AIS – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 22 Sep 2025 13:36:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 AIS x กลุ่มเซ็นทรัล x JAL ชวนคนไทยโชว์ไอเดียทิ้ง E-Waste ลุ้นทริปเที่ยวญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1538948 Mon, 22 Sep 2025 10:45:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538948 AIS ผนึกกำลัง กลุ่มเซ็นทรัล และ Japan Airlines (JAL) เดินหน้าสานต่อภารกิจด้านความยั่งยืน พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมร่วมลงมือทำจัดการปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ส่งแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ชวนลูกค้า เอไอเอส และสายช้อป สายกรีน แห่งกลุ่มเซ็นทรัล มาปล่อยพลังไอเดีย สร้างสรรค์คลิปวิดีโอ ท้าเพื่อนๆ มาทิ้ง E-Waste ให้ถูกที่ ถูกวิธี ลุ้นบินลัดฟ้ากับ Japan Airlines สายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น พาไปสัมผัสประสบการณ์ กิน-เที่ยว-ช้อป แบบ All-Inclusive ที่ประเทศญี่ปุ่นฟรี 

พร้อมด้วยกิจกรรมไฮไลต์ กับครั้งแรกที่ AIS และกลุ่มเซ็นทรัล จะพาไปเปิดเส้นทางการจัดการ E-Waste และรีไซเคิลแบบครบวงจร ณ DOWA Smelting & Refining และ Eco-Recycle บริษัทชั้นนำด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก เปิดโลกนวัตกรรมแห่งอนาคต AI, Green Tech & Smart City สุดล้ำ และดื่มด่ำประสบการณ์กิน เที่ยว ช้อป ครบทุกไฮไลต์  ร่วมกิจกรรม ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568 พร้อมเดินทางในต้นปี 2569

สายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “การดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญของ AIS โดยเฉพาะในด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเรามุ่งมั่นเป็นศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทย (HUB of E-Waste) และร่วมแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน ภายใต้ภารกิจ “คนไทยไร้ E-Waste” ที่เราได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 250 องค์กร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้คนไทยเห็นถึงผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และมีช่องทางการทิ้งที่นำไปสู่กระบวน การรีไซเคิลอย่างถูกวิธี 

รวมถึงความร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัล ตั้งแต่ปี 2563 มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายจุดรับทิ้ง E-Waste กว่า 42 สาขาทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน โดย E-Waste ทุกชิ้นที่ทิ้งกับ AIS สามารถมั่นใจได้ว่าได้รับการจัดการโดยไม่หลงเหลือเศษซากและปราศจากการฝังกลบตามมาตรฐาน Zero E-Waste to Landfill ผ่านความร่วมมือกับ WMS บริษัทในเครือ DOWA Group ประเทศญี่ปุ่น ผู้นำด้านการรีไซเคิลระดับโลกที่มุ่งขับเคลื่อนแนวคิด ‘สู่โลกแห่งการรีไซเคิล’” หรือ A Recycling-Oriented World 

ในครั้งนี้ AIS และกลุ่มเซ็นทรัล ได้ร่วมมือกับ JAL ในการสนับสนุนการเดินทางอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด Green Journey เพื่อคิกออฟแคมเปญรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี เพื่อให้เอไอเอสนำไปจัดการอย่างถูกต้อง โดยเอไอเอสหวังว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในพฤติกรรมของประชาชนและผลักดันสังคมให้เข้าสู่แนวทางการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

อัจฉรา วิสุทธิวงศ์รัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด สื่อสารองค์กร และความยั่งยืนกลุ่มเซ็นทรัล  กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 78 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลดำเนินธุรกิจเคียงคู่สังคมไทย ภายใต้โครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ’ ด้วยแนวคิดการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Value – CSV) มุ่งสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างชุมชนที่เข้มแข็ง พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สังคม โดยเฉพาะในมิติสิ่งแวดล้อม ที่กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 

หนึ่งในความท้าทายที่เราทุ่มเทคือ การเป็น ต้นแบบการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าการลดขยะสู่หลุมฝังกลบให้ได้อย่างน้อย 30% ในปี 2030 และ ให้เหลือศูนย์ในปี 2050 ผ่านโครงการ Love The Earth – ZERO WASTE NOW  ที่เชื่อมโยงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการ ‘ลด’ การใช้วัสดุที่ไม่จำเป็น, ‘แยก’ ขยะตั้งแต่ต้นทาง, และ ‘จัดการ’ อย่างถูกวิธี เพื่อสร้างระบบนิเวศการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ทั้งนี้เรายังได้ร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง AIS, Japan Airlines และ WMS ในการรณรงค์การทิ้ง E-Waste อย่างถูกวิธี ผ่านแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” โดยปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีจุดรับทิ้ง E-Waste ครอบคลุมศูนย์การค้าเซ็นทรัลกว่า 42 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าโดยเฉพาะที่ศูนย์การค้าใจกลางเมืองอย่างเซ็นทรัลเวิลด์ 

ภายใต้ความร่วมมือกับ AIS ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บรวบรวมได้จะถูกส่งไปยัง ESBEC บริษัทในเครือ WMS เพื่อถอดแยก โดยวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ส่วนใหญ่จะถูกรีไซเคิลภายในประเทศ สำหรับส่วนประกอบที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ จะถูกกำจัดอย่างปลอดภัยด้วยการเผาไหม้เพื่อผลิตพลังงาน ขณะที่ส่วนประกอบที่ซับซ้อนแต่มีมูลค่าสูง เช่น แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBs) ซึ่งมีโลหะมีค่าหลายชนิด จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานของ DOWA ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการสกัดและหมุนเวียนทรัพยากร DOWA มุ่งมั่นที่จะนำโลหะเหล่านี้กลับมาใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม” 

ขอเชิญชวนลูกค้า AIS และ กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมสนุกกับกิจกรรม “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ได้ง่ายๆ ดังนี้ 

  1. นำ E-Waste (เช่น เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต แล็ปท็อป อุปกรณ์ชาร์จ หูฟัง ฯลฯ) มาทิ้งที่ AIS Shop ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล และ จุดรับ E-Waste ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ รวม 42 สาขาที่ร่วมรายการ (ต้องมีสัญลักษณ์แคมเปญที่กล่องรับ E-Waste)
  2. ถ่ายคลิป VDO ให้สร้างสรรค์ โดยต้องถ่ายติดกล่องรับ E-Waste อย่างน้อย 1 ซีน ในรูปแบบ VDO แนวตั้ง ความยาวไม่เกิน 90 วินาที
  3. โพสต์ลงโซเชียลมีเดียช่องทางใดก็ได้ (FB, IG, TikTok) พร้อมติด hashtag #AIS #CENTRALGROUP #JAPANAIRLINES #ถ่ายคลิปทิ้งEWASTEให้ไวบินไปญี่ปุ่นฟรี
  4. ลงทะเบียนและส่งผลงานทางเว็บไซต์ https://m.ais.co.th/l2/rFMppXACWU โดยกรอกเบอร์ AIS และสมาชิก The 1 พร้อมอัปโหลดใบเสร็จการช้อปที่มีหมายเลข The 1 จากร้านค้าในเครือกลุ่มเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568

สามารถติดตามรายละเอียดการร่วมกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ https://sustainability.ais.co.th/th/ewaste-contest 

 

]]>
1538948
ถ้าเธอ 0 บาท ‘ปีหน้า’ ฉันให้ 0 บาท ‘ปีนี้’ สงครามโปร iPhone 17 จาก ‘True-Dtac’ และ ‘AIS’ https://positioningmag.com/1538839 Mon, 22 Sep 2025 06:22:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538839 ผ่านจากสงคราม ‘สตรีมมิ่ง’ ที่แลกกันไปคนละหมัด โดยทาง ‘AIS’ ได้คว้าสิทธิ์ ‘พรีเมียร์ลีก’ พร้อมจัดโปรดึงลูกค้าใหม่เต็มสูบ ทาง ‘True’ ก็สวนกลับด้วยการดึง ‘BeIn’ เป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ ล่าสุด ก็ถึงสงครามโปรฯ iPhone 17

หลังจากที่ Apple เปิดตัว iPhone 17 Series ได้แก่ iPhone 17, iPhone 17 Air, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max ไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 โดยทั้ง AIS และ True – Dtac ก็ได้เปิดให้สั่งจอง iPhone 17 พร้อมกันในวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568 และเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2568 นี้

โดยทั้ง 2 ค่ายต่างก็งัดโปรโมชั่นเด็ดออกมาสู้กัน โดยทาง True – Dtac ก็มาแบบล้ำหน้าด้วย โปรข้ามเวลา ให้ลูกค้าซื้อ iPhone 17 เครื่องใหม่ปีนี้ อัปเกรดรุ่นใหม่ 0 บาท ปีหน้า โดยมี 3 เงื่อนไข ได้แก่

  • ซื้อ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมใช้แพ็กเกจรายเดือนเริ่มต้น 1,299 บาทขึ้นไป สัญญา 12 เดือน
  • ชำระค่าบริการต่อเนื่องตามระยะสัญญา 12 เดือนขึ้นไปจนถึงวันรับสิทธิ์
  • ภายในเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2569 นำ iPhone 17 ที่ซื้อมารับการประเมินสภาพเครื่อง เพื่อรับสิทธิ์อัปเกรดเริ่มต้น 0 บาท และใช้งานแพ็กเกจรายเดือนเริ่มต้น 1,299 บาท ไปอีก 12 เดือน

*ต้องเป็นสภาพเครื่องเกรด A เท่านั้น (เครื่องทำงานได้ตามปกติ 100% และตัวเครื่องไม่มีรอยขีดข่วน ไม่มีรอยบุบ ตก แตก ร้าว) ที่จะได้รับส่วนลดเต็ม 100% (0 บาท)

ในเมื่อฝั่ง True – Dtac ให้โปรข้ามเวลา ดังนั้น AIS ขออยู่กับปัจจุบันด้วยโปรฯ All in One แลก iPhone 17 เริ่มต้น 0 บาท โดยมี 3 เงื่อนไข เช่นกัน

  • นำ iPhone 16 มาแลกรับ iPhone 17 โดยเครื่องที่นำมาแลกต้องเป็นเครื่องที่ไม่มีปัญหาการใช้งาน จอไม่แตก  และเครื่องมีรอยขนาดเล็ก น้อยกว่า 3 จุด
  • เปิดเบอร์ใหม่ หรือย้ายค่ายเบอร์เดิม ด้วยแพ็กเกจ All in One 1,499.-/เดือน (สัญญาใช้บริการนาน 24 เดือน) 
  • สมัครแพ็กเกจเน็ตบ้าน AIS FIBRE 3 ค่าบริการรายเดือนหลังหักส่วนลดเริ่มต้น 799.- ขึ้นไป (สัญญาใช้บริการนาน 24 เดือน)

ในส่วนโปรโมชั่นปกติ ดูเหมือนทางฝั่ง True – Dtac จะจัดเต็มกว่า โดยให้ส่วนลดค่าเครื่องพร้อมแพ็กเกจสูงสุด 19,700 บาท เก่าแลกใหม่ลดสูงสุด 5,000 บาท หรือใช้ Point ลดสูงสุด 5,000 บาท นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ใช้งานกับค่ายมานาน จะได้ส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 2,000 บาท

ในส่วนสิทธิพิเศษความบันเทิง สามารถดู NOW ENT ฟรี 1 ปี ,Youtube Premium 12 เดือน NETFLIX Standard12 เดือน ผ่อนได้นานสุด 48 เดือน Apple Service ฟรี 3 เดือน และได้ส่วนลด iPhone Accessories 15%

ฝั่งของ AIS เปิดราคาเครื่องพร้อมแพ็กเกจ การันตีส่วนลดสูงสุด 15,700 บาท เครื่องเก่าแลกใหม่ลดสูงสุด 4,000 บาท ใช้ Ais point รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 5,000 บาท สำหรับสิทธิพิเศษด้านความบันเทิง จะได้ Play PREMIER 1 ปี, Youtube Premium 2 เดือน Spotify Premium 4 เดือน, ฟรี iCloud ความจุ 50 GB และส่วนลด iPhone Accessories 20%

คิดว่าโปรค่ายไหนคุ้มสุด คอมเมนต์กันมาได้นะ

]]>
1538839
เสียพรีเมียร์ลีกแล้วไง! ‘ทรู’ ฉก ‘BeIN’ สู้กลับ ‘เอไอเอส’ ดูบอล 9 ลีก 15 ถ้วย ราคา 199 บาท https://positioningmag.com/1532042 Fri, 01 Aug 2025 09:36:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532042 อย่างที่หลายคนรู้กัน ว่าตลอดช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมากที่สุดก็คือ True Visions โดยได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007-2008 มาจนถึง 2012-2013 มีเพียงฤดูกาล 2013-2016 ที่เสียลิขสิทธิ์ให้กับ บริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จำกัด หรือ CTH และฤดูกาล 2016-2019 ให้กับ beIN Sports แต่สุดท้าย ทรูก็ร่วมเป็นพันธมิตรในการถ่ายทอดสด 

นับจากนั้น True Visions ก็กลับมาได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกลากยาวต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูกาล 2019-2022 จนถึงฤดูกาลปี 2022-2025 จนมาฤดูกาล 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 เป็นอีกครั้งที่ True Visions เสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป เพราะมองว่า ไม่คุ้ม ที่จะลงทุนในราคา 19,000 ล้านบาท โดยบริษัทที่ได้ลิขสิทธิ์ไปในครั้งนี้ก็คือ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ที่มีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง MonoMax

แต่การเสียลิขสิทธิ์ไปครั้งนี้ ไม่เหมือนกับ 2 ครั้งก่อน เพราะผู้ที่ได้ไปคือ JAS ซึ่ง AIS เพิ่งเข้าซื้อหุ้นใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในเครือ JAS ดังนั้น ในเมื่อ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป AIS (เอไอเอส) จึงถูกมองว่าต้องได้ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกแบบนอน และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ 

ซึ่งหลายคนจะเห็นแล้วว่า หลังจากที่ AIS มีพรีเมียร์ลีกในมือ ก็รุกหนักเพื่อโกยลูกค้าใหม่เข้าค่าย โดยให้ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในราคา 199 บาทต่อเดือน และ 1,999 บาทต่อปี หากเป็นลูกค้า AIS จากราคาเต็ม 299 บาทต่อเดือน และ 2,999 บาทต่อปี

นอกจากนี้ เอไอเอสยังใช้พรีเมียร์ลีกในการจับลูกค้าที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อนอย่าง กลุ่มร้านอาหารและสถานบันเทิง ที่มีกว่า 50,000 ร้านทั่วไทย ด้วยแพ็กเกจพรีเมียร์ลีกสำหรับผู้ประกอบการในราคา 2,800 บาท/เดือน พร้อมสิทธิ์รับชมพรีเมียร์ลีก และเอมิเรตส์ เอฟเอ คัพ ครบทุกแมตช์ 

ในขณะที่ดูเหมือนทรูจะเพลี่ยงพล้ำที่เสียพรีเมียร์ลีกไปให้คู่แข่งอย่าง AIS แถมยังอัดโปรฯ หวังดึงลูกค้าย้ายค่ายรัว ๆ โดยอันดับแรกที่ทำเลยก็คือ จัดโปรโมชันให้ลูกค้าทรูที่สมัครดูพรีเมียร์ลีกได้ผ่าน Monomax ได้ในราคา 199 บาท โดยไม่ต้องย้ายค่าย เพราะทรูลดราคาให้เองเลย 

แน่นอนว่าโปรฯ ดังกล่าวจัดได้ไม่นานก็ต้องยกเลิกไป เพราะ JAS ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าวทันที พร้อมกัส่งหนังสือแจ้งไปยังทรู เพื่อให้ยุติการเผยแพร่โปรโมชันดังกล่าวในทันที

แต่ล่าสุด ทางทรูก็แก้เกมโดยการฉก BeIN Sports มาเป็น Exclusive Partner พร้อมออกแพ็กเกจใหม่ NOW FOOTBALL ดูฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย อาทิ UEFA Champions League, UEFA Europa League, UEFA Conference League, La Liga และ Calcio Serie A เป็นต้น ในราคา 199 สำหรับลูกค้าทรู และราคา 259 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป

ซึ่งนั่นทำให้ AIS ต้องยกเลิกแพ็กเกจดูบอลราคา 299 บาทต่อเดือน ที่รวมเอา BeIN Sports Connect ออกไป แปลว่า AIS จากเดิมที่เก็บลิขสิทธิ์ฟุตบอลครบทุกถ้วย ทุกลีก ตอนนี้เลยเหลือเพียงพรีเมียร์ลีก และฟุตบอลถ้วยในอังกฤษอย่าง FA cup, Carabao Cup (แต่ก็เป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย)

นอกจากนี้ ทางทรูยังปรับแพ็กเกจใหม่ของทรูวิชั่นส์ จากเดิมที่แบ่งตามแวร์ลู่ของคอนเทนต์ ให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยเป็นการแบ่งชัดระหว่างแพ็กเกจบันเทิงกับกีฬา แถมทำราคา ถูกลง ได้แก่

  • NOW ENT : ดูได้เฉพาะคอนเทนต์บันเทิงทั้งหมด (ละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ วิดีโอสั้น สารคดี) โดยมี 3 ราคา ได้แก่ 99 บาท (ดูได้เฉพาะบนมือถือ 1 จอ) 199 บาท (1 จอบนทุกอุปกรณ์ พร้อมแอป IQIYI) และ 299 บาท (ดูพร้อมกัน 2 จอบนทุกอุปกรณ์พร้อมแอปเอเซียสุดฮิต IQIYI, WeTV และ VIU) 
  • NOW FOOTBALL : ดูเฉพาะฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย มากที่สุดในไทย พร้อมพากย์สดด้วยนักพากย์ระดับแถวหน้าของประเทศ ราคา 199 สำหรับลูกค้าทรู และราคา 259 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป (ดูได้ 1 จอบนทุกอุปกรณ์) 
  • NOW SPORTS : ดูได้ทครบทุกกีฬา สด ครบ กีฬามันส์มากกว่า 11,000 แมตช์ ราคา 699 บาท (ดูได้ 1 จอบนทุกอุปกรณ์)
  • NOW MAX : มัดรวมทุกแพ็กราคา 1,599 บาท (ดูพร้อมกันสูงสุด 4 จอบนทุกอุปกรณ์)

องอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ยอมรับว่า แม้จะไม่ได้คว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก แต่ทางทรูวิชั่นส์ได้ใช้งบลงทุนด้านคอนเทนต์ เพิ่มขึ้น 20% และมองว่าการแข่งขันในปัจจุบันเน้นที่ความ Exclusive ของคอนเทนต์ ซึ่งในฝั่งของกีฬา ทรูมั่นใจว่ามีความ กว้าง ที่สุดครบทุกหมวดหมู่

ในส่วนของคอนเทนต์บันเทิง ก็จะมีภาพยนตร์ใหม่ ๆ ที่เป็น Exclusive อย่างน้อยเดือนละ 1 เรื่อง หรือในกลุ่มอนิเมชั่นก็จะมีบางเรื่องที่ ฉายพร้อมญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีการลงทุน 200 ล้านบาทในการผลิต ออริจินอลคอนเทนต์ ของตัวเอง รวมแล้ว ในฝั่งคอนเทนต์บันเทิงของทรูวิชั่นส์นาวมีกว่า 2,000 รายการ รวมเวลากว่า 30,000 ชั่วโมง

จากการปรับทัพใหม่ในครั้งนี้ ทาง องอาจ วางเป้าหมายไว้ว่าจะสร้างการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ 50% ภายในปีนี้ จากปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.2 ล้านราย โดยเชื่อมั่นว่า จุดแข็งของทรูวิชั่นส์นาวคือ ความหลากหลาย และ ความคุ้นเคยของผู้ใช้ ที่ทำให้ลูกค้าจะไม่ ย้ายค่ายง่าย ๆ

เรียกได้ว่ารอบนี้ ทรูแก้เกมมาดีเลยทีเดียว ทั้งการฉกเอา BeIN Sports มาอยู่ในมือ ทั้งการจัดแพ็กเกจใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น คงต้องรอดูว่า AIS จะมีอะไรออกมาอีกหรือไม่ หรือสงครามสตรีมมิ่งของทั้ง 2 ค่ายจะยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ต้องติดตาม

]]>
1532042
พลังเหลือก็มาเลย! โฉมใหม่ ‘AIS SIAM’ สู่จุดรวมพลของ ‘Gen C’ ให้มาจุดระเบิดความ ‘Creative’ เล่น ลอง ลุย แบบไร้ขีดจำกัด https://positioningmag.com/1531061 Wed, 23 Jul 2025 12:10:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531061 ย้อนไปช่วงปลายปี 2023 เอไอเอส (AIS) ได้กางอาณาเขตเปิด AIS eSports STUDIO at AIS SIAM มาสู่ใจกลางเมือง ล่าสุด เอไอเอสก็ได้ซุ่มรีโนเวท AIS eSports STUDIO ให้เป็น AIS SIAM เพื่อเป็นพื้นที่ให้บรรดา Gen C ได้มาปล่อยพลังความครีเอทีฟ โดย Positioning จะพาไปเจาะลึกถึงความพิเศษของ  AIS SIAM ว่าทำไมถึงเป็นแลนด์มาร์คสำหรับเหล่าครีเอเตอร์

สำหรับ AIS SIAM เกิดขึ้นจากแนวคิด Community Play Space ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของ Gen C หรือ Creative Generation ที่ใคร ๆ ก็เป็นได้ ไม่จำกัดเพศ อายุ หรืออาชีพ ตราบใดที่มีใจสร้างสรรค์ และเป็นตัวของตัวเอง

โดย AIS SIAM มอบประสบการณ์ครบเครื่องผ่านพื้นที่สร้างสรรค์ 4 ชั้น จัดเต็มทุกแพชชันและตัวตนของ Gen C ได้แก่

  • ชั้น 1 CAFE & EXPERIENCE SPACE: เริ่มต้นประสบการณ์ที่ AIS SIAM ด้วยคาเฟ่สุดชิลที่เปิดต้อนรับทุกเครือข่าย และมีไฮไลต์ห้ามพลาดอย่าง AIS SIAM Blend กาแฟสูตรพิเศษจาก BEANS Coffee Roaster ที่รังสรรค์ขึ้นเฉพาะที่นี่เท่านั้น และ เบเกอรี่ จาก ‘เชฟบุรินทร์ แดงดีเลิศ’ เชฟขนมหวานชื่อดัง โดยลูกค้า AIS สามารถใช้คะแนน AIS Points รับส่วนลดอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ ยังมีโซน Experience Space ที่รวบรวม Gadget, สินค้าดิจิทัลสุดล้ำ และ AIS SIAM Merchandise ดีไซน์พิเศษ ให้ลูกค้าได้ทดลองสัมผัสและเลือกช้อป พร้อมบริการสั่งซื้อออนไลน์แบบครบวงจร ส่งตรงถึงบ้าน

  • ชั้น 2: CO-PLAYING SPACE: โซนสำหรับคอ เกม, บอร์ดเกม และซีรีส์ โดยจะมีเกมสุดฮิตจากเครื่องเล่นระดับโลกอย่าง PS5 และ Nintendo Switch ให้ทดลองเล่น รวมถึงมีบอร์ดเกม และซีรีส์ให้ได้รับชม เสริมความมันด้วย Game Master และ PODs ส่วนตัว ถ้าถูกใจก็ช้อปกลับบ้านได้เลย ส่งตรงถึงบ้าน

  • ชั้น 3: AIS SIAM HYPE SPACE: เนรมิตพื้นที่สุดพิเศษสำหรับกิจกรรม Collaboration ระหว่าง AIS และพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการฝึกฝนทักษะสำหรับกลุ่มคนที่มีความฝัน เพื่อจุดประกายแรงบันดาลใจให้ได้ลองลงมือทำในสิ่งที่รัก และเตรียมความพร้อมก่อนก้าวขึ้นสู่เวทีจริง ติดตามเซอร์ไพรส์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เร็ว ๆ นี้

  • ชั้น 4: AIS SIAM STUDIO: เวทีของครีเอเตอร์ตัวจริงในรูปแบบสตูดิโอครบวงจร เปิดพื้นที่ให้ผู้ได้รับสิทธิ์ได้มาร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์แบบมือโปร ถ่ายทอดไอเดียและแสดงตัวตนอย่างเต็มที่ไปกับ AIS ครบครันด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีสุดล้ำที่รองรับการทำงานระดับมืออาชีพ พร้อมเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์เข้ากับเทคโนโลยีเร็วแรงขั้นสุดจาก AIS 5G และ Wi-Fi 7

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า สยามถือเป็นศูนย์รวมวัยรุ่นทุกยุคทุกสมัย  และถือเป็นหัวใจของความคิดสร้างสรรค์จากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้น เอไอเอสจึงมองว่าที่สยามเป็นโลเคชั่นที่เหมาะสมที่สุดในการเป็น Community ให้คนรุ่นใหม่ได้ค้นหาและแสดงตัวตน ปล่อยพลังให้ทุกสายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นสายคอนเทนต์ สายบันเทิง สายไอเดีย ต้องขอบคุณจุฬาฯ ที่สนบสนุนพื้นที่นี้

“มีคนถามเราว่าคาดหวังอะไรจาก AIS SIAM ซึ่งเราไม่ได้วัดความสำเร็จเป็นตัวเลข หรือยอดขาย แต่เราหวังว่าจะมีน้อง ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่นี้พัฒนาตัวเองจนประสบความสำเร็จ แค่เพียงคนเดียวที่แจ้งเกิดได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว” สมชัย ทิ้งท้าย

สำหรับใครที่สนใจจะไป “ลองให้ฟิน กินให้แฟ่ด เล่นให้สุด หวีดให้ลั่น ทำให้จึ้ง” ก็ไปได้ที่ AIS SIAM รับประกันว่าครบจบในที่เดียว พร้อมตอบโจทย์ทุก GEN C ทุกเจนเนอเรชันอย่างแท้จริง

]]>
1531061
แค่ลูกค้าคอนซูมเมอร์ไม่พอ! ‘AIS Fibre’ เดินหน้าชิงตลาดร้านอาหาร-สถานบันเทิงด้วย ‘พรีเมียร์ลีก’ https://positioningmag.com/1530617 Sat, 19 Jul 2025 10:18:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530617 นับตั้งแต่ได้ พรีเมียร์ลีก และ ไทยลีก มาอยู่ในมือ เอไอเอส (AIS) ก็เดินหน้าทำเกมขยายตลาดทั้งฝั่งของโมบาย และเน็ตบ้าน โดยเฉพาะตลาดร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่ต้องการพรีเมียร์ลีกไว้ดึงลูกค้าเข้าร้าน

ใช้พรีเมียร์ลีกเจาะร้านอาหารสถานบันเทิง

ต้องยอมรับว่าในกลุ่มร้านอาหาร ผับ บาร์ มักจะต้องมีคอนเทนต์อย่าง ฟุตบอล มาเป็นอีกจุดขายเรียกลูกค้าให้เข้าร้านฟุตบอลกับแก๊งเพื่อน ๆ ดังนั้น ค่ายไหนมีลิขสิทธิ์คอนเทนต์ฟุตบอลโดยเฉพาะ พรีเมียร์ลีก อยู่ในมือ ย่อมได้ลูกค้ากลุ่มร้านอาหาร ผับ บาร์ไป

ดังนั้น ในวันที่ เอไอเอส เป็นพันธมิตรกับ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เพิ่งคว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไปครองเป็นระยะเวลา 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 ทำให้เอไอเอสเดินเกมบุกเต็มสูบ ทั้งการให้ราคาพิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอสเหลือ 199 บาท/เดือน 1,990 บาท/ปี จาก 299 บาท/เดือน 2,990 บาท/ปี รวมถึงเจาะกลุ่ม ร้านอาหารและสถานบันเทิง ด้วย

โดย ยอดชาย อัศวธงชัย หัวหน้าหน่วยธุรกิจการค้า กลุ่มธุรกิจบรอดแบนด์ AIS กล่าวว่า การมาของแพ็กเกจพรีเมียร์ลีก ช่วยให้ในเดือนล่าสุดมีการสมัครเข้าใชังาน AIS 3BB FIBRE 3 ทำสถิติสูงสุดที่เคยมีมา ดังนั้น ไม่ใช่แค่ตลาดผู้ใช้ทั่วไป แต่จะใช้ให้เพิ่มการเติบโตในฝั่งของร้านอาหารและสถานบันเทิงได้

ปัจจุบัน ตลาดร้านอาหารและสถานบันเทิงที่มีกว่า 50,000 ร้านทั่วไทย แต่เอไอเอสยอมรับว่า มีส่วนแบ่งตลาด น้อยมาก แต่การมาของพรีเมียร์ลีก และ บอลไทย จะช่วยให้เอไอเอสมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น โดยได้ออกแพ็กเกจสำหรับร้านอาหารและสถานบันเทิงเริ่มต้นที่ 2,800 บาท/เดือน พร้อมสิทธิ์รับชมพรีเมียร์ลีก และเอมิเรตส์ เอฟเอ คัพ ครบทุกแมตช์ 

“เรามีส่วนแบ่งน้อยมาก แต่เมื่อเรามีพรีเมียร์ลีก จะทำให้เราเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้แน่นอน ส่วนบอลไทยจะได้กลุ่มร้านโลคอล ต่างจังหวัด”

ตลาดอีเวนต์ อีกโอกาสของไฟเบอร์

ตลาด MICE หรือ งานอีเวนต์ ต่าง ๆ ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 เฉพาะแค่จากการจัดงานและการจองที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี นับตั้งแต่ปี 2023-2025 มีจำนวนมากถึง 1,073 อีเวนต์ และในไทยก็มีการจัดงานคอนเสิร์ตกว่า 900 คอนเสิร์ต

โดย AIS คาดการณ์ว่าตลาด MICE จะมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงมองว่าเป็นอีกโอกาสในการสร้างการเติบโต โดยออกแพ็กเกจ PRO-EVENT SOLUTION โซลูชันอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ 2Gbps ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การจัดงานอีเวนต์ ไม่ว่าจะเป็น Live Stream, Conference, Concert, E-Sport Tournament, งานแสดงสินค้า ไปจนถึงเทศกาลขนาดใหญ่ 

โดยเอไอเอสจะมีพร้อมทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบโครงข่าย การติดตั้ง จนถึงการดูแลหน้างานตลอดการจัดงาน

ตลาดยังโตแต่ก็ท้าทายด้วยจำนวนครัวเรือน

สำหรับภาพรวมตลาดเน็ตบ้านในไทยช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมามีอัตราการใช้งาน (Penetration rate) อยู่ที่ราว 36.8% จากจำนวนครัวเรือนในประเทศไทยกว่า 29.1 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นจำนวนบ้านที่ติดเน็ตใช้งานราว 10.7 ล้านครัวเรือน

โดย ยอดชาย มองว่า แม้ตลาดยังมีโอกาสเติบโต แต่ความท้าทายคือ การเพิ่มอัตรา Penetration ดังนั้น การขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ จึงสำคัญ

ปัจจุบัน เอไอเอสเป็นเบอร์ 1 ในตลาด ด้วยฐานลูกค้ากว่5.1 ล้านครัวเรือน (AIS Fibre 2.8 ล้านราย / 3BB Fibre 2.3 ล้านราย) โดย ยอดชาย มองว่า การ เพิ่มมูลค่าของบริการ เช่น คอนเทนต์ ก็เป็นจุดสำคัญในการดึงดูดลูกค้า แต่สิ่งที่จะตัดสินให้ลูกค้าใช้ระยะยาวคือ บริการ เพราะต้องยอมรับว่าเน็ตบ้านมีความเสี่ยงมากกว่าโมบาย

“พฤติกรรมลูกค้าเราตอนนี้ 40% สมัครใช้งานเฉพาะอินเทอร์เน็ต อีก 60% จะสมัครพ่วงคอนเทนต์ด้วย ดังนั้น แวร์ลูจะเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าเลือก แต่ถ้าใช้แล้วไม่ดี ไม่เสถียร เน็ตดับแล้วแก้ไขช้า เขาก็จะยกเลิก”

สำหรับเป้าหมายในปีนี้ เอไอเอสต้องการเติบโตมากกว่าปี 2024 ที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้น 243,000 ราย รวมถึงการเติบโตของอาปู้ ซึ่งปัจจุบัน เอไอเอสมีอาปู้เฉลี่ยประมาณ 400 บาท ขณะที่ภาพรวมตลาดมีอาปู้เฉลี่ย 503 บาท ซึ่งคอนเทนต์ จะเป็นอีกส่วนที่จะช่วยเพิ่มการเติบโต

]]>
1530617
ยิ่งกว่าสิงโตติดปีก! เมื่อ ‘AIS’ ได้ ‘พรีเมียร์ลีก’ เป็นหมัดน็อก พร้อมเดินหน้าดึงลูกค้าย้ายค่าย! https://positioningmag.com/1527515 Wed, 25 Jun 2025 10:28:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1527515 หากพูดถึงการแข่งขันของ โอเปอเรเตอร์ ของไทย เรื่องของ คอนเทนต์ ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ไม่มีใครยอมใคร และดูเหมือน ทรูมูฟเอช (TrueMove H) จะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในเกมนี้ และโดน หมัดน็อก จาก เอไอเอส (AIS) เพราะเดินเกมพลาดเสียลิขสิทธิ์สำคัญอย่าง ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ให้กับ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล

ตลอด 30 ปี ทรู เสียพรีเมียร์ลีกไป 2 ครั้ง

ย้อนกลับไปในช่วงเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลฟรีเมียร์ลีกมาอย่างยาวนาน คือ True Visions ที่ได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007-2008 มาจนถึง 2012-2013 แต่ในปี 2013-2016 ทาง True Vision ได้เสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกให้กับ บริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จำกัด หรือ CTH ผู้ให้บริการเคเบิลทีวีในประเทศไทย ที่ทุ่มเงินกว่า 10,100 ล้านบาท เอาชนะการประมูลไป

โดยทาง CTH ได้ปักราคาแพ็กเกจไว้ที่ 300-500 บาท โดยตั้งเป้าหมายในการขายสมาชิกแพ็กเกจที่ 1 ล้านราย เพื่อที่จะ ทำกำไร แต่กลับมีสมาชิกเพียง 2 แสนราย ห่างไกลกับเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก ยังไม่รวมต้นทุนอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยี และโครงข่ายในการถ่ายทอด ส่งผลให้บริษัทขาดทุนอย่างหนัก จนต้องยุติการให้บริการในปี 2016

ถัดจากนั้น ฤดูกาล 2016-2019 เป็น beIN Sports ที่ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ด้วยเม็ดเงิน 9,900 ล้านบาท แต่ ทรูก็ร่วมเป็นพันธมิตร ถ่ายทอดสดช่องทางเพย์ทีวีผ่านทรูวิชั่นส์ จนมาปี TrueVisions ก็ได้ดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลปี 2019-2022 และลากยาวต่อเนื่องมาจนถึงฤดูกาลปี 2022-2025 โดยใช้เงินซื้อลิขสิทธิ์ที่ปีละราว ๆ 10,000 ล้านบาท

เสียพรีเมียร์ลีกครั้งนี้ ไม่เหมือน 2 ครั้งก่อน

จนกระทั่งในปี 2025-2030 ทางกลุ่มทรูก็ ยกธงขาว ยอมแพ้การประมูลให้กับ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไปครองเป็นระยะเวลา 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 ด้วยมูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านบาท ซึ่งทรูมองว่า ถ้าต้องเสียเงินด้วยต้นทุนดังกล่าว ไปต่อได้ยาก

เพราะที่ผ่านมา ทรูถึงกับต้องปรับ ราคาแพ็กเกจ ฤดูกาล 2024-2025 ขึ้นมาเกือบ เท่าตัว จากราคาเต็มจะอยู่ที่ 3,200 บาทต่อฤดูกาล แถมมีราคา Early Bird ที่ 2,900 บาทต่อฤดูกาล มาเป็น 5,490 บาทต่อฤดูกาล และ 799 บาทต่อเดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ต้นทุนมันสูงมากจริง ๆ จนต้องมาขึ้นราคาในปีสุดท้าย

และเมื่อ ราคาแพงขึ้น จนลูกค้าหลายคนส่ายหัว ช่องทางธรรมชาติ ที่ผิดลิขสิทธิ์ ก็กลายเป็นอีก ทางเลือก ไปโดยปริยาย ดังนั้น แปลว่าความท้าทายของผู้ที่ได้สิทธิ์พรีเมียร์ลีกจากนี้ก็คือ ช่องเถื่อน หากทำราคาที่เข้าถึงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม การเสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ เพราะผู้ที่ได้ไปคือ JAS ซึ่ง AIS เพิ่งเข้าซื้อหุ้นใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในเครือ JAS ส่งผลให้ JAS รับทรัพย์ 2.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ในเมื่อ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป AIS จึงถูกมองว่าต้องได้ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกแบบนอนมาแน่นอน

ปั้น Entertainment Hub สู้ King of Sports

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ TrueVisions ที่มีคอนเทนต์แม่เหล็กอย่างฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจนสามารถสถาปนาตัวเองเป็น King of Sports ทางฝั่งของ AIS ก็กำลังคลำทางในการปั้นแพลตฟอร์ม AIS Play เพื่อมาต่อกร และกลยุทธ์ที่ AIS ทำก็คือคว้า พันธมิตร ให้มาอยู่ด้วยให้มากที่สุด ไม่ได้เน้นการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ หรือไปผลิตคอนเทนต์เอง เพราะมองแล้วว่า ไม่น่าเวิร์ก เนื่องจากไม่ได้ถนัด และต้องใช้ต้นทุนมหาศาล

ทำให้ไม่ว่าแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าไหนเข้ามาในตลาด AIS เก็บหมด ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Disney+ Hotstar, Prime Video, Max, Viu, iQiYi, WeTV, MonoMax เรียกได้ว่า เอ่ยชื่อแพลตฟอร์มไหน AIS มีหมด ซึ่งนั่นก็ทำให้ภาพลักษณ์ของ AIS ในด้านการเป็น Entertainment Hub ยิ่งชัดในสายตาผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพของการเป็น Entertainment Hub ของ AIS จะชัดเจนมากในตลาด แต่ ณ ตอนนั้น รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY มองว่า การเป็น Entertainment Hub ยังไม่ได้ดึงดูดให้เกิดการ ย้ายค่าย แต่ช่วยให้กับลูกค้าเดิมอยู่กับค่ายนานขึ้นมากกว่า

จากแค่ตรึง สู่การดึงลูกค้าย้ายค่าย!

แต่หลังจากที่ JAS ได้ประกาศว่า AIS เป็นพันธมิตรในการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แถมยังเอาสิทธิ์ ฟุตบอลไทยลีก มาได้อีก นั่นแปลว่า AIS ได้ จิ๊กซอว์ครบทุกตัว ที่จะใช้ แย่งลูกค้าทรู มาอยู่ในมือ ไม่ใช่แค่มีคอนเทนต์ไว้ตรึงลูกค้าให้อยู่กับค่ายอีกต่อไป

ทำให้ AIS เปิดศึกโดยการ ดั๊มพ์ราคา สุดว้าวที่ 299 บาทต่อเดือน และ 2,999 บาทต่อปี ดูได้ 1 จอ จากที่ True เคยทำไว้ 799 บาทต่อเดือน และ 5,490 บาทต่อปี ดูได้ 2 จอ เรียกได้ว่า หารครึ่ง ก็ยังแพงกว่า และถ้าเป็น ลูกค้า AIS ราคาลดไปอีกเหลือ 199 บาทต่อเดือน และ 1,999 บาทต่อปี ได้ดูทั้งพรีเมียร์ลีก ไทยลีก และคอนเทนต์ Monomax

ไม่ใช่แค่ราคาที่จูงใจให้ ย้ายค่าย แต่ AIS ยังออก แพ็กเกจย้ายค่าย ทั้งโมบายและเน็ตบ้าน พร้อมให้ดูพรีเมียร์ลีกฟรีทั้งฤดูกาล โดยโมบายจ่ายเดือน 699 บาท ได้โทร 200 นาที เน็ต 5G 45GB ส่วนเน็ตบ้านราคาเดียวกันได้อินเทอร์เน็ต 500/500 Mbps และไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ดูทันทีเพราะรอย้ายค่าย เพราะ AIS จะให้ ซิมดูบอล ไปใช้ก่อนเลยระหว่างรอ เรียกได้ว่าดึงดูดกันสุด ๆ เพราะ AIS คิดไว้แล้วว่าถ้าเพิ่มฐานลูกค้าได้มาก ก็จะยิ่งเป็นผลดีในระยะยาว

True แอบจัดโปร Monomax?

แน่นอนว่าฝั่ง True เองก็คงไม่ยอมอยู่เฉย ๆ เพราะนอกจากมีการปรับทัพคอนเทนต์ใหม่ไปเน้นเอนเตอร์เทนเมนต์มากขึ้นแล้ว ยังได้จัดโปรโมชันสำหรับ ลูกค้าที่สมัครแอปฯ กีฬา ตั้งแต่ 299 บาทขึ้นไปต่อรายการ และชำระด้วยเบอร์ทรูและดีแทค รับส่วนลด 100 บาท ไปเลย

แม้ว่า True จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ถ้าคุณไม่ใช่ลูกค้า AIS แล้วต้องการดูพรีเมียร์ลีก ก็มีแต่ต้องดูผ่าน Monomax ในราคา 299 บาทเท่านั้น ซึ่งทางทรูก็ชิงให้ส่วนลดไปเลย 100 บาท สำหรับลูกค้าทรูที่สมัครแอป Monomax แล้วจ่ายผ่านทรูหรือดีแทค สรุปง่าย ๆ ลูกค้าทรูก็ดูพรีเมียร์ลีกได้ผ่าน Monomax ได้ในราคา 199 บาท โดยไม่ต้องย้ายค่าย เพราะทรูลดราคาให้เองเลย!

ซึ่งโปรฯ ดังกล่าวก็ทำให้ JAS ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าวทันที พร้อมกับยืนยันว่า JAS ไม่มีนโยบายอนุญาตให้ทรูดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการขายในลักษณะนี้ และบริษัทฯ ได้ดำเนินการส่งหนังสือแจ้งไปยังทรู เพื่อให้ ยุติการเผยแพร่โปรโมชันดังกล่าวในทุกช่องทางทันที และยืนยันว่าโปรโมชันนี้จะต้องถูกยกเลิกตลอดระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง

เรียกได้ว่า สงครามสตรีมมิ่งเดือดยิ่งกว่าสงครามส่งด่วน เสียอีก งานนี้ก็คงต้องรอดูกันยาว ๆ ว่า AIS ที่ได้อาวุธครบมือจะโกยลูกค้าเข้าบ้านได้มากน้อยแค่ไหน และ True จะงัดอะไรออกมาต่อกรอีกบ้าง
]]>
1527515
ถอดความรู้จากงานเสวนา ‘Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย’ ตัดวงจร ‘มิจฉาชีพ’ ได้ตั้งแต่ต้นทางแค่มี ‘ภูมิคุ้มกัน’ https://positioningmag.com/1525717 Wed, 11 Jun 2025 10:10:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1525717 หลังจากที่ ‘เอไอเอส’ (AIS) ในฐานะ ด่านหน้า ในการรับมือกับภัยคุกคามทางดิจิทัลที่ทวีความรุนแรงในไทย ได้คิกออฟ ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ กับเป้าหมายพาไทยสู่ ‘Zero Scam’ ทางเอไอเอสก็เดินหน้า สร้างเครือข่ายดิจิทัลที่ปลอดภัยและรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง สู่งานเสวนา Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย เพื่อสร้างเกราะคุ้มกันปกป้องประชาชน และตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง

ต้องรู้เท่าทัน เพราะมิจฉาชีพมาทุกรูปแบบ

พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้เล่าให้ฟังในเวทีเสวนาว่า ปัจจุบัน แสกมเมอร์ทั่วโลกทำรายได้มากกว่าค้ายาเสพติด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่อาชญากรจึงพยายามเข้ามาหลอกลวง อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมจะเกิดได้เกิดจาก 3 ข้อ ได้แก่

  • มิจฉาชีพ
  • เหยื่อ
  • โอกาส

ขณะที่ มิจฉาชีพมักจะใช้หลักจิตวิทยาในการล่อลวง ได้แก่ รัก โลภ ตกใจ เชื่อใจ เช่น หลอกให้รักแล้วขอเงิน หรือชวนลงทุน หรืออ้างว่าเป็นตำรวจหรือหน่วยงานรัฐ เพื่อสร้างความกลัว หรือเชื่อใจ ดังนั้น อย่าตกใจ ให้ตั้งสติ ต้องเอ๊ะตลอด และหมั่นดูข่าว และหาข้อมูลความรู้เพื่อ ปิดโอกาส ไม่ให้มิจฉาชีพเกิดอาชญากรรม เช่น ถ้ามีหน่วยงานรัฐโทรมา ให้คิดเลยว่าเป็นมิจฉาชีพ เพราะไม่มีหน่วยงานรัฐโทรหาแน่นอน หรือเช็กง่าย ๆ โดยการตัดสายเบอร์แปลกแล้วโทรกลับ ถ้าปลายสายรับไม่ได้แปลว่ามิจฉาชีพ

“ต้องยอมรับว่าการจับกุมมันทำยาก เพราะฐานเขาอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นองค์กรอาชญากรรม ทำเป็นกระบวนการ มีหลายหน้าที่หลายตำแหน่ง ทำให้การจับทำได้ยาก ดังนั้น มีภูมิคุ้มกันตัวเองดีที่สุด”

ช่วยแจ้งเบาะแส ตัดไฟแต่ต้นลม

เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) หรือ ศปอท. กล่าวเสริมว่า ประชาชนสามารถ เป็นหูเป็นตา ได้ด้วยการแจ้งเบาะแส เช่น การ แจ้งเบอร์มิจฉาชีพ หรือผู้ที่เป็นเจ้าของห้องพัก ห้องเช่า หากเจอพฤติกรรมผู้เช่นแปลก ๆ เช่น ใช้ไฟฟ้าเยอะผิดปกติ ทั้งที่ไม่ค่อยมีคนอยู่ อาจแสดงว่ามิจฉาชีพใช้ห้องเป็นฐานปฏิบัติการณ์

เอกพงษ์ ย้ำว่า การช่วยแจ้งเบาะแสนั้นสำคัญมาก เพราะจะได้นำข้อมูลที่ได้ไปเชื่อมโยง เช่น เบอร์โทรศัพท์กับบัญชีธนาคาร เพื่อจะได้กำจัดภัยคุกคาม ตัดมือเท้าของคอลเซ็นเตอร์ให้ได้มากที่สุด โดยปัจจุบัน ศปอท. ถือเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติการณ์จัดการกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยฐานข้อมูลจากทุกหน่วยงานจะถูกเชื่อมโยงไว้ที่นี่ที่เดียว ทำให้การทำงานเป็น Single Command 

“ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่มิจฉาชีพใช้ แต่ที่สำคัญคือ คนไทยที่ไปร่วมมือ เพราะได้ค่าตอบแทนเยอะ ดังนั้น ถ้าเห็นเพื่อนบ้านไปทำงานต่างประเทศ หรือร่ำรวยผิดปกติ ก็แจ้งเบาะแสได้”

ความท้าทาย คือ ทำอย่างไรให้ประชาชนตื่นรู้

ด้าน นาวาเอกหญิง ศิริเนตร รักษ์วงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ยอมรับว่า ความท้าทายคือ ทำยังไงให้ประชาชนตื่นรู้ เพราะการแจ้งความถือเป็นปราการด่านสุดท้าย ซึ่งทางสกมช. พยายามจะให้ความรู้ประชาชนให้ได้มากที่สุด ผ่านการร่วมมือกับหลาย ๆ หน่วยงาน รวมถึงจะอัพเดทคอนเทนต์ให้ทันกับมิจฉาชีพ เพราะมิจฉาชีพมักมีวิธีการใหม่ ๆ มาเสมอ

“ปีนี้เราก็มีการร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และกสทช. เพื่อให้เข้าถึงผู้คนได้เยอะที่สุด แต่ที่สำคัญประชาชนก็ต้องบอกเล่า คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อน ๆ เพื่อให้ตระหนักรู้ด้วย”

เช่นเดียวกับ วิสิฐศักดิ์ เจริญไชย Corporate Affairs Manager – AIS กล่าวว่า นอกเหนือจากที่เอไอเอส เพิ่มความเข้มงวดในการซื้อซิ เพิ่มสายด่วน 1185 แล้ว ทาง AIS ก็ร่วมกับทุกภาคส่วนในการตัดสัญญาณตามตะเข็บชายแดนแล้ว รวมถึงสร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับประชาชน เช่น หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ การจัดทำ Thailand Cyber Wellness Index และ Digital Health Check เพื่อวัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย เป็นต้น

“AIS ไม่ได้มองการป้องกันภัยไซเบอร์เป็นเพียงหน้าที่เสริม แต่ถือเป็น พันธกิจหลัก ในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ได้แก่ เรียนรู้ ร่วมแรง และ เร่งมือ เพื่อพาไทยสู่ Zero Scam”

จะเห็นว่าความมั่นคงไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีความปลอดภัย ไปจนถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนคนไทย ดังนั้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สังคมไทยสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวสู่อนาคตดิจิทัลอย่างมั่นคง

]]>
1525717
เพราะการสื่อสารคือ หัวใจของการช่วยเหลือ! เจาะลึกบทบาทของ ‘AIS’ ในภารกิจกู้ภัยอาคาร ‘สตง.’ 49 วันแห่งการต่อสู้ที่ไม่ได้มีแค่ทีมกู้ภัย https://positioningmag.com/1524668 Thu, 05 Jun 2025 08:12:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1524668 เชื่อว่าคนไทยหลายคนคงไม่มีวันลืมวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มีศูนย์กลางในประเทศเมียนมาได้ส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะกรณีที่ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่มลง นำไปสู่ภารกิจการช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัยที่ใช้เวลาทั้งสิ้น 49 วัน โดย Positioning จะพาไปเจาะลึกภารกิจช่วยเหลือผ่านมุมมองของ เอไอเอส (AIS) อีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในภารกิจค้นหาผู้ประสบภัยครั้งนี้

หนึ่งในภารกิจซับซ้อนที่สุดของกทม. 

ย้อนไปเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 8.2 ริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองลอยกอ ใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ลึกลงไปประมาณ 10 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงมากจนส่งผลกระทบแผ่ขยายมาถึงประเทศไทยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานคร

ผลจากแรงสั่นสะเทือนดังกล่าวได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งเป็นอาคารสูง ตั้งอยู่ในเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร อาคารได้พังถล่มลงมาทั้งหลังในลักษณะแพนเค้ก (Pancake Collapse) ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เป็นคนงานก่อสร้างที่กำลังทำงานอยู่ภายในอาคาร 

นำไปสู่ภารกิจการช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัย โดยภารกิจดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการที่ยาวนานและซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความไม่มั่นคงของโครงสร้างอาคารที่ถล่มลงมา ความซับซ้อนของพื้นที่ และความจำเป็นในการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ยังรวมถึงฝุ่น และสภาพอากาศที่ทั้งร้อน และฝน

ในที่สุด เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ภารกิจช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัยก็ยุติลง โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 49 วัน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุอาคาร สตง.ถล่ม ล่าสุดอยู่ที่ 89 คน และอยู่ระหว่างติดตามอีกจำนวน 7 คน

การสนับสนุนไม่ใช่แค่เรื่องการสื่อสาร

ทันทีที่เกิดเหตุ เอไอเอส (AIS) ถือเป็นคนแรก ๆ ที่เข้าไปยังพื้นที่เพื่อเตรียมให้การสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัย โดยได้ส่งทีมวิศวกรพร้อมรถโมบายล์และอุปกรณ์สถานีฐานเคลื่อนที่พิเศษ (Base Station) เข้าไปในพื้นที่เพื่อตรวจสอบและประเมินความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสื่อสารยังคงทำงานได้ปกติในสถานการณ์ฉุกเฉิน

“ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ ทีมวิศวะของเราต้องเดินจากออฟฟิศไปยังพื้นที่ เพราะรถติด ทุกอย่างวุ่นวายมาก และเราคุยกันทันทีเลยว่า เราอยากช่วยคนเราทำอะไรได้บ้าง ต้องใช้เทคนิคอะไรบ้าง ใช้เทคโนโลยีอะไรได้บ้าง ดังนั้น นอกจากดูแลโครงข่ายแล้ว เราอยู่เคียงข่างทุกท่านในทุกเหตุการณ์ แม้ว่าตอนนั้นเราเองก็เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัย” วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS เล่า

วสิษฐ์ เล่าต่อว่า สิ่งแรกที่ทีม AIS คิดก็คือ “ทำอย่างไรให้แบตเตอรี่ของผู้ประสบภัยในอาคารอยู่ได้นานที่สุด” เพราะเป้าหมายแรกก็คือ หาผู้รอดชีวิต ดังนั้น ต้องยืนยันให้ได้ว่า ผู้ประสบภัยอยู่ตรงส่วนไหนในตัวอาคาร ทำให้ทีมวิศวะของเอไอเอสได้ใช้เทคนิค Small Cellular Pinpointing เพื่อ ปรับแต่งการยิงสัญญาณเพื่อให้เซฟแบตเตอรี่มือถือให้ได้มากที่สุด

“ตอนนั้นเราไม่ได้ต้องการความเร็วแรงของสัญญาณ เพราะจะยิ่งทำให้แบตฯ หมดเร็ว ดังนั้น เราจึงเน้นการปรับแต่งการยิงสัญญาณเพื่อเซฟแบตเตอรี่ให้นานที่สุด เพื่อยื้อจนกว่าจะสามารถยืนยันจุดที่อยู่ของผู้ที่ติดในตัวอาคาร”

และเนื่องจากภายในพื้นที่เกิดเหตุมีทั้งเจ้าหน้าที่ และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ภารกิจต่อมาคือ การยืนยันตัวตน ผู้ที่ติดในอาคาร ทำให้เอไอเอสจำเป็นต้องใช้เทคนิค Network Data Analytics เพื่อแยกตัวเจ้าหน้าที่และผู้ประสบภัย ก่อนจะประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ 

“ตอนนั้นเราต้องเร่งมือทำ เพราะถ้าแบตฯ หมดภายใน 2 วัน ดังนั้น เราต้องเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด ดังนั้น เราต่องแข่งกับเวลาอย่างมาก” วสิษฐ์ อธิบาย

โดย พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ยอมรับว่า การเกิดภัยพิบัติในไทยไม่ได้เกิดบ่อย ดังนั้น เมื่อมีเหตุทำให้เกิดความโกลาหล ทำให้การที่ AIS เข้ามาช่วยเรื่องการยืนยันตัวตนผู้ประสบเหตุ จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก

“AIS สามารถคัดกรองสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ ทำให้สามารถระบุหมายเลขที่เกี่ยวข้อง 249 เลขหมาย ซึ่งเราก็ประสานญาติผู้สูญหายเพื่อตรวจสอบข้อมูลจนพบ 46 หมายเลขที่ยังมีสัญญาณโทรเข้าได้ ข้อมูลนี้ช่วยให้เราจัดลำดับจุดค้นหาที่สำคัญและเร่งด่วนอย่างแม่นยำ เพิ่มโอกาสในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ” พล.ต.ต.โชติวัฒน์ อธิบาย

การสื่อสาร หัวใจของการช่วยเหลือ

หลังผ่านภารกิจค้นหาและยืนยันตัวตนในช่วง 3 วันแรก ก็เข้าสู่ภารกิจ สนับสนุนเจ้าหน้าที่กู้ภัย ด้วย High-Speed Fiber และ เทคโนโลยี 5G เพื่อให้การทำงานของหน่วยกู้ภัยและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ราบรื่น และปลอดภัยสูงสุด เนื่องจากพื้นที่เกิดเหตุมีความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะ ความไม่มั่นคงของโครงสร้างอาคารที่ถล่มลงมา และความซับซ้อนของพื้นที่

“ตอนแรกเราไม่ปล่อย 5G เลย เพราะกลัวว่าจะไปทำให้แบตฯ ของผู้ประสบภัยหมดเร็ว แต่พอผ่านไป 3 วัน ซึ่งเราคาดว่าแบตฯ น่าจะหมดทุกเบอร์ เราก็ On 5G ทันที เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่กู้ภัยให้ทำงานได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะการใช้โดรนและหุ่นยนต์กู้ภัย”

สิทธิพล คงยิ่งหาร หัวหน้าทีมปฏิบัติการสมาคม ตอบโต้ภัยพิบัติ (ประเทศไทย) เล่าเสริมว่า ในการค้นหาผู้ประสบภัย โดรนจะถูกใช้ในจุดที่อันตรายหรือเข้าถึงยาก โดยจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลภาพในระดับความละเอียดสูง เพื่อส่งมาใช้สร้างแผนภาพ 3 มิติ ของพื้นที่ รวมถึงโดรนจะทำหน้าที่ รักษาความปลอดภัยของทีมช่วยเหลือ เพราะโดรนจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับ ปูนทุกชิ้น เพื่อประเมินความเสี่ยงของอาคารที่อาจถล่มลงมา

อินเตอร์เน็ตสำคัญมาก เพราะการถ่ายทอดภาพ การไลฟ์สตรีมมิ่ง กล้องติดตัว และต้องเชื่อมต่อกับทีมช่วยเหลือเพื่อยืนยันพิกัด ต้องใช้อินเตอร์เน็ตทั้งหมด ดังนั้น ระบบการสื่อสารของเจ้าหน้าที่ห้ามล่ม และถ้าสปีดต่ำ ภาพมันไม่ชัดเขาจะมองไม่เห็น สิทธิพล อธิบาย

ปฎิบัติการณ์จะไม่ลุล่วง หากไม่มีความร่วมมือจากทุกส่วน

วัชระ อมศิริ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะ ผู้วางแผนและดำเนินการ กรณีเกิดภัยพิบัติของประเทศ ย้ำว่า ที่ผ่านมา ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักจะมีผลกระทบต่อ ระบบสื่อสาร ทำให้วิกฤตด้านการสื่อสารเมื่อเกิดภาวะวิกฤตจึงเป็นปัญหาอย่างมากในหลาย ๆ กรณีที่ผ่านมา ดังนั้น หลังจากผ่านช่วง 72 ชั่วโมงแรก การสร้างความเชื่อมั่นว่า ในพื้นที่มีระบบสื่อสารเพียงพอที่จะใช้ ทั้งใช้ในการสื่อสารในการปฎิบัติงาน สื่อสารกับภายนอก จึงเป็นสิ่งสำคัญ

“การค้นหาผู้ประสบเหตุไม่ได้ใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงจบ แต่ใช้เวลาถึง 45 วัน ดังนั้น จากการสนับสนุนของทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึงทีมกู้ภัยจากหลายประเทศ ทำให้เราสามารถกู้คืนพื้นที่ได้ในเวลาไม่ถึง 50 วัน แสดงให้เห็นว่า เราไม่สามารถทำงานด้วยตัวเองได้” 

49 วันแห่งการช่วยเหลืออาจจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่บทเรียนที่ได้จากภารกิจครั้งนี้จะยังคงอยู่ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต และเป็นบทพิสูจน์ของพลังในการร่วมมือร่วมใจระหว่างภาครัฐ และเอกชน รวมถึงตอกย้ำให้เห็นว่า เครือข่ายดิจิทัลเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมโยงชีวิต โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่การสื่อสารคือ หัวใจของการช่วยเหลือ

]]>
1524668
‘เอไอเอส’ คิกออฟ ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ กับเป้าหมายพาไทยสู่ ‘Zero Scam’ https://positioningmag.com/1520997 Thu, 08 May 2025 13:32:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520997 ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางเหล่านี้ในการหลอกลวงอย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ การส่ง SMS ปลอม การสร้างเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันหลอก ซึ่งปัญหาเหล่านี้กำลังทวีความรุนแรงในไทย และเป็นภัยที่ เอไอเอส (AIS) พยายามส่งเสียงให้คนไทยทุกคนได้ตระหนักและรับมืออย่างจริงจัง สู่การคิกออฟ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์”

8 หมื่นล้าน ความเสียหายที่เกิดจากภัยไซเบอร์

นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 31 มีนาคม 2568 พบว่าประเทศไทยมีการแจ้งความออนไลน์สะสมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 31 มีนาคม 2568 ถึง 858,508 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยความเสียหาย 78 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งจากตัวเลขที่น่ากังวลนี้ นำไปสู่การเดินหน้าปราบปรามเชิงรุกของรัฐบาล ผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่ 

  • การกำหนดและพัฒนากฎหมาย เช่น มาตรการ ปิดปากม้า โดยธนาคารแห่งประเทศไทย, การออกมาตรการห้ามส่งข้อความ SMS ที่มีลิงก์ และการ ตัดไฟ ตัดเน็ต ใน 5 จุดสำคัญ เป็นต้น
  • การสร้างความร่วมมือ และประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน เช่น ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือ AOC 1441
  • การยกระดับความมั่นคงระดับประเทศ เพื่อเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดย

“จากรายงาน Global Risk Report 2025 ชี้ว่า เรื่องข่าวปลอมถือเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่ง ส่วนการโจรกรรมและสงครามไซเบอร์เป็นความเสี่ยงอันดับที่ 5 และทั้ง 2 เรื่อง เป็นความเสี่ยงที่เราต้องเจอไปอีก 10 ปี ดังนั้น เราแก้ปัญหาแค่คนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าว

Educate/Collaborate/Motivate โมเดล 3 ประสาน 

เอไอเอส (AIS) ในฐานะผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ของประเทศ และถือเป็น ด่านหน้า ในการรับมือกับภัยคุกคามทางดิจิทัล และไม่ได้มองการป้องกันภัยไซเบอร์เป็นเพียงหน้าที่เสริม แต่ถือเป็น พันธกิจหลัก ในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ได้แก่

  • เรียนรู้ (Educate) สร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับเครือข่ายทั้ง Ecosystem โดยที่ผ่านมา เอไอเอสได้ทำหลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ ตั้งแต่ปี 2012 การจัดทำ  Thailand Cyber Wellness Index และ Digital Health Check เพื่อวัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย เป็นต้น
  • ร่วมแรง (Collaborate) ผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสื่อสารและสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม เช่น ทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลฯ, ธนาคารพาณิชย์ และเอกชนอื่น ๆ เพื่อสร้างระบบแจ้งเตือนภัยไซเบอร์ ตรวจสอบเบอร์ต้องสงสัย และหยุดการแพร่กระจายของลิงก์ปลอมผ่าน SMS หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ
  • เร่งมือ (Motivate) รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนกฎระเบียบ หรือกติกา แก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

“เราเน้นที่การป้องกันมากกว่าแก้ไข โดยเราได้อบรมประชาชนคนไทยให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์แล้วกว่า 5 แสนคน มีการร่วมกับตำรวจ และกสทช. ในการให้ข้อมูล และคุมสัญญาณไม่ให้รั่วไหลไปตามตะเข็บชายแดน รวมถึงจำกัดการจำหน่ายซิมเพื่อป้องกันการรั่วไหล นอกจากนี้ เรามีสายด่วน 1185 ให้ลูกค้าโทรมารายงานเบอร์มิจฉาชีพ” สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าว

คิกออฟปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สู่เป้าหมาย Zero Scam

สมชัย ย้ำว่า การที่ประเทศไทยจะเข้าใกล้เป้าหมาย  Zeo Scam ที่ทำอยู่ไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยเอไอเอสต้องการประกาศให้จากนี้เป็น ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีเป้าหมายเชิญชวนหน่วยงานกว่า 100 องค์กร เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันในการป้องกัน และลดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อร่วมสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน 

โดยไม่ใช่แค่ภาครัฐหรือเอกชน แต่รวมถึงภาคประชาชนที่ช่วยเป็นหูเป็นตาได้ เช่น การรายงานเบอร์มิจฉาชีพ หรือเห็นความผิดปกติอย่างหอพักที่ไม่ค่อยมีคนอยู่ แต่มีการใช้ไฟฟ้า หรือพบเห็นการขายอุปกรณ์อัตราย เป็นต้น 

“เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์ แต่ภัยมันก็มีตามมา เราก็พยายามสอนให้คนเข้าใจ โดยมีเป้าหมายอบรมประชาชนคนไทยให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ให้ได้ 3 ล้านคน รวมถึงพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสกัดกั้น แต่เราต้องไม่ย่อท้อ ต้องช่วยกัน เพราะเอไอเอสทำคนเดียวไม่ได้ แม้เป้าหมาย Zero Scam จะดูยาก แต่เราก็อยากไปถึงตรงนั้น” สมชัย ทิ้งท้าย

]]>
1520997
จาก CU/TU Colorguard สู่ ‘CU/TU Cyberguard’ ถอดแนวคิด ‘เอไอเอส’ – ‘แบงก์ชาติ’ ที่ผสานพลังนักศึกษา มาสร้างปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์ให้คนไทย https://positioningmag.com/1517747 Wed, 09 Apr 2025 07:56:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1517747

ในยุคที่ภัยไซเบอร์คุกคามประชาชนอย่างต่อเนื่อง เอไอเอส (AIS) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สร้างสรรค์โครงการที่ใช้จุดแข็งของนักศึกษาจากสองสถาบันชั้นนำของประเทศ เพื่อเข้าถึงและสื่อสารความรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อสร้างปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์ให้คนไทย


ทำไมต้องเป็น CU/TU Colorguard?

หากพูดถึงการสร้างความตระหนักรู้ทางด้านดิจิทัล ทาง เอไอเอส (AIS) ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องและหลากหลาย โดยมีเป้าหมายเดียวคือ สร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ให้กับคนไทยให้ได้มากที่สุด ดังนั้น นับตั้งแต่ปี 2018 ที่เอไอเอสได้พัฒนาหลักสูตร อุ่นใจ ไซเบอร์ ที่ปรับให้เข้ากับบริบทของคนไทย เพื่อช่วยเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัล Digital Wisdom ผ่านรูปแบบคอนเทนต์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอนิเมชั่น ภาพยนตร์โฆษณา และนิยายนอกจากนี้ เอไอเอสยังได้จัดทำ ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย Thailand Cyber Wellness Index เครื่องมือเช็กภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ ที่ชี้ให้เห็นถึงทักษะดิจิทัลในด้านต่างๆ ของประชาชนแต่ละกลุ่ม อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS มองว่า การจะสื่อสารไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมายอาจต้องใช้ จุดแข็งของเหล่า CU/TU Colorguard ที่เก่งในด้านการ เล่าเรื่อง อีกทั้งยังมีความรู้และความเท่าทันเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ จนเกิดเป็น โครงการ CU-TU CyberGuard:พลังสองสถาบัน สร้างภูมิคุ้มกันภัยทางไซเบอร์มาร่วมกันส่งต่อความรู้ด้านทักษะดิจิทัลและการป้องกันภัยไซเบอร์ทางการเงิน (Digital & Financial Literacy) ผ่านกิจกรรมค่ายอาสา

“ถ้าเราเล่าอาจดูวิชาการไม่น่าฟัง กลับกัน วิธีคิด วิธีมอง วิธีตั้งคำถามของคนรุ่นใหม่นั้นมีความแตกต่าง มีพลัง และมีประสิทธิภาพในการสื่อสาร ดังนั้น เอไอเอส และแบงก์ชาติต่างก็มีคอนเทนต์ เราจึงต้องการหาคนที่พาคอนเทนต์ของเรา ไปสื่อสารให้คนไทยเข้าถึง”

เช่นเดียวกับ ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มองว่า “การสื่อสารเหมือนเคาะประตูบ้านคน ถ้าเขาไม่อินเขาก็ไม่เปิดรับ” ดังนั้น เหตุผลที่เลือก CU Colorguard และ TU Colorguard เพราะต้องการ พลังที่จะดึงคน

เพราะการเตือนโดยคนจริง ๆ มีประสิทธิภาพมากกว่าการส่งข้อความเตือนทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเป็น การสื่อสารในภาษาเดียวกันระหว่างกลุ่มเยาวชน ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องการให้ความรู้ที่ครอบคลุมหลายด้าน ไม่เพียงแค่เรื่องภัยไซเบอร์ แต่รวมถึงความรู้ทางด้านการเงินอื่น ๆ เช่น การออมเงิน และการกู้เงินอย่างถูกวิธี”


ป้องกันดีกว่าแก้ไข

สาเหตุที่ เอไอเอส เน้นย้ำถึงการสื่อสาร สายชล มองว่า เพราะในแต่ละกระบวนการของมิจฉาชีพนั้นซับซ้อนมากขึ้นในทุกวัน แต่ถ้าสามารถสกัดการเข้าถึงมิจฉาชีพได้ ก็จะตัดวงจรของเหล่ามิจฉาชีพ ดังนั้น การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เช่นเดียวกับ ชญาวดี ที่มองว่า การป้องกันคือวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือ ดังนั้น หากประชาชนคนไทยมีภูมิคุ้มกันมิจฉาชีพ ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกการสื่อสารของเอไอเอสหรือแบงก์ชาติจะไปถึงคนไทย ดังนั้น โจทย์ในทุกวันนี้คือ ทำอย่างไรที่จะส่งต่อองค์ความรู้ให้คนไทยอย่างทั่วถึง ดังนั้น พาร์ทเนอร์จึงสำคัญมาก โดยที่ผ่านมา เอไอเอสได้ผสานความร่วมมือกับหลายองค์กร เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จนปัจจุบัน หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์มีผู้เข้าถึงเกือบล้านคน

“เดินหน้าสร้างความตระหนักรู้อย่างต่อเนื่องเพราะกลโกงมาเรื่อย ๆ เราก็ต้องทำต่อเนื่อง และไม่ใช่แค่ทำลำพัง เราต้องมีเพื่อน และเราเชื่อมั่นในเพื่อน นำจุดเด่นของแต่ละคนมาใช้” สายชล ย้ำ


มุ่งสู่ปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์

สำหรับ โครงการ CU-TU CyberGuard:พลังสองสถาบัน สร้างภูมิคุ้มกันภัยทางไซเบอร์ จะเป็นการดึงศักยภาพของกลุ่ม Colorguard จากทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมกันส่งต่อความรู้ด้านทักษะดิจิทัลและรู้เท่าทันภัยทางการเงิน เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ โดยช่วยกันสร้างสรรค์คอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดีย และจัดกิจกรรมค่ายอาสาที่โรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เนื่องจากถือเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างมีกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ตามการสำรวจโดย Thailand Cyber Wellness Index ที่เอไอเอสจัดทำขึ้น

“เอไอเอสจัดทำ Thailand Cyber Wellness Index ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว และจะทำต่อไป เพราะนี่ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุกลุ่มเปราะบางจากการสำรวจประชาชนกว่า 6 หมื่นคน เพื่อนำไปใช้เป็นเข็มทิศในการวางแผนโครงการช่วยเหลือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง” สายชล อธิบาย

สำหรับโครงการ CU TU Cyberguard เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ในการปกป้องประชาชนจากภัยไซเบอร์ เพื่อยกระดับความปลอดภัยทั้งในด้านการใช้งานบนโลกออนไลน์และการทำธุรกรรมทางการเงิน  โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ห่างไกล ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในการสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ปี 2025 เป็น “ปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์”

]]>
1517747