมูลค่า 3,500 ล้านบาท, ปี 2567  มูลค่า 4,500 ล้านบาท และปี 2568 คาดการณ์มีมูลค่าอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท

 

เหตุผลที่ทำให้ร้านอาหารสุขภาพมาแรง แน่นอนมีเทรนด์รักสุขภาพเป็นแรงส่งสำคัญ บวกกับการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่เร่งรีบ และการก้าวสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย ทำให้ผู้คนหันมาใส่ใจในเรื่องการกินที่ดีต่อสุขภาพตัวเอง 

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเติบโตน่าสนใจ ขณะเดียวกันตลาดดังกล่าวก็มีการแข่งขันดุเดือด เพราะจากปี 2564 มีแบรนด์ให้เลือกในตลาดแค่หลักหน่วย แต่ตอนนี้มีมากกว่า 20 แบรนด์ โดยผู้เล่นหลัก ได้แก่ สลัดแฟคทอรี่ด้วยจำนวนสาขา 48 แห่ง, โอ้กะจู๋ 43 สาขา และโจนส์สลัด 39 สาขา

ชู 3 แกนสร้างจุดแข่งขัน

 

สำหรับกลยุทธ์ในการแข่งขันของสลัดแฟคทอรี่ วางตำแหน่งตัวเองเป็นร้านอาหารสุขภาพที่ทานได้ทุกวัน ภายใต้สโลแกน ‘ได้อร่อย ได้สุขภาพ’ โดยนอกจากรสชาติอร่อยแล้ว หลัก ๆ จะเน้น ‘คุณภาพ-ความหลากหลาย-ราคาเข้าถึงง่าย’ 

 

“เราเชื่อว่า อาหาร ถ้าปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางจะช่วยลดการเจ็บป่วยได้ ในฐานะแบรนด์ร้านอาหารสุขภาพ เราจะพยายามคัดสรรวัตถุดิบตั้งแต่แหล่งที่มา และวัตถุดิบไม่ว่าจะดียังไง ถ้าไม่อร่อย ทุกอย่างก็จบ ดังนั้น รสชาติจึงสำคัญและทุกจานต้องมีคุณภาพอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน” 

 

สำหรับความหลากหลาย ปัจจุบันสลัดแฟคทอรี่มีเมนูให้เลือกมากกว่า 300 เมนู และจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งพัฒนาเอง และจับมือกับพาร์ทเนอร์ ยกตัวอย่างเช่น ความร่วมมือกับ ‘เอสเพียว’ จากเครือเบทาโกร เปิดตัวแคมเปญใหม่ ‘อกไก่ฉ่ำ So Yummy’ นำมาสร้างสรรค์เมนูพิเศษสไตล์ญี่ปุ่น ย้ำถึงความพิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบและกระบวนการทำที่ดีต่อสุขภาพ

 

ขณะที่ ‘ราคา’ อีกจุดแข่งขันสำคัญ สลัดแฟคทอรี่จะพยายามทำให้ราคาเข้าถึงง่ายและมีหลากหลายระดับให้เลือก อย่างสลัดราคาเริ่มต้นที่ 89 บาทต่อจาน ส่วนสลัดบวกโปรตีน เช่น หมู ปลา ไก่ ฯลฯ ราคาเริ่มต้น 100 บาทต่อจาน

 

ต่างจังหวัดตลาดแห่งความท้าทาย

 

แม้การใส่ใจสุขภาพที่มากขึ้นของผู้คน จะเป็นสปริงบอร์ดในการเติบโตสำหรับร้านอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ด้วยภาพจำของอาหารประเภทนี้ที่คนส่วนใหญ่มองว่า มี ‘ราคาแพง’ จึงทำให้การขยายตลาดให้มากกว่า ‘คนเมือง’ ดูเป็นเรื่องที่ท้าทาย

 

“ต่างจังหวัด เป็นตลาดที่มองเห็นศักยภาพ โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ ภูเก็ต แต่ถือเป็นความท้าทาย จากภาพจำของราคาอาหารสุขภาพที่คนอาจมองว่าแพง อีกจุดที่ต้องสู้ คือ เราดีกว่าอาหารที่เขาทำทานเองที่บ้านอย่างไร ซึ่งเราวางตัวเองเป็นร้านอาหารสุขภาพที่ทานได้ทุกวัน ราคาเข้าถึงง่ายเป็นจุดแข็ง และเราต้องทำการบ้านเพิ่มหากต้องการขยายตลาดให้กว้างขึ้น”

 

ปัจจุบันสลัดแฟคทอรี่มีสาขาทั้งหมด 48 สาขา โดย 33 สาขาอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนปีนี้มีแผนขยายสาขาเพิ่ม 8-9 สาขา รวมทั้งปีจะมีสาขาทั้งหมด 54 สาขา

]]>
1525548
โอ้กะจู๋ ส่ง “Joe Wings” ชิงตลาดร้านไก่ทอด 2.7 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1517531 Mon, 07 Apr 2025 04:00:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1517531 ”โอกะจู๋” ร้านสลัดผักออแกนิก ได้รุกธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยช่วงปี 2567 ได้เปิด OHKAJHU WRAP and ROLL เมนูสลัดแรป และแซนด์วิช หรือกระทั่งร้านน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพยอดฮิตอย่าง Oh! Juice ซึ่งทุกแบรนด์ล้วนขายดีและเป็นกระแสในหมู่ผู้บริโภค

สะท้อนจากผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี ของ บมจ. ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) ขยายตัวสูง ดังนี้

  • ปี 2565 รายได้ 1,215 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 38 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 1,716 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 140 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 2,444 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 201 ล้านบาท

“หากนำข้อมูลผลประกอบการ 3 ปี หาค่าเฉลี่ยการเติบโต พบว่า รายได้เติบโตเฉลี่ย 41.8% ต่อปี ส่วนกำไรขยายตัวสูงถึง 156% ต่อปี“

สำหรับปี 2568 โอ้กะจู๋ แตกไลน์ร้านอาหารใหม่ “Joe Wings” ร้านไก่ทอดมิติใหม่ โดยมีความเชื่อว่า ความอร่อยไม่จำเป็นต้องทำร้ายสุขภาพ ซึ่งเป็นแนวเฮลท์ตี้ เส้นทางเดียวกับแบรนด์โอ้กะจู๋

เบื้องต้น มีแผนเปิดร้าน Joe Wings ในวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่สยามพารากอนเป็นสาขาแรก

อย่างไรก็ดี “Joe Wings” ถูกวางโพสิชั่นอยู่ในตลาดอาหารจานด่วน (QSR) ซึ่งมีขนาดตลาดใหญ่ถึง 47,000 ล้านบาท

โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจาก “ตลาดไก่ทอด” (เซกเมนต์ที่ Joe Wings ไป) ที่มีมาร์เก็ตแชร์เกิน 50% ของตลาด ด้วยมูลค่า 27,000-28,000 ล้านบาท จากพฤติกรรมคนไทยเป็นกลุ่มผู้บริโภคไก่ทอดเลิฟเวอร์

คงต้องจับตาดูว่า Joe Wings ร้านไก่ทอดจากโอ้กะจู๋ จะชิงใจผู้บริโภคไทยได้หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ปี 2568 สมรภูมิไก่ทอดคงร้อนระอุต่อเนื่อง

]]>
1517531
เปิดเส้นทาง 11 ปี ‘โอ้กะจู๋’ ขายผักจนได้ดี OR มาซื้อหุ้น พร้อมสยายปีกเข้าตลาดหลักทรัพย์ https://positioningmag.com/1491105 Fri, 20 Sep 2024 03:51:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491105 จากข้อมูลของ Databridge Market Research เผยว่า ตลาดอาหารสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 8.8 แสนล้านเหรียญฯ ในปี 2566 และมีการคาดการณ์ว่าจะโตเป็น 1.82 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2574

รวมถึง ข้อมูลจากงานวิจัยของ IMARC Group (2023) พบว่า แนวโน้มตลาดอาหารอนาคต หรืออาหารจากพืชทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโต 12.11% ในช่วงปี 2566-2571 ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์อาหารในปัจจุบัน ที่ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจและบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น 

และหากจะพูดถึงร้านอาหารสุขภาพในไทย ‘โอ้กะจู๋’ จากบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนนึกถึง เพราะด้วยชื่อแบรนด์ที่แปลก และมีสาขาเยอะ ทำให้หาทานได้ง่าย และเป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างมาแรงแห่งยุคแบรนด์หนึ่งเลยทีเดียว

ที่มาที่ไปของโอ้กะจู๋ เริ่มต้นจาก “อู๋-ชลากร เอกชัยพัฒนกุล” กับ “โจ้-จิรายุทธ ภูวพูนพล” สองเพื่อนซี้ชาวเชียงใหม่ที่มีพื้นฐานครบครัวเป็นเกษตรกรและมีความสนใจในเรื่องการปลูกผักแบบผสมผสานเกษตรสมัยใหม่กับวิธีการเกษตรแบบดั้งเดิม จากการที่ได้ไปทัศนศึกษาที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย จนเกิดแรงบันดาลใจที่จะลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรร่วมกัน  

กระทั่งเรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ความสนใจและความฝันยังไม่จางหาย ผนวกกับเจอปัญหาเวลาไปซื้อผักที่ตลาดแล้วอยากได้ผักปลอดสารพิษมาทำทานในครอบครัว ซึ่งในสมัยนั้นผู้ผลิตผักปลอดสารในเชียงใหม่นั้นมีน้อยมาก ทำให้ทั้งคู่จับมือมาธุรกิจฟาร์มผักออแกนิกส์กันในปี 2553 บนพื้นที่เพาะปลูกของครอบครัวที่มีขนาด 1 ไร่เศษ ก่อนขยับขยายนำผักที่มีเยอะจนกินจนแจกไม่หมดไปส่งขายในตลาด 

ขายผักจนได้ดี อัพสเกลเปิดร้านอาหาร

แม้รายได้จากการปลูกผักส่งขายจะไม่ได้แย่ แต่ก็ประสบปัญหาคนไม่ค่อยซื้อ เพราะผักที่นำไปขายนั้นมีเศษดินเศษหญ้าที่คนที่รับซื้อบอกว่าดูแลยาก ทำให้ทั้งคู่กลับมาคิดหาทางออก ก่อนที่ในปี 2556 ได้ตกลงปลงใจเปิดเป็นร้านเล็กๆ ขึ้นมาในอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ชื่อว่า ‘โอ้กะจู๋’ ที่ผวนคำมาจาก อู๋กับโจ้ ที่เป็นชื่อของทั้งคู่นั่นเอง แม้ชื่ออาจจะดูทะลึ่งตึงตัง แต่ก็ทำให้คนทั่วไปจดจำได้อย่างดี พร้อมกับจัดตั้งบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ขึ้น และก็ได้ “ต้อง-วรเดช สุชัยบุญศิริ” เข้ามาเป็นกำลังเสริมในการทำธุรกิจ 

ซึ่งผลตอบรับที่ได้จากการเปิดร้านนั้นดีมาก จนขยายสาขาเพิ่มเป็นสาขาที่ 2 ในตัวเมืองเชียงใหม่ ย่านนิ่มซิตี้เดลี่ ทำให้ได้รับความนิยมขึ้นไปอีก จนมีลูกค้าจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวกรุงเทพฯ มาใช้บริการบ่อย เกิดเป็นเสียงเรียกร้องให้ โอ้กะจู๋ มาตั้งรกรากเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ บ้าง ทำให้ในปี 2560 โอ้กะจู๋ สาขาสยามสแควร์วัน ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นสาขาที่ 3 นั่นเอง

และในปี 2561 – 2563 เวลาเพียง 3 ปี โอ้กะจู๋ มีสาขาเพิ่มรวมเป็น 13 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการเปิดร้านในรูปแบบ Delivery เป็นครั้งแรก เนื่องจากเป็นช่วงโควิด-19 ที่มีมาตรการไม่ให้ลูกค้านั่งทานอาหารในร้าน ทำให้โอ้กะจู๋สามารถผ่านวิกฤตในครั้งนั้นมาได้ด้วยดี

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ OR มาซื้อหุ้น

จนในปี 2564 ถือเป็นจุดเปลี่ยนและโอกาสครั้งใหญ่ของโอ้กะจู๋ เพราะ OR หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ได้เข้ามาลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นในโอ้กะจู๋กว่า 20% เพราะ OR เองก็ต้องการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจน้ำมัน ในการลงทุนกับธุรกิจค้าปลีก และไลฟ์สไตล์มากขึ้น 

การได้เข้าไปอยู่ในครอบครัว OR ก็ทำให้โอ้กะจู๋ได้ขยายกิจการเข้าไปเปิดร้านใน PTT Station และมีจำนวนสาขาทั้งหมด 16 สาขา ก่อนที่ในปี 2565 โอ้กะจู๋ได้ขยายธุรกิจโดยการพัฒนาสินค้าเพื่อนำเข้าไปจัดจำหน่ายใน Cafe Amazon อีก 7 สาขา รวมเป็น 23 สาขา 

และในปี 2566 ขยายร้านไปยังภาคตะวันออกในพัทยา ชลบุรี และระยอง ทำให้มีสาขาในประเทศรวมกันทั้งหมด 33 สาขา พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามจังหวัดและหัวเมืองที่สำคัญ ภายในปี 2567 และตั้งเป้าให้โอ้กะจู๋มีสาขาครบ 67 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2571 

และหากมาดูรายได้รวมและกำไรสุทธิของบริษัทคร่าวๆ 5 ปีย้อนหลัง โดย

  • ปี 2562 รายได้ 643,046,569 บาท มีกำไรสุทธิ 79,831,262 บาท
  • ปี 2563 รายได้ 836,802,908 บาท มีกำไรสุทธิ 33,088,223 บาท
  • ปี 2564 รายได้ 803,016,024 บาท มีกำไรสุทธิ -83,379,787 บาท
  • ปี 2565 รายได้ 1,214,905,550 บาท มีกำไรสุทธิ 38,317,764 บาท
  • ปี 2566 รายได้ 1,716,847,079 บาท มีกำไรสุทธิ 140,647,983 บาท

ปัจจุบันรายได้หลักมาจากธุรกิจร้านโอ้กะจู๋กว่า 98% โดยมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อครั้งอยู่ที่ 450 บาท โดยเป็นรายได้ที่มาจากฐานสมาชิกของร้านกว่า 25% จากปี 2566 ที่มีฐานสมาชิก 20% เฉลี่ยยอดใช้จ่ายต่อคนต่อปีอยู่ที่ 13,000 บาท 

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,110.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 778.0 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 102.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 73.9 ล้านบาท 

นอกจากนั้น โอ้กะจู๋ ยังมีการแตกแบรนด์ออกมาเพิ่มอีก 2 แบรนด์ในปีนี้ คือ Ohkajhu Wrap & Roll ธุรกิจอาหารพร้อมทาน (Grab&Go) ที่มีอยู่ด้วยกัน 1 สาขาถ้วน และ Oh! Juice ธุรกิจน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่มีถึง 6 สาขา เรียกได้ว่าบริษัทฯ มีอัตราการขยายตัวของธุรกิจค่อนข้างไว

ตลาดเชนร้านสลัดในไทยก็ร้อนระอุไม่แพ้ตลาดอื่นๆ เพราะด้วยเทรนด์ดูแลสุขภาพ คนไทยนิยมทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ทำให้แบรนด์สลัดเป็นที่นิยม โดยที่มีผู้เล่นใหญ่อีก 2 รายด้วยกัน อย่าง โจนส์สลัด (บริษัท โจนส์สลัด จำกัด) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2556 ปัจจุบันมี 34 สาขา และมีการแตกแบรนด์เพิ่ม 2 แบรนด์คือ ผงสลัดชงดื่ม และ สมุนตุ๋น ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น ที่มีอยู่ด้วยกัน 1 สาขา และ สลัด แฟคตอรี่ (บริษัท กรีน ฟู้ด แฟคทอรี่ จำกัด) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2556 ปัจจุบันมีสาขาอยู่ 38 สาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงมีการแตกไลน์แบรนด์ ชาดา เครื่องดื่มสมุนไพรจากใบเชียงดา มาเพิ่มเติม

สยายปีกเข้าตลาดฯ รองรับการเติบโต

จุดแข็งของโอ้กะจู๋ คือการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงการพัฒนาสูตรอาหาร และเครื่องดื่ม โดยร่วมกับฝ่ายการตลาดที่ศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ และกระแสนิยมของผู้บริโภค ทำให้บริษัทฯ สามารถออกเมนูใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่หลากหลาย และแตกต่างจากอาหารเพื่อสุขภาพทั่วไป และแม้จะส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม และยอดขายจากสาขาที่เปิดเพิ่มเติม 

แต่บริษัทฯ ก็ยังมีความต้องการในการขยายขีดจำกัดในการเติบโต ทำให้ล่าสุด ประกาศตัวว่ากำลังจะ IPO หรือพาบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด เข้าตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นบริษัทมหาชน กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปที่ราคา 6.70 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) 24.13 เท่า

ซึ่งเมื่อพิจารณาผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ราคา 6.70 บาทต่อหุ้น ก็ถือเป็นราคาที่เหมาะสมที่สะท้อนพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 23 – 25 กันยายน 2567 โดยคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนตุลาคมนี้ 

โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ขยายสาขา สร้างครัวกลางแห่งใหม่ เพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และต่อยอดการเป็นพันธมิตรกับ OR ก็ได้ส่งบริษัทลูกอย่าง บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) มาทำสัญญาซื้อขายหุ้น เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ 20% เอาไว้ และคาดว่า ผู้บริโภคอาจจะได้เห็นความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่เหมาะสม และตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อวางจำหน่ายในร้าน Café Amazon ต่อไปในอนาคต

]]>
1491105
เทียบฟอร์ม 4 “ร้านสลัด” ร้านไหนที่ได้ใจคุณ? https://positioningmag.com/1488078 Thu, 29 Aug 2024 13:55:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488078 1488078 OR เข้าซื้อหุ้น ‘โอ้กะจู๋’ 20% ขยายสาขาผ่านปั๊มน้ำมัน ‘PTT Station’ ขายอาหาร Grab & Go ผ่าน Café Amazon https://positioningmag.com/1320954 Thu, 25 Feb 2021 06:10:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320954 OR เข้าซื้อหุ้นโอ้กะจู๋’ 20% มูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท เตรียมขยายสาขาผ่านปั๊มน้ำมัน ‘PTT Station’ พร้อมขายอาหารแบบ Grab & Go ผ่านร้าน Café Amazon

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เริ่มขยับหารายได้ใหม่ หลังเข้าระดมทุน IPO ตลาดหุ้นไทยสำเร็จ ล่าสุดตัดสินใจเข้าไปลงทุนในร้านอาหารเพื่อสุขภาพชื่อดังจากเชียงใหม่อย่างโอ้กะจู๋ของบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ผ่านการลงทุนระหว่างบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ OR

OR ใช้กลยุทธ์มุ่งเน้นการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) เพื่อเพิ่มผลกำไรในระยะยาว เน้นการดำเนินธุรกิจในรูปแบบการร่วมทุนกับบริษัทที่มีศักยภาพ และได้แสวงหาโอกาสและช่องทางในการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage : F&B)

โดยมองว่าโอ้กะจู๋มีจุดเด่นในเรื่องความสดใหม่ของผักที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ และส่งตรงจากฟาร์มผักขนาดใหญ่ที่จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs เเละขยายส่วนธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) ไปพร้อมๆ กัน

OR จะเข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 20 หรือมีมูลค่า ไม่เกิน 500 ล้านบาท ตั้งเป้าขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋เพิ่มเติมในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station รวมถึงการจำหน่ายอาหารแบบ Grab & Go ผ่านร้าน Café Amazon ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคเหนือ

ทั้งนี้ สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ซึ่งมีจำนวนกว่า 1,900 สาขาทั่วประเทศ และร้าน Café Amazon ซึ่งมีจำนวนสาขาถึงกว่า 3,000 สาขา

ถือเป็นการเพิ่มความหลากหลาย และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ รวมถึงมีวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ และหันมาเลือกซื้ออาหารที่ปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานหรืออาหารสำเร็จรูปเพื่อนำกลับไปรับประทานที่อื่น แทนที่นั่งรับประทานอาหารในร้านมากขึ้น

โอ้กะจู๋เริ่มจากธุรกิจปลูกผักสวนครัว ในปี 2553 จากนั้นจึงได้ขยายมาสู่ธุรกิจร้านอาหารในปี 2556 เริ่มต้นจากการปลูกผักในฟาร์มของตนเองที่และส่งตรงถึงหน้าร้านเพื่อรักษาคุณภาพและความสดใหม่ มีสาขาแรกอยู่ที่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นในปี 2560 จึงเริ่มขยายสาขามายังกรุงเทพฯ ที่สยามสแควร์ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

ปัจจุบันมีจำนวนสาขารวมทั้งสิ้น 14 สาขา ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำร้านอาหารเพื่อสุขภาพของไทย โดยปี 2562 ‘โอ้กะจู๋มีรายได้ประมาณ 643 ล้านบาท ทำกำไร 79 ล้านบาท

สำหรับเงินทุนที่ได้รับในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ อาทิ การนำเทคโนโลยี Smart Farm มาใช้เพื่อทำให้ได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพ รวมถึงการสร้างครัวกลางที่จังหวัดเชียงใหม่ การสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพื่อรองรับการขยายสาขาไปยังภูมิภาคต่างๆ

ในส่วนของการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนนั้น ทางบริษัทมีโครงการที่จะทำศูนย์การเรียนรู้การปลูกผักแบบวิถีเกษตรอินทรีย์ ให้แก่นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจ รวมถึงมีแผนการที่จะช่วยเหลือเกษตรกรโดยเป็นตัวกลางที่เชื่อมระหว่างเกษตรกรที่ไม่มีช่องทางขายกับผู้บริโภคที่ต้องการผักอินทรีย์ ผ่านทางแอปพลิเคชันที่อยู่ระหว่างการพัฒนา

 

 

]]>
1320954