ไดโซะ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 19 Aug 2025 07:06:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ศึก ‘ร้านไลฟ์สไตล์’ ในไทยเดือด เมื่อ ‘คู่แข่ง’ กระโดดลงสนามไม่หยุด https://positioningmag.com/1533711 Thu, 14 Aug 2025 07:45:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1533711 ‘ธุรกิจร้านไลฟ์สไตล์’ ในไทย นับวันการแข่งขันยิ่งดุเดือดมากขึ้น เพราะนอกจากรายเดิมอย่าง ‘Daiso’, ‘Miniso’, ‘Moshi Moshi’, ‘KKV’ ที่พร้อมสู้แบบไม่ถอยแล้ว ปัจจุบันบ้านเรายังมี ‘ผู้เล่นรายใหม่’ เข้ามามากมายทั้งที่เปิดตัวแล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมการ

โดยรายใหม่ที่เปิดตัวไปเรียบร้อย ได้แก่ ‘OH!SOME’ แบรนด์ดังจากสิงคโปร์ ขณะที่ ‘KLCW’ แบรนด์สัญชาติจีนเริ่มเข้ามาชิมลางตลาดเปิดตัว Pop up store นำคอลเลกชั่นฮิตอย่าง KLCW Capybara Tuntunzai มาวางจำหน่าย

ส่วนแบรนด์ที่อยู่ระหว่างเตรียมการ อาทิเช่น ‘Flying Tiger Copenhagen’ ร้านไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังจากยุโรปที่มีสาขากว่า 1,000 แห่งทั่วโลก ที่เตรียมเปิดสาขาแรกที่เอ็มสเฟียร์, ‘The Green Party’ แบรนด์ดังจากจีน และมีอีกหลายแบรนด์ที่จะทยอยเข้ามาปักหมุดธุรกิจนี้ในไทย

สำหรับธุรกิจร้านไลฟ์สไตล์ในบ้านเราเริ่มได้รับความสนใจ เมื่อ ‘Daiso’ ร้าน 100 เยนชื่อดังสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งมีจุดเด่นสินค้าหลากหลายสไตล์ญี่ปุ่น มาในราคาประหยัดเริ่มต้นที่ 60 บาท ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยในปี 2546 ภายใต้ ‘บริษัท ไดโซ ซังเกียว (ประเทศไทย) จำกัด’ และปัจจุบันมีสาขาในบ้านเรามากกว่า 100 แห่ง

หลังจากนั้นก็มีผู้เล่นทยอยเข้ามาในตลาดเรื่อย ๆ และเห็นความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่จะเป็น ‘แบรนด์จากจีน’ ซึ่งหากลองวิเคราะห์แล้วจะพบว่า จุดแข่งขันหลัก ๆ ของผู้เล่นแต่ละราย 1.ความหลากหลายของสินค้า 2.ราคาต้องเข้าถึงง่าย และ 3.การขยายสาขาให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด

Moshi_Moshi_แบรนด์สัญชาติไทยที่แข็งแกร่ง

Moshi Moshi เป็นร้านไลฟ์สไตล์ของ ‘บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)’ ที่เริ่มต้นจากร้านกิฟท์ชอปย่านสำเพ็ง ก่อนจะพัฒนามาเป็นร้านไลฟ์สไตล์ค้าปลีก เปิดตัวสาขาแรกที่ประตูน้ำ

จุดเด่นในการแข่งขัน

การเป็นแบรนด์ไทยที่เข้าใจตลาดและสามารถตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยได้อย่างตรงใจ ภายใต้จุดขาย ‘สวย ถูก ดี’ และการพัฒนาสินค้าเพิ่มความหลากหลายต่อเนื่องทั้งทำเอง และ Collab ร่วมกับพาร์ทเนอร์ เช่น ดิสนีย์, ซานริโอ, Butterbear ไปจนถึงศิลปินเกาหลีอย่าง NCT Dream และ Aespa ฯลฯ รวมแล้วตอนนี้มีสินค้าวางจำหน่ายใน Moshi Moshi มากกว่า 20,000 SKUs ในหมวดสินค้าหลากหลาย

ขณะเดียวกัน ก็พยายามขยายสาขาให้เข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด แบบ ‘ลูกค้าอยู่ตรงไหน จะไปบุกที่นั่น’ ซึ่งนอกจากสาขาตามห้างและศูนย์การค้าแล้ว ยังมีการพัฒนาในรูปแบบ ‘สแตนด์อะโลน’ ที่จะขยายไปตามมหาวิทยาลัยและพื้นที่ตามชุมชน

ปัจจุบัน Moshi Moshi มีสาขารวมแล้ว 177 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 64 จังหวัด และภายในสิ้นปีจะมีการขยายสาขาเพิ่มอีก 40 สาขา รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาไปเปิดตลาดในต่างประเทศที่เบื้องต้นโฟกัสไปเปิดตลาดในแถบประเทศเพื่อนบ้าน

Miniso กับพลังหนุนจากบริษัทแม่

มาถึงแบรนด์ดังจากจีนที่มีสาขากว่า 7,400 แห่งในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก อย่าง Miniso ได้เข้ามาทำธุรกิจในไทยเมื่อปี 2559 ซึ่ง ณ เวลานั้น มี ‘บริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด’ เป็นผู้ดูแล ก่อนที่เดือนมกราคม 2568 ทางบริษัทแม่จากจีนอย่าง ‘MINISO Group Holding Limited’ จะได้เข้ามาดำเนินการเองผ่าน ‘บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด ภายใต้เป้าหมายต้องการเป็น ‘เบอร์ 1 ของธุรกิจร้านไลฟ์สไตล์ในไทย’

จุดเด่นในการแข่งขัน

หลังจากบริษัทแม่เข้ามาดำเนินการเอง ทิศทางของ Miniso ในไทย จะเน้น ‘ร้านที่มีความความโดดเด่น และแตกต่างจากคู่แข่ง’ โดยในไทยจะใช้ MINISO LAND รูปแบบร้านระดับ Top สุดของ MINISO เพื่อตอกย้ำแบรนดิ้งและภาพลักษณ์ความเป็นโกลบอล แบรนด์ที่อยากนำเสนอ

ส่วนสินค้า จะเน้นสร้าง Value ของแบรนด์ให้มากขึ้น ผ่านสินค้า IP จากความร่วมมือกับค่ายลิขสิทธิ์ยักษ์ใหญ่ของโลก อาทิ ดิสนีย์, ซานริโอ, วอร์เนอร์ ฯลฯ รวม ๆ แล้ว 150 ลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นทิศทางใหม่ของแบรนด์ในระดับโกลบอล จากเดิมจะใช้ ‘ความหลากหลายของสินค้า’ และ ‘ราคาถูก’ มาเป็นกลยุทธ์หลักสำหรับแข่งขัน

ปัจจุบันสาขา Miniso ในไทยมีอยู่ทั้งหมด 8 แห่ง เป็นรูปแบบ 7 แห่ง อีก 1 แห่งอยู่ในรูปแบบป๊อปอัพสโตร์ ส่วนสิ้นปีจะขยายสาขาให้ครบ 20 สาขา และจะขยายเพิ่มให้เป็น 100 แห่งภายใน 3 ปี

Lemony น้องใหม่แต่เก๋าเกม

ขณะที่ผู้บริหารแบรนด์ Miniso รายเดิมอย่าง ‘บริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด’ ยังคงปักหลักในธุรกิจนี้เช่นกัน โดยได้เปลี่ยนแบรนด์เป็น ‘Lemony’ มาในรูปแบบร้านสีสันสดใส ดีไซน์ทันสมัย

จุดเด่นในการแข่งขัน

มีสินค้าหลากหลายตั้งแต่ของใช้ประจำวัน ของกิน ของเล่น ไปจนไอเทมน่ารัก มีให้เลือกทั้งสินค้าพิเศษ และสินค้า IP จากลิขสิทธิ์ดังจากหลายค่าย มาพร้อมจุดขายที่ขาดไม่ได้ นั่นคือ ‘ราคาเข้าถึงง่าย’

ปัจจุบัน Lemony มีสาขาด้วยกันราว 51 แห่งกระจายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างหวัด ซึ่งถือว่า สามารถขยายสาขาได้รวดเร็วทีเดียว

KKV ร้านไลฟ์สไตล์ดังจากจีน

KVV ร้านไลฟ์สไตล์จากจีนเป็นอีกแบรนด์ที่สนใจตลาดไทย โดยเข้ามาดำเนินธุรกิจในบ้านเราเมื่อปี 2567 ตอนนี้มีสาขาหลายแห่ง เช่น เดอะมอลล์ ไลฟ์สไตล์สโตร์ งามวงศ์วาน, ซีคอน บางแค, เดอะมอลล์ ไลฟ์สไตล์ ท่าพระ,    เทอร์มินอล 21 สาขา พระราม 3 ฯลฯ

จุดเด่นในการแข่งขัน

ร้านนี้เป็นที่รู้จักจากการมีสินค้าหลากหลายสไตล์ให้เลือกมากกว่า 20,000 SKUs เช่น ขนม เครื่องสำอาง เครื่องเขียน ของเล่น และเครื่องประดับ ฯลฯ นอกจากนี้ พื้นที่ต่อสาขาจะมีขนาดใหญ่ เน้นตกแต่งร้านในบรรยากาศสดใสทันสมัย ส่วนสินค้าก็จะมีราคาไม่แพง

OH!SOME แบรนด์ดังสิงคโปร์

OH!SOME  มีจำนวนร้านกว่า 130 สาขาในสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม และอีกหลายประเทศ โดยในไทยเพิ่งเปิดสาขาแรกไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ ภายใต้คอนเซ็ปต์การตกแต่งร้าน ‘โลกแห่งน้ำแข็งและหิมะ’

จุดเด่นในการแข่งขัน

สำหรับ OH!SOME เป็นร้านค้าไลฟ์สไตล์ที่คัดสรรสินค้าจากทั่วโลก เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น จีน และประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ยังเน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ความงามและการดูแลผิว น้ำหอม เครื่องเขียน ของเล่นและสินค้าสะสม ขนมขบเคี้ยว ไปจนถึงของแต่งบ้าน

แบรนด์ที่ได้กล่าวไปข้างต้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งร้านไลฟ์สไตล์ที่เข้ามาปักหมุดธุรกิจในไทย เพราะในอนาคตตลาดนี้ในบ้านเรา ยังเตรียมต้อนรับ ‘น้องใหม่’ อีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Flying Tiger Copenhagen แบรนด์ดังจากฝั่งยุโรปที่มีสาขามากกว่า 1,000 แห่งทั่วโลก ซึ่งทาง ‘บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน)’ เป็นผู้คว้าสิทธิ์แฟรนไชส์มาเปิดในไทยเร็ว ๆ นี้

รวมไปถึง The Green Party แบรนด์ดังจากจีนที่กำลังเตรียมการอยู่ เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่า จะสร้างข้อดีในการช่วยให้ตลาดเติบโต ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ขณะเดียวกันการแข่งขันก็ต้องเดือดขึ้นตามไปด้วยจะทำให้ตลาดไลฟ์สไตล์ สโตร์ในไทยร้อนระอุมากขึ้นกว่าเดิม

โดยก่อนหน้านี้ ‘จุน หวัง’ CEO บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด ผู้บริหาร Miniso Thailand ให้สัมภาษณ์กับ Positioning ว่า ตลาดในไทยจะเดือดเป็นน่านน้ำสีเลือด และหลังจากนี้อีก 3-5 ปี เมื่อฝุ่นหายตลบ จะได้เห็น ‘ผู้รอด’ ที่ได้ไปต่อกับ ‘คนแพ้’ ที่ต้องออกจากตลาด ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินเอง

]]>
1533711
‘Daiso’ วางเป้าขยายสาขาในสหรัฐฯ อีก ’10 เท่า’ หลังเงินเฟ้อทำชาวอเมริกันหาซื้อแต่ ‘ของถูก’ https://positioningmag.com/1410490 Tue, 29 Nov 2022 12:48:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1410490 หากพูดถึง ‘ไดโซะ’ (Daiso) หรือร้านทุกอย่าง 100 เยน หรือในไทยก็ ทุกอย่าง 60 บาท น่าจะเป็นที่คุ้นเคยของเหล่านักช้อปไทยเป็นอย่างดี โดยปัจจุบันไดโซะเองก็ขยายสาขาไปในกว่า 25 ประเทศ รวมถึง สหรัฐอเมริกา ด้วย ซึ่งตอนนี้กำลังได้รับการตอบรับดีหลังจากที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อ จนคนอเมริกันต้องรัดเข็มขัด

เนื่องจากเงินเฟ้อให้สหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประชากรชาวอเมริกันมองหาสินค้าดีราคาประหยัดเพื่อรัดเข็มขัด ทำให้ Daiso Industries ผู้ประกอบการร้านค้า 100 เยนของญี่ปุ่น ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนร้านค้าในสหรัฐอเมริกามากกว่า 10 เท่า หรือเพิ่มเป็น 1,000 แห่ง ในระยะยาว แต่ในปีหน้า Daiso วางแผนจะขยายเพิ่มอีก 30 สาขาในรัฐแอริโซนาและที่อื่น ๆ

นอกจากการขยายสาขาแล้ว Daiso วางแผนที่จะกระตุ้นให้ชาวอเมริกันใช้จ่ายมากขึ้นโดยการเปิดตัวสินค้าใหม่ ๆ เป็นระยะ ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวอเมริกัน โดยปัจจุบัน Daiso มีสาขาในสหรัฐฯ มากกว่า 80 แห่งกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ อาทิ นิวยอร์ก, แอริโซนา, แคลิฟอร์เนีย และเท็กซัส

“เราคิดว่าสินค้าราคาเดียวคุณภาพสูงจะได้รับความนิยมในต่างประเทศเช่นกัน และถึงเวลาที่เราจะรุกไปสู่พื้นที่ใหม่ในต่างประเทศอย่างจริงจัง”

ร้าน Daiso ได้ถือกำเนิดในช่วงที่ญี่ปุ่นเจอภาวะเงินฝืด จนปัจจุบันสามารถครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังได้ขยายกิจการไปในหลายประเทศ โดยได้ขยายไปไต้หวันเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2544 จากนั้นก็ได้เร่งขยายสาขาในต่างประเทศ หลังจากได้รับการตอบรับอย่างมาก เนื่องจาก Daiso มีสินค้าราคาไม่แพงและหลากหลายเท่าที่จะนึกออกได้ ไม่ว่าจะเป็นของเล่น ของใช้ในบ้าน เครื่องครัว ฯลฯ

ณ เดือนกุมภาพันธ์ Daiso มีร้านค้าประมาณ 2,300 แห่งใน 25 ประเทศ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเอเชีย แค่เฉพาะเกาหลีใต้ก็มีสาขามากกว่า 1,300 แห่ง

]]>
1410490
‘Daiso’ เริ่มวางขายสินค้าใน ‘7-Eleven’ ญี่ปุ่น แก้ปัญหายอดขาดหดเพราะคนไม่เดินทาง https://positioningmag.com/1371277 Sun, 23 Jan 2022 12:18:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371277 เชื่อว่าหลายคนชอบเข้าไปหาซื้อของใน ‘Daiso’ (ไดโซะ) ร้านทุกอย่าง 60 ที่ขายของสากกะเบือยันเรือรบ แม้ที่ไทยจะไม่ได้มีสาขามากเท่าประเทศญี่ปุ่นที่เป็นเชนร้าน 100 เยนใหญ่ที่สุด และจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้ Daiso ในญี่ปุ่นได้รับผลกระทบทำให้ยอดขายหดตัว เนื่องจากผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าใกล้บ้านแทน Daiso จึงแก้เกมด้วยการ เข้าไปขายของใน 7-Eleven ซะเลย

เนื่องจากการเว้นระยะห่างทางสังคมทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่อยู่แต่บ้าน และผลจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปทำให้ยอดขายของ Daiso จึงลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะลูกค้าที่ซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผลิตภัณฑ์ในครัวแบบใช้แล้วทิ้งมักจะไม่ค่อยอยากเดินทางไป Daiso ด้วยเหตุนี้ ลูกค้าจึงมองหาตัวเลือกที่สะดวกและใกล้บ้านมากขึ้นในการซื้อสินค้าเหล่านั้น ในราคาที่สมเหตุสมผล

นั่นคือเหตุผลที่ 7-Eleven และ Daiso ร่วมมือกันเพื่อนำผลิตภัณฑ์ Daiso มาสู่ชั้นวาง 7-Eleven จากการทดลองใช้งาน ร้าน 7-Eleven จำนวน 200 สาขา ในคานางาวะและฮอกไกโด ซึ่งผลการดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 ก็ออกมาดีเกินคาด โดยยอดขายของใช้ประจำวันที่ 7-Elevens ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Daiso เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2020

ด้วยความสำเร็จของการทดลองใช้งานเหล่านี้ Daiso และ 7-Eleven กำลังขยายความร่วมมือจาก 200 สาขาเป็น 1 หมื่นสาขา หมายความว่าร้านค้าของ 7-Eleven ประมาณครึ่งหนึ่งจะเริ่มทยอยเพิ่มผลิตภัณฑ์ Daiso โดยเน้นที่สินค้าสะดวกซื้อในชีวิตประจำวัน เช่น กระดาษเช็ดมือและน้ำยาฆ่าเชื้อ ผ้าเช็ดทำความสะอาด

ทั้งนี้ การเปิดตัวจะเริ่มต้นด้วย 7-Eleven ในญี่ปุ่นตะวันออก และหากยอดขายยังเป็นที่น่าพอใจ ก็จะค่อยๆ ขยายไปยังฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น สินค้า Daiso คาดว่าจะเริ่มปรากฏใน 7-Eleven เพิ่มเติมตั้งแต่เดือนมกราคมนี้

Source

]]>
1371277