AMARIN – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 26 Sep 2019 04:49:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สเต็ปใหม่ Omni Effect ”อมรินทร์” เขย่ามาร์เก็ตเพลส เปิดตัว Amvata เปลี่ยนคนเสพคอนเทนต์เป็นผู้ซื้อ https://positioningmag.com/1247527 Wed, 25 Sep 2019 23:07:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1247527 จากจุดเริ่มต้นนิตยสาร บ้านและสวน” ปี 2519 ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์กว่า 43 ปีของ อมรินทร์ฝ่าคลื่นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในยุค ดิจิทัล ดิสรัปชั่น” มาด้วยยุทธศาสตร์การเป็นมีเดีย ครบวงจร (Omni Media) ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ด้วย 5 แพลตฟอร์มหลัก ตอบโจทย์การใช้สื่อของลูกค้าผ่าน Omni  Channel สเต็ปต่อไปขอสร้างปรากฎการณ์ด้วย Omni Effect   

ในยุคเทคโนโลยีถาโถมสื่อดั้งเดิม การปรับตัวของ “อมรินทร์” ทั้งสิ่งพิมพ์และทีวี อยู่ภายใต้กลยุทธ์ Omni Media จากการผนึกกำลังของทุกสื่อในเครือ ทั้ง On Print นิตยสารและหนังสือเล่ม, Online เว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย, On Air ทีวีดิจิทัล ช่องอมรินทร์ทีวี, On Ground งานแฟร์และกิจกรรมต่างๆ และ On Shop ร้านนายอินทร์และออนไลน์สโตร์ เมื่อผนวกร่วมกันแล้ว ชูเป็นจุดแข็งและกลยุทธ์สำคัญในการเดินหน้าทำธุรกิจต่อไป

ย้ำผู้นำ Lifestyle Media

ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า 2 ปีก่อนที่หลายอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงจาก “ดิจิทัล ดิสรัปชั่น” เครืออมรินทร์ ปรับตัวสู่ Omni Media และ Omni Channel ผสานสื่อ 5 แพลตฟอร์มหลัก เพื่อเป็น “ตัวเลือก” ให้ลูกค้าองค์กรเข้ามาใช้ช่องทางสื่อสารกับเครืออมรินทร์

ปัจจุบันภายใต้ Amarin Universe ที่ถือเป็นอันดับ 1 ด้าน Lifestyle Media จาก 5 แพลตฟอร์มหลัก On Print มีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจนิตยสาร 80% Online มีผู้ใช้ 13 ล้าน UIP ต่อเดือน หรือ 24% ของประชากรไทยออนไลน์ในประเทศไทย On Air อมรินทร์ทีวี มีเรตติ้งอันดับ 7 เข้าถึงครัวเรือนไทย 95% On Ground จัดงานแฟร์และอีเวนต์ทุกเดือน บางเดือนมากกว่า 1 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมอีเวนต์ 6 ล้านคนต่อปี On Shop หรือธุรกิจ Commerce ทั้งร้านนายอินทร์ งานแฟร์ ออนไลน์ สโตร์ และทีวีช้อปปิ้ง ปีที่ผ่านมาทำยอดขายสินค้าได้กว่า 10 ล้านชิ้น

“วันนี้คนทำคอนเทนต์ ไม่ได้ต้องการเห็นตัวเลขสถิติแค่ Awareness เท่านั้น แต่คอนเทนต์นั้นต้องสร้าง Engagement และความน่าเชื่อถือให้ผู้บริโภค และต้องเป็นคอนเทนต์ที่สามารถขายของได้ด้วย กลยุทธ์ต่อไปของอมรินทร์ จึงมุ่งไปที่ Content to Commerce แน่นอนว่าการทำธุรกิจก็ต้องการรายได้จากการขาย สื่อจึงต้องทำหน้าที่ช่วยปิดการขายอีกทาง”  

สูตรเด็ดคอนเทนต์ปัง

กลยุทธ์ Content to Commerce ต้องเริ่มต้นจากการทำ “คอนเทนต์” ที่โดนใจผู้บริโภคก่อน จากนั้นต่อยอดจาก Evergreen Content หรือ คอนเทนต์ที่ทำได้บ่อยๆ และคนยังชอบฟังเรื่องราวเล่านี้ ซึ่งก็มีเทคนิคในการทำ ที่เรียกว่า 4 R คือ Right Content, Real Action, Response Data และ Raise Content

มาดูตัวอย่างการเชื่อมโยงคอนเทนต์ผ่าน 4 R ผ่าน Amarin Baby & Kidsริ่มต้นที่ Right Content หรือการมีคอนเทนต์ที่ดี โดย Amarin Baby & Kids สะสมเนื้อหากว่า 360 บทความ มีฐานผู้อ่าน 1.3 ล้านคน จากนั้นนำมาทำให้เกิด Real Action ด้วยการจัดงานสัมมนา เวิร์คช้อป เป็นการเปลี่ยนจากผู้เสพเนื้อหาผ่านสื่อออนไลน์มาสู่กิจกรรม ซึ่งช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีพ่อแม่มาร่วมกิจกรรมเวิร์คช้อปกว่า 2,500 คน

จุดเด่นของการจัดสัมมนาและเวิร์กช้อป คือ จะได้เจอกับกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งจะได้ Response Data เพราะเมื่อพ่อแม่ถามมีคำถามกับผู้เชี่ยวชาญ ที่มาให้ความรู้ในงานสัมมนา นั่นคือ “ข้อมูล” ที่สามารถไปทำคอนเทนต์ใหม่ได้ทันที เพราะเป็นสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการจากการถามผู้เชี่ยวชาญ และถือเป็น personalized content เพราะสามารถรู้ได้ทันทีว่าแต่ละคนมีสนใจความต้องการและอยากรู้คอนเทนต์ประเภทไหน จากทั้งฝั่งคุณพ่อ คุณแม่ และความสนใจร่วมกันของทั้งพ่อแม่

หลังจากเก็บข้อมูลมาแล้วก็นำมาทำ Raise Content เป็นการทำคอนเทนต์เชิงลึกเพิ่มขึ้น และได้คอนเทนต์ที่คาดไม่ถึงหรือเทรนด์ที่ได้จากสิ่งใหม่ๆ และคอนเทนต์ที่ยังไม่เคยเขียนบทความมาก่อน ผลลัพธ์ที่ออกมามีคอนเทนต์ใหม่จากความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น 20% มีผู้เข้าชมคอนเทนต์ออนไลน์เพิ่มขึ้น 123% และเพจวิวเพิ่มขึ้น 95%

“สูตร 4R จะทำให้ได้ฐานข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และผลิตชิ้นงานที่เป็นคอนเทนต์ทรงพลังตามความสนใจของกลุ่มผู้เสพ”

แพรว Celeb Blog เล่าเรื่องไลฟ์สไตล์

อีกคอนเทนต์ที่โดดเด่นในกลุ่มไลฟ์สไตล์ คือ “แพรว” ในปี 2561 ได้สร้างวิดีโอคอนเทนต์ Celeb Blog คอนเทนต์ที่สร้างกระแสของ “สู่ขวัญ บูลกุล” กับแฮชแท็ก #ของมันต้องมี ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Celeb Blog โดยมีเซเลบและกูรู ด้านต่างๆ อีกหลายคนที่มาร่วมสร้างคอนเทนต์ ซึ่งทั้ง เซเลบ และ กูรู จะมีข้อดีแตกต่างกัน จึงนำทั้งคู่มา Collaborate เป็น “แพรวนิสต้า x เซเลบ” เป็นการนำ กูรู x ไลฟ์สไตล์ ทำให้ได้ วิดีโอคอนเทนต์ใหม่จำนวนมากและมีกลุ่มคนดูมากขึ้น

การต่อยอดวิดีโอ คอนเทนต์ ขยาย “เซ็กเมนเทชั่น” คอนเทนต์เพิ่มเติม เช่น ฟลุค เกริกพล ด้านบริการการเงินการลงทุน, ทิปปี้ สุพรทิพย์ ด้านลักชัวรี่ ไลฟสไตล์, มาดามแป้ง ด้านไลฟ์สไตล์การรับประทานอาหาร, ศรีริต้า เจนเซ่น ด้าน Positive Thinking, หน่อย บุษกร ด้านแฟชั่นไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ยังขยายเพิ่มเติมในกลุ่มที่เป็น Young Generation

แพรว Celeb Blog มีฐานผู้ชมกว่า 90 ล้าน Eyeballs อัตราเอนเกจเมนต์ 31% ผลิตไปแล้วกว่า 170 คลิป ในจำนวนนี้ 130 คลิปมีลูกค้าสปอนเซอร์ “การเล่าเรื่องของแพรว Celeb Blog ถือเป็นซิกเนอเจอร์ของอมรินทร์”

วิเคราะห์อินไซต์ผู้บริโภค

เมื่อสื่อในเครือมีฐานผู้เสพคอนเทนต์ชัดเจนและมากขึ้น ช่วง 2 – 3 ปีก่อน อมรินทร์ ได้ลงทุนเทคโนโลยีเก็บข้อมูล Consumer Insight ของคอนเทนต์แต่ละประเภท และสรุปออกมาเป็น Reading Pattern หรือ “แพทเทิร์นการอ่าน” ของผู้บริโภค ซึ่งจะรู้พฤติกรรมแต่ละช่วงที่อยู่ในแพลตฟอร์มของอมรินทร์ว่าใช้เวลาเท่าไหร่หรืออ่านคอนเทนต์อะไร

Reading Pattern เป็นระบบ Intelligence Tools ที่จับพฤติกรรมการอ่านและการเสพสื่อทั้งบทความและวิดีโอคอนเทนต์ของ “ผู้อ่าน” 1 คน ตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามาสู่เว็บไซต์สื่อในเครืออมรินทร์

หลังจากใช้เครื่องมือนี้ พบว่ากลุ่มเป้าหมายมีการอ่านคอนเทนต์ Recommendation ที่ระบบเสนอให้เพิ่มขึ้น 8%   มีเอนเกจเมนต์จากผู้ใช้เพิ่มขึ้น 25% มีกลุ่มที่กลับมายังแพลตฟอร์มซ้ำ (return visitor) เพิ่มขึ้น 35% การรู้จักและเข้าใจกลุ่มผู้อ่าน ทำให้มี Active User เพิ่มขึ้น 125%

เมื่อรู้จักพฤติกรรมผู้เสพคอนเทนต์แล้ว สเต็ปต่อไปคือการก้าวสู่ Content to Commerce

ต่อยอดธุรกิจคอมเมิร์ซ

ในแต่ละวันของ Amarin Universe สื่อในเครือผลิตคอนเทนต์บทความใหม่ 150 ชิ้นต่อวัน มีคนเข้ามาอ่าน 7 แสน UIP ต่อวัน จำนวนกว่า 1.3 ล้านเพจวิวต่อวัน โซเชียลมีเดียมีผู้ติดตามกว่า 24 ล้านคน เฉลี่ยต่อวันคอนเทนต์เข้าถึง (reach) ประมาณ 12 ล้านคน มีฐานสมาชิกราว 1.5 ล้านคน

ถือเป็น Community ที่สามารถต่อยอดธุรกิจด้านคอมเมิร์ซ เพราะไม่ต้องการให้ “มีเดีย” ในเครืออมรินทร์ สร้างแค่การรับรู้ (Awareness) กับลูกค้าองค์กรที่มาใช้สื่อเท่านั้น

เมื่อมีคอนเทนต์ที่สามารถดึงความสนใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกที่ทุกเวลาแบบ Personalized แล้ว เมื่อผู้บริโภคเข้ามาเสพคอนเทนต์ทั้งบทความและวิดีโอในแพลตฟอร์มต่างๆ ของ อมรินทร์แล้ว เครื่องมือจะติดตาม “ความสนใจ” ของกลุ่มผู้บริโภค เพื่อ “แนะนำ” ทั้งคอนเทนต์และโฆษณาที่สอดคล้องกับความสนใจของแต่ละบุคคล

“ต้องการให้สื่อของเครืออมรินทร์ สร้างการรับรู้และปิดการขายได้ ณ นาที ที่ผู้บริโภคยังอยู่กับแพลตฟอร์มของเรา  หลักการก็ คือ See it, Love it, Buy it เพราะเมื่อเห็นแล้ว อ่านแล้ว ก็ควรปิดการขายในโมเมนต์ที่ผู้บริโภคยังมีความสนใจ เพราะหลังจากนั้นความสนใจอาจลดลง หรือเปลี่ยนใจไปเลือกแบรนด์อื่น”

ส่ง Amvata ลุยมาร์เก็ตเพลส

การต่อยอดกลยุทธ์ Content to Commerce อีกสเต็ปในปีนี้ คือการเปิดตัว Amvata แพลตฟอร์ม “มาร์เก็ต เพลส” ในเดือนต.ค. นี้ เฟสแรกมีผู้ประกอบการ 300 ราย สินค้ากว่า 35,000 รายการ ในกลุ่มแฟชั่น สินค้าแม่และเด็ก สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าแนวไลฟ์สไตล์ จะขยายเพิ่มเติมกลุ่มอื่นๆ เข้ามาอีก

สิ่งที่แตกต่างจากมาร์เก็ตเพลสอื่นๆ เพราะไม่ได้รอให้ลูกค้าเข้ามาที่แพลตฟอร์มเพื่อเลือกซื้อสินค้า แต่ Amvata จะถูกนำเสนอผ่าน 7 กลุ่มคอนเทนต์ออนไลน์ ของเครืออมรินทร์ คือ แพรว, บ้านและสวน, เบบี้ แอนด์ คิดส์, สุดสัปดาห์, Good life ในสินค้าสุขภาพ, Fav Forward สินค้ากลุ่มผู้ชาย และแพรว เวดดิ้ง รวมทั้งเว็บไซต์ Amvata เอง

“เมื่อเปิดตัว Amvata วันแรก ก็จะมีคนเห็นสินค้าทันที เพราะจะถูกนำเสนอผ่านทุกคอนเทนต์ แพลตฟอร์มของอมรินทร์ เป็นการทำมาร์เก็ตเพลส ที่ใช้คอนเทนต์เป็นตัวนำ อมรินทร์มีฐานคนที่เข้ามาอ่าน มาดูคอนเทนต์อยู่แล้ววันละ 1 ล้านคน เรากำลังจะเปลี่ยนผู้เสพคอนเทนต์เป็นผู้ซื้อสินค้า เพื่อให้ผู้ประกอบการและแบรนด์ต่างๆ ปิดการขายได้ในอีโคซิสเต็มของอมรินทร์”

รูปแบบการนำเสนอสินค้าจากมาร์เก็ตเพลส Amvata ไปกับคอนเทนต์เครืออมรินทร์ ทำได้หลายรูปแบบ เช่น Advertorial มีลูกค้าแบรนด์ต่างๆ ให้อมรินทร์ผลิตงานให้กว่า 1,000 ชิ้น หลังจาก Amvata ให้บริการแล้ว สินค้าจะถูกนำเสนอผ่านคอนเทนต์ที่เป็น Advertorial หากสนใจก็สามารถกดซื้อได้ทันที

เช่นเดียวกับ แพรว เซเลบ บล็อกมื่อดูจบแล้ว สามารถซื้อสินค้าจากการรีวิวได้เช่นกัน หรือหากต้องการดูรายละเอียดของสินค้าก่อนซื้อก็สามารถทำได้ และยังอยู่ในแพลตฟอร์มอมรินทร์ โดยสามารถนำเสนอได้ทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น อมรินทร์ ทีวีช้อปปิ้ง หรือรายการ รีวิวบ้าน ที่ดูผ่านแอป AmarinTV

“ที่ผ่านมาถือเป็น pain point ของลูกค้าที่สนใจสินค้าจากคอนเทนต์ แต่ไม่สามารถหาซื้อสินค้าได้  แพลตฟอร์ม Content Commerce จึงเข้ามาสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ”

การทำ Content Commerce ต้องเริ่มจากการสร้างคอนเทนต์ที่น่าเชื่อถือสู่การทำตลาดแบบรายบุคคล ทำให้ผู้บริโภครู้สึกชื่นชอบการคอนเทนต์ จากนั้นปิดการขาย และสร้างโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ โดยอาศัย Omni Channel ของเครืออมรินทร์ เพื่อสร้างให้เกิด Amarin Effect ที่จะเห็นผลลัพธ์ตัวเลขยอดขายจากการใช้สื่อและช่องทางต่างๆ ของอมรินทร์.


ข่าวเกี่ยวเนื่อง

]]>
1247527
จับตา! อมรินทร์ทีวี เขย่าองค์กรครั้งใหญ่ หลังไทยเบฟฯ ส่งทีมผู้บริหารเข้าคุม ประเดิม “ละคร” ปีหน้า https://positioningmag.com/1199102 Fri, 23 Nov 2018 00:00:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1199102 หลังจากกลุ่มไทยเบฟฯ ของครอบครัวสิริวัฒนภักดี ได้ซื้อกิจการ อมรินทร์ พรินติ้ง แอนด์ พับลิชชั่ง ในปลายปี 2559 โดยยังคงให้กลุ่มอมรินทร์รับหน้าที่บริหารงานเช่นเดิม ส่วนกลุ่มไทยเบฟฯ แค่วางนโยบาย แต่ก็สามารถพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรในปีนี้

แต่เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มไทยเบฟฯ เริ่มขยับเข้ามาคุมการบริหารใน “อมรินทร์ทีวี” ธุรกิจทีวีดิจิทัล

เริ่มจากวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา เมื่อโชคชัย ปัญจรุ่งโรจน์ สามีของ ระริน อุทกะพันธ์ุ ปัญจรุ่งโรจน์ ได้ตัดสินใจลาออกจากทุกตำแหน่งในอมรินทร์ทีวี ทั้งตำแหน่งกรรมการบริหาร กรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้อำนวยการสถานี กลุ่มสิริวัฒนภักดี จึงได้แต่งตั้ง ศิริ บุญพิทักษ์เกศ ผู้บริหารจากกลุ่มช้าง ที่เป็นกรรมการและกรรมการบริหาร เข้ามารักษาการแทนในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่แทน

โชคชัย เป็นผู้บริหารช่องอมรินทร์ทีวี เป็นผู้เข้าประมูลและปลุกปั้นช่องอมรินทร์ทีวีตั้งแต่เริ่มต้น จนเมื่อกลุ่มช้างเข้ามาถือหุ้นใหญ่ช่วงต้น 47.62% โชคชัยก็ยังมีชื่อเป็นบอร์ดบริษัท แต่เริ่มขยับออกจากตำแหน่งบอร์ดเมื่อเมษายนที่ผ่านมา พร้อมๆ กับการเข้ามาของ ศิริ บุญพิทักษ์เกศ ในบอร์ดบริหารของกลุ่มอมรินทร์เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยที่ล่าสุดกลุ่มช้างได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ 60.1% ในขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ครอบครัวอุทกะพันธุ์ เหลือหุ้นอยู่เพียง 21.6%

อมรินทร์ทีวี เป็นช่องในกลุ่ม HD วาไรตี้ เน้นรายการวาไรตี้ ประเภทบ้านและสวน แฟชั่น สุขภาพและรายการอาหาร ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่มาจากรายการบ้านและสวน ที่ต่อยอดมาจากนิตยสาร

ต่อมาเมื่อได้ “พุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี” มาเป็นพิธีกรข่าว เริ่มมีชื่อเสียงในวงการข่าว มาจากการเล่าข่าวสไตล์เดียวกับ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” และได้มาแจ้งเกิด ในรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” ในปี 2558 จนกลายเป็นรายการที่ทำเรตติ้งสูงสุดของช่องอมรินทร์มาจนถึงทุกวันนี้

“พุทธอภิวรรณ” เป็นพิธีกรข่าว ที่มีบทบาทสูงที่สุดในช่องอมรินทร์ จนช่วงหนึ่งมีข่าวลือว่า เขาจะย้ายช่องไปช่อง 3 ส่งผลให้อมรินทร์ทีวีสะเทือนไม่น้อย แต่ในที่สุดเขาก็กลับมาทำหน้าที่ที่อมรินทร์ทีวีเหมือนเดิม โดยมี 2 รายการที่รับผิดชอบคือ “ทุบโต๊ะข่าว” และ “ต่างคนต่างคิด”

อย่างไรก็ตาม เรตติ้งรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” ที่ออกอากาศในช่วงหลัง 2 ทุ่ม ในปีนี้ เริ่มแกว่ง โดนคู่แข่ง “ไทยรัฐนิวส์โชว์” ที่จัดเต็มทั้งทีมข่าวและคอมพิวเตอร์กราฟิกประกอบข่าวเสมือนจริง ทำความนิยมเรตติ้งแซงหน้าไปในช่วงปลายไตรมาสแรกของปีนี้ และมาเจอหนักเมื่อมีข่าว “13 หมูป่าติดถ้ำหลวง” ในขณะที่อมรินทร์ทีวีติดพันกับการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ทำให้ไทยรัฐทีวีมีเรตติ้งแซงชนะอมรินทร์ทีวี มาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อรูปแบบของการทำรายการข่าว ขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียว ความเสี่ยงของช่องก็มากขึ้น เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว จากกรณีช่อง 3 เมื่อไม่มี “สรยุทธ์” ความนิยม เรตติ้ง และรายได้ก็ลดลงอย่างมาก ฝ่ายบริหารใหม่ช่องอมรินทร์จึงได้ปรับปรุงทีมข่าวใหม่ เพิ่มพิธีกรข่าวเข้ามาในผังรายการข่าวมากขึ้น โดยการประกาศเติมทีมพิธีกรข่าวใหม่ไปเมื่อ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

ทีมใหม่ประกอบไปด้วย นารากร ติยายน ผู้ประกาศข่าวรุ่นเก๋า มานั่งอ่านข่าวในช่วงเย็น “ข่าวเย็นอรุณอมรินทร์” ช่วงเวลา 16.00-17.00 น. และ ศุภโชค โอภาสะคุณ มาอ่าน “ข่าวเช้าอรุณอมรินทร์” เวลา 05.30-08.00 น. ในขณะที่ “พุทธอภิวรรณ” ยังครองช่วงไพรม์ไทม์เวลาหลัก 2 รายการเช่นเดิม

เพิ่มรายการหลากหลายมากขึ้น รวมถึง “ละคร”

ในปีนี้ช่องอมรินทร์ทีวีเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงรายการ เมื่อมีทุนหนามากขึ้นจึงมีรายการถ่ายทอดสดกีฬาเข้ามาในผัง ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มช้าง โดยมีรายการมวยเข้ามาลงผัง “ศึกช้าง มวยไทย Real Hero” ในทุกวันอาทิตย์, ถ่ายทอดสด ศึกยอดมวยไทย “นายขนมต้ม” แล้วยังได้สิทธิ์ร่วมถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 ด้วย

นอกจากนี้ก็เริ่มมีรายการประเภทเกมโชว์วาไรตี้เข้าลงผังบ้างแล้ว เช่น Win Win War Thailand สุดยอดนักธุรกิจแบ่งปัน และ Snatch Million เกมกระชากล้าน

ในขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวด้วยว่า ผังใหม่ของช่องอมรินทร์ในปีหน้า จะเริ่มจัด “ละครไทย” ลงผังด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นคอนเทนต์ที่พิสูจน์มาจากหลายๆ ช่องแล้วว่า “ละคร” คือคอนเทนต์เข้าถึงคนดูกลุ่มแมส สามารถเรียกเรตติ้งได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่จะเริ่มลงตลาดละคร จึงมีข่าวว่าอมรินทร์ทีวี อาจจะเริ่มต้นด้วยละครในช่วงวันหยุด เพื่อเป็นการชิมลางทดลองตลาดก่อน

ในการพบปะกับเอเจนซี่เมื่อเร็วๆ นี้ อมรินทร์ได้เปิดตัวว่า ในปีหน้าจะเริ่มมีละครที่ผลิตโดยบริษัท Change 2561 ของ “พี่ฉอด สายทิพย์ มาตรีกุล ณ อยุธยา” มาเปิดตลาดละครเป็นรายแรก

ทั้งหมดนี้ คาดว่าจะเป็นกลุ่มรายการใหม่ที่เข้ามาช่วยสร้างการรับรู้ช่อง และเรตติ้งช่องให้เพิ่มสูงขึ้นได้ หลังจากที่ช่วงหลังๆ เรตติ้งเฉลี่ยช่องเริ่มลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มช่องท็อปเท็น

ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันสูงในวงการทีวี การขยับปรับใหญ่ของช่องทุนหนา จึงน่าจับตามองว่า จะสามารถดันความนิยมและเรตติ้งช่องให้กลับมาพุ่งขึ้นได้หรือไม่.

]]>
1199102
บอลโลกเริ่มแรง แมตช์ทีมเต็งเรตติ้งพุ่งแซงละคร ดันช่องอมรินทร์, ทรูโฟร์ยู และช่อง 5 ติดอันดับท็อป โมโนจัดหนัก Fast and Furious ภาค 1-7 สู้ศึก https://positioningmag.com/1175857 Mon, 25 Jun 2018 23:15:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1175857 การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบแรก 32 ทีมชาติ จากทั้งหมด 8 กลุ่ม กำลังแข่งขันกันแบบพบกันหมด เพื่อหาทีมที่มีคะแนนดีที่สุด 2 ทีมในแต่ละสาย เข้าสู่รอบ 2 จำนวน 16 ทีมสุดท้าย ได้เข้าสู่ช่วงท้ายของรอบแรกแล้ว ความสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ แถมมีประเด็นให้พูดถึงในผลการแข่งขันแต่ละแมตช์ตามมามากมาย ทำให้ความนิยมในการรับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกใน 3 ช่องทีวีดิจิทัลสูงขึ้นเรื่อยๆ

*** เรตติ้งบอลโลกแมตช์ บราซิล แซง “บุพเพฯ

แมตช์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เรตติ้งดีสุดคือ การแข่งขันคู่ของบราซิล ชนะคอสตาริกาที่ถ่ายทอดสดในช่วงเย็นของวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน เรตติ้งสูงถึง 4.484 เฉือนเอาชนะทั้งละครและวาไรตี้ในช่วงเย็น โดยเฉพาะละครรีรัน บุพเพสันนิวาส ช่อง 3 ที่ได้เรตติ้ง 4.390 ได้เป็นครั้งแรก

โดยที่บุพเพสันนิวาส รีรัน ครองแชมป์เรตติ้งสูงสุดของช่วงเย็นต่อเนื่องมาตลอด โดยได้เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ในระดับ 5-6 กว่าทุกวัน เช่น วันที่ 18-21 มิถุนายน อยู่ที่ 4.640, 6.341, 5.822 และ 5.537

*** โมโนจัดหนัก Fast and Furious ภาค 1- 7 ลงสู้บอลโลก

ช่องโมโน สู้ศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วยการจัดหนัก ใส่ชุดภาพยนตร์ Fast & Furious ตั้งแต่ภาค 1 ลงผังยาวถึง Fast 7 เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน ในช่วงเวลาชนกับการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก โดยวันที่ 20 มิถุนายน จัด Fast 1 ลงผังเวลา 18.20 น. เรตติ้งอยู่ที่ 2.567 ต่อด้วย Fast 2 ในวันเดียวกัน เริ่มเวลา 20.28 น. เรตติ้งอยู่ที่ 2.552 ตรงกับแมตช์บอลโลก คู่โปรตุเกส ชนะ โมร็อกโก 1-0 แต่เรตติ้งฟุตบอลยังสูงกว่า อยู่ที่ 4.119

วันที่ 21 มิถุนายน โมโนจัดต่อเนื่อง Fast 3 เริ่มเวลา 20.15 น. เรตติ้ง 2.721 จบแล้วต่อด้วย Fast 4 ในวันเดียวกัน เรตติ้ง 2.674 เรตติ้งสูสีกับแมตช์ เดนมาร์ก 1:1 ออสเตรเลีย เรตติ้ง 2.944 วันต่อมา ศุกร์ที่ 22 มิถุนายน Fast 5 เรตติ้งพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 3.220

ส่วน Fast 6 ลงผังในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน เรตติ้ง 4.068 แซงชนะบอลโลกแมตช์ เบลเยียมชนะตูนีเซีย 5-2 เรตติ้ง 3.390 และในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน Fast 7 เรตติ้งทะยานไปอยู่ที่ 4.727 สูงกว่าแมตช์ที่ อังกฤษถลุงปานามา 6-1 เรตติ้ง 3.327

ทำให้เรตติ้งเฉลี่ยของช่องโมโนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 เหนือเวิร์คพอยท์อีกครั้ง ตอบโจทย์ได้ว่า หากมีคอนเทนต์ที่ดี ยังไงก็ยังสามารถดึงดูดผู้ชม สร้างความนิยมได้เสมอ

*** อมรินทร์ อันดับ 5, True4u – 8 และช่อง 5 ขึ้นอันดับ 11

จากการวัดเรตติ้งเฉลี่ยของช่องทีวีดิจิทัล โดยนีลเส็น ประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 18-24 มิถุนายน จากฐานผู้ชมอายุ 4+ เวลา 24 ชั่วโมง ทั้งอมรินทร์ทีวี, True4u และช่อง 5 ที่เป็น 3 ช่องหลักได้ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครั้งนี้ เรตติ้งพุ่งขึ้นสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่มีทีวีดิจิทัลเป็นต้นมา

ช่องอมรินทร์ขึ้นมาจากอันดับที่ 7 เรตติ้งเฉลี่ย 0.413 ในสัปดาห์ที่แล้ว มาอยู่ที่อันดับ 6 เรตติ้ง 0.515 แซงหน้าช่องวัน ที่หล่นไปอยู่อันดับ 7 ตามมาติด ๆ ด้วยช่อง True4u จากอันดับ 10 เรตติ้งเฉลี่ย 0.241 ในสัปดาห์ที่แล้ว ขึ้นมาที่ 8 เรตติ้งเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.422 ในขณะที่ช่อง 5 จากอันดับ 13 เรตติ้งเฉลี่ย 0.138 ขึ้นมามากกว่าเท่าตัวอยู่ที่อันดับ 11 เรตติ้ง 0.311

อย่างไรก็ตาม การที่ทั้ง 3 ช่องถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครั้งนี้ เนื่องจากเป็นเงื่อนไขพิเศษ ไม่มีรายได้จากค่าโฆษณาในการถ่ายทอดสด เนื่องจากจะโฆษณาได้เฉพาะ 9 บริษัทเอกชน สปอนเซอร์ที่ลงขันแถมร่วมกัน 1,400 ล้านบาท ในการไปซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกในครั้งนี้ แถมยังต้องยอมเสียเวลาของสถานีเพื่อถ่ายทอดสดด้วย สิ่งที่ทั้ง 3 ช่องได้รับคือสร้างการรับรู้และจดจำของผู้ชมมากขึ้น ที่หวังว่าอาจจะมีการต่อยอดสร้างฐานความนิยมได้มากขึ้นในอนาคต.

]]> 1175857 ยื้อไม่ไหว นิตยสาร Health&Cuisine ลาแผงอีกเล่ม AMARIN เร่งลดขาดทุน https://positioningmag.com/1136232 Tue, 15 Aug 2017 11:55:18 +0000 http://positioningmag.com/?p=1136232 นิตยสารเฮลท์แอนด์ควิซีน (Health & Cuisine) ในเครืออมรินทร์พริ้นติ้ง ประกาศตีพิมพ์ฉบับ ที่ 199 เป็นฉบับสุดท้าย เดือนสิงหาคม 2560 นี้ โดยจะหันไปสื่อสารผ่านโลกออนไลน์และแฟนเพจแทน

“นิตยสาร” ยังคงเป็นสื่อได้รับผลกระทบจาก พฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไปเสพสื่อออนไลน์ ส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาของนิตยสารยังคงลดลงต่อเนื่องทุกเดือน ทำให้นิตยสารต้องลาแผง หันไปสู่แพลตฟอร์มกันเป็นแถว

โดยนีลเส็น ประเทศไทย รายงานในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2560 งบโฆษณาที่ลงในนิตยสาร 1,103 ล้านบาท ลดลงไปถึง 36.72% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน  

ส่วนในเดือนกฎาคม 60 ทำเม็ดเงินโฆษณา 134 ล้านบาท เกือบจะน้อยที่สุดในบรรดาสื่อทั้งหมด โดยติดลบไปถึง 38.53 เมือเทียบกับ ก..ปี 59

ส่งผลให้ นิตยสาร ซึ่งมีรายได้หลักจากโฆษณา ต้องทยอยปิดตัวลง ล่าสุด นิตยสารเกี่ยวกับอาหารอย่าง เฮลท์แอนด์ควิซีน (Health & Cuisine) ในเครืออมรินทร์ ก็ประกาศตีพิมพ์เป็นฉบับสุดท้ายในเดือนสิงหาคม 2560 โดยจะหันไปสื่อสารผ่านโลกออนไลน์และแฟนเพจแทน

“ตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ กุมภาพันธ์ 2544 ถึงฉบับสิงหาคม 2560 ฉบับนี้ รวมเฮลท์แอนด์ควิซีนได้ 199 ฉบับแล้ว ที่ส่งต่อความรู้ ทั้งเรื่องสุขภาพ สูตรอาหาร และร้านอาหารอร่อยๆ ถึงคุณผู้อ่านทุกเดือน มาถึงบรรทัดนี้ ดิฉันจำต้องบอกลาคุณอย่างเป็นทางการแล้ว … Health & Cuisine ฉบับในมือคุณนี้ จะเป็นฉบับสุดท้ายแล้วค่ะ ด้วยสถานการณ์และเหตุปัจจัยหลายๆ อย่างในปัจจุบัน ทำให้บริษัทจำเป็นต้องยุติการทำนิตยสารแบรนด์นี้ลง และโปรดติดตามเนื้อหาดีๆ ของ Health & Cuisine ได้ในโลกออนไลน์นะคะแสงปทีป แก้วสาคร บรรณาธิการบริหารของเฮลท์แอนด์ควิซีนระบุในบทบรรณาธิการ

ทั้งนี้ เฮลท์แอนด์ควิซีนจะยังมีการผลิตเนื้อหาต่อไปผ่านเฟซบุ๊ก แฟนเพจ  GoodLifeUpdate.com ซึ่งมีการรวบรวมเอาเนื้อหาด้านอาหารและสุขภาพจากนิตยสารในเครืออมรินทร์อย่าง ชีวจิต และ Secret เข้าไปด้วย

สำหรับนิตยสารเฮลท์แอนด์ควิซีน ของ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เป็นนิตยสารเกี่ยวกับอาหารวางจำหน่ายเป็นรายเดือนในราคาเล่มละ 90 บาท โดยจากข้อมูลผลประกอบการครึ่งปีแรก 2560 ที่เผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้ ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ระบุว่าครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จในการลดผลขาดทุนสุทธิได้อย่างมีนัยสำคัญ และหวังว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจของบริษัทหลังจากที่ช่อง AMARIN TV สามารถไต่อันดับขึ้นมามีเรตติ้งเฉลี่ยเป็นลำดับที่ 7 ของจำนวนช่องฟรีทีวีทั้งหมดได้ 


ที่มา : manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9600000083199

]]>
1136232