AI – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 02 Dec 2025 11:55:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 TripBuilder สตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นเพราะอยากให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก https://positioningmag.com/1549877 Tue, 02 Dec 2025 07:36:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549877 ทำความรู้จัก TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมบุกตลาดไทย ซึ่งเริ่มต้นจากต้องการแก้ pain point ให้สามารถจัดการทริปได้ง่ายขึ้นแบบ one stop service เพื่อให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก

 

จากสถิติพบว่า มูลค่าการจองท่องเที่ยวออนไลน์ในอาเซียนเกิน 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในระยะอันใกล้อัตราการใช้บริการออนไลน์อาจแตะ 74% ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีการท่องเที่ยวทั่วโลกมีมูลค่าราว 11,100 ล้านดอลลาร์ และอาจขยายสู่ระดับ 18,700 ล้านดอลลาร์ ตามการเติบโตของบริการเชิงประสบการณ์

 

การเติบโตดังกล่าวถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล จึงทำให้เกิดสตาร์ทอัพเพื่อให้บริการท่องเที่ยวออนไลน์มากขึ้น รวมถึง TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมตัวมาเปิดตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการเดินทางและท่องเที่ยวในบ้านเรา

 

ฮูเยน Marketer ของ TripBuilder เล่าว่า จุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพแห่งนี้ บริษัทฯ มาจาก ‘คิม มยองจุน’ ซึ่งเป็น    ผู้ก่อตั้งขึ้นและก่อตั้ง TripBuilder ชอบท่องเที่ยว แต่การไปทริปแต่ละครั้งต้องพบกับไม่สะดวกมากมายทั้งตั๋ว    เครื่องบิน โรงแรม การเดินทางในเมือง และกิจกรรมที่กระจัดกระจายอยู่หลายที่ ผู้ใช้ต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจ ซ้ำไปซ้ำมา

 

TripBuilder จึงเริ่มต้นขึ้นมา เพื่ออยากแก้ปัญหาความยุ่งยากดังกล่าว ด้วยการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ภายใต้จุดเด่น คือ การใช้ Data วิเคราะห์ตั้งแต่เที่ยวบิน โรงแรม การเดินทางภายในพื้นที่ กิจกรรมท้องถิ่น รูปแบบการเดินทาง

 

โดยดูจากงบประมาณ เวลาที่มี รูปแบบการเดินทาง ความชอบส่วนตัว ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้แต่ละคน และสามารถปรับแผนได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าฝนตก ร้านปิด คนแน่น หรือเวลาไม่พอ AI จะเสนอทางเลือกใหม่ที่เหมาะกับสถานการณ์นั้นทันที

 

เป้าหมาย เพื่อให้สามารถนำเสนอทริปการเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่โชว์ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการจองไฟลท์บินและโรงแรม แนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่าง ๆ แบบ one stop service ให้ผู้ใช้ควบคุมทุกขั้นตอนของการเดินทางได้ในหน้าจอเดียวจริง ๆ

 

OTA หรือ แพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวแบบเดิม ทำแค่แสดงข้อมูลให้เลือก แต่ AI ของเราจะเข้าใจสถานการณ์และความต้องการของผู้ใช้ แล้วคัดตัวเลือกที่เหมาะที่สุดให้ทันที ดังนั้น AI ในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวช่วยเสริม แต่เป็นหัวใจหลักของการวางแผนท่องเที่ยวยุคใหม่ ทำให้บทบาทของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนจากการหาข้อมูล มาเป็นการใช้เวลาไปกับการเดินทางจริง ๆ มากขึ้น”

 

ไทยประเทศแห่งโอกาส

 

ฮูเยน กล่าวว่า สำหรับ TripBuilder แล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เพราะเป็นหนึ่งในปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือหลากหลายด้านเทคโนโลยีการเดินทาง

 

ดังนั้น จึงต้องการร่วมสร้าง ecosystem ด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ทั้งด้านการคมนาคม โรงแรม กิจกรรมท่องเที่ยว ประกันภัย และการชำระเงิน โดยจะเห็นความเคลื่อนไหวในปี 2026

 

“เราไม่ใช่แค่การเป็นเพียงแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่เราตั้งใจจะเป็นบริษัทที่สร้างมาตรฐาน AI ด้านการเดินทางระดับโลก นักท่องเที่ยวในอนาคตจะไม่ต้องค้นหาเอง เพราะ AI จะเตรียมให้ล่วงหน้า เข้าใจบริบท และเสนอเส้นทางที่ดีที่สุด”

]]>
1549877
การศึกษา ‘MIT’ พบ! AI แทนที่ 11.7% ของตลาดแรงงานสหรัฐฯ คิดเป็นค่าจ้าง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ‘งานธุรการ’ เสี่ยงสูงกว่าสาย ‘เทค’ หลายเท่า https://positioningmag.com/1548928 Thu, 27 Nov 2025 06:00:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548928 สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology – MIT) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเข้ามาแทนที่แรงงานในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้แล้วถึง 11.7% หรือคิดเป็นมูลค่าค่าจ้างสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในภาคการเงิน การดูแลสุขภาพ และบริการระดับมืออาชีพ

การศึกษานี้ดำเนินการโดยใช้เครื่องมือจำลองแรงงานที่เรียกว่า ดัชนีภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg Index) ซึ่งสร้างขึ้นโดย MIT และห้องปฏิบัติการแห่งชาติโอ๊คริดจ์ (Oak Ridge National Laboratory – ORNL) ดัชนีนี้จำลองวิธีการปฏิสัมพันธ์ของแรงงานชาวสหรัฐฯ จำนวน 151 ล้านคนทั่วประเทศ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีเท่านั้น และจำลองว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจาก AI และนโยบายที่เกี่ยวข้องอย่างไร

โดยดัชนีนี้ จะถือว่าคนงาน 151 ล้านคนเป็นตัวแทน (agents) แต่ละราย มีการติดแท็กทักษะ งาน อาชีพ และที่ตั้งของแต่ละคน มันทำแผนที่ทักษะมากกว่า 32,000 รายการ ใน 923 อาชีพ ครอบคลุม 3,000 เขต และจากนั้นจะวัดว่าระบบ AI ในปัจจุบันสามารถทำงานเหล่านั้นได้แล้วที่ใดบ้าง โดยสิ่งที่นักวิจัยพบคือ 

การเลิกจ้างในสายงานเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ (IT) ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ คิดเป็นเพียง 2.11 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 2.2% เท่านั้น หรือเป็นเพียงแค่ ยอดภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่สำคัญกว่า คือ ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ความเสี่ยงส่วนใหญ่มูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ที่อยู่ใน งานประจำทั่วไป เช่น งานธุรการสำนักงาน (Office Administration), ฝ่ายบุคคล (HR), โลจิสติกส์ และการเงิน ซึ่งเป็นส่วนที่คนมักมองข้ามไป

Prasanna Balaprakash ผู้อำนวยการ ORNL และผู้นำร่วมในการวิจัย กล่าวว่า ดัชนีนี้ดำเนินการทดลองในระดับประชากร โดยเผยให้เห็นว่า AI ปรับเปลี่ยนงาน ทักษะ และการไหลเวียนของแรงงานอย่างไร ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นในระบบเศรษฐกิจจริง

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็น แซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) หรือสนามทดลอง สำหรับผู้กำหนดนโยบาย ดังนั้น ไม่ใช่เครื่องมือทำนายการตกงาน แต่เป็นเครื่องมือที่บอกว่า AI ในวันนี้สามารถทำทักษะอะไรได้บ้าง เพื่อให้รัฐบาลสามารถใช้ดัชนีนี้จำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ถ้ามีการฝึกอบรมทักษะใหม่ หรือมีการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นกับการจ้างงานและ GDP ในพื้นที่ของตน ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนเงินหลายพันล้านดอลลาร์

ปัจจุบัน มีหลายรัฐที่ได้นำเครื่องมือนี้ไปใช้เพื่อวางแผนรับมือกับผลกระทบของ AI และจัดทำแผนฝึกอบรมบุคลากรที่เหมาะสมกับอนาคตแล้ว เช่น เทนเนสซี, นอร์ทแคโรไลนา และยูทาห์

Source

]]>
1548928
สรุป 6 ทางรอด ‘นักการตลาด’ ในปี 2026 ยุคที่โลก ‘เปราะบาง’ และ ‘ไร้สมดุล’ https://positioningmag.com/1548183 Fri, 21 Nov 2025 11:23:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548183 สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ได้เผยให้เห็นทิศทางของโลกใน ปี 2026 ซึ่งกำลังเข้าสู่ยุค ‘ฉลาดล้ำ แต่เปราะบางและไร้สมดุล’ พร้อมแนะนำ 6 กลยุทธ์ สำหรับองค์กรและนักการตลาดเพื่อเป็นทางรอดในยุคที่มีความท้าทายมากขึ้น

ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย นิยามโลกธุรกิจในปี 2026 ว่า เป็น ‘ปีที่โลกฉลาดล้ำ ขณะเดียวกันก็เปราะบางและไร้สมดุล’ ซึ่งเกิดจากเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาค ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม และพฤติกรรมผู้บริโภค เผยให้เห็น 10 แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่สำคัญ ได้แก่

  1. โลกถึงจุดเปลี่ยน จากโลกที่สมดุล เรากำลังเข้าสู่โลกที่ไม่สมดุล โดยความไม่สสมดุลนี้ หลัก ๆ มาจากความมั่นคงหนี้และการเติบโต ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน, ความสามารถในการผลิตกับขนาดของตลาด และความต้องการพลังงานกับประเด็นสิ่งแวดล้อม
  2. ตลาดขนาดใหญ่ จะถูกแบ่งย่อยเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม Fragmentation เพราะความวุ่นวายที่เกิดใน Globalization ทำให้เกิด Segmentation และย่อยลงมาอีก ดังนั้น แบรนด์ที่จะเติบโตได้ต้องเก่งในสิ่งที่ตัวเองถนัด และเก่งในตลาดที่แม้จะเล็กแต่มีศักยภาพสูง มากกว่าลงไปแข่งในตลาดใหญ่
  3. Asia และ China เริ่มมีอิทธิพลทางความคิดแทนที่ตะวันตก (Asia Soft Power) เช่น เมื่อก่อนแบรนด์ส่วนใหญ่จะเกิดในตะวันตก แล้วมาเติบโตในฝั่งตะวันออก แต่ปัจจุบันแบรนด์แจ้งเกิดตะวันออก และขยายอิทธิพบสู่ตะวันตก ยกตัวอย่างกระแสบอลลี่วู้ด และหนังจีนที่ตอนนี้กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก กระทั่ง Netflix และ HBO ยังต้องมีคอนเทนต์พวกนี้
  4. ความคิดสร้างสรรค์ของนักการตลาดสำคัญกว่าตรรกะ เพราะทุกคนได้ใช้ AI เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการทำการตลาด ดังนั้นหากอยากแตกต่างจำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้มากขึ้น
  5. Multiverse, AI Agentic, Humanoid จะเป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ในการทำตลาดมากขึ้น ซึ่งมีวิจัยทำการสำรวจถึงเซกเตอร์ไหนนำ AI ไปใช้มากที่สุด ปรากฏว่า การตลาด มาเป็นอันดับ 2 รองจาก ดิจิทัลเทค
  6. ผู้บริโภคให้ความสำคัญและใส่ใจกับประเด็นทางสังคมมากขึ้น ( Drama and Viral Marketing ) เช่น ละครคุณธรรมได้รับความนิยม หรือกระแสของ ‘หมอนทอง ฟีเวอร์’ เนื่องจากตอนนี้โลกอ่อนไหวเปราะบางมากขึ้น คนจึงอยากได้แบรนด์ที่เข้าใจและตอบสนองปัญหาเหล่านี้
  7. Influencers ไม่ได้เป็นแค่ผู้นำเชียร์สินค้า แต่ต้องเป็นผู้นำทางความคิด ผู้นำจิตวิญญาณ และต้องเป็น Key opinion customer (KOC)
  8. มีการผสมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของผู้คนเข้ากับแบรนด์ หรือหาจุดที่สะกิดใจผู้บริโภค เช่น นำความเป็นชาติ มาบวกกับความเป็นตัวตนของคนและแบรนด์เข้าด้วยกัน ฯลฯ
  9. การตลาดสำคัญกว่าการผลิต และอยู่รอดได้ด้วยการบริหารเงินและ Cashflow ก่อนหน้านี้มีคำพูดที่ว่า ‘ใครมีลูกค้าในมือ คนนั้นจะชนะ’ แต่ปัจจุบันการบริหารเงินและ Cashflow เป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อให้อยู่รอดได้
  10. แบรนด์กลาง ๆ ที่ไม่มีจุดขายอย่างชัดเจนจะอยู่ได้ยากขึ้น

แนะ 6 กลยุทธ์การตลาดทางรอดในปี 2026

  1. Competitive Advantage Chaotic Advantage : จากโลกที่สมดุลสู่โลก ‘ไร้สมดุล’ ที่วัดฝีมือ เพราะบริษัทที่ยืดหยุ่นกว่า เปลี่ยนได้หลากหลายกว่า คือผู้ได้เปรียบ ทั้งในเชิงกลยุทธ์การตลาดและการจัดการ Supply Chain ทั้งในและต่างประเทศ
  2. Micro Marketing Micro Everything : การตลาดเฉพาะเจาะจงนั้นไม่พอ ต้องเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ต้นน้ำ ต้องมีการผลิตที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น การจัดจำหน่ายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น นักการตลาดที่ดีต้องสามารถช่วยสร้างได้แม้แต่อำนาจซื้อของลูกค้า
  3. AI Marketing Tool AI Marketing Teammate :  แบรนด์จะมี “ทีมงาน AI” ที่คิด ทำ จัดการงานด้านการตลาดได้อัตโนมัติ AI จะไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างชิ้นงานทางการตลาดแต่สามารถช่วยคิดนวัตกรรมและกลยุทธ์ที่มีความสร้างสรรค์ทางการตลาดได้
  4. Brand Management Brand Movement : การจัดการแบรนด์ไม่เพียงพอ แต่แบรนด์ควรเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม และพัฒนาสังคมสู่ความยั่งยืน
  5. Drama Queen Drama Quality : จากดราม่าเพื่อให้เป็นข่าว สู่ไวรัลที่มีความหมาย ส่งผลต่อสังคม และสร้างสรรค์ประโยชน์มากขึ้น
  6. Influencer Selling Influencer Meaning : จาก Influencer ที่เชียร์ขายสู่ Influencer ที่เป็น ‘ผู้นำความคิดและจิตวิญญาณ’ ผู้บริโภคต้องการ guidance ไม่ใช่โฆษณา แบรนด์ที่ดีจะต้องเข้าใจปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคมที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และนำคุณค่าเหล่านั้นมาเป็นจุดขายที่มีความหมายอย่างแท้จริง

นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยประเมินว่า โลกที่ไร้สมดุลนี้จะใช้เวลา 2-3 ปี ในการ ‘ประคั ประคอง’ สถานการณ์ เพื่อหาจุดสมดุลใหม่ ซึ่งถือเป็นความท้าทาย ดังนั้น แบรนด์และนัการตลากจำเป็นต้องมีการปรับตัวอย่างประณีต แม่นยำ และคล่องตัว

ขณะเดียวกัน ต้องกล้าคิดนอกกรอบ ก้าวข้ามการส่งมอบคุณค่าแบบดั้งเดิมให้กับลูกค้า รวมถึงผสมทฤษฎีและภาคปฏิบัติเข้าด้วยกัน กลายเป็นวัฒนธรรมและตัวตนของแบรนด์เพื่ออยู่รอดให้ได้

 

]]>
1548183
หรือ AI จะไม่ใช่แรงขับเคลื่อนศก. ของไทย! ผลสำรวจชี้ ‘องค์กรไทย’ ตื่นตัวจริง แต่เน้นใช้ลดต้นทุน มีแค่ 9% ที่ใช้ ‘สร้างรายได้ใหม่’ https://positioningmag.com/1545796 Thu, 06 Nov 2025 11:19:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545796 หลายคนน่าจะมีคําถามที่ว่า AI เป็นเพียง กระแส หรือคือ แรงขับเศรษฐกิจใหม่ ขององค์กรไทย? ทาง Bualuang Primary Research EP.3 จึงสํารวจเชิงลึกบริษัทจดทะเบียน 90 บริษัท ใน 19 หมวดธุรกิจ ครอบคลุมทั้ง Large-cap 40% แล Mid-Cap/Small- cap กลุ่มละ 30% คิดเป็น 60% ของมูลค่าตลาดรวม (SET Market Cap) เทียบผลกับ CIO Survey ของ Morgan Stanley (US/EU/China) เพื่อดูว่า ไทยอยู่จุดไหนบนเส้นทาง AI โลก

ภาพรวมการใช้ AI + IT ขององค์กรไทยปี 2568

ปัจจุบัน องค์กรในประเทศไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านยุคดิจิทัล จากการศึกษาทดลอง สู่การ เริ่มใช้จริง โดยจากการสำรวจของ Bualuang Primary Research พบว่า องค์กร เกือบครึ่ง มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI หรือ LLM ที่เริ่มใช้งานแล้วจริง แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ ในช่วงนำร่อง และทําเป็นโครงการขนาดเล็กก่อน จึง ยังไม่เห็นผลทางการเงินมาก หรือยังไม่สามารถวัดผลได้ชัดเจน

ผู้ที่ตอบแบบสอบถามจํานวน 2 ใน 3 (67%) มีแผนจะเพิ่มงบ IT อีกในปี 2569 (เทียบกับ 62% ในปี 2568) และพบว่ามีการใช้จ่ายเป็นไปตามแผนงบที่ 68% และเกินงบฯ เพียง 11% สะท้อนช่วงเวลาที่เน้นทดลอง เพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังยึดวินัยทางการเงิน ไม่ได้ทําตามกระแส 

นอกจากนี้ มองว่าวงจรการลงทุนด้านดิจิทัลของไทย กำลังเปลี่ยนจาก การสร้างใหม่ (Build-out) เป็นการ ปรับประสิทธิภาพ (Optimization) ร่วมกับระบบเดิม เพื่อเสริมความ แข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานหลัก และเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวของ Al

Cybersecurity ลงทุนมากที่สุด

ภาพรวมการสํารวจ Cybersecurity ยังคงเป็นหัวใจของเทคโนโลยีไทย เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่ยังอยู่ในโหมด ป้องกับความเสี่ยงมากกว่าการเป็นตัวเร่งการเติบโต โดยกลุ่ม Al/Machine Learning (ML) และ Cloud Services ถือเป็นเป้าหมายหลัก

ลำดับถัดมา คือ เรื่อง Data & Analytics และ ERP/Core upgrades ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการ เน้นความพร้อมของข้อมูลและการปรับระบบให้ทันสมัย ก่อนที่จะขยายการใช้ AI ในระดับองค์กรถัดไป ส่วนกลุ่มที่ถูกตัดงบมากที่สุด คือ หมวด HR software, Infrastructure และ Emerging Tech

ในด้านงบ AI โดยรวมยังอยู่ในระดับจํากัด เพราะบริษัทที่ระบุว่างบด้าน AI เพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่ น่าจะหมายถึงการจัดสรรงบใหม่ภายใน มากกว่าการขยายงบรวมของทั้งองค์กร (Re-allocation)

Al ใช้งานจริง แต่ยังไม่ทําเงินจริง

ผู้ตอบแบบสอบถามประมาณ 55% คาดว่าจะมีโครงการใช้งาน AI ที่เปิดใช้งานจริงภายในสิ้นปี 2568 ทําให้ประเทศไทยอยู่ใกล้เคียงระดับโลก (สหรัฐฯ/ยุโรป -60%, จีน -55%) แต่ถึงแม้จะมี การใช้งานจริง บริษัทก็ยัง ไม่สามารถประเมินผลกระทบต่อกำไรได้ คิดเป็นกว่า 66% ของที่จะใช้งาน

และโครงการส่วนใหญ่ยังคงใช้ภายในองค์กร เช่น การทํางานอัตโนมัติ และการเพิ่มประสิทธิภาพ มากกว่าการสร้างรายได้ใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับผลสํารวจของ McKinsey ปี 2568 ที่ระบุว่า แม้บริษัททั่วโลกกว่าราว 87% คาดว่า AI จะเพิ่มรายได้ภายใน 3 ปี แต่มีเพียงแค่ 19% ที่วัดผลเชิงการเงินได้จริงแล้ว

ขณะที่ เป้าหมายหลักของการใช้ AI ในปี 2568 สะท้อนแนวคิดขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพ โดย

  • มุ่งลดต้นทุน (74%)
  • เน้นเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน (70%)
  • เสริมการเติบโตของรายได้ (9%)

ดังนั้น ปี 2568 ของไทยจึงถือเป็นปีของการวางรากฐานดิจิทัล ที่เน้นการควบคุมวินัยทาง การเงิน ผลตอบแทนจากการลงทุน และสร้างความพร้อมของระบบมากกว่าการสร้างรายได้

คน อุปสรรคหลักการพัฒนา AI

36% ของบริษัทที่ทำแบบสำรวจระบุว่า ปัญหาขาดแคลนคนเป็นอุปสรรคหลัก ในการพัฒนา AI แต่บริษัทมากถึง 61% ก็ยังคงเลือกพัฒนา Al ด้วยตัวเอง ยิ่งสะท้อนรูปแบบ การพัฒนาที่เป็นไปอย่าง ระมัดระวัง เน้นความมั่งคง โครงการขนาดเล็ก มีความปลอดภัย และขับเคลื่อนภายในองค์กรก่อน ส่วนองค์กรที่เน้น ร่วมมือกับพันธมิตร มีสัดส่วนเพียง 21% 

ส่วนความร่วมมือกับต่างประเทศ แม้จะมีต้นทุนสูง แต่ช่วยให้โครงการสามารถไปต่อได้รวดเร็วกว่า ซึ่งเฟสต่อไปของไทยจึงอาจเป็นการผสมผสานรูปแบบ Hybrid co-development หรือ Al-as-a-Service ระหว่างผู้พัฒนาในประเทศกับพันธมิตรต่างชาติ

AI ยังไม่ใช่ปัจจัยหนุน EPS

อิงจากกลุ่มตัวอย่างที่สํารวจ (ซึ่งคิดกำไรเป็นสัดส่วนประมาณ 50% กำไรสุทธิของ SET) จะเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของไทยในปัจจุบัน อยู่ในฐานะ การรักษาเสถียรภาพของกำไร มากกว่าการสร้างการเติบโต โดยในช่วง 2 ปีข้างหน้า แม้ว่าบริษัทมีแผนเพิ่มงบลงทุน IT ราว 67% แต่ มีเพียง 20% ที่ระบุว่า กำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 5% จากการลงทุนด้านดิจิทัล 

ดังนั้น เมื่อเทียบกับสมมติฐานฐาน EPS ปี 2569 ของ SET ที่ 90 จุด จะสะท้อนการหนุนเพียง 2-2.5% เท่านั้น นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่มที่สำรวจยังไม่สามารถวัด ROI ได้จริงราว 66% ซึ่งยืนยันว่าผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลต่อ EPS ยังอยู่ในช่วงที่ประเมินผลได้ไม่ชัดเจน

ดังนั้น การลงทุนด้าน Al ระลอกแรกของไทยมุ่งเน้นไปที่ กลุ่มต้นน้ำ อย่าง DELTA ซึ่ง ได้รับอานิสงส์จากการขยายศูนย์ข้อมูลระดับโลก ขณะที่ในประเทศ ความสนใจได้ไปสู่ กลุ่มโรงไฟฟ้าและนิคมฯ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างฐานโครงสร้างพื้นฐาน ภายในประเทศ สำหรับฝั่งผู้ใช้งาน Al แบบองค์กร ผลการสำรวจของเราชี้ว่า กลุ่ม ICT, Healthcare และ Food เป็นผู้นำการใช้งาน แม้ผลเชิงตัวเลขในระยะสั้นจะยัง ไม่ชัดเจนก็ตาม

ในส่วนของผู้ให้บริการด้าน IT และ Al แบ่งเป็น สี่ธีมการลงทุนหลัก โดย ธีมแรก-Staple Tech (ความมั่นคงทางไซเบอร์และการปรับระบบหลัก) เป็นธีมในระยะสั้นที่มีอุปสงค์ต่อเนื่องและเอื้อต่อบริษัทผู้ให้บริการวางระบบ ขณะที่อีกสามธีม ได้แก่ การย้ายระบบขึ้นคลาวด์ (Cloud Migration), การ สร้างประโยชน์จาก AI (AI Monetization) และ ความพร้อมของข้อมูล (Data Readiness) จะเป็นโอกาสในระยะกลาง เนื่องจากยังเผชิญกับภาวะงบ IT ที่ระมัดระวัง

ข้อควรระวังในอนาคต

จะเห็นว่า ผลเชิงบวกจะไม่ถูกส่งผ่านมาถึง Household consumption เหมือนใน US ซึ่งได้อานิสงส์ wealth effect จากตลาดหุ้นที่ปรับขึ้น เนื่องจาก US มี Magnificent Seven กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 แห่งในสหรัฐฯ ได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet, Meta, Nvidia, และ Tesla ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงมากและราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมากจาก AI) แต่ไทยมีหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัว เช่น Delta One 

นอกจากนี้ ภาพในระยะยาวการเพิ่มขึ้นของ Data center อาจจะทําให้ ราคาพลังงานในประเทศสูงขึ้น เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟสูง และไม่มี AI รวมถึง Consumer อาจจะถูกกระทบ อีกทั้งถ้าไทยพัฒนาคนไม่ได้ และถูกทดแทนด้วย AI ยิ่งกระทบตลาดแรงงาน

]]>
1545796
‘Nvidia’ เดินหน้าลงทุนรัว ๆ ล่าสุด เข้าซื้อหุ้น ‘Nokia’ มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ หวังสร้างโครงข่ายสำหรับ AI และพัฒนา 6G https://positioningmag.com/1544663 Wed, 29 Oct 2025 11:20:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544663 หลังจากที่ชิปของ เอ็นวิเดีย (Nvidia) กลายเป็นเหมือนศูนย์กลางของโลก AI ทำให้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บริษัทก็ได้เดินหน้าเข้าถือหุ้นในพันธมิตรเชิงกลยุทธ์หลายราย จนล่าสุด บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นใน โนเกีย (Nokia) บริษัทสัญชาติฟินแลนด์ ที่เคยครองตลาดฟีเจอร์โฟนในช่วงยุค 90 และ 2000

ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา Nvidia ได้ประกาศว่าจะลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ ในอดีตคู่แข่งอย่าง Intel และกล่าวว่าจะลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ ใน OpenAI นอกจากนี้ยังได้ประกาศว่าจะลงทุน 500 ล้านดอลลาร์ ใน Wayve บริษัทสตาร์ทอัพรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ และลงทุน 667 ล้านดอลลาร์ ใน Nscale ผู้ให้บริการคลาวด์ในสหราชอาณาจักร

เรียกได้ว่า เดือนที่ผ่านมา Nvidia จะลงทุนรัว ๆ แต่ดูเหมือนบริษัทจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ โดยล่าสุด Nokia ที่ปัจจุบันเน้นที่ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เซลลูลาร์ 5G ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม ได้เปิดเผยว่า Nvidia กำลังเข้าซื้อหุ้นในบริษัทเป็นมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์

โดยทั้งสองบริษัทได้ทำข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ เพื่อทำงานร่วมกันในการพัฒนาเทคโนโลยีเซลลูลาร์ 6G ในยุคหน้า และ Nokia จะปรับปรุงซอฟต์แวร์ 5G และ 6G ของตนให้ทำงานบนชิปของ Nvidia ได้ รวมถึงจะร่วมมือกันในเทคโนโลยีโครงข่าย AI Infrastructure สำหรับอนาคต

ทั้งนี้ Nokia จะออกหุ้นใหม่มากกว่า 166 ล้านหุ้น และจะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นทุนในการพัฒนาแผนงานด้าน AI และเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไปอื่น ๆ ของบริษัท ซึ่งหลังจากการประกาศข่าวดังกล่าว ราคาหุ้นของ Nokia ได้พุ่งขึ้นถึง +22%

ขณะที่หุ้นของ Nvidia ก็พุ่งขึ้นมากกว่า +3% ก่อนเปิดตลาดในวันพุธ หนุนให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้ก้าวขึ้นเป็นบริษัทแรกที่มูลค่าตลาดทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์

Source

]]>
1544663
‘Amazon’ เตรียมปลดพนักงาน 30,000 ตำแหน่ง นับเป็นการลดคนครั้งใหญ่สุดในรอบ 3 ปี! https://positioningmag.com/1544372 Tue, 28 Oct 2025 00:17:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544372 Amazon บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังวางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานในส่วนงานองค์กร (corporate jobs) มากถึง 30,000 ตำแหน่ง โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อลดค่าใช้จ่าย และโละพนักงานส่วนเกินที่ถูกจ้างเพิ่มในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19

Reuters รายงานว่า Amazon เตรียมปรับลดจำนวนพนักงานลง 10% หรือราว 30,000 ตำแหน่ง จากพนักงานในองค์กรทั้งหมด 350,000 คน โดยการปลดพนักงานในครั้งนี้ นับเป็นการปลดครั้งใหญ่สุด นับตั้งแต่ปลายปี 2022 ที่บริษัทได้ปรับลดคนไปราว 27,000 ตำแหน่ง

โดยการปรับลดครั้งใหม่นี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหลากหลายแผนก อาทิ ทรัพยากรบุคคล (Human Resources), ฝ่ายปฏิบัติการ (Operations), แผนกอุปกรณ์และบริการ (Devices and services) และแผนก Amazon Web Services (AWS) โดยบริษัทได้มีการแจ้งให้ผู้จัดการของทีมที่ได้รับผลกระทบเข้ารับการฝึกอบรมในวันจันทร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสื่อสารกับพนักงาน หลังจากอีเมลแจ้งเตือนจะเริ่มถูกส่งออกไปในเช้าวันอังคาร

ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว 3 ราย เปิดเผยกับ Reuters  ว่า การปลดพนักงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ ปรับลดค่าใช้จ่าย และการแก้ไขปัญหา การจ้างงานเกินความจำ เป็นในช่วงที่ความต้องการสูงที่สุดของการแพร่ระบาดของ COVID-19

อีกทั้ง การปรับลดคนระลอกใหญ่ของบริษัทครั้งนี้ ถือเป็นการเดินตามนโยบายของ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ต้องการลดสิ่งที่เขาเรียกว่า ระบบส่วนเกิน (excess of bureaucracy) ที่นำไปสู่การลดจำนวนผู้จัดการลง เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน นอกจากนี้ AI ถือเป็นอีกส่วนที่นำไปสู่การลดจำนวนพนักงานลงอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการทำงานอัตโนมัติในงานที่ซ้ำซาก

Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon (Photo by Spencer Platt/Getty Images)

Sky Canaves นักวิเคราะห์จาก eMarketer มองว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดนี้บ่งชี้ว่า Amazon น่าจะตระหนักถึงการเพิ่มผลผลิตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในทีมองค์กรมากพอที่จะสนับสนุนการลดกำลังคนจำนวนมาก และ Amazon กำลังอยู่ภายใต้ความกดดันที่จะต้อง ชดเชยการลงทุนระยะยาวในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วย

ทั้งนี้ Amazon เคยออกนโยบายให้พนักงานกลับเข้าทำงานในสำนักงาน 5 วันต่อสัปดาห์ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่เข้มงวดที่สุดในบรรดาบริษัทเทคโนโลยี จนหลายคนมองว่า นโยบายดังกล่าวต้องการ บีบให้พนักงานลาออก อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวไม่สามารถสร้างการลาออกได้มากตามที่คาดไว้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่นำไปสู่การเลิกจ้างครั้งใหญ่นี้

]]>
1544372
หรือไม่เกี่ยวกับ AI? นักวิชาการมอง AI อาจเป็นเพียง ‘ข้ออ้าง’ ที่บริษัทใช้ ‘ปลดพนักงาน’ ทั้งที่จริงอยากปรับโครงสร้างอยู่แล้ว https://positioningmag.com/1543504 Mon, 20 Oct 2025 10:20:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543504 ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทใหญ่ระดับโลกทั้งในภาคเทคโนโลยีและสายการบินได้ประกาศ ลดจำนวนพนักงานลงอย่างมาก ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจากกระแสการมาของ AI ทำให้พนักงานเกิดความกังวลอย่างหนัก แต่มีนักวิจารณ์หลายคนมองว่า AI ได้กลายเป็นข้ออ้างที่ง่าย สำหรับบริษัทที่ต้องการลดขนาดองค์กร

ที่ผ่านมา มีหลายองค์กรที่ประกาศลดคนงาน โดยระบุว่าจะหันไปใช้ AI แทน อาทิ

  • Accenture บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี ประกาศเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า บริษัทมีแผนปรับโครงสร้าง หากใครไม่ ฝึกฝนทักษะใหม่ด้าน AI อาจไม่ได้ไปต่อ
  • Lufthansa สายการบินสัญชาติเยอรมัน ก็ประกาศ ลดตำแหน่งงาน 4,000 ตำแหน่งภายในปี 2030 โดยจะใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
  • Salesforce ก็ปลดพนักงานฝ่ายสนับสนุนลูกค้า 4,000 ตำแหน่งในเดือนกันยายน โดยอ้างว่า AI สามารถทำงานได้ถึง 50% ของงานทั้งหมด
  •  Klarna บริษัท Fintech ได้ ลดพนักงานลง 40% เนื่องจากมีการนำเครื่องมือ AI มาใช้ในองค์กรอย่างจริงจัง
  • Duolingo แพลตฟอร์มสอนภาษา ก็ระบุว่าจะ ลดการพึ่งพาพนักงานสัญญาจ้าง (contractors) ลง และใช้ AI มาเติมเต็มช่องว่างแทน

AI เป็นแค่แพะรับบาป

Fabian Stephany ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้าน AI และการทำงานจากสถาบัน Oxford Internet Institute กล่าวว่า การลดพนักงานอาจมี เบื้องลึกเบื้องหลัง มากกว่าที่เห็น โดยเขามองว่า บริษัทต่าง ๆ สามารถใช้ AI เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและยังคงสามารถแข่งขันได้ ขณะเดียวกันก็ ปกปิดเหตุผลที่แท้จริงของการปลดพนักงาน โดยตอนนี้บริษัทต่าง ๆ อาจกำลังใช้ AI เป็น แพะรับบาป เพื่อรองรับการตัดสินใจทางธุรกิจที่ยากลำบากอย่างเช่น การปลดพนักงาน

“ผมค่อนข้างสงสัยว่าการเลิกจ้างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ เกิดจากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ แต่มันเหมือนกับการฉายภาพไปยัง AI ในแง่ที่ว่า เราสามารถใช้ AI เป็นข้ออ้างที่ดีในการปลดคนได้”

การจ้างงานเกินขนาดหลังยุค COVID-19

Stephany ชี้ว่าอาจมีเหตุผลอื่นมากมายที่ทำให้บริษัทต้องลดจำนวนพนักงานลง โดยเฉพาะบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เช่น Duolingo หรือ Klarna ซึ่งมีการ จ้างงานเกินขนาด (overhiring) ในช่วงนั้น ดังนั้น การเลิกจ้างในปัจจุบันจึงอาจเป็นเพียงการปลดคนที่ไม่สามารถสร้างมุมมองระยะยาวที่ยั่งยืนได้

“แทนที่จะยอมรับว่า เราคำนวณพลาดไปเมื่อสองสามปีก่อน พวกเขาสามารถใช้ AI เป็นแพะรับบาปและบอกว่า มันเป็นเพราะ AI ต่างหาก”

ด้าน Jean-Christophe Bouglé ผู้ก่อตั้ง Authentic.ly ก็มีความเห็นคล้ายกัน โดยระบุในโพสต์บน LinkedIn ว่า การนำ AI มาใช้นั้นเป็นไป ช้ากว่าที่กล่าวอ้างไว้มาก และในองค์กรขนาดใหญ่ แทบจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น กับโครงการ AI เลย บางโครงการยังถูกยกเลิกเนื่องจาก ต้นทุน หรือ ข้อกังวลด้านความปลอดภัย

“ขณะเดียวกัน ก็มีการประกาศแผนปลดพนักงานครั้งใหญ่ เพราะ AI ดูเหมือนว่าจะเป็นข้ออ้างใหญ่ในบริบทที่เศรษฐกิจในหลายประเทศกำลังชะลอตัว”

ข้ออ้างที่ยิ่งทำให้คนกลัว

Jasmine Escalera ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพ กล่าวว่า การที่ใช้ AI มาเป็นข้ออ้างในการลดคน อาจจะยิ่งทำให้ เพิ่มความกลัว AI เนื่องจากพนักงานทั่วโลกกังวลว่างานของพวกเขาจะถูกแทนที่ ดังนั้น บริษัทใหญ่ ๆ ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะพวกเขากำลังกำหนดบรรทัดฐานสำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจ

“เรารู้อยู่แล้วว่าพนักงานกลัว เพราะบริษัทไม่ได้ซื่อสัตย์ เปิดเผย หรือสื่อสารอย่างชัดเจนว่ากำลังจะนำ AI มาใช้ในรูปแบบใด และเมื่อบริษัทประกาศอย่างเปิดเผยว่า เรากำลังจะปลดคนเพราะ AI’ ก็ยิ่งเติมเชื้อไฟให้เกิดความตื่นตระหนก”

ทั้งนี้ มีรายงานของ The Budget Lab ที่มหาวิทยาลัยเยล และงานวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์ New York Fed แสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจาก AI น้อยมาก นับตั้งแต่มีการเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022

โดยบริษัทด้าน งานบริการ มีการใช้งาน AI เพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 40% ในปีนี้ ขณะที่บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม การผลิต มีการใช้งาน AI เพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 26% แต่มีเพียง 1% ของบริษัทบริการเท่านั้นที่รายงานว่า AI เป็นสาเหตุของการปลดคน ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

ในทางตรงกันข้าม 35% ของบริษัทบริการใช้ AI เพื่อฝึกอบรมพนักงานใหม่ และ 11% จ้างพนักงานเพิ่มขึ้นเพราะ AI

Fabian Stephany สรุปว่า ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจากการวิจัยของเขาที่แสดงให้เห็นถึง การว่างงานในระดับมหาศาลเนื่องจาก AI นัา พร้อมย้ำว่า ที่ผ่านมา ความกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะทำให้งานของมนุษย์หมดไปนั้นมีมาตลอด แต่ทุกครั้งผลลัพธ์กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือ ทำให้เกิดงานใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ไม่มีใครรู้จักอาชีพ “อินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย” หรือ “นักพัฒนาแอปพลิเคชัน” เลย

Source

]]>
1543504
ประเมิน ‘AI PC’ จะครองส่วนแบ่งตลาด 31% ภายในสิ้นปีนี้ และจะยึดสัดส่วน ‘ครึ่งหนึ่ง’ ภายในปีหน้า! https://positioningmag.com/1543229 Fri, 17 Oct 2025 06:06:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543229 แม้ว่าสัญญาณบวกของ ตลาดพีซีโลก จะเริ่มเห็นตั้งแต่ปี 2024 ที่เติบโตขึ้น +1.3% แต่ภาพยิ่งชัดขึ้นในไตรมาสแรกปี 2025 ที่มียอดจัดส่งรวม 58.9 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นถึง +4.8% นับเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันที่มีการเติบโตหลังจากภาวะชะลอตัวต่อเนื่องหลายไตรมาส

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตลาดพีซีโลกในปี 2025 กำลังอยู่ในช่วง ฟื้นตัวและเติบโต หลังจากช่วงซบเซา คือ การเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 และ การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในพีซี (AI PC) โดยการ์ทเนอร์เผยว่า ภายในสิ้นปีนี้ (2568) คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI PCs จะครองส่วนแบ่งตลาดพีซีทั้งหมดทั่วโลก 31% โดยมียอดจัดส่ง AI PCs ทั่วโลกอยู่ที่ 77.8 ล้านเครื่อง ในปีนี้ จากในปี 2024 AI PCs มีสัดส่วนที่ 15.6% 

โดยในปี 2569 คาดการณ์ว่า ยอดจัดส่ง AI PC จะอยู่ที่ 143 ล้านเครื่อง และจะครองส่วนแบ่งตลาดพีซีทั้งหมดถึง 55% โดยอีก 4 ปีข้างหน้า (2572) AI PC จะกลายเป็น มาตรฐานใหม่ ของการใช้งานเครื่องพีซี 

Ranjit Atwal ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า แม้ว่าตลาดปีนี้อาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากมาตรการด้านภาษี ส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักของการซื้อ อันเนื่องมาจากเหตุความไม่แน่นอนของตลาด แต่ AI PCs กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงในตลาด โดยผู้ใช้จะลงทุนซื้อ AI PCs เพื่อความมั่นใจว่าพวกเขาพร้อมรับมือกับการนำ AI มาใช้งานมากขึ้นในยุคนี้

อย่างไรก็ตาม ในภาคธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไปจะมีการเลือก AI PC มาใช้งานแตกต่างกัน โดยการตัดสินใจหลัก ๆ จะเน้นไปที่การเลือกแพลตฟอร์มโปรเซสเซอร์ AI PC การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าแล็ปท็อปสถาปัตยกรรม Arm (Arm-based laptops) จะครองส่วนแบ่งในตลาดผู้บริโภคมากกว่าภาคธุรกิจ 

ส่วนภาคธุรกิจ ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรม x86 บน Windows ซึ่งคาดว่าจะครองส่วนแบ่งตลาด AI Business Laptop 71% ในปีนี้ ขณะที่ Arm จะอยู่ที่ 24%

เพื่อให้สอดรับกับ AI PC ที่แพร่หลายมากขึ้นในตลาด การ์ทเนอร์คาดว่าภายในสิ้นปี 2569 ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ 40% จะให้ความสำคัญกับการลงทุนความสามารถของ AI ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพโดยตรงของพีซี เพิ่มขึ้นจาก 2% ในปี 2567 และในปีเดียวกันนั้นโมเดลภาษาขนาดเล็กหลายตัว หรือ Multiple Small Language Models (SLMs) จะทำงานอยู่บนพีซีเพิ่มขึ้นจากศูนย์เมื่อปี 2566

โดยโมเดลภาษาขนาดเล็ก (SLMs) ช่วยทำให้การรันฟีเจอร์ AI ขั้นสูงตรงจากพีซีและอุปกรณ์ดีไวซ์อื่น ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้เครื่องตอบสนองรวดเร็วขึ้น ใช้พลังงานลดลง และลดการพึ่งพาบริการคลาวด์ลง โดย SLMs ยังมอบความอัจฉริยะในงานเฉพาะด้าน (Task-Specific Intelligence) ช่วยรักษาข้อมูลของผู้ใช้และธุรกิจให้ปลอดภัย เนื่องจาก AI ทำงานตรงผ่านอุปกรณ์ดีไวซ์

เพื่อปลดล็อกการเติบโตครั้งใหม่ ผู้จำหน่ายคอมพ์ส่วนบุคคลต้องมองให้ไกลกว่าเรื่องฮาร์ดแวร์และการส่งมอบซอฟต์แวร์ที่ถูกกำหนดไว้ โดยหันมายึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลางในการออกแบบ สำหรับรองรับบทบาทและยูสเคสการใช้งานที่มีความเฉพาะ

เนื่องจากอนาคตของ AI PCs ขึ้นอยู่กับการปรับแต่งเฉพาะของแต่ละคน ซึ่งมันช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าอุปกรณ์ผ่านแอป ฟีเจอร์ และฟังก์ชันได้ตามที่ต้องการ ยิ่งผู้ใช้มีส่วนร่วมกับ AI PC ของผู้จำหน่ายมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ผู้จำหน่ายเข้าใจผู้ใช้มากขึ้นเท่านั้น และทำให้สามารถปรับปรุงคุณภาพพร้อมสร้าง Brand Loyalty ที่แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

]]>
1543229
เตรียมพบ ‘ChatGPT’ เวอร์ชั่นคุยเรื่อง ’18+’ เริ่มธ.ค.นี้ เฉพาะผู้ใช้ที่ยืนยันอายุแล้วเท่านั้น! https://positioningmag.com/1543042 Thu, 16 Oct 2025 05:29:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543042 แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยให้ผู้ใช้ ChatGPT ที่เป็น ผู้ใหญ่ สามารถเข้าถึง ChatGPT ที่มีการเซ็นเซอร์น้อยลง ซึ่งจะรวมถึงเนื้อหาที่สื่อถึงเรื่อง 18+

“ในเดือนธันวาคมนี้ ขณะที่เรากำลังดำเนินการเปิดใช้งานการตรวจสอบอายุ (age-gating) อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของหลักการปฏิบัติกับผู้ใช้ที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนเป็นผู้ใหญ่ เราจะอนุญาตให้มีเนื้อหาที่มากขึ้นไปอีก เช่น เรื่อง 18+ สำหรับผู้ใช้ที่ได้รับการยืนยันตัวตนแล้ว”

แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าเนื้อหาใดที่จะเข้าข่ายเป็นสื่อเรื่องเพศที่ได้รับอนุญาต แต่การเคลื่อนไหวนี้ ถือเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายของ OpenAI ซึ่งเดิมเคยห้ามเนื้อหาดังกล่าว

ที่ผ่านมา ChatGPT ถูกออกแบบให้ ค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่อง 18+ เพื่อปกป้องผู้ใช้จากความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต แต่กลายเป็นว่าแนวทางดังกล่าวทำให้ ChatGPT มีประโยชน์น้อยลง และ ไม่น่าเพลิดเพลิน สำหรับผู้ใช้จำนวนมากที่ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต

นอกจากนี้ ChatGPT พึ่งเปิดตัวฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย และการควบคุมโดยผู้ปกครอง ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อแก้ไขข้อกังวลว่า ChatGPT จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้เยาวชน

“ตอนนี้ที่เราสามารถบรรเทาปัญหาสุขภาพจิตที่ร้ายแรงได้แล้ว และมีเครื่องมือใหม่ ๆ เราจะสามารถผ่อนคลายข้อจำกัดได้อย่างปลอดภัยในกรณีส่วนใหญ่” เขากล่าว

ทั้งนี้ OpenAI ได้เริ่มส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เมื่อมีการอัปเดตภาษาในหน้า “Model Spec” เพื่อ “เพิ่มเสรีภาพสูงสุด” ให้กับผู้ใช้ มีเพียงเนื้อหาทางเพศที่เกี่ยวข้องกับผู้เยาว์เท่านั้นที่ถูกห้าม ถึงอย่างนั้น สื่อเรื่องเพศก็ยังถือเป็น “เนื้อหาที่ละเอียดอ่อน” ที่จะถูกสร้างขึ้นในบริบทที่ได้รับอนุญาตบางอย่างเท่านั้น

นอกเหนือจากการเปิดตัวให้คุยเรื่อง 18+ ในเดือนธันวาคมแล้ว อัลต์แมนยังกล่าวอีกว่า ChatGPT เวอร์ชันใหม่จะเปิดตัวในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะช่วยให้แชตบอตสามารถปรับใช้บุคลิกที่แตกต่างกันมากขึ้น โดยต่อยอดจากการอัปเดตในเวอร์ชัน GPT-4o ล่าสุด

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของอัลต์แมนเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังเผชิญกับการตรวจสอบที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยของตน โดยในเดือนกันยายน คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (Federal Trade Commission – FTC) ได้เริ่มการสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง รวมถึง OpenAI เกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กและวัยรุ่น

เรื่องนี้เกิดขึ้นตามมาด้วยคดีความจากคู่รักชาวแคลิฟอร์เนียที่กล่าวหาว่า ChatGPT มีส่วนทำให้ลูกชายวัย 16 ปีของพวกเขาฆ่าตัวตาย และเมื่อวันอังคาร OpenAI ยังได้ประกาศจัดตั้ง คณะมนตรีผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นอยู่ที่ดีและ AI (expert council on well-being and AI) จำนวน 8 คน เพื่อให้คำแนะนำแก่บริษัทว่าปัญญาประดิษฐ์ส่งผล กระทบต่อสุขภาพจิต อารมณ์ และแรงจูงใจของผู้ใช้อย่างไร

]]>
1543042
แนะ ‘เดอะแบก’ เร่งวางแผนการเงิน รับมือเศรษฐกิจไม่ดี-เสี่ยงตกงาน-เกษียณตอนอายุ 45 ปี https://positioningmag.com/1542578 Sat, 11 Oct 2025 08:32:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542578 ในยุคที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจการเงินของโลกผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บวกกับเศรษฐกิจเติบโตต่ำ ล้วนส่งผลกระทบต่อ ‘คนทำงาน’ เงินเดือนไม่ขึ้น-โบนัสไม่มี-โอทีไม่ได้ แถมเสี่ยงตกงาน และหลายองค์กรเริ่มเปิดให้พนักงานสมัครใจเกษียณได้ตั้งแต่อายุ 45 ปี สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณว่า คนไทยอาจต้องเผชิญกับ ‘ชีวิตการทำงานที่สั้นลง’ (20–25 ปี) แต่ ‘ชีวิตหลังเกษียณยาวนานขึ้น’ (35–40 ปี)

 

สิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็นปัจจัยสั่นคลอนต่อฐานะการเงินของคนไทย โดยเฉพาะ ‘คนชั้นกลาง’ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ‘เดอะแบก’ ที่มีภาระรับผิดชอบดูแลทั้งพ่อแม่และครอบครัวตนเอง ส่งผลให้จาก ‘กลุ่มที่เคยมั่นคง’ อาจกลายเป็น ‘กลุ่มเปราะบาง’ หากขาดการวางแผนการเงินที่ดี เพราะรายได้หดหายไป มีความเสี่ยงจากหลายๆ ปัจจัย ขณะที่ยังมีภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายครอบครัวอยู่

 

ในงานเสวนา ‘วันวางแผนการเงินโลก World Financial Planning Day 2025’ สมาคมนักวางแผนการเงิน ได้แชร์ถึงทางรอดและวิธีสร้างความมั่นคงทางการเงินเพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นไว้น่าสนใจ

 

การเงินดี ไม่ใช่แค่ตัวเลขในสมุด

 

‘วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ’ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทยคนแรก กล่าวว่า สําหรับนักวางแผนการเงิน คําว่า ‘การเงินดี ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเลขในสมุด แต่คือสะพานที่พาเราไปถึงเป้าหมายของชีวิต คือ เกราะป้องกันที่ช่วยให้เรายืนหยัดท่ามกลางพายุ และเป็นพลังที่ทําให้เรามีอิสระในการเลือกอนาคตที่เราอยากเป็น

 

สถานการณ์ในโลกปัจจุบันที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วแบบไม่มีใครคาดเดาได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น การจัดการชีวิต วางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจึงสําคัญมาก โดยวิกฤตการณ์การเงินโลก และการระบาดของโควิด-19 มีหลักฐานประจักษ์ชัดว่า คนที่มีการวางแผนการเงินที่ดี ชีวิตจะมีความมั่นคงกว่า สามารถผ่านช่วงเวลายากลําบากหรือเหตุไม่คาดฝันในชีวิตได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้วางแผน

 

อย่างไรก็ตาม จากการสํารวจของ Financial Planning Standards Board พบว่า มีคนเพียง 20% เท่านั้น      ที่มั่นใจว่ามีแผนการเงินที่ดี สามารถรับมือกับอนาคตได้เป็นอย่างดี ส่วนอีก 80% ยังไม่มั่นใจ หรือยัง ‘ไม่มีแผน’    จะรับมือกับเรื่องการเงินในชีวิตได้

 

ทางรอดที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือ ให้เร่ง ‘ลงทุนในตัวเอง’ ด้วยการพัฒนาตัวเองทั้ง ความรู้ความสามารถและทักษะใหม่ๆ ที่ทันสมัยรับมือ อาทิ ทักษะด้าน AI เพื่อรับมือและให้อยู่รอดได้ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ควบคู่ไปกับต้องรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีวินัย เช่น ‘ใช้น้อยกว่าที่หาได้-เก็บออมให้เป็น-ลงทุนอย่างมีเป้าหมายและหลักการ’ แต่ต้องไม่เป็นทาสของเงินหรือวัตถุ เพราะคุณค่าที่แท้จริงมิได้อยู่ที่สิ่งที่เราครอบครอง แต่อยู่ที่สิ่งที่เราเป็น

 

แนะการวางแผนการเงินรับมือเหตุไม่คาดคิด

 

ด้านนายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ‘วิโรจน์ ตั้งเจริญ’ ได้แชร์ถึงงานวิจัยระดับโลกจาก FPSB พบว่า

 

79% ของผู้ที่วางแผนการเงินเชื่อว่าช่วยทำให้ฝันในชีวิตเป็นจริงได้

73% ของผู้ที่วางแผนการเงินรู้สึกว่ารับมือปัญหาสุขภาพได้ดีกว่า

51% มองการวางแผนการเงินส่งผลดีต่อชีวิตครอบครัว

51% บอกว่าช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น

 

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย แนะนำการรับมือการวางแผนเกษียณให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ไม่คาดคิดใน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ‘คนทั่วไป’ และ ‘กลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน’ ทั้งที่อายุต่ำกว่า 55 ปี และกลุ่มอายุสูงกว่า 55 ปี

 

กลุ่มคนทั่วไป : นอกเหนือจากเงินฉุกเฉิน 6-12 เดือน ต้องวางแผนภาษี ลดความเสี่ยงในชีวิต และวางแผนเกษียณควบคู่กันไปด้วย

 

สำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะใช้หลัก 4 Magic no. คือ จากรายได้ 100% แบ่งใช้จ่ายดังนี้ 40% นำไปใช้หนี้, 30% ใช้จ่ายทั่วไป, 20% ออมเพื่อ ตัวเอง และ 10% ทำประกันเพื่อลดความเสี่ยง

 

นอกจากนี้ต้องไม่เป็นหนี้เกินความจำเป็น และท่องไว้ ‘ออมก่อนใช้’ สุดท้ายใช้หลัก 3 รู้

1) รู้เป้าหมายชีวิต ลงทุนเพื่ออะไร

2) รู้จักตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน

3) รู้จักเครื่องมือในการลงทุน

 

กลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน : ต้องเริ่มจากตรวจสอบสินทรัพย์เพียงพอหรือยัง เมื่อเทียบกับเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณ (ได้แก่ สินทรัพย์ต่างๆ, เงินฝาก, PVD, RMF, ภาษี และเงินชดเชยต่างๆ ที่ได้จากตอนออกจากงาน)

 

นอกจากนี้ ต้องตรวจสอบภาระหนี้สินที่มีอยู่ ว่ามีหนี้อะไรบ้าง เพื่อนำมาวางแผนเคลียร์หนี้ โดยต้องเคลียร์หนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงก่อน

 

รวมถึงประมาณการรายได้กับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละเดือนว่ามีรายรับจากอะไร (เช่น ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, เงินปันผล เป็นต้น) และมีค่าใช้จ่ายเท่าไร หากค่าใช้จ่ายมากกว่ารายรับ ต้องพิจารณาว่าตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไหนออกได้บ้าง หรือต้องหารายได้เสริม จากความถนัดของตัวเอง หรือต้อง Upskill / Reskill เพิ่ม โดยลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้แบบนี้วนไป จนกว่าจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด

 

กรณีที่ 1  คนที่ถูกให้ออกจากงาน ที่อายุต่ำกว่า 55 ปี ต้องทำดังนี้

 

o   ตรวจสอบประกันสุขภาพว่ามีเพียงพอ

o   ตรวจสอบสิทธิประกันสังคมที่พึงได้

o   ควรคงเงิน PVD และ RMF ไว้ก่อน!!

o   พิจารณาว่าจะหางานใหม่หรือพอแค่นี้

 

กรณีที่ 2 คนที่ถูกให้ออกจากงาน อายุ 55 ปีขึ้นไป

 

o   การจัดสรรเงินเกษียณ และเงินชดเชยที่ได้ จะบริหารเงินก้อนนี้ยังไง?

o   สิทธิรักษาพยาบาล มีอะไรติดตัวบ้าง

o   ตรวจสอบสิทธิที่พึงได้จากภาครัฐ เช่น เงินบำนาญจากประกันสังคม, เบี้ยเงินชรา เป็นต้น

o   เปรียบเทียบ สิทธิบัตรทอง หรือ ประกันสังคม แบบไหนดีและเหมาะสมกับตัวเองกว่ากัน

o   พิจารณาว่า Early Retire หรือทำงานต่อ ถ้าจะทำงานต่อต้อง Reskill ด้านไหนเพิ่มบ้าง

]]>
1542578