AI – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 10 Jan 2025 01:09:12 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จุฬาฯ เปิด “ChulaGenie” Gen AI สัญชาติไทยแท้ มองการศึกษายุคใหม่ ปรับทักษะสู้เอไอถึงอยู่รอด https://positioningmag.com/1505919 Thu, 09 Jan 2025 10:03:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505919 ปัจจุบันจากสภาพสภาวะสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ทำให้รูปแบบการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็ว ส่งผลให้ทักษะแรงงานในอนาคตก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน

AI เขย่าตลาดแรงงานโลก

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนทิศทางตลาดงาน เนื่องจากบางตำแหน่งงานสามารถทดแทนได้ด้วย AI

สอดรับกับรายงาน Future Jobs 2025 ที่จุฬาฯ ได้ร่วมกับ World Economic Forum จัดทำเพื่อวิเคราะห์ทิศทางตลาดงาน ในปี 2568-2573 พบว่า 5 ตำแหน่งงานสุ่มเสี่ยงโดนดิสรัปชั่นล้วนแต่เป็นงานรูปแบบดั้งเดิม (Traditional) ได้แก่

  1. เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์
  2. พนักงานธนาคารและตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง
  3. เจ้าหน้าที่ป้อนข้อมูล
  4. พนักงานแคชเชียร์และพนักงานจำหน่ายตั๋ว
  5. ผู้ช่วยด้านงานธุรการและเลขานุการบริหาร

ส่วนอีก 5 ตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการในอนาคต ล้วนเกี่ยวโยงกับเทคโนโลยี ดังนี้

  1. ผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data
  2. วิศวกรด้าน Fintech
  3. ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI
  4. นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน
  5. ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการและความปลอดภัย

“ภายในปี 2573 สองในห้าของทักษะที่มีอยู่จะถูกเปลี่ยนแปลง”

ทักษะที่สำคัญของไทย คือ

  • ทักษะด้าน AI และ Big Data
  • ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์
  • ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์
  • ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล

ทักษะสำคัญของระดับโลก คือ

  • ทักษะด้าน AI และ Big Data
  • ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล
  • ความฉลาดในการใช้งานเทคโนโลยี
  • ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์

“คาดว่าจะมี 92 ล้านตำแหน่งงานที่หายไปจากโลก หรือเปลี่ยนชื่อตำแหน่งตามการปรับทักษะรูปแบบงานก็เป็นได้ แต่ก็จะมี 170 ล้านตำแหน่งงานใหม่เข้ามาทดแทนเช่นกัน”

มองแรงงานเร่งปรับทักษะ หาสิ่งที่ AI แทนไม่ได้

ศ.ดร.วิเลิศ กล่าวต่อไปว่า จากปัจจัยท้าทายจาก AI ทำให้แรงงานปัจจุบันต้องเร่งอัพสกิล ขณะที่การศึกษาก็ต้องปรับการสอนให้เป็นรูปแบบบูรณาการกันระหว่างคณะมากขึ้น เพราะ ยุคนี้เน้นความรู้แบบองค์รวม (Holistic) แตกต่างจากอดีตที่เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialist)

“วิธีที่แรงงานจะอยู่รอดต้องปรับทักษะให้สู้ AI ได้ หรือมีในสิ่งที่ AI ทำไม่ได้”

ดังนั้น จุฬาฯ จึงมุ่งหมายสู่การเป็น มหาวิทยาลัยแห่งปัญญาประดิษฐ์ (The University of AI)

โดยจะพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-Degree) เน้นพัฒนาทักษะเฉพาะทาง หรือความรู้ในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องเรียนจบในระดับปริญญา ให้ผู้เรียนเลือกเฉพาะวิชาที่สนใจ หรือกลุ่มวิชาที่ต้องการพัฒนาความรู้ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในงาน หรือการพัฒนาตนเองได้ทันที ใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 6-7 เดือนให้กับผู้สนใจสาขาเฉพาะในรายคณะการศึกษา

ต่อยอดจากเดิมในหลักสูตรระดับปริญญาตรี หรือ ปริญญาโท ใช้ระยะเวลาเรียน 4 ปี และ 2 ปี

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ปั้น ChulaGenie เจนฯ เอไอสัญชาติไทย อนาคตจ่อเปิดใช้สาธารณะ

นอกจากนี้ จุฬาฯ ได้ร่วมกับกูเกิล คลาวด์ (Google Cloud) พัฒนา ChulaGENIE แพลตฟอร์ม Generative AI สำหรับสนับสนุนการทำงานของบุคลากรภายในจุฬาลงกรณ์​มหาวิทยาลัย เปิดทดลองใช้ในเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 68 ที่ผ่านมา

รวมไปถึงในอนาคตยังมีความเป็นไปได้ในการต่อยอดแพลตฟอร์มฯ นี้เพื่อเปิดให้บริการเชิงสาธารณะด้วย

“นอกจากทักษะด้านการใช้งานหรืออด็อปต์เอไอในฐานะยูสเซอร์แล้ว ประเทศไทยควรต่อยอดไปสู่การเป็นเจ้าของหรือผู้พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนในรอบด้านตามเทรนด์โลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย”

]]>
1505919
Ericsson ประเมินการใช้ ‘5G’ ทั่วโลกจะแซง 4G ภายในปี 2027 และ ‘6G’ จะเริ่มใช้ภายในปี 2030 https://positioningmag.com/1504695 Tue, 24 Dec 2024 04:19:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504695 ในยุคที่ อินเทอร์เน็ต ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ชีวิตในทุกวันนี้แทบขาดไปไม่ได้ นับวันมีแต่ปริมาณการใช้งานจะยิ่งสูงขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมไปถึง AI ที่กำลังถูกใส่มาใช้ในสมาร์ทโฟน ซึ่งจะยิ่งเร่งปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตให้สูงขึ้นไปอีก

โดยรายงานของ Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด คาดการณ์ว่า แม้อัตราการเติบโตของปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนเครือข่ายมือถือจะลดลง โดยปีนี้ประเมินการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 21% แต่คาดว่าภายในสิ้นปี 2030 จะยังเติบโตขึ้นเกือบ สามเท่า จากตัวเลข ณ ปัจจุบัน หรือ 200%

เนื่องจากการมาของ AI รวมถึงแอปพลิเคชัน Generative AI ที่ถูกผสานรวมไว้ในสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป นาฬิกา และผลิตภัณฑ์ Fixed Wireless Access (FWA) ที่อาจส่งผลต่อการรับส่งข้อมูลในเครือข่าย ผลักดันการเติบโตของปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือให้สูงเกินกว่าการคาดการณ์พื้นฐาน ณ ปัจจุบัน

ส่วนการใช้งาน 5G ภายในสิ้นปี 2024 จะมียอดผู้ใช้บริการทั่วโลกเกือบ 2.3 พันล้านราย คิดเป็น 25% ของผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดทั่วโลก และคาดว่า ยอดผู้ใช้บริการ 5G จะเติบโตแซงหน้าผู้ใช้ 4G ทั่วโลกในช่วงปี 2027

สำหรับปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือทั่วโลก คาดว่าภายในสิ้นปี 2030 เครือข่าย 5G จะรองรับการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือประมาณ 80% ของจำนวนดาต้าเน็ตบนมือถือทั้งหมด เทียบกับ 34% ณ สิ้นปี 2024 และภายในสิ้นปี 2030 เกือบ 60% ของจำนวนผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลก 6.3 พันล้านราย จะเป็นผู้ใช้งาน 5G Standalone (SA)

ทั้งนี้ บริการ FWA ยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเป็นยูสเคส 5G ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากบรอดแบนด์มือถือ (eMBB) โดยใน 4 จาก 6 ภูมิภาค มากกว่า 80% ของผู้ให้บริการการสื่อสารเปิดให้บริการ FWA แล้ว และจากคาดการณ์ว่าในสิ้นปี 2030 จะมีปริมาณการเชื่อมต่อเครือข่าย FWA ทั่วโลกถึง 350 ล้านการเชื่อมต่อ ซึ่งเกือบ 80% จะเป็นการเชื่อมต่อผ่าน 5G

ส่วนการมาของ 6G คาดว่าจะมีการนำมาปรับใช้ช่วงแรกในปี 2030 โดยจะเน้นไปที่การต่อยอดและขยายความสามารถของ 5G SA และ 5G Advanced

]]>
1504695
SCB ส่ง “EASY Store” บนแอป SCB EASY ศูนย์รวมบริการด้านการเงินครบวงจรด้วย “AI ที่รู้ใจยู” ตอกย้ำผู้นำดิจิทัลแบงก์กิ้ง https://positioningmag.com/1501231 Tue, 03 Dec 2024 03:40:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501231

ในอดีตหลายคนมองว่าเรื่องการเงิน การลงทุน ประกันเป็นเรื่องไกลตัว และเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก น้อยคนนักที่จะมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ่ง แต่ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาท ทำให้เรื่องการเงินกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว แถมยังเข้าใจง่าย ใช้งานง่าย รวมไปถึงยังมีตัวช่วยอย่างเทคโนโลยี AI ยิ่งทำให้มนุษย์เราเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างตรงจุด และปลอดภัยมากขึ้น

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งสังคมดิจิทัล ทั้งในแง่องค์กร และผู้บริโภค มีการปรับตัวให้เท่าทันเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ที่เห็นเด่นชัดมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นช่วงโควิดที่ทำให้เมืองไทยกลายเป็น “สังคมไร้เงินสด” อย่างแท้จริง คนไทยหันมาใช้บริการ Mobile Banking  กันมากขึ้นแบบก้าวกระโดด และมีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นช่องทางหลักในการทำธุรกรรมทางการเงินในปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ “ธนาคารไทยพาณิชย์” หรือ SCB จึงได้เดินหน้ายกระดับประสบการณ์ดิจิทัลแบงกิ้งอย่างเต็มสูบ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ AI-First Bank พร้อมนำเทคโนโลยี AI เข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์ เชื่อมโยงบริการ และยกระดับกระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ที่เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น

ที่ผ่านมา SCB ได้ออกบริการใหม่ๆ มากมายอย่างเช่น บริการด้าน Digital Wealth ครบวงจร การลงทุนผ่านแอป SCB EASY บริการ AI Advisory Chatbot บริการ MyAlert  และ บริการ WEALTH4U  เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม มีการดีไซน์ตามความต้องการ เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงเป้าหมายทางการเงินที่ตรงใจ และปลอดภัยมากที่สุด เพราะเป้าหมาย และความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

และเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีมากยิ่งขึ้นให้ผู้บริโภค ล่าสุด SCB ได้ส่งบริการ “EASY Store” ศูนย์รวมบริการทางการเงินเฉพาะบุคคล (Hyper-Personalized) บนแอป SCB EASY บริการนี้จะคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการทางเงินที่เหมาะสม และตรงใจลูกค้าแต่ละราย ทั้งการลงทุน บัตรเครดิต สินเชื่อ ประกัน และบัญชีเงินฝาก เรียกได้ว่ามีบริการทางการเงินแบบครบวงจร พร้อมสิทธิพิเศษมากมายสะดวก ง่าย ครบ จบ ในที่เดียว

โดยบริการใหม่นี้มีการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยดูแล และพัฒนา เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงใจแต่ละคนมากที่สุด นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่มอบประสบการณ์ดิจิทัลแบงก์เฉพาะบุคคลแบบเต็มรูปแบบ ด้วย “AI ที่รู้ใจยู” สอดคล้องกับกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ของธนาคาร

 

นางปิติพร พนาภัทร์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Digital Business ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า

“ภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ของธนาคาร เราให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนธุรกิจธนาคารในทุกมิติ เพื่อเร่งพัฒนาประสบการณ์และบริการให้เป็นดิจิทัลแบงก์อย่างเต็มรูปแบบ มุ่งสู่การเป็น AI-First Bank โดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ปัจจุบันธนาคารมีจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการโมบายแบงก์กิ้งเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ทำธุรกรรมผ่านทางดิจิทัลมากขึ้น แต่หลังจากเราได้ทำการศึกษาและวิจัยอย่างลึกซึ้งถึงพฤติกรรมของลูกค้าพบว่า ยังมีข้อจำกัดในการสร้างการรับรู้ (Awareness) และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินของลูกค้าบางกลุ่ม เช่น ข้อเสนอที่ไม่ตรงใจ ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล

ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงมุ่งแก้ Pain Point ของลูกค้า ผ่านการนำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาโมเดลที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านแบบจำลองข้อมูลอัจฉริยะ (Machine Learning) และวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้านของลูกค้าในเชิงลึก ต่อยอดเป็นบริการ “EASY Store” ศูนย์รวมบริการทางการเงินเฉพาะคุณ (Hyper-Personalized) บนแอป SCB EASY เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้อง เหมาะสม รู้จักรู้ใจลูกค้า ตามความต้องการและความสนใจส่วนบุคคล นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่มอบประสบการณ์ดิจิทัลแบงก์เฉพาะบุคคลแบบเต็มรูปแบบ ด้วย “AI ที่รู้ใจยู” ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกโดยมีแอป SCB EASY เป็นสื่อกลางในการเข้าถึงใจ เข้าถึงคุณ พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้า”

 

EASY Store ถูกออกแบบและพัฒนาภายใต้โมเดลที่คำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล โดย AI จะทำการวิเคราะห์จากข้อมูลของลูกค้า พฤติกรรม ความต้องการทางการเงิน รวมไปถึงเทรนด์และแนวโน้มในอนาคตของตลาด เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดเฉพาะบุคคล

โดย EASY Store เปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้าที่รวบรวมผลิตภัณฑ์และบริการทางเงินต่างๆ ของธนาคารไว้ในที่เดียวพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน เงินฝาก และประกัน โดยทางธนาคารได้มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการการลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง (Digital Wealth) ที่คัดสรรกองทุนเฉพาะเพื่อคุณจากกองทุนที่มีมากกว่า 800 กองทุน พร้อม “ฟีเจอร์ช่วยแนะนำการลงทุน (WEALTH4U)” ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มผู้เริ่มลงทุนที่มีศักยภาพและกลุ่มที่ต้องการให้ความมั่งคั่งเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการแนะนำกองทุนที่คัดสรรมาให้เหมาะสมตามเป้าหมายทางการเงินของลูกค้าแต่ละราย และมีฟังก์ชั่นเปรียบเทียบกองทุนให้แบบรู้ใจ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจเลือกลงทุนได้ง่ายยิ่งขึ้นและให้พอร์ตมีโอกาสไปได้ไกลยิ่งกว่าเดิม รวมไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันต่างๆ (Digital Insurance) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ประกันสะสมทรัพย์ ประกันรถยนต์ ประกันเดินทาง ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และ “บริการผู้ช่วยวางแผนประกันด้วยตัวเอง (EASY Protect Advisory)” เจอแบบประกันที่เหมาะกับคุณ เหมือนมีกูรูมาช่วยแนะนำ เพียงตอบคำถามสั้นๆ และยังมีสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) และบัตรเครดิต ที่คัดสรรมาโดยเฉพาะอีกด้วย

ในอนาคต ธนาคารมีแผนขยายขอบเขตการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการไปยังผลิตภัณฑ์บ้านมือสองทรัพย์ธนาคาร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและประสบการณ์ที่ดีที่สุดของลูกค้า ให้ง่าย สะดวก ครบ จบในที่เดียว

มีการตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งาน “EASY Store” มากกว่า 30% จากจำนวนผู้ใช้งานแอป SCB EASY ทั้งหมดกว่า 18 ล้านคน พร้อมช่วยผลักดันยอดขายดิจิทัล (Digital Sales) ผ่านช่องทางแอป SCB EASY ให้เติบโตกว่า 61% YoY และช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้ดิจิทัลของธนาคารให้เพิ่มสูงกว่า 13% ภายในปี 2567 เพื่อไปสู่เป้าหมายรายได้ดิจิทัล 25% ในปี 2568 ให้ได้

สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลบริการ “EASY Store” ได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/digital-banking/scb-easy/easy-store.html

 

หมายเหตุ 

  • กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
  • ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ยในอัตรา 16% ต่อปี ยกเว้นการเบิกเงินสดล่วงหน้า (Cash Advance) จะต้องชำระค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย
  • ธนาคารเป็นเพียงผู้ให้บริการระบบแอป SCB EASY เท่านั้น, บริษัท ไทยพาณิชย์ โพรเทค จำกัด เป็นนายหน้าผู้ชี้ช่องให้ทำสัญญาประกันภัย, รับประกันภัยโดยบริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), เงื่อนไขการรับประกันภัย ผลประโยชน์ ความคุ้มครองเป็นไปตามกรมธรรม์ และที่บริษัทประกันภัยกำหนด, ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

 

]]>
1501231
สำรวจเทรนด์ Social Media Marketing ปี 2025 สิ่งที่แบรนด์ต้องรู้มีอะไรบ้าง? https://positioningmag.com/1499277 Fri, 15 Nov 2024 06:53:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499277 Social Media ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่แบรนด์ต่าง ๆ ให้ความสำคัญ บทความนี้จึงอยากจะมาอัปเดตเทรนด์ Social Media Marketing ปี 2025 เพื่อให้นักการตลาดและแบรนด์เตรียมความพร้อมในการวางกลยุทธ์พิชิตใจลูกค้าและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจแบบไม่ตกขบวน ก่อนจะก้าวเข้าสู่ปี 2025 ซึ่งเป็นอีกปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย   

อยากที่ทราบกันว่า โลกของ Social Media เองก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากใครสามารถจับกระแส หรือ  เทรนด์ได้ก่อนอย่างแม่นยำ นั่นหมายถึงโอกาสทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น แล้วในปี 2025 ทิศทางและแนวโน้มของ Social Media Marketing จะเป็นอย่างไร มีอะไรน่าสนใจบ้าง

AI อาวุธที่ต้อง (นำมา) ใช้

ช่วงปีที่ผ่านมาคำว่า AI อาจเป็นคำฮิตที่เราได้ยินกันบ่อย แต่ในปี 2025 AI จะถูกนำมาใช้มากขึ้นในแวดวงต่าง ๆ รวมถึงการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย โดย AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสร้างคอนเทนต์และช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของโซเชียลมีเดียให้ดีขึ้น ด้วยการเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล, สร้างเนื้อหา และแม้แต่ตั้งโพสต์อัตโนมัติให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทำให้นักการตลาดมีเวลาสำหรับการคิดสร้างสรรค์และวางกลยุทธ์มากขึ้นแทนที่จะต้องเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดการกับงานซ้ำๆ

ความสำคัญของ AI กับ Social Media Marketing ยังสะท้อนได้จากการประกาศทุ่มการลงทุนด้าน AI ของ Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram และ WhatsApp เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มให้ดีเหนือคู่แข่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่แบรนต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงและนำมาผสมผสานให้เข้ากับกลยุทธ์โซเชียล มีเดียของตัวเอง

Short Video ยังไม่ไปไหน

ในปี 2025 Short  Video หรือวิดีโอสั้นยังคงเป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมและครองส่วนแบ่งการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Instagram, Reels และ YouTube แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น คือ ผู้คนจะไม่ได้แค่เลื่อนดูเนื้อหาเฉยๆ แต่กำลังพยายามเชื่อมต่อกับแบรนด์ หากแบรนด์นั้นสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้น่าสนใจในเวลาที่รวดเร็ว

สำหรับวีดีโอสั้นที่สามารถดึงดูดสายตาและเข้าถึงผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว ต้องบอกเล่าเรื่องราวหรือส่งสารที่เป็น Call Value ภายในไม่เกิน 30 วินาที นั่นเพราะว่าปัจจุบันช่วงความสนใจโดยเฉลี่ยของผู้ใช้โซเชียลมีเดียกำลังลดลง โดยแบรนด์ต้องนำเสนอเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงคาแรกเตอร์และคุณค่าของแบรนด์ได้ตรงประเด็น มีความสมจริง

นอกจากนี้ ในปี 2025 แบรนด์ที่ได้รับชัยชนะจะไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ทุ่มงบ เพื่อให้มีเสียงดังที่สุดในการสื่อสารเท่านั้น เนื่องจากการทำการตลาดผ่านวิดีโอสั้นให้ประสบความสำเร็จ กุญแจสำคัญยังขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการโพสต์ด้วย เพราะการโพสต์เป็นประจำจะเป็นการสร้างการรับรู้และช่วยให้แบรนด์อยู่ในใจของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

AR ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นกระแสหลัก

เทรนด์ที่เราจะเห็นต่อมาของ Social Media Marketing ในปีหน้า ก็คือ Augmented Reality หรือ AR จะไม่ใช่แนวคิดที่ล้ำยุคอีกต่อไป แต่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโซเชียลมีเดีย ที่จะเปลี่ยนวิธีการโต้ตอบระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์และสร้างประสบการณ์ลองสินค้าแบบสมจริง เพื่อช่วยลดความลังเลใจจากการช้อปปิ้งออนไลน์ได้เป็นอย่างดี

สำหรับแบรนด์ที่ต้องการนำ AR มาใช้ประโยชน์ในการทำมาร์เก็ตติ้ง สามารถเริ่มต้นง่าย ๆ เช่น หากเป็นผู้นำแบรนด์ความงาม อาจลองพิจารณาใช้ฟิลเตอร์ที่ให้ผู้ใช้สามารถลองเครื่องสำอางได้เสมือนจริง หรือหากอยู่ในธุรกิจค้าปลีกหรืออีคอมเมิร์ซ อาจใช้ AR มาผสมผสานรวมกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรายใหญ่ อาทิ Instagram และ Snapchat ที่มีการนำเสนอเครื่องมือนี้อยู่แล้วก็ได้ แต่ขอให้เริ่มและลงมือนำมาใช้เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้าและสร้างโอกาสในการเติบโตของแบรนด์

ความถูกต้องตามจริงเป็นสิ่งสำคัญ

ผู้คนเบื่อหน่ายกับโฆษณาที่ดูดีเกินจริง เพราะฉะนั้น ในปี 2025 การนำเสนอคอนเทนต์ที่ถูกต้องตามจริงจึงสำคัญมาก ๆ และเนื้อหาที่สร้างโดย UGC (User Generated Content) หรือ คอนเทนต์ที่ผู้บริโภคหรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายผลิตขึ้นมาเอง ด้วยการพูดถึงแบรนด์ที่ประทับใจหรือให้ความสนใจโดยแบรนด์ไม่ต้องเสียเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว จะยังคงเป็นหนึ่งในวิธีที่สร้างความไว้วางใจระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ได้อย่างทรงพลังที่สุด

ดังนั้นแบรนด์ จึงควรสร้างแคมเปญเชิญชวนให้ผู้บริโภคเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการให้ติดแฮชแท็กบน TikTok หรือไฮไลต์การรีวิวบน Instagram ด้วยการกระตุ้นให้ลูกค้าแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ได้รับจากแบรนด์ ซึ่งไม่เพียงจะเป็นการสร้างคอมมูนิตี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มการพิสูจน์ทางสังคมที่โฆษณาใดๆ ไม่สามารถเลียนแบบได้

Micro Influencer มาแรง

ในอดีตการใช้ Influencer ในการทำมาร์เก็ตติ้ง แบรนด์ส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญที่จะร่วมมือกับ Influencer ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน แต่สำหรับปี 2025 การทำมาร์เก็ตติ้งผ่านรูปแบบนี้ แบรนด์จะหันมาโฟกัสกับ Micro Influencer หรือ Influencer ที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียประมาณ 10,000 – 100,000 คน

ทำไมแบรนด์ถึงให้ความสำคัญกับ Micro Influencer ? นั่นเพราะว่า เป็นกลุ่มที่มียอด Engagement ค่อนข้างสูง และผู้บริโภคมีแนวโน้มเชื่อในรีวิวของ Influencer กลุ่มนี้จากความน่าเชื่อถือ ดูเรียล และดูจริงใจ ซึ่งจะส่งดีต่อแบรนด์

อย่างไรก็ตาม นอกจากเทรนด์ข้างต้นแล้ว สิ่งที่นักการตลาดและแบรนด์ต้องตระหนักถึงให้มากในปี 2025 กับการทำ Social Media Marketing ก็คือ การวางแผนให้เตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดวิกฤตต่าง ๆ จากโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น ความผิดพลาดในการประชาสัมพันธ์ การละเมิดข้อมูล หรือโพสต์ที่สร้างความขัดแย้ง

เพราะด้วยการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของโซเชียลมีเดีย สามารถสร้างและทำลายชื่อเสียงของแบรนด์ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ฉะนั้น เมื่อเกิดความผิดพลาด หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด จึงจำเป็นต้องมีแผนบริหารจัดการวิกฤตของโซเชียลมีเดียให้ชัดเจน ซึ่งเป็นอีกสิ่งสำคัญของ Social Media Marketing

ที่มา : Forbes, Medium

]]>
1499277
“คนไทย” รักงาน! กว่า 68% พร้อมเที่ยวไปด้วยหอบงานไปทำด้วย สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก  https://positioningmag.com/1498597 Tue, 12 Nov 2024 10:19:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498597 หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านพ้นไป ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ “ธุรกิจการท่องเที่ยว” ที่แม้จะเผชิญกับปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รูปแบบการทำงานที่สามารถทำจากที่ไหนก็ได้ รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ถือเป็นความท้าทายใหม่ ในการปรับตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมเป็นอย่างมาก 

ท่องเที่ยวต้องยืดหยุ่น เพราะเทรนด์ “เที่ยวไปทำงานไป” ของคนไทยกำลังมา

SiteMinder ผู้ให้แพลตฟอร์มการจัดการที่พักแบบครบวงจร เปิดรายงาน SiteMinder’s Changing Traveller Report 2025 การสำรวจด้านที่พักและพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเผยว่า การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันมีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้น 10.1% โดยคาดการณ์ว่าในปี 2029 อุตสาหกรรมโรงแรมของประเทศไทยจะมีมูลค่าการเติบโตกว่า 1.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

จากการสำรวจยังพบว่า นักเดินทางยุคใหม่มีแนวคิดการเดินทางแบบ ‘Everything Travellerʼ คือ นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ ๆ และต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น มีการอ่านรีวิวจากโซเชียลแล้วมาลองเที่ยวเอง อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องงบประมาณ

โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 97% ยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น อาหารเช้า (67%) ห้องชมวิว (44%) หรือการเช็คอินก่อนเวลา หรือการเช็คเอาต์ล่าช้า (33%) นอกจากนี้ 94% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น สำหรับการเข้าพักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมถึงมีแนวโน้มจะต้องการความยืดหยุ่นในเรื่องการท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวแบบไม่ต้องคิดหรือวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า 

นอกจากนั้นกว่า 68% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย กลายเป็นผู้นำเทรนด์ในด้านการทำงานไปด้วยขณะเดินทางท่องเที่ยว ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย 66%, นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย 61% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 41% รวมถึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอเมริกาเหนือ (34%) และยุโรป (31%) และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2025 นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 65% มีพฤติกรรมการใช้เวลาส่วนใหญ่ (30%) หรือ มีการใช้เวลาค่อนข้างมาก (35%) ไปกับการอยู่ในโรงแรมที่พักอีกด้วย

นักท่องเที่ยวไทยใช้เครื่องมือค้นหาที่พักสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 39%

อัตราการจองที่พักในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยมีการเติบโตขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 13% รวมถึงยังมากเป็นอันดับสาม รองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (62%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (56%) สืบเนื่องมาจากกการที่รัฐบาลมีมาตรการต่าง ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงภาคจังหวัดได้มีการปรับตัวเพิ่มกิจกรรมในแต่ละจังหวัดมากขึ้นเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางไปเยี่ยมชม

ซึ่งช่องทางการจองผ่าน OTA (การจองทริปท่องเที่ยวผ่านทาง Website/Application) มีการขยายตัวกว่า 55% เนื่องจากนักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมที่พักเพื่อวางแผนท่องเที่ยวเอง และราคาส่วนลดหรือโปรโมชั่นที่เป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวไทยเลือกจองผ่าน OTA เป็นหลัก โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 13% รวมถึงยังมากเป็นอันดับ 3 รองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (62%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (56%) 

อีกทั้ง 36% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นการค้นหาโรงแรมผ่านเครื่องมือค้นหาเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2567 ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มสูงถึง 39% เพิ่มขึ้น 14% จากปีที่ผ่านมา ตามด้วยนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ 36% (ไม่ได้เข้าร่วมการสำรวจในปี 2023) นักท่องเที่ยวอินเดีย 33% เพิ่มขึ้น 6% และนักท่องเที่ยวจีน 22% เพิ่มขึ้น 13% จากปีที่แล้ว

นอกจากนั้นการสำรวจยังเผยอีกว่า 65% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย พร้อมที่จะยกเลิกการจองที่พักออนไลน์กลางคันหากได้รับประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 52% โดยปัญหาเรื่องความปลอดภัยเป็นสาเหตุหลักอันดับต้น ๆ ที่ทําให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Millennials ชาวไทยกว่า 37% ทําการยกเลิกการจองออนไลน์กลางคัน ในขณะที่ กลุ่ม Baby Boomers จำนวน 36% จะยกเลิกการจอง เนื่องจากเว็บไซต์ไม่เป็นมิตรกับการใช้งานบนมือถือ

‘สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder

คนไทย-อินโด เปิดใจใช้ AI วางแผนเที่ยวมากที่สุดในโลก

‘สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder กล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยและอินโดนีเซีย มีการเปิดใจใช้ AI ในการประยุกต์เข้ากับการวางแผนจองที่พักและสัมผัสประสบการณ์การเข้าพักสูงถึง 98% ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวจีนที่เปิดรับการใช้ AI กับการวางแผนท่องเที่ยวสูง 96% และอินเดียที่ 94% ในขณะที่ 62% ของนักท่องเที่ยวจากทั้งแคนาดา และออสเตรเลีย รวมไปถึง 63% ของนักท่องเที่ยวจากเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ยังคงไตร่ตรองถึงข้อดีของการใช้ AI มาช่วยวางแผนการท่องเที่ยวอยู่

และความชอบในการเดินทางจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงอายุ อาทิ กลุ่ม Gen Z และ Millennial ชาวไทย นิยมพักในเครือโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่ ในขณะที่กลุ่ม Gen X นิยมที่พัก B&B และ Baby Boomers เลือกมองหาที่พักโฮสเทล โมเทล หรือโรงแรมราคาประหยัด เป็นต้น

ส่งผลให้พฤติกรรมการเลือกที่พักของนักท่องเที่ยวชาวไทยในปี 2025 มีแนวโน้มเลือกห้องพักแบบ Standard (ห้องพักมาตรฐาน) กว่า 54% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 46% และสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากนักท่องเที่ยวสเปน (59%) แคนาดา (55%) และอิตาลี (55%) ในทางกลับกัน มีเพียง 19% ของนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้นที่จะเลือกห้องพักแบบ Standard ในการเข้าพักครั้งถัดไป การที่นักท่องเที่ยวชาวจีนหันมาวางแผนการท่องเที่ยวด้วยตัวเองมากกว่าเลือกจองกับกรุ๊ปทัวร์ เพราะต้องการการท่องเที่ยวแบบใหม่ ลองทานอาหารรสชาติใหม่ ๆ รวมถึงอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย ทำให้ให้ความสำคัญกับที่พักที่สวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันมากขึ้น 

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวเลือกให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเมื่อทำการเลือกโรงแรมในแต่ละครั้ง โดย 76% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงเป็นอันดับ 1 ของโลก ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (70%) อินเดีย (66%) และจีน (62%) อีกทั้งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 30% เลยทีเดียว

]]>
1498597
จับตา ‘ซัมซุง’ เข้าสังเวียนชิปเอไอ หลังถูก SK Hynix คู่แข่งร่วมชาติปาดหน้า จนมูลค่าบริษัทร่วง 4 ล้านล้านบาท https://positioningmag.com/1498217 Fri, 08 Nov 2024 14:01:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498217
ในวันที่แอปพลิเคชัน AI เช่น ChatGPT ของ OpenAI ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็นในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ก็เติบโตขึ้นตาม ซึ่งหนึ่งในหัวใจหลักของโครงสร้างพื้นฐานก็คือ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ซึ่งนั่นทำให้ Nvidia บริษัทผู้ผลิต GPU ชั้นนำของโลกกลายเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 ในตลาด และกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก เนื่องจาก GPU ของ Nvidia ได้กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้โดยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสําหรับการฝึกอบรม AI

อย่างไรก็ตาม ส่วนสําคัญของสถาปัตยกรรมเซมิคอนดักเตอร์นั้นคือ หน่วยความจําแบนด์วิดท์สูง หรือ HBM ซึ่งก่อนที่ AI จะเติบโตตลาด HBM นั้นมีขนาดค่อนข้างเล็ก และนั่นคือจุดที่ ซัมซุง (Samsung) พลาดไป เพราะบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นที่จะพัฒนาในส่วนนี้ เนื่องจากมีความซับซ้อนและลงทุนสูง แถมตลาดยังเล็ก

อย่างไรก็ตาม SK Hynix มองเห็นโอกาสนี้ บริษัทเปิดตัวชิป HBM ซึ่งชิปดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้ใช้ในสถาปัตยกรรม Nvidia ส่งผลให้บริษัท SK Hynix จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ Nvidia

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ซัมซุงต้องพ่ายให้กับ SK Hynix จนทำให้บริษัทสูญเสียมูลค่าตลาดไปถึง 126,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4 ล้านล้านบาท เพราะแม้ว่าซัมซุงจะมีธุรกิจหลากหลาย และรายได้หลักจะมาจากธุรกิจอย่างสมาร์ทโฟนกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ธุรกิจชิปเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีที่สุด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลประกอบการของซัมซุงจะลดลง จนทำให้บริษัทต้องยอมออกมาขอโทษบรรดานักลงทุน ในขณะที่ SK Hynix กลับสามารถทำกำไรสูงเป็นประวัติศาสตร์ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ซัมซุงกำลังเร่งผลิต HBM ในชื่อ HBM3E โดยในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยอดขาย HBM ของซัมซุงเติบโตกว่า 70% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 และซัมซุงได้เปิดเผยว่ากำลังพัฒนา HBM4 ซึ่งเป็นรุ่นถัดไป โดยคาดว่าจะสามารถผลิตจำนวนมากได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2025

แม้ว่าซัมซุงจะมี HBM3E ในตลาด แต่ยังถือว่าตามหลังคู่แข่งอย่าง SK Hynix อยู่ ดังนั้น ถ้าซัมซุงจะกลับมาสู่ตลาด HBM ในตอนนี้อาจต้องรอ Nvidia คัดเลือก ซึ่งในปัจจุบันซัมซุงยังไม่เสร็จสิ้นการตรวจสอบนี้ และถ้าซัมซุงได้ไฟเขียวจาก Nvidia ก็จะทำให้ซัมซุงกลับสู่การเติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับ SK Hynix โดยทางซัมซุง

โดยทางซัมซุง เปิดเผยว่า บริษัทมีความก้าวหน้าเกี่ยวในกระบวนการคัดเลือกของ Nvidia ว่า เสร็จสิ้นขั้นตอนสําคัญในกระบวนการคัดเลือก และคาดว่าจะเริ่มขยายยอดขายในไตรมาส 4 ในขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ด้วยความแข็งแกร่งของซัมซุงในการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนความสามารถในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัท อาจจะช่วยให้บริษัทตามทัน SK Hynix ได้

]]>
1498217
กระแส AI บูม “ไต้หวัน” รับอานิสงส์ ส่งชิปออกเพิ่มขึ้น 22% ทำนิวไฮ 5.6 ล้านล้านบาท https://positioningmag.com/1498150 Fri, 08 Nov 2024 10:23:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498150 ปัจจุบัน เซมิคอนดักเตอร์ (สารกึ่งตัวนำที่มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้า หรือ ชิป) เป็นส่วนประกอบ ที่ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงกังหันลมรวมถึงขีปนาวุธต่างก็ขาดไม่ได้ และยังเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในหลายประเทศ 

ซึ่ง “ไต้หวัน” ได้กลายเป็นมหาอํานาจระดับโลกเพราะผลิตชิปส่งออกไปทั่วโลก โดยมีการรายงานว่า มูลค่าผลผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 22% ในปีนี้ คิดเป็นมากกว่า 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 5.6 ล้านล้านบาท หลังจากที่ผลผลิตลดลง 10.2% เหลือ 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน (4.5 ล้านล้านบาท) ในปี 2566 เนื่องจากความต้องการด้านคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคซบเซาลง

Cliff Hou (侯永清) ประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไต้หวัน และรองประธานอาวุโสของ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co (TSMC, 台積電) บริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่ของไต้หวันที่ครองตลาดผลิตชิปมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกและมี Apple Inc และ Nvidia Corp เป็นพันธมิตรหลัก แสดงความเห็นว่า 

ปัจจุบันเศรษฐกิจหลายๆ ประเทศรวมถึงไต้หวันมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโดย AI ซึ่งไต้หวันควรเร่งการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้ผลิตและส่งออกชิปที่อุตสาหกรรมทั่วโลกขาดไม่ได้ 

โดยคําพูดของ Cliff Hou เกิดขึ้นหลังจากที่ Donald Trump คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดย Donald Trump เคยกล่าวในตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ว่า ไต้หวันได้ครองส่วนแบ่งของอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ ไปกว่า 95% ทําให้ Cliff Hou เกิดความกังวลว่า ไต้หวันอาจโดนภาษีส่งออกชิปที่สูงขึ้น เนื่องจาก Donald Trump อาจผลักดันนโยบายคุ้มครองการค้าขึ้นใหม่

ทั้งนี้ ไต้หวันยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับภาษีใหม่ที่เกี่ยวกับด้านเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐฯ

ที่มา : Nikkei 

]]>
1498150
หรือ ‘AI’ จะเป็นต้นเหตุใหม่ของ ‘โลกร้อน’ หลังนักวิจัยพบ ใช้พลังงานมากกว่า Search engine แบบเดิม 30 เท่า https://positioningmag.com/1490881 Thu, 19 Sep 2024 06:50:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490881 Sasha Luccioni นักวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ได้ออกมาเตือนว่า ถ้าหากเป็นคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ให้ คิดสองครั้ง ก่อนจะใช้ AI เพราะปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างพลังงานมากกว่าเครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิมถึง 30 เท่า

โดย Sasha Luccioni นับเป็นหนึ่งใน 100 คนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกของ AI ที่จัดโดยนิตยสาร Time ของอเมริกาในปี 2024 โดยเธอมีภารกิจสร้างความตระหนักเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเทคโนโลยีใหม่ที่ร้อนแรงนี้ และจากการพยายามวัดปริมาณการปล่อยของโปรแกรม เช่น ChatGPT หรือ Midjourney เป็นเวลาหลายปีเธอพบว่า การใช้งานเครื่งมือที่มี AI ใช้พลังงานกว่า Search engine ดั้งเดิม 30 เท่า

เนื่องจากโมเดลภาษา หรือ Language Model (LM) ที่เข้าใจภาษาแบบมนุษย์ นั้นต้อใช้ความสามารถในการประมวลผลมหาศาล ซึ่งจําเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์ที่ทรงพลัง และเมื่อมีคำถามจากผู้ใช้ ก็จะมีการใช้พลังงานมหาศาล แทนที่จะเพียงแค่ดึงข้อมูลเหมือนเสิร์ชเอนจิ้น 

“เสิร์ชเอนจิ้นแบบดั้งเดิมจะทำแค่ดึงข้อมูล แต่โปรแกรม AI จะสร้างข้อมูลใหม่เพื่อหาคำตอบ ทําให้ทุกอย่างใช้พลังงานมากขึ้นมาก” เธออธิบาย

จากข้อมูลของสํานักงานพลังงานระหว่างประเทศพบว่า ในปี 2022 เทคโนโลยี AI และสกุลเงินดิจิทัลรวมกันใช้ไฟฟ้าเกือบ 460 เทราวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็น 2% องการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก หรือแค่ให้ AI สร้างภาพขึ้นมาใหม่ ก็ต้องใช้พลังงานเท่ากับการชาร์จโทรศัพท์ 1 เครื่อง

แม้ว่า Microsoft และ Google จะมุ่งมั่นที่จะบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอนภายในสิ้นทศวรรษ แต่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กลับปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นในปี 2023 เนื่องจาก AI โดย Google ปล่อยเพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับปี 2019 และส่วน Microsoft ปล่อยเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับปี 2020

อย่างไรก็ตาม Sasha Luccioni ย้ำว่า เธอไม่ได้ต่อต้านการใช้ AI แต่ให้เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม  และใช้อย่างรอบคอบ

Source

]]>
1490881
‘Intel’ ประกาศเลิกจ้างพนักงานระลอกใหญ่ 15,000 คน หลัง ‘กำไรหด’ สวนทางต้นทุน https://positioningmag.com/1484917 Fri, 02 Aug 2024 03:08:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484917 ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแวดวงไอทีตอนนี้คือ AI ทำให้บริษัทผู้ผลิตชิป ที่สามารถผลิตชิป AI ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ และคาดว่าตลาดชิป AI จะพุ่งแรงโตทะลุ 9.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ผู้ผลิตชิปทุกรายที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI

ล่าสุด อินเทล (Intel) ผู้ผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ประกาศว่าจะ ปลดพนักงานมากกว่า 15% หรือราว 15,000 คน นอกจากนี้ บริษัทยังเสนอมาตรการ ลาออกโดยสมัครใจ และการ Early Retire สำหรับพนักงานที่เข้าเงื่อนไข จากแผนการลดจำนวนพนักงานดังกล่าว นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนใหญ่ในการ ลดค่าใช้ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 หลังจากที่ผลประกอบการ ไม่เติบโตตามที่คาดไว้ อีกทั้งยัง ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทรนด์ AI

“ต้นทุนของเราสูงเกินไป ขณะที่อัตรากําไรของเราต่ำเกินไป เราต้องการการดําเนินการที่กล้าหาญกว่านี้เพื่อจัดการกับทั้งสองด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการทางการเงินและแนวโน้มสําหรับครึ่งหลังของปี 2024 ซึ่งยากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้” Pat Gelsinger ซีอีโอ กล่าว

แม้ 25 ปีที่แล้ว อินเทลจะเป็น ผู้นําการปฏิวัติอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกี่ยวกับชิป CPU แต่กลับปรับตัวรับกับการมาของ สมาร์ทโฟน และ AI ช้าเกินไป แม้ว่าที่ผ่านมาอินเทลจะพยายามคว้าโอกาสจากการเติบโตของ AI แบบเดียวกับที่บริษัทฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เช่น Nvidia ทำก็ตาม

โดยรายได้ของอินเทลระหว่างปี 2020-2023 ลดลงถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนทางกับจำนวนพนักงานที่เติบโต 10% ในช่วงเวลาเดียวกัน และรายได้ช่วงไตรมาส 2/2024 คาดว่าจะ ลดลง -1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และคาดว่าจะมีแนวโน้มครึ่งหลังที่ ท้าทาย มากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้

Source

]]>
1484917
การเปลี่ยนแปลงด้วย AI: ข้อคิดจากการมาเยือนประเทศไทยของ Prof. Andrew Ng https://positioningmag.com/1484687 Thu, 01 Aug 2024 10:43:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484687

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

เมื่อ Prof. Andrew Ng มาเยือนประเทศไทย การบรรยายของเขานับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของประเทศไทย ระดับปรมาจารย์ด้าน AI ระดับโลกมาทั้งที พิ้งค์ขอมาสรุปเนื้อหาสำคัญให้ฟังแบบเข้าใจง่าย พร้อมทั้งเชื่อมโยงตัวอย่างจริงจากทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งเป็น 5 ด้านดังนี้

1. ความสำคัญและบทบาทของ AI

AI เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่มีผลต่อโลกเทียบเท่าการกำเนิดของไฟฟ้าเมื่อร้อยปีที่แล้ว ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงและยกระดับการดำเนินชีวิตของเรา มันไม่ใช่เครื่องมือ แต่เหมือนเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะเปลี่ยนพัฒนาการ และนวัตกรรมของโลกในอนาคตทั้งหมด เราควรมอง AI เป็นกลุ่มเครื่องมือที่รวมถึง Supervised, Unsupervised, Reinforcement และ Generative AI

Prof. Andrew อธิบายการฝึกสอนโมเดล Supervised Learning ที่ค้นหาความสัมพันธ์ ระหว่าง Input และ Output ในช่วงปี 2010-2020 เป็นยุคของ Large Scale Supervised Learning ซึ่งข้อมูลและโมเดลขนาดใหญ่ช่วยให้ประสิทธิภาพดีขึ้น ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เราเข้าสู่ยุคของ Generative AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ๆ เช่น ภาษา รูปภาพ เสียง และวิดีโอ

Supervised Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่ใช้ข้อมูลที่มีการติดป้ายกำกับ (labeled data) กล่าวคือ ข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวอย่างของอินพุต (input) และเอาต์พุต (output) ที่ถูกต้อง โมเดลจะเรียนรู้การคาดการณ์จากข้อมูลเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น การจำแนกภาพ (Image Classification) ที่โมเดลจะได้รับภาพพร้อมป้ายกำกับ เช่น ภาพแมวหรือสุนัข จากนั้นโมเดลจะเรียนรู้ที่จะจำแนกภาพใหม่เป็นแมวหรือสุนัขตามข้อมูลที่เรียนรู้มา

Unsupervised Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ที่ไม่มีป้ายกำกับในข้อมูล กล่าวคือ ข้อมูลไม่มีเอาต์พุตที่ถูกต้อง โมเดลจะต้องหาความสัมพันธ์หรือโครงสร้างในข้อมูลด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่น การจัดกลุ่มข้อมูล (Clustering) ที่โมเดลจะพยายามหากลุ่มของข้อมูลที่คล้ายคลึงกัน โดยไม่มีการกำหนดหมวดหมู่ล่วงหน้า การใช้ Unsupervised Learning มักจะใช้ในกรณีที่ต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสำรวจและค้นพบโครงสร้างที่ซับซ้อนในข้อมูล

Reinforcement Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ที่โมเดลจะเรียนรู้ผ่านการทดลองและข้อผิดพลาด โดยโมเดลจะได้รับรางวัล (rewards) หรือบทลงโทษ (punishments) จากการกระทำในสิ่งแวดล้อมที่กำหนด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเล่นเกมหรือการควบคุมหุ่นยนต์ โมเดลจะพยายามหานโยบาย (policy) ที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มผลตอบแทนรวมในระยะยาว การเรียนรู้แบบนี้มักใช้ในปัญหาที่ต้องการการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอนและผลของการตัดสินใจมีผลต่ออนาคต

2. การใช้งานและผลกระทบของ AI

Generative AI ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงโลก แต่ยังเปลี่ยนวิธีการที่มนุษย์ทำงานร่วมกับ AI

ตัวอย่าง บริษัท Associated Press ใช้ AI เขียนข่าวทางการเงินและกีฬาในปี 2023 หรือ Amazon Alexa ถูกใช้ในบ้านกว่า 200 ล้านหลังทั่วโลกในปี 2023

จากการเขียนโค้ดจำนวนมาก กลายเป็นการเขียนPrompt” ภาษาธรรมชาติ ทำให้การใช้งาน AI เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน และ การเขียน Prompt ช่วยลดเวลาในการพัฒนา Software Applications จากหลายเดือนเหลือไม่กี่สัปดาห์ หรือชั่วโมง

ตัวอย่าง GitHub Copilot ช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดได้เร็วขึ้น 55% ตามรายงานของ GitHub ในปี 2022

การสร้าง Software ในยุค AI ประกอบด้วยการพัฒนา Prompt และการนำไปใช้งาน

3. AI ในธุรกิจและการพัฒนา

AI Stack ประกอบด้วย Hardware, Cloud, AI Tools และ Applications โดยมักเน้นที่ AI Tools Layer อย่าง OpenAI โดยมีบริษัทที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ใน App Layers เช่น Workera, Workhelix, NETAIL

ตัวอย่าง ธนาคารกสิกรไทยใช้ AI Chatbot “K PLUS Buddy” ให้บริการลูกค้าในปี 2022 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายรังสีทรวงอกเพื่อคัดกรองวัณโรคปอด ในปี 2021

การสร้าง AI Startup ใน Silicon Valley มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ Idea + Validate, Recruit CEO, Build, Pre-Seed Growth และ Scale โดยการเลือก CEO ที่ช่วยสร้าง MVP ต้องเป็น Technical CEO ที่มีความเข้าใจทั้งเทคนิคและธุรกิจ AI ช่วยลดต้นทุนและสร้างการเติบโตได้พร้อมกัน โดย Knowledge Workers จะได้รับผลกระทบจาก Generative AI มากที่สุด

MVP หรือ Minimum Viable Product คือผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันและคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดที่สามารถนำเสนอคุณค่าและแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้ได้ ด้วยการสร้าง MVP สตาร์ทอัพสามารถทดสอบแนวคิดทางธุรกิจและรับคำติชมจากผู้ใช้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนมากเกินไป

4. อนาคตและความท้าทายของ AI

AI จะเข้ามาแทนที่งานบางส่วน โดยจะอัตโนมัติเฉพาะงานบางอย่างไม่ใช่ทั้งหมด สถิติแสดงว่าประมาณ 20-30% ของงานปัจจุบันจะถูก Automate ด้วย AI ส่วนที่เหลือ 70-80% ยังต้องพึ่งพามนุษย์ เราควรกำกับการใช้งาน  Applications มากกว่าตัวเทคโนโลยี เช่น การควบคุม Fake News บน Social Media และควรมีนโยบายปกป้อง Open-Source AI หลายประเทศมีบริษัทใหญ่ๆ ที่พยายามจำกัดการใช้งาน Open-Source ด้วยเหตุผลด้าน “Safety” AI Application ที่มีโอกาสเติบโตในประเทศไทย ได้แก่ Healthcare, Tourism, และ Agriculture

5. ข้อคิดและคำแนะนำจาก Prof. Andrew Ng

AI จะมีบทบาทในการลดและแก้ปัญหา Climate Change ในอนาคต การเขียนโค้ดยังคงมีความสำคัญในอนาคต เพราะเป็นทักษะที่สร้างความเข้าใจใน AI การเรียนเขียนโค้ดง่ายขึ้นในยุค Generative AI เนื่องจากมีโมเดลภาษาที่ช่วยสอนทุกเรื่อง การมี Community สำคัญต่อการยกระดับความรู้ด้าน AI ในประเทศไทย Andrew ปิดท้ายว่าผมอยากให้ทุกคนเรียนรู้และเติบโตให้เก่งกว่าผม

แนะนำ Prof. Andrew Ng

Prof. Andrew Ng เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเป็นศาสตราจารย์ที่ Stanford University และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Coursera ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Baidu และหัวหน้าฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ของ Google

Prof. Andrew Ng มีผลงานวิจัยที่สำคัญหลายประการในด้านการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาระบบที่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลปริมาณมากๆ เขายังเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ฟรี ที่นำเสนอความรู้ด้าน AI และ Machine Learning แก่ผู้เรียนทั่วโลก

นอกจากนี้ Andrew ยังเป็นนักพูดที่มีความสามารถในการอธิบายแนวคิดที่ซับซ้อนในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถือในวงการ AI และเทคโนโลยี นอกจากบทบาทในวงการศึกษาและวิจัยแล้ว เขายังมีบทบาทในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้าน AI ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคปัจจุบัน

ข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นถึงการนำ AI มาใช้จริงในประเทศไทยและทั่วโลก แนวโน้มการพัฒนาและการใช้งาน AI ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เราควรติดตามและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ เนื่องจากเทคโนโลยี AI มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง หวังว่าคำแนะนำและข้อคิดจาก Prof. Andrew Ng จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนในการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับ AI และเทคโนโลยีในอนาคต

]]>
1484687