2020 – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 17 Dec 2019 03:32:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อ่านเกม “กู๊ดเยียร์” 2020 บุกยางรถกระบะ ขยายตลาดต่างจังหวัด ดัน “บัวขาว” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ https://positioningmag.com/1257218 Mon, 16 Dec 2019 11:32:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257218 เเม้อุตฯ รถยนต์จะอยู่ในช่วงขาลง เเต่ “กู๊ดเยียร์ ประเทศไทย” ยังเดินหน้าขยายลงทุนโรงงานเฟส 2 พร้อมเปิดตัว Cargo Max ยางพรีเมียมเจาะกลุ่มรถกระบะเเละรถตู้ อัดเเคมเปญการตลาดในปี 2020 ดึง “บัวขาว” นักชกขวัญใจชาวไทยขึ้นเเท่นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ สะท้อนความอึดความทน 

เรียกได้ว่าเตรียมเดินเกมการตลาดอย่างหนัก เพราะกู๊ดเยียร์ห่างหายจากการโปรโมตผ่านคนดังมานาน นับตั้งเเต่ “ ก้อง-สหรัถ” พรีเซ็นเตอร์คนแรกของกู๊ดเยียร์ในไทย เมื่อปี 2556 ที่มาพร้อมยางเอฟฟิเชี่ยนกริป เอสยูวี ชูจุดขายเป็นยางเงียบที่สุดและนุ่มที่สุด เข้ากับคาเเร็กเตอร์ของหนุ่มก้อง ผ่านมาหลายปีก็มาถึง บัวขาว บัญชาเมฆ ยอดนักมวยดุดัน เข้าคาเเร็กเตอร์กับยางรถกระบะรุ่นใหม่ชูความทนอย่าง Cargo Max เช่นกัน 

เปิดตัว Cargo Max เอาใจคนรักระกระบะ-รถตู้ 

ยางรถกระบะ Cargo Max ที่กำลังจะจำหน่ายทั่วประเทศในเดือนมกราคม ปี 2020 นี้ โดยออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถกระบะและรถตู้ เน้นจุดขายเรื่องความทนทาน ทางกู๊ดเยียร์เคลมว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่ายางคู่แข่งถึง 20% ซึ่งผ่านการทดสอบทั้งในสหรัฐฯ เเละในไทย

ความสำคัญของยางตัวนี้ได้มีการใช้เทคโนโลยีแมกซ์โหลด (MaxLoad) เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของกู๊ดเยียร์ ทำให้ขีดความสามารถในการรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น และเหมาะสมกับทุกสภาพถนนในไทย ออกแบบหน้ายาง และปรับปรุงเนื้อยางสูตรพิเศษ ที่ช่วยลดการสึกหรอเเละยังรักษาคุณสมบัติเรื่องการยึดเกาะบนถนนเปียก การรีดน้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งเหมาะกับฤดูฝนของประเทศไทย

ทำไมเลือกรุกตลาดรถกระบะ? 

ผู้บริหารกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย บอกว่า Cargo Max เกิดขึ้นจากการค้นหาว่าอะไรคือ Pain point และ Unmet needs ของลูกค้า พบว่า กระบะเป็นรถที่ใช้ 1 ใน 3 ของไทย ที่สำคัญนอกจากใช้เพื่อการขนส่งแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน จึงมีการใช้งานที่หนัก ดังนั้นต้องหายางที่มีความทนทานใช้ได้นาน ซึ่งกู๊ดเยียร์ต้องการตอบโจทย์นี้

ก่อนหน้านี้ กู๊ดเยียร์ได้ตีตลาดกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เเละกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ไปเเล้ว จึงต้องขยายให้ครอบคลุมสู่รถกระบะ เเละมองว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ใช้ขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดที่นิยมใช้รถกระบะมากกว่าในเมือง ให้เข้ากับเเผนขยายช่องทางการขายที่ในปีหน้าตั้งเป้าจะมีร้านตัวเเทนจำหน่ายให้ถึง 1,000 ร้านทั่วประเทศด้วย 

“ปัจจุบันเรามียางรุ่น แอสชัวแรนซ์ ทริปเปิลแมกซ์ (Assurance TripleMax) สำหรับกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ แรงเลอร์ ทริปเปิลแมกซ์ (Wrangler TripleMax) สำหรับกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) การเปิดตัวกู๊ดเยียร์ Cargo Max สำหรับกลุ่มรถกระบะและรถตู้ จึงทำให้ยางในตระกูลแมกซ์ครอบคลุมทุกกลุ่มการใช้งานในกลุ่มยางพรีเมียมของลูกค้า”

“บัวขาว” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ สะท้อนความอึด 

ล่าสุดกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย ได้ดึงยอดนักชกขวัญใจมหาชนอย่าง “บัวขาว บัญชาเมฆ” มาเป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ เพื่อต้องการสื่อถึงความแข็งแกร่ง ทนทาน

ลูก้า เครปาโชลี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า

“บัวขาวมีความเหมาะสมกับแบรนด์กู๊ดเยียร์ เป็นยอดนักชกที่โด่งดังท่ามกลางบรรดายอดนักชกมวยไทยมากว่า 30 ปี พร้อมทั้งมีสถิติคว้าชัยชนะในการขึ้นชกระดับโลกมาแล้วอีกนับครั้งไม่ถ้วน สะท้อนความเเกร่ง เเละทรงพลังเหมือนยางรถยนต์ของกู๊ดเยียร์”

ฮึดสู้รอบใหม่ของธุรกิจยางรถยนต์ 

ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ยุคขาลง เหล่าผู้ผลิตหลายใหญ่ต่างพากันหั่นค่าใช้จ่าย ปลดพนักงานเพื่อปรับโครงสร้างบริษัทกันถ้วนหน้า สำหรับอุตสาหกรรมยางรถยนต์เเล้วนั้นก็ย่อมได้รับผลกระทบตามๆ กัน

ผู้บริหารกู๊ดเยียร์ เปิดเผยว่า “ในปี 2019 นับเป็นความท้าทายอย่างมาก ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจโลกเเละอุตสาหกรรมรถยนต์ ขณะที่ธุรกิจยางรถยนต์ก็ต้องเผชิญกับปัญหา “วัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้น” เเต่ด้วยความพยายามที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เเละการปรับกลยุทธ์การสื่อสารของกู๊ดเยียร์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้มองเห็นโอกาสที่จะกลับมาเป็นบวกมากขึ้นในปีหน้า” 

“หากมองอีกมุมเราจะเห็นว่ามีรถใหม่ออกมาจำนวนมากเช่นกัน เเละจะต้องมีการเปลี่ยนยาง นี่คือโอกาสของกู๊ดเยียร์ ที่เราจะเสนอโปรดักส์ใหม่ที่ทนทาน ใช้งานได้ยาวนานกว่าคู่เเข่ง 20% ให้กับผู้บริโภคที่กำลังลังเลใจในการซื้อ” 

สำหรับการลงทุนขยายโรงงานในจังหวัดปทุมธานี นับเป็นการลงทุนเฟส 2 ของงบการลงทุนกว่า 2.97 พันล้านบาทในเเผนปี 2018-2022 ที่คาดว่าจะเพิ่มผลผลิตยางรถยนต์ได้มากขึ้นราว 5-10 % ขึ้นอยู่กับคู่สัญญาซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยโรงงานในประเทศเเห่งนี้ จะผลิต Cargo Max ยางพรีเมียมรุ่นใหม่ รวมไปถึงยางที่ใช้ในเครื่องบินด้วย

ด้านภาพรวมการตลาดของอุตฯ ยางรถยนต์ในไทย เครปาโชลี่ เปิดเผยว่า ตั้งเเต่ช่วงไตรมาสที่ 1-3 ของปีนี้ยังติดลบอยู่ที่ -4% ถึง -5% เเละมียอดขายยางรถยนต์โดยรวมมากกว่า 10 ล้านเส้น อย่างไรก็ตาม มองว่าปี 2020 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น 

รวมถึงกลยุทธ์หลักในปีหน้าที่จะมี “กลุ่มยางติดรถยนต์ (OEM)” เพิ่มมากขึ้น โดยจะมีการเจรจาเพิ่มสัญญากับเหล่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งรับรองว่ารถยนต์ป้ายเเดงที่จะออกมาในปี 2020 นั้นจะมีโอกาสได้ใช้ยางรถยนต์ของกู๊ดเยียร์ พร้อมกันนั้นจะมีการขยายโรงงานในจังหวัดปทุมธานีเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 

รวมไปถึงขยายช่องทางการขายให้ครอบคลุม โดยในปีหน้าตั้งเป้าจะมีร้านตัวเเทนจำหน่ายให้ถึง 1,000 ร้าน 

]]>
1257218
เตรียมใจ! สรุปวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจ 2020 ส่งออก-ค่าเงิน-ตลาดหุ้นไทย จาก KBank https://positioningmag.com/1255301 Thu, 28 Nov 2019 12:10:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1255301 ดูท่าจะต้องเหนื่อยกันยาว กสิกรไทยมองปีหน้าเศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง คาด GDP โตแค่ 2.7% ส่งออกติดลบ-เสียมาร์เก็ตเเชร์ เเถมเเนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2020 จะแข็งค่ามากขึ้นอยู่ที่ 29.70 – 29.75 บาท/ดอลลาร์  ส่วนตลาดหุ้นไม่โตเเต่พอลงทุนได้ ยังมีอุตสาหกรรมที่น่าสนใจเช่น ท่องเที่ยว เฮลท์เเคร์  เเนะนำให้ลงทุนต่างประเทศไว้บ้าง

Positioning สรุปประเด็นสำคัญที่คุณต้องรู้จากสัมมนา “ส่องทิศทางเศรษฐกิจปีชวด” จัดโดยธนาคารกสิกรไทย กับมุมมองสภาพเศรษฐกิจในปีหน้าที่โลกกำลังเผชิญความท้าทาย เเละเศรษฐกิจไทยต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้เหมือนกัน

ประเมินปีหน้าโตเเค่ 2.7% ห่วงไทยโดนเเย่งมาร์เก็ตเเชร์ส่งออก

กอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ในปี 2563 คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยจะเติบโตที่ระดับ 2.7% ซึ่งใกล้เคียงกับปีนี้

โดยได้รับเเรงกดดัยจากปัจจัยอย่าง ภาคการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่องที่ระดับ -2% เเละการบริโภคเอกชนที่คาดว่าจะเติบโตในอัตราชะลอตัวลงที่ 2.5% จากปีนี้ที่คาดการณ์เติบโต 3.2% นอกจากนี้ไทยยังมีภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง

“ในช่วงที่ค่าเงินบาทเเข็งทำให้เราเสียมาร์เก็ตเเชร์ในตลาดส่งออก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก และการที่สินค้าจีนส่งไปสหรัฐฯ ลำบากขึ้นก็ทำให้จีนหันตลาดมายังอาเซียน ซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกของไทย”

โดยเศรษฐกิจไทยปี 2562 ยังคงเป้าหมายเติบโตในกรอบ 2.6-2.8% มีแนวโน้มอยู่ในกรอบล่าง และการส่งออกคาดการณ์ -1%

“เราให้การส่งออกปีหน้าติดลบ ด้วยปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าที่ยืดเยื้อเเละปัจจัยภายในอย่างปัญหาในเชิงโครงสร้างที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย หนี้ครัวเรือนสูง เศรษฐกิจยังเปราะบาง”

อย่างไรก็ตาม คาดว่าปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2020 จะเป็นการลงทุนของภาครัฐที่จะได้รับการอนุมัติในช่วงต้นปีหน้า

“มองว่าเเม้การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการลดดอกเบี้ย แต่ก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร จึงคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า”

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2020 คาดว่าจะแข็งค่ามากขึ้น โดยกรอบเคลื่อนไหวอยู่ที่ 29.70 – 29.75 บาท/ดอลลาร์ ในครึ่งปีแรก และ 29.20-29.25 บาทในสิ้นปี จากสิ้นปี 2562 คาดว่าจะอยู่ที่ 30.50 บาท บนที่ตั้งว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25 บาท ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีเเรกเเละเดือน ก.ย. พร้อมคาดว่า ธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมที่ 1.25%

ขณะที่ความเห็นเกี่ยวกับสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนว่าจะสิ้นสุดหรือบรรเทาลงหรือไม่นั้น ผู้บริหารกสิกรไทยตอบว่า คาดว่าจีนจะยังคงดูสถานการณ์การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2020 เเละยังคงต้องรอดูว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะถูกถอดถอนก่อนหรือไม่ จีนคงยังร่วมข้อตกลงในช่วงนี้ เพราะถ้ามีการเปลี่ยนตัวผู้นำก็จะเจรจาใหม่ลำบาก เเละคิดว่าหากพรรคคู่เเข่งอย่างเดโมเเครตจะเดินเกมก็คงจะเป็นช่วงเดือน ก.ค. เหมาะที่สุด และการที่จีนอยากขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีโลก โดยสั่นสะเทือนสหรัฐฯ ด้วยเทคโนโลยี 5G นั้นก็เป็นเรื่องที่น่าจับตามอง

มองเป้า SET Index ปี 2020 ที่ 1,725 จุด 

กวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่าได้มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2020 ไว้ที่ 1,725 จุด โดยทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีหน้าน่าจะแกว่งตัวในกรอบ เเละคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนไทยในปีหน้าไม่น่าจะดีเท่ากับปีนี้

เเละอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นกังวลคือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มี New High เเต่เศรษฐกิจในประเทศไม่ดี ทั้งเรื่องอัตราการว่างงานเเละการบริโภคภายในประเทศ สวนทางกับบริษัทในสหรัฐฯ ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ มีการเติบโตสูงเเละมีรายได้จากทั่วโลก

สำหรับการเติบโตของตลาดหุ้นไทยนั้น เขามองว่า ตลาดหุ้นไทยยังโตได้เเคบเนื่องจากเราไม่มีบริษัทเทคโนโลยีในประเทศที่สร้างมูลค่าระดับโลก หากถามว่าโตไหม ก็คงโตได้ เเต่จะไม่โตไปไกลกว่านี้ ถ้าไม่มีบริษัทเทคโนโลยีใหญ่เกิดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เป็นโอกาสของบริษัทภาคการท่องเที่ยว การบริการ และเฮลท์แคร์ที่เป็นจุดเด่นของไทยจะโตขึ้นมาได้มากเเละเเนะนำให้ซื้อหุ้นต่างประเทศไว้ด้วย

เลือกหุ้นอุตฯ ที่ไม่ใช่อุตฯ

เมื่อถามว่า “ปีหน้ายังคงลงทุนได้ไหม” กวีตอบว่า “ยังลงทุนได้เเต่ต้องเลือกให้ดี”

โดยแนะนำเทคนิคเลือกหุ้นในตลาดไทย ตามทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้า 3 ข้อ ได้แก่ 1) ลงทุนในบริษัทไทยที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในอาเซียน 2) ลงทุนในบริษัทที่สามารถเติบโตในประเทศได้ ไม่พึ่งพาการส่งออก และ 3) ลงทุนในหุ้นของอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมหนัก แต่เป็นภาคบริการ โรงแรม ท่องเที่ยวและเฮลท์แคร์

แนะหุ้นเด่นน่าลงทุน  

สำหรับ หุ้นกลุ่มที่น่าลงทุน มองเป็นหุ้นที่มีกำไรคงที่ และมีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น กลุ่ม ICT ที่มีการแข่งขันน้อยและการลงทุนในเทคโนโลยี 5G ใช้เงินลงทุนไม่มาก โดยแนะหุ้น ADVANC และ DTAC, กลุ่มค้าปลีก สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันอย่าง CPALL รวมถึงพลังงานต้นน้ำ อย่าง PTTEP และกลุ่มท่องเที่ยว อย่าง MINT จากการขยายโรงแรมไปในยุโรป และกลุ่มหุ้นปันผล จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เช่น TISCO ที่ให้ผลตอบแทนในระดับ 7%, RATCH ที่ให้ผลตอบแทนในระดับ 4% และกองทุน TFFIF

ส่วน หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง การลงทุนในปีหน้า คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและมีความไม่แน่นอนของกำไร อย่าง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับหนี้ NPL รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมี ที่อยู่ในช่วงขาลงและกลุ่มค้าปลีก ที่ได้รับผลกระทบจากการบริโภคที่ชะลอตัวและหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ยังต้องมองกลุ่มท่องเที่ยวที่คาดว่าจะทำกำไรได้ในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบในเรื่องเงินบาทแข็งค่าและการส่งออกที่หดตัว

ภาคท่องเที่ยวยังพอช่วยได้ 

ด้าน ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินว่า จีดีพีของไทยปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 2.7% และคาดว่าปี 2020 จะอยู่ที่ระดับ 3.3% แม้การส่งออกจะเป็นขาลง แต่ก็จะได้ภาคการท่องเที่ยวและบริการมาช่วยเสริม ซึ่งมองว่านักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว ขณะที่ช่วงที่นักท่องเที่ยวจีนลดลงไปนั้น ก็ได้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่อย่าง “อินเดีย” มาช่วย

และสิ่งสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคือ การลงทุนจากต่างประเทศ ในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่าง เกษตร แร่ เซรามิกและโลหะขั้นมูลฐาน เครื่องใช้ไฟฟ้าและเคมีภัณฑ์ โดยช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด คือญี่ปุ่น จีน และสวิตเซอร์แลนด์ ตามลำดับ

ทั้งนี้ การส่งออกไทยใน 9 เดือนแรกของ ปี 2019 หดตัวลง 2.1% ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า อย่างไรก็ดี ไทยยังมีสินค้าที่ทดแทนจีนได้ดีในตลาดสหรัฐฯ เช่น ปลานิลแช่แข็ง กุ้งและปลาหมึกแช่แข็ง เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ แผงวงจรรวม และน้ำมันเครื่อง เป็นต้น ขณะที่สินค้าที่ทดแทนสหรัฐฯ ได้ดีในตลาดจีน ได้แก่ น้ำแอปเปิล น้ำผึ้ง เฟอร์นิเจอร์ ฝาพลาสติก เป็นต้น

เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยง

สรรค์ อรรถรังสรรค์ ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2020 ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก เงินในระบบหมุนเวียนในระบบของไทยลดลงอย่างมากจากในปี 1999 อยู่ที่ 12 รอบ ตอนนี้เหลือไม่ถึง 6 รอบ เเละการเจรจายุติสงครามการค้ายังไม่เเน่นอน รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงจาก 2.3% เหลือ 1.8% ทำให้เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วชะลอลงด้วย ขณะที่ประเทศในเอเชียที่พึ่งพากำลังซื้อในประเทศ อย่างอินเดียเเละฟิลิปปินส์ยังเติบโตได้ดี

ส่วนไทยและสิงคโปร์ ที่พึ่งพาการส่งออก มีโอกาสโตเร่งตัวขึ้นจากฐานที่ต่ำในปี 2562 รวมถึงการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำในหลายประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในเอเชียและไทย

ด้าน พีรพรรณ สุวรรณรัตน์ ผู้ชำนาญงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุนอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า มาตรการต่างๆ ที่ธปท.ออกมาเพื่อบรรเทาการเเข็งค่าของเงินบาทนั้นใช้ไม่ได้ผลนัก เนื่องจากผู้ส่งออกมีต้นทุนการเงิน ไม่สามารถพักเงินดอลลาร์ได้อย่างที่ผ่อนคลายให้

สรุปทิศทางเศรษฐกิจปีชวด

  • เศรษฐกิจโลก

ยังเผชิญความไม่แน่นอนจากการบังคับใช้ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ-จีนแม้การเจรจามีสัญญาณดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯยังนำโดยการบริโภคภาคเอกชน อย่างไรก็ดี การผลิตที่อ่อนแอลงอาจส่งผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานในระยะข้างหน้า ทำให้ประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปี 2020

  • เศรษฐกิจไทย

มีแนวโน้มชะลอตัวลงตามปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจในประเทศแล้ว การส่งออกของไทยหดตัวต่อเนื่องจากผลกระทบของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ผ่านการเป็นห่วงโซ่การผลิตของจีนและอุปสงค์ในตลาดโลกที่ตกต่ำลง ทำให้การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมอ่อนแอลง ส่งผลถึงการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ลดลง

ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐอาจมีผลจำกัดและเป็นการวางเป้าหมายเพียงระยะสั้น โดยมีข้อจำกัดสำคัญจากหนี้ครัวเรือนที่สูง รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น สังคมผู้สูงอายุ เป็นต้น

  • เงินบาท

ยังมีแนวโน้มแข็งค่า โดยประเมินว่าความเสี่ยงของโลกยังสูง โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้า ทำให้นักลงทุนยังคงต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ค่าเงินบาท เนื่องจากไทยมีเสถียรภาพต่างประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุลสูงและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เป็นปัจจัยดึงดูดเงินทุนไหลเข้าไทยและกดดันเงินบาทให้แข็งค่า

ทั้งนี้ แม้ว่า ธปท. จะออกมาตรการชะลอการแข็งค่าของเงินบาทแต่อาจยังไม่สามารถลดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่อยู่ในระดับสูงได้ ทำให้ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทจะแข็งค่าต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 29.25 ณ สิ้นปี 2020

อย่างไรก็ตาม เงินบาทอาจอ่อนค่าอย่างรวดเร็วหากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกสูงขึ้น ความกังวลดังกล่าวอาจสะท้อนจากสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐที่อ่อนแอลง เป็นผลให้มีเงินทุนไหลออกจากไทยกลับไปยังสหรัฐฯ ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า

ความสามารถในการผลิตของแรงงานในแต่ละประเทศ

 

]]>
1255301