AR – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 25 Apr 2023 10:37:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ประเมินมูลค่าตลาด ‘Game Metaverse’ อาจสูงถึง 45 ล้านล้านบาทภายใน 10 ปีข้างหน้า https://positioningmag.com/1428459 Tue, 25 Apr 2023 07:30:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1428459 แม้ว่า Metaverse ที่หลาย ๆ คนพูดถึงจะยังดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวและยังไม่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายนักในปัจจุบัน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็มีการประเมินว่าอุตสาหกรรมที่จะเติบโตได้มากที่สุดก็คือ เกม โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2033 ตลาดเกม Metaverse จะมีมูลค่าสูงถึง 1.3 ล้านล้านเหรียญ เลยทีเดียว

จะเห็นว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกพยายามจะพาตัวเองไปเป็นผู้นำในโลก Metaverse รวมไปถึงบริษัทเกม อาทิ Krafton สตูดิโอของเกาหลีใต้เจ้าของเกมดังอย่าง PUBG ก็เตรียมเปิดตัวเกมแพลตฟอร์ม Metaverse ในปีนี้ โดยมีชื่อย่างไม่เป็นทางการในตอนนี้ว่า Migalnow, การลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญของ Meta และ Epic Games ได้เงินลงทุน 1 พันล้านเหรียญในการพัฒนาเกมเมตาเวิร์ส

ซึ่งนักวิเคราะห์ของ Globenewswire ได้ประเมินว่า ตลาดเกม Metaverse จะมีมูลค่าสูงถึง 1.3 ล้านล้านเหรียญ หรือราว 45 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 5.1 พันล้านเหรียญ โดยคาดว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ 38.2% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2023-2033 และ 48% ของตลาดเกมโลกจะประกอบด้วยอุปกรณ์เล่นเกมแบบเมตาเวิร์ส

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่สร้างการเติบโตของตลาดมาจาก ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน เนื่องจากแพลตฟอร์ม Metaverse ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ดิจิทัลด้วยการสร้างโลกเสมือนจริงที่ผู้คนสามารถเล่นเกมที่สมจริง ทำธุรกิจ พูดคุยกัน แบ่งปันสินค้าเสมือนจริง ดูเนื้อหาดิจิทัล และไปที่กิจกรรมเสมือนจริง ทำให้เกิดความเป็นไปได้ทางการตลาดอย่างมหาศาล ส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายที่มากตาม อาทิ การใช้สกุลเงินดิจิทัล และ NFTs

“เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่ดี บริษัทหลายแห่งกำลังทำงานบนแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อแบบดิจิทัลซึ่งช่วยให้ผู้เล่นหลงทางในโลกเสมือนจริงขณะเล่นเกม การเพิ่มขึ้นของฐานผู้ใช้ของอุตสาหกรรมเกม ความนิยมของเกมที่เล่นแล้วได้เงินและการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AR, VR และ XR คือสิ่งสำคัญบางส่วนที่ช่วยให้ตลาดเติบโต”

หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือ คาสิโนเมตาเวิร์ส ที่บริหารโดย Decentraland ซึ่งสามารถทำเงินได้ถึง 7 ล้านเหรียญ ในช่วง 3 เดือนแรกที่เปิดตัว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธุรกิจเกมเมตาเวิร์สยังไม่สามารถเติบโตได้เท่าที่ควรเนื่องจาก ต้นทุนอุปกรณ์ที่สูง ขณะที่ตลาดและตัวเทคโนโลยียังอยู่ในระยะเริ่มต้น ส่งผลให้ผู้บริโภคยังมีมั่นใจที่จะจ่ายเงินกับคนเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่พร้อม นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วย

ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Ready Player One ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก บางทีตลาด Game Metaverse ในอีก 10 ปีข้างหน้าอาจไปถึงขั้นนั้นก็ได้ โลกเสมือนที่กลายเป็นโลกหลักในการใช้ชีวิต

Source

]]>
1428459
ถอด 5 กลยุทธ์ ‘AIS Business’ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Cognitive Telco’ สู่การเป็น Growth Engine ใหม่ขององค์กร https://positioningmag.com/1382999 Wed, 27 Apr 2022 08:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382999

เป็นเวลา 31 ปีแล้วที่ ‘เอไอเอส’ (AIS) อยู่คู่กับองค์กรธุรกิจไทย จากที่ช่วงแรกให้บริการเฉพาะด้านโมบายมาสู่ดิจิทัลเซอร์วิส ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์, GPS Tracing, โซลูชั่น IoT, 5G จนมาสู่ยุคของ AI, Machine Learning และ Metaverse ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี Positioningmag จะพาไปเจาะลึกกลยุทธ์ในฝั่งของ เอไอเอส บิสซิเนส (AIS Business) ที่ต้องปรับตัวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง รวมถึงวิสัยทัศน์ใหม่ ‘Cognitive Telco’


จากปั้น Infra สู่ Vertical Solutions

ในแต่ละปีเอไอเอสใช้เงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานปีละกว่า 30,000-35,000 ล้านบาท จนปัจจุบัน เอไอเอสมีสถานีฐาน AIS 5G กว่า 19,000 สถานีฐานครอบคลุม 76% ของประชากรทั่วประเทศ และในพื้นกรุงเทพฯ ปริมณฑล สามารถครอบคลุมถึง 99% ส่วนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ครอบคลุมถึง 90%

สำหรับปีนี้ เอไอเอสตั้งเป้าจะขยายสัญญาณ 5G ให้ครอบคลุมประชาชนคนไทยให้ได้ 85% และเมื่อสัญญาณ 5G เริ่มครอบคลุมการใช้งานแล้ว AIS Business จะเริ่มเน้นที่ 5G Vertical Solutions หรือการพัฒนา 5G ในแนวดิ่ง เป็นการใช้ 5G เจาะลงลึกเฉพาะอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อประโยชน์ในการทำ Digitization อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยี AR, VR, Data Solutions เป็นต้น


5 กลยุทธ์รับวิสัยทัศน์ Cognitive Telco

ในส่วนกลยุทธ์ของ AIS Business ปีนี้จะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Cognitive Telco หรือการขยับขึ้นไปเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ โดยจะประกอบไปด้วย 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1.เชื่อมต่อ 5G Ecosystem ในการเชื่อมต่อโครงข่าย AIS 5G ที่เปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และผู้ประกอบการ ให้สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้งานได้อย่างเหมาะสม ภายใต้การดึงศักยภาพของเทคโนโลยีร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้เกิดอีโคซิสเต็มที่สมบูรณ์

2.ยกระดับการทำงานของโครงข่ายด้วย Intelligent Network จากปริมาณความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบนด์วิดท์ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตต่างประเทศในช่วงปีที่ผ่านมา ที่มีปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 50% ด้วยการเป็นผู้ให้บริการด้านการเชื่อมต่อที่ครบวงจรทั้งเครือข่ายใยแก้วนำแสง และเครือข่ายไร้สายสำหรับลูกค้าองค์กร

3.มุ่งเสริมความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและแพลตฟอร์ม ด้วยการขยายผลในฐานะผู้ให้บริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มด้าน CCII ที่ครอบคลุม เทคโนโลยีที่ครบครัน ทั้งโซลูชันคลาวด์ (Cloud) บริการความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) บริการ IoT (Internet of Things) และบริการด้านไอซีทีโซลูชัน (ICT Solution)

4.เสริมอาวุธด้านการตลาด และเพิ่มโอกาสการเติบโตด้วย Business Big Data การนำประสบการณ์ด้านงานดูแลลูกค้าทั่วไป เพื่อสร้างโอกาสทางการแข่งขัน รวมถึงอาวุธใหม่ๆ สำหรับการสื่อสารทางการตลาดที่จะสร้างยอดขายและการเติบโตได้มากยิ่งขึ้น

5.ส่งมอบบริการด้วยทีมงานมืออาชีพ จากการที่มีซีเอส ล็อกซอินโฟ หรือ CSL เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ทำให้วันนี้ เอไอเอส บิสสิเนส เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวในตลาดที่มีความพร้อมสูงสุด มีบุคลากรในสายงาน ICT ที่เชี่ยวชาญและรอบด้าน ทำให้การส่งมอบบริการเพื่อตอบโจทย์องค์กรธุรกิจมีความต่อเนื่อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ประเมิน ติดตั้ง บริหารโครงการ และบริการหลังการขายอย่างมืออาชีพ

“นอกจากขยายการลงทุนเรื่อง 5G และหาพาร์ทเนอร์เพิ่มเติมแล้ว จะเห็นว่าเราเน้นเรื่องดาต้า เอไอ เรื่องอินเทลลิเจนท์เน็ตเวิร์ก ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้พัฒนาไปตลอดเวลา ที่สำคัญคือคนไอที โดยเราตั้งเป้าเพิ่มอีก 3 เท่าเพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับความต้องการลูกค้า” ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าว


โอกาสมีสูง ความท้าทายยิ่งสูงตาม

การระบาดของ COVID-19 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้องค์กรเริ่มเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ดังนั้น จะเห็นว่าทุกอุตสาหกรรมตื่นตัวมาใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะในกลุ่ม Healthcare, Retail, Transportation และ Manufacturing ด้วยความต้องการที่มีมาก สิ่งที่ตามมาคือ การแข่งขันโดนเฉพาะเรื่องของ ราคา

อย่างไรก็ตาม เอไอเอสมองว่าการแข่งขันในด้านราคานั้น ไม่ยั่งยืน ดังนั้น วิสัยทัศน์ของเอไอเอสคือต้องการเป็น Part of Success โดยจะเน้นสร้างโซลูชันใหม่ ๆ ออกมาเพื่อรองรับความต้องการลูกค้า โดยปีนี้เอไอเอสมั่นใจว่าจะมียูสเคสใหม่ ๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นตลาด

“ลูกค้าต้องการโฟกัสที่ธุรกิจหลัก ไม่ได้อยากเก่งเรื่องเทคโนโลยี เขาต้องการพาร์ทเนอร์ที่ให้คำปรึกษาเรื่องเทคโนโลยีได้ ซึ่งความท้าทายตอนนี้คือ ลูกค้ามีความคาดหวังมากขึ้น ต้องการโซลูชั่นที่ยากมากขึ้น แน่นอนว่าสงครามราคามันมี แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของการแข่งขัน สุดท้ายมันคือเรื่องของเซอร์วิส”


ตั้งเป้าโต 2 หลัก ขึ้นแท่น Growth Engine ของ AIS

AIS Business มีลูกค้าในกลุ่มองค์กรใหญ่กว่า 60% และ SME กว่า 40% โดยปีที่ผ่านมา AIS Business เติบโตได้ 16% ทำรายได้ 5,291 ล้านบาท สูงกว่าตลาดที่เติบโต 10% และเมื่อรวมกับรายได้จากองค์กรธุรกิจในฝั่งโมบายแล้วจะคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 10-12% โดยในปีนี้ คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในอัตรา 2 หลัก

“แม้การเป็น Growth Engine มาพร้อมความคาดหวังที่สูง แต่การเติบโตในปีที่ผ่านมาถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าเรามาถูกทางแล้ว และเรามีโอกาสที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด แม้ AIS Business จะมีหลายบทบาทแล้วแต่มุมมองของลูกค้า แต่เรามองตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เขาเติบโตได้ เปรียบเสมือนอะไหล่รถที่ให้เขาวิ่งได้”

 

]]>
1382999
‘Facebook’ เล็งจ้างงาน 1 หมื่นตำแหน่งในยุโรป หวังปั้น ‘Metaverse’ ให้เกิดในอีก 5 ปี https://positioningmag.com/1357052 Mon, 18 Oct 2021 06:24:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1357052 หากพูดถึง ‘Metaverse’ (เมตาเวิร์ส) คำศัพท์ใหม่ที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่ถ้าพูดถึง ‘โลกเสมือน’ ภาพยนตร์ไซไฟคงจะนึกภาพตามได้ไม่ยาก ซึ่งน่าจะยิ่งสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่การเว้นระยะห่างทางสังคมเพราะ COVID-19 การเป็น New Normal ของการใช้ชีวิตในปัจจุบันไปแล้ว ซึ่ง Facebook เองก็พยายามจะปลุกปั้น Metaverse ให้เกิดขึ้นภายใน 5 ปีจากนี้

ที่ผ่านมา Facebook ได้พยายามจะสร้าง Metaverse จากแค่แนวคิดให้เกิดขึ้นจริงด้วยการทุ่มทุนวิจัยมากกว่า 1,600 ล้านบาท ล่าสุด Facebook ก็วางแผนที่จะสร้างงาน 10,000 ตำแหน่งในสหภาพยุโรป ภายในอีก 5 ปี ข้างหน้าเพื่อเดินหน้าสร้าง Metaverse โดยจะเน้นจ้าง วิศวกรที่มีทักษะสูง ในหลายประเทศทั่วทั้งกลุ่ม อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน โปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ และไอร์แลนด์

“ยุโรปมีความสำคัญอย่างมากต่อ Facebook ทั้งพนักงานหลายพันคนในสหภาพยุโรป ไปจนถึงธุรกิจนับล้านที่ใช้แอปฯ และเครื่องมือของเราทุกวัน ยุโรปเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จของเรา เพราะเราอยู่ในความสำเร็จของบริษัทในยุโรปและเศรษฐกิจในวงกว้าง” Nick Clegg หัวหน้าฝ่ายกิจการระดับโลกของ Facebook และ Javier Olivan รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ส่วนกลาง กล่าว

“เมื่อเราเริ่มต้นการเดินทางเพื่อทำให้ metaverse มีชีวิต ความต้องการวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญสูงเป็นหนึ่งในความสำคัญเร่งด่วนที่สุดของ Facebook โดยเราตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับรัฐบาลทั่วสหภาพยุโรปเพื่อค้นหาผู้คนที่เหมาะสมและตลาดที่เหมาะสมเพื่อก้าวไปข้างหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการจัดหางานที่กำลังจะเกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค”

ทั้งนี้ Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ได้สรุปวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับ metaverse ในเดือนกรกฎาคมว่า มันคือ โลกเสมือน ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง VR (Virtual Reality) กับ AR (Augmented Reality) โดยผู้คนสามารถมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น การพูดคุย, เล่นเกม, ทำงาน, ประชุม, ออกกำลังกาย และอื่น ๆ

ไม่ใช่แค่ Facebook แต่บริษัทไอทีอื่น ๆ อีกหลายแห่ง อาทิ Microsoft, Roblox และ Epic Games กำลังลงทุนอย่างหนักในการสร้าง metaverse เวอร์ชั่นของตัวเองด้วยเช่นกัน

Source

]]>
1357052
กองทัพสหรัฐฯ ทุ่มเงิน 6.8 แสนล้านบาทให้ ‘ไมโครซอฟท์’ ผลิตแว่น AR เพื่อใช้ฝึกทหาร https://positioningmag.com/1326310 Fri, 02 Apr 2021 07:38:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1326310 ‘ไมโครซอฟท์’ (Microsoft) บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลกเพิ่งปิดดีลทำสัญญากับ ‘กองทัพสหรัฐฯ’ ในการผลิต ‘แว่น AR’ (Augmented Reality) เพื่อใช้ทางการทหารในการฝึกซ้อมต่อสู้

กองทัพสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันพุธว่าได้เซ็นสัญญากับ ไมโครซอฟท์ ในการผลิตแว่น AR โดยใช้เทคโนโลยี ‘HoloLens’ ภายใต้โครงการ ‘Integrated Visual Augmented Systems (IVAS)’ โดยอุปกรณ์นี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยทหารได้ “ซ้อมรบ และต่อสู้”

ย้อนไปปี 2018 กองทัพสหรัฐฯ ได้ทำสัญญามูลค่า 479 ล้านดอลลาร์กับไมโครซอฟท์เพื่อให้ทำตัวต้นแบบและทดลองใช้เทคโนโลยี HoloLens ก่อนที่ปัจจุบันจะตกลงทำสัญญาการผลิตอุปกรณ์มากกว่า 120,000 เครื่อง โดยสัญญาดังกล่าวมีระยะเวลา 10 ปี มีมูลค่าสูงถึง 2.19 หมื่นล้านดอลลาร์ (6.8 แสนล้านบาท)

ไมโครซอฟท์ ระบุว่า บริษัทได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกองทัพเพื่อสร้างอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ เพื่อออกแบบมาเพื่อให้ทหารในหน่วยรบระยะใกล้สามารถ “รับรู้สถานการณ์ที่ดีขึ้น, การมีส่วนร่วม และการตัดสินใจจากข้อมูลที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุการจัดการกับศัตรูในปัจจุบันและอนาคต” อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สัญญาทางทหารขนาดใหญ่ที่สุดเพียงครั้งเดียวของไมโครซอฟท์ แต่ในปี 2019 ไมโครซอฟท์ได้รับสัญญามูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ในการจัดหาบริการคลาวด์ให้กับกระทรวงกลาโหม

ภาพจาก roadtovr.com

อย่างไรก็ตาม พนักงานไมโครซอฟท์จำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการ HoloLens ไม่พอใจเนื่องจากไม่ต้องการให้นำ HoloLens ไปใช้เพื่อปฏิบัติการทางทหาร พร้อมกับยื่นเรื่องขอให้บริษัทยกเลิกสัญญากับกองทัพสหรัฐฯ แต่ทางด้าน สัตยา นาเดลลา ซีอีโอไมโครซอฟท์ ยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกสัญญาอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ Dan Ives นักวิเคราะห์ของ Wedbush มองว่าข้อตกลงดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ไมโครซอฟท์จะสร้างรายได้จากเทคโนโลยี AR และ HoloLens และหลังจากมีการเปิดเผยถึงสัญญาดังกล่าวทำให้หุ้นของไมโครซอฟท์พุ่งสูงขึ้น 1.5%

“ในที่สุด ไมโครซอฟท์ก็สามารถขยายการใช้งานจาก R&D และกลุ่มการดูแลสุขภาพ และเชื่อว่าในปีหน้าราคาน่าจะลดลงจนสามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วไป” Ives กล่าว

Source

]]>
1326310
เตรียมเงินให้พร้อม ‘Facebook x Ray-Ban’ ผุด ‘แว่นอัจฉริยะ’ เปิดตัวปีหน้า https://positioningmag.com/1297825 Fri, 18 Sep 2020 10:38:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297825 ภายในงาน Facebook Connect 2020 Facebook ได้ออกมาประกาศว่าได้จับมือกับค่าย EssilorLuxottica ผู้ผลิตแว่น ‘Ray-Ban’ เพื่อพัฒนา ‘แว่นตาอัจฉริยะ’ (Smart Glasses) โดยจะได้ยลโฉมกันในปี 2021 แน่นอน

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Facebook ได้เปิดเผยมากขึ้นเกี่ยวกับผลงานที่ออกมาจาก Reality Labs ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 เพื่อทำงานในโครงการทดลองต่าง ๆ และล่าสุดที่เปิดเผยออกมาก็คือ ‘แว่นอัจฉริยะ’ แม้ไม่ได้เปิดเผยถึงคุณสมบัติของแว่นตาอัจฉริยะมากนัก แต่ Mark Zuckerberg CEO Facebook ยังยืนยันว่าไม่ใช่ ‘แว่น AR’ แต่จะคล้ายกับ Snap Spectacles หรือ Echo Frames ของ Amazon มากกว่า พร้อมระบุว่า แว่นตาอัจฉริยะดังกล่าวถือเป็นก้าวหนึ่งในงานพัฒนาด้าน AR และถือเป็นต้นแบบของโปรเจกต์ที่เรียกว่า ‘Project Aria’ ซึ่งเป็นแว่นตา AR

แม้จะยังไม่มีรายละเอียดว่าแว่น AR ของ Facebook จะถูกเรียกว่าอะไร หน้าตาเป็นอย่างไร รวมถึงจะมีราคาเท่าไหร่ แต่จะมีการเปิดตัวปีหน้า และเนื่องจากต้องการให้ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ลักษณะหน้าตาก็น่าจะคล้ายกับแว่นทั่วไป อย่างที่บริษัทอย่าง North และ Nreal ได้พัฒนาขึ้น

อย่างที่รู้ว่าไม่ใช่แค่ Facebook ที่คิดจะพัฒนาแว่นอัจฉริยะ แต่รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ อาทิ ส่วนบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เจ้าอื่น ๆ เช่น Amazon, Apple, Google และ Intel ก็เคยพัฒนาแว่นอัจฉริยะหรือหมวด AR มาก่อน ดังนั้นอาจต้องรอดูอีกทีว่าแว่นอัจฉริยะของ Facebook นั้นจะล้ำแค่ไหน แล้วราคาจะสามารถจับต้องได้ อย่างที่ต้องการให้ใช้ในชีวิตประจำวันแค่ไหน

Source

]]>
1297825
L’Oréal จับมือ Facebook ใช้ AR เปลี่ยนการแต่งหน้าให้เหมือนจริง แบบนี้สาวๆ จะออกจากหน้าเฟซบุ๊กหรือหยุดช้อปเครื่องสำอางได้ยังไง https://positioningmag.com/1183338 Tue, 14 Aug 2018 09:29:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1183338 มีเทคโนโลยีต้องรู้จักใช้ น่าจะเป็นบทสรุปที่ชัดเจนสำหรับความร่วมมือระหว่างโมดิเฟส (ModiFace) บริษัทลูกของลอรีอัล ได้ประกาศความร่วมมือระยะยาวกับเฟซบุ๊ก (Facebook) ลอรีอัล (L’Oréal) และเฟซบุ๊ก (Facebook) ที่จับมือกันพัฒนาและนำเทคโนโลยีเออาร์ (AR-Augmented Reality) ที่ผสมผสานโลกจริงและโลกเสมือนเข้าด้วยกัน มาใช้สร้างประสบการณ์และตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก งานนี้ทั้งสนุกและคาดว่าน่าจะทำให้ลอรีอัลขายของได้ดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะทางออนไลน์และโซเชียลคอมเมิร์ซ (Social Commerce)

ทั้งนี้ ลอรีอัล ได้ซื้อกิจการของบริษัทเทคโนโลยี ModiFace ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเอไอ (AI-Artificial Intelligence) และเออาร์ เมื่อต้นปี 2561 เพื่อนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมความงาม และได้ร่วมมือกับบริษัทดังๆ ทั่วโลกอย่าง Samsung และ Pinterest เกี่ยวกับบริการเออาร์มาแล้ว แต่นั่นก็ไม่มากเท่าการจับมือกับเฟซบุ๊ก ที่มีฐานผู้ใช้อยู่ถึง 2 พันล้านคนทั่วโลกในปัจจุบัน

Lubomira Rochet หัวหน้าฝ่ายดิจิทัลของลอรีอัล กล่าวว่า การร่วมมือกันนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงแบรนด์ได้อย่างแท้จริง และมีโอกาสลองผลิตภัณฑ์ใหม่ก่อนซื้อ ผ่านการใช้เครือข่ายทางสังคมอย่างเฟซบุ๊กนั่นเอง

โครงการด้านเทคโนโลยีเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบดิจิทัลของลอรีอัล ในการปรับปรุงและสร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่เชื่อว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท สามารถเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น เพราะว่าเทคโนโลยีเออาร์จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถมองเห็นเทรนด์ความงามในแบบฉบับของพวกเขา และเลือกสีที่เหมาะสมสำหรับการแต่งหน้าได้จากภาพจำลองที่เห็นจริง จากนั้นจะสามารถคลิกผ่านเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ในเว็บไซต์ของลอรีอัลได้อย่างไร้รอยต่อ

เทคโนโลยีเออาร์ที่พัฒนาขึ้นนี้ จะทำงานร่วมกับเฟซบุ๊ก คาเมร่า (Facebook Camera) เพื่อช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคสามารถลองแต่งแต้มสีสันเสมือนจริงได้ นำร่องโดยผลิตภัณฑ์ภายใต้ นิกซ์ โปรเฟสชั่นแนล เมกอัพ (NYX Professional Makeup) แบรนด์ในสังกัดของลอรีอัล แบรนด์ที่มาแรงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ รักการแต่งหน้าที่สะท้อนความเปลี่ยนตัวเองและเปลี่ยนไปไม่ซ้ำแนว โดยจะในปลายเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้

การรุกตลาดด้วยเทคโนโลยีร่วมกับพันธมิตรที่มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่สุดในโลกอย่างเฟซบุ๊ก  สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของลอรีอัลต่ออีคอมเมิร์ซอย่างมาก โดยเชื่อว่าจะเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง ซึ่งยืนยันได้จากรายงานประจำปี 2017 ของลอรีอัล ก็พบว่า บริษัทสามารถสร้างรายได้มากกว่า 2 พันล้านยูโรต่อปีจากยอดขายออนไลน์ หรือคิดเป็นประมาณ 8% ของรายได้รวม และทำให้อีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของแบรนด์ ถ้าคิดสัดส่วนจากอีคอมเมิร์ซเฉพาะในตลาดจีน ตัวเลขรายได้จากอีคอมเมิร์ซของบริษัทเครื่องสำอางจากฝรั่งเศสรายนี้ ทำสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 4 หรือ 26.4% ของยอดขายเลยทีเดียว

เรื่องเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ทำไมลอรีอัลจึงพยายามค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการเพิ่มยอดขายจากอีคอมเมิร์ซมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น การทำแอปพลิเคชั่นต่างๆ กระตุ้นยอดขายออนไลน์ นอกเหนือไปจากช่องทางของตน อีกทั้งตอนนี้ยังเล็งเห็นความสำคัญและบุก โซเชียลคอมเมิร์ซเต็มตัว และเชื่อว่าจะกลายเป็นอีกแหล่งรายได้สำคัญของแบรนด์ แม้ว่าเป้าหมายหลักของกลยุทธ์การใช้เออาร์ในตอนแรก จะเน้นที่การเข้าถึงผู้บริโภครายใหม่ด้วยวิธีที่อาศัยความบันเทิงและทำให้สนุกสนานเท่านั้นก็ตาม แต่ดัชนีชี้วัดผลงานหรือความสำเร็จด้านตัวเลขก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ และทำให้บริษัทต้องคิดไปไกลกว่าเดิมเมื่อมองเห็นโอกาส

อย่างไรก็ตาม นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลอรีอัล นำเออาร์มาใช้ เพราะเคยทำงานร่วมกับ Founders Factory ในการหาสตาร์ทอัพเพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จับมือกับเฟซบุ๊ก แล้วนำมาปรับให้เข้ากับองค์กร ทั้งในส่วนของวิธีการทำการตลาดและการสื่อสารกับผู้บริโภคให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

เหตุผลง่าย ๆ ที่ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็เพราะยุคนี้การสร้างประสบการณ์และทำให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ นั่นเอง ส่วนการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ครั้งนี้จะให้ประโยชน์และผลลัพธ์ที่ดีมากน้อยแค่ไหน รอไม่นานก็รู้ผล.

ที่มา : https://www.marketingweek.com/2018/08/09/loreal-looks-to-drive-up-ecommerce-sales-in-ar-partnership-with-facebook/?cmpid=em~newsletter~weekly_news~n~n&utm_medium=em&utm_source=newsletter&utm_campaign=weekly_news&eid=5903569&sid=MW0001&adg=05A1F053-04FF-43C5-AFF0-1347831A82CE

]]>
1183338
แบรนด์ต้องรู้ ! 6 เทรนด์กำหนดตลาด Mobile Marketing ปี 2018 https://positioningmag.com/1156479 Mon, 12 Feb 2018 01:15:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1156479 อนาคตของการตลาดบนอุปกรณ์พกพา หรือ Mobile Marketing นั้นกำลังจะเป็นรูปร่างชัดเจนขึ้นอีกในปีนี้ ทั้งแง่การเติบโต การเปลี่ยนขั้วควบรวมกิจการ และการมุ่งเข้าถึงมวลชนผ่านช่องทางย่อยหรือ Sub-Channel นี่คือ 6 แนวโน้มที่จะทำให้ปี 2018 เป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Mobile Marketing อย่างแท้จริง 

1. โลกเปลี่ยนต้องตามให้ทัน

ในวันที่แบรนด์ต้องสนใจทั้ง Influencer, Social Media, Chatbot และแอปพลิเคชั่นรับส่งข้อความ Messaging App เพื่อ Engage หรือเข้าถึงคนรุ่นใหม่ Millennial รวมถึง Gen Z ให้ได้ แนวโน้มที่จะเกิดในปีนี้คือแบรนด์จะต้องพยายามผสานและยกระดับประสบการณ์ Offline และ Online ของลูกค้าให้ได้ดียิ่งขึ้นกว่านี้อีก 

การสำรวจล่าสุดพบว่าแบรนด์ใหญ่เริ่มใช้บริการชุดคำสั่งเพื่อส่งบทสนทนาเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ออนไลน์ (Offline Conversions API) ของ Facebook ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมาแล้ว ทำให้แบรนด์มีโอกาสส่งสารจากนักช้อปออนไลน์ระดับแม่เหล็กมาให้นักช้อปในร้านค้าได้เห็นข้อมูลด้วย ทั้งหมดนี้จะทำให้แบรนด์สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าเดิม แถมยังทำโปรโมชั่น และทำแคมเปญได้ดีขึ้นในงบประมาณที่จำกัด

เทรนด์นี้ยังเป็นที่มาของการที่แบรนด์เริ่มแห่มาใช้เทคโนโลยี AR และ AI รวมถึงการรองรับการค้นหาข้อมูลด้วยภาพและเสียงให้ครบ เนื่องจากแรงกระเพื่อมของข้อมูลจากเทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้การเพิกเฉยของแบรนด์ที่ไม่เคยแตะต้องเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป

การสำรวจล่าสุดพบว่า การค้นหาด้วยภาพและการจดจำภาพจะเป็นอีกเทคโนโลยีที่แบรนด์จะสนใจในปีนี้ ปัจจุบัน ผู้ค้าปลีกจำนวนหนึ่งได้เปิดตัวแพลตฟอร์มบริการวิเคราะห์ภาพ Image Recognition as a Service แล้ว เช่น Target ที่ใช้เทคโนโลยี Lens ของ Pinterest เพื่อค้นหาภาพ คาดว่าในปี 2018 แบรนด์อื่นจะเริ่มดำเนินการ เพื่อให้มั่นใจว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์และภาพแบรนด์ของตัวเองสามารถถูกวิเคราะห์ได้ง่ายด้วยเทคโนโลยีการค้นหาด้วยภาพ, AR และ QR Code รวมถึง Contextual Data หรือข้อมูลตามบริบทแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกัน

2. เนื้อหาต้องมีอายุ

เทรนด์นี้เกี่ยวกับการสร้างเนื้อหา Mobile Content ในปี 2018 นอกจากเนื้อหานั้นควรจะต้องเป็นเอกลักษณ์ ยังควรเป็นเนื้อหาที่มีอายุ เพื่อลบทิ้งไปในเวลาที่กำหนด

Snapchat เป็นตัวอย่างชัดเจนของเทรนด์นี้ เพราะการทำให้เนื้อหาหมดอายุสามารถเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารด้วยภาพและวิดีโอของผู้ใช้โดยที่ Instagram และ Facebook ต้องเดินตามบ้าง จุดนี้ Rob Kabrovski มองว่าเป็นความท้าทายที่ทำให้ข้อมูลนั้นมีเสน่ห์ขึ้น เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ผู้ใช้สามารถรับข้อมูลได้ง่ายแค่แตะนิ้ว

3. ปีนี้คือปีแห่ง AR

เทคโนโลยีเสมือนจริง AR ถูกคาดว่าจะเป็น Mass ที่เข้าถึงมวลชนในปี 2018 ท่ามกลางการแข่งขันดุเดือดของ Apple, Facebook, Google และอื่นๆ เรียกว่ายิ่งแข่งกันก็ยิ่งทำให้ประสบการณ์ใช้งาน AR ของผู้บริโภคดีขึ้น โอกาสที่ธุรกิจจะขายสินค้าได้มากขึ้นจากการนำภาพดิจิทัลวางทับบนวิวจริงข้างตัวผู้ใช้ก็จะยิ่งมีมากตามไปด้วย 

ไม่ว่าใครชนะ นักการตลาดจะมีเครื่องมือใหม่ที่ใช้งานง่ายแน่นอน จุดนี้มีความเป็นไปได้ว่า แอปพลิเคชั่น AR มากมายจะเปิดตัวสู่ตลาดในช่วงปีนี้ คาดว่าจะมีทั้งแอปพลิเคชั่นที่เป็นเกมและแอปพลิเคชั่น Social AR ตามการวิเคราะห์ของ Forrester

หนึ่งในแอปพลิเคชั่น AR ที่นักการตลาดทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างมากคือเกม Harry Potter AR ที่เพิ่งถูกประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยต้นสังกัด Warner Bros. และ Niantic ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังเกมยอดนิยม Pokemon Go จุดนี้สื่อฟันธงว่าปี 2018 จะเป็นปีที่ผู้บริโภคจะเข้าใจ AR มากขึ้นจากเกมนี้

4. เสียงมาแทนกดปุ่ม

เสียงจะกลายเป็นส่วนติดต่อหลัก เพราะผู้บริโภคได้ลิ้มรสความสะดวกและความสะดวกในการขอสิ่งที่ต้องการผ่านโปรแกรมผู้ช่วยดิจิทัลและลำโพงอัจฉริยะในปีที่ผ่านมา ในปีนี้ การรองรับเสียงในระบบและอุปกรณ์ไอทีจะมีมากขึ้น ซึ่งหมายความว่านักการตลาดที่สามารถเป็นกลุ่มแรกที่ให้ประสบการณ์ใหม่กับลูกค้า อาจจะได้รับความภักดีจากลูกค้าเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่าอินเทอร์เฟซแบบกราฟิกของหน้าจอสัมผัสกำลังจะตาย แม้การสำรวจจะสะท้อนชัดเจนว่าผู้บริโภคกำลังหลงใหลในประสบการณ์การเชื่อมต่อด้วยเสียง โดย 24% ของคนกลุ่มนี้เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนอย่างน้อยหนึ่งเครื่อง

Sheryl Kingstone ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยประสบการณ์ลูกค้าและการพาณิชย์ บริษัท 451 Research ชี้ว่าโลก Mobile กำลังเปลี่ยนไปเพราะบริการด้านเสียง โดยบอกว่านักพัฒนาและนักการตลาดจะต้องมุ่งเน้นไปที่การลดจุดเสียดสีและสร้างโอกาสในการขยายบริการ โดยยกตัวอย่างว่า แบรนด์อาจต้องมีวิธีง่ายๆ ในการผลักดันข้อมูลสำหรับการโต้ตอบบนอุปกรณ์ Echo ไปยังโทรศัพท์ ซึ่งหมายถึงการประยุกต์ที่ชาญฉลาดและคุ้มค่าลงทุน

5. ดีลบันลือโลก

การจับมือเป็นพันธมิตรกันระหว่างบริษัท จะทำให้หลายแบรนด์มีจุดยืนที่เข้มแข็งขึ้นในวันที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของ Mobile Ecosystem ตกเป็นของ Apple, Amazon, Google และ Facebook อย่างปี 2018 

นอกจาก Disney ที่เทเงิน 5.24 หมื่นล้านเหรียญซื้อ 21st Century Fox ปีนี้คาดว่าจะเป็นปีที่ Amazon อาจเข้าซื้อกิจการค้าปลีกรายใหญ่เหมือนที่เคยซื้อ Whole Foods คาดว่าห้าง Target, Nordstrom และ Lowe’s ล้วนมีโอกาสที่จะถูกซื้อกิจการได้ตลอดเวลา 

6. ต้องบริหารจัดการข้อมูลแบบยุคใหม่

ฝรั่งใช้คำว่า Next-Generation Data Management ที่หลายแบรนด์การันตีว่าจะทำในปีนี้ ทั้งธุรกิจภาคค้าปลีกและการเงิน ต่างล้วนใช้ทั้ง CRM, ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมโซเชียล และตำแหน่งที่อยู่หรือ location เมื่อให้สามารถระบุตัวลูกค้าได้แม่นยำ

ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มลูกค้าอัจฉริยะ ซึ่งเป็นยุคถัดไป หรือ Next Generation เหนือจากแพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้าแสนธรรมดา จุดนี้หลากใครไม่เคยดำเนินการเลย ย่อมจะไม่มีทางประสบความสำเร็จในการทำ Mobile Marketing แน่นอน

ที่มาmobilemarketer.com/news/6-trends-that-will-define-mobile-marketing-in-2018/514306/

]]>
1156479