ASIATIQUE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 22 Aug 2019 03:38:16 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “แอสเสท เวิรด์” จัดทัพธุรกิจรีเทล ผ่าโมเดลปั้นมิกซ์ยูส “เอเชียทีค-ประตูน้ำ-พัทยา” https://positioningmag.com/1243292 Wed, 21 Aug 2019 08:02:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1243292 กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในมือ “แอสเสท เวิรด์” เครือทีซีซี กรุ๊ป ธุรกิจของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี มีพื้นที่กว่า 6 แสนตร.ม. กลุ่ม Retail and Wholesale มีกว่า 10 โครงการ พื้นที่รวม 3.4 แสนตร.ม. และกลุ่มอาคารสำนักงาน 4 โครงการ พื้นที่รวม 2.7 แสนตร.ม.

ตะวันนา บางกะปิ

พื้นที่รีเทลของ AWC เรียกว่าอยู่ใน “ทำเลทอง” กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ด้วยคอนเซ็ปต์ที่เป็นจุดขาย สถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ช้อปปิ้งมอลล์ คอมมูนิตี้มาร์เก็ต โครงการเด่น เช่น เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์, เกตเวย์ แอท บางซื่อ, พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ และโครงการตะวันนา บางกะปิ

วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า กลุ่มรีเทลแต่ละโครงการมีเอกลักษณ์ รูปแบบและการสร้างแบรนด์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าหลากหลายทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ช่วงที่ผ่านมากลุ่มรีเทลยังเติบโตได้ 7.9% สูงกว่าจีพีดี ส่วนช้อปปิ้ง อยู่ที่ 5.8% สะท้อนให้เห็นโอกาสการเติบโตของอสังหาฯ ในฝั่งค้าปลีกของ AWC

ปั้นเวิ้งนาครเขษม 2 หมื่นล้าน

ตามแผนธุรกิจชอง AWC เงินที่ระดมทุนจากการ IPO จะนำไปซื้อสินทรัพย์ อาทิ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการ โดยทางทีซีซีฯ ให้สิทธิ์ AWC ในการซื้อสินทรัพย์ รวมถึงแปลง เวิ้งนาครเขษม หรือ นครเขษม ซึ่งอยู่เส้นถนนเยาวราช เป็นหนึ่งใน 20 สินทรัพย์ที่จะเข้าไปซื้อ และจะนำมาปรับปรุงโดยยึดหลักการคงความเป็นสถาปัตยกรรมเดิมไว้ และมีจุดไฮไลต์ที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิว คาดว่ามูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท

การขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้ Barbell Strategy ถือเป็นการสร้างสมดุลระหว่างโครงการหลากหลายประเภทเพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่น โครงการเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เฟสแรกใช้พื้นที่แล้ว 96%

จึงมีแผนเพิ่มพื้นที่รีเทลอีก 40,000 ตร.ม. รวมถึงจะมีการก่อสร้างโรงแรมแบรนด์ “แมริออท” เพิ่ม ซึ่งจะช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวเข้ามา

เอเชียทีค

พร้อมทั้ง “รีแบรนด์” ธุรกิจรีเทลครั้งใหญ่ โดย “เอเชียทีค” จะเป็นแฟลกชิพ แห่งแรก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยว ส่วน พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ และ พันทิพย์ พลาซ่า งามวงศ์วาน จะปรับเพื่อรองรับแบรนด์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่อง Eat Play Chill และ Shop

Pantip งามวงศ์วาน

ขยายมิกซ์ยูส “ประตูน้ำ”

ขณะเดียวกัน จะมีการแตกซับแบรนด์ไอที “พันธุ์ทิพย์” ไปตามศูนย์การค้าต่างๆ ส่วน พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ ซึ่งเป็นแปลงที่ใหญ่เนื้อที่ 14 ไร่ใจกลางซีบีดี ในอนาคตกำลังศึกษาถึงความคุ้มค่าในที่ดินผืนดังกล่าว ที่จะต้องถูกพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นในระยะ 4 – 5 ปีข้างหน้า ด้วยรูปแบบ “มิกซ์ยูส” ซึ่งจะทำให้เกิดพื้นที่ค้าปลีกกว่า 170,000 ตร.ม. จากปัจจุบันมีประมาณ 69,000 ตร.ม. เน้นเรื่อง F&B and Attractions ส่วน “พันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่” จะยกระดับให้เป็น “เกตเวย์” นางวัลลภา กล่าว

กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง จากโครงการหลากหลายประเภท กว่า 90% บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเอง (ฟรีโฮลด์) ในระยะ 20 – 30 ปีข้างหน้าทรัพย์สินจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 

อีกโปรเจกต์มิกซ์ยูสที่เตรียมพัฒนาอยู่ที่ “พัทยา” มีอสังหาฯ หลากหลายรูปแบบทั้ง รีเทล โรงแรมที่จะมีมากกว่า 1 อาคาร เป็นแผนพัฒนาต่อเนื่อง 4 – 5 ปี วงเงินลงทุนสูง 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดในบางส่วนตั้งแต่ปี 2566.

GATEWAY บางซื่อ

source

]]>
1243292
“เอเชียทีค” ขอแปลงร่างเป็นดิสนีย์แลนด์ https://positioningmag.com/1102265 Fri, 09 Sep 2016 04:24:12 +0000 http://positioningmag.com/?p=1102265 เกือบมีอายุครบ 5 ปีแล้วสำหรับเอเชียทีค รีเทลริมน้ำของค่ายทีซีซี แลนด์ฯ ในเครือของไทยเบฟเวอเรจ ซึ่งโจทย์และความท้าทายต่อไปของเอเชียทีคไม่ได้อยู่ที่การแข่งขันในตลาดรีเทลแล้ว แต่เป็นการวางจุดยืนใหม่ให้เป็นแบรนด์ World Class ให้เป็นเดสติเนชั่นที่นักท่องเที่ยวนึกถึงเป็นอันดับแรก เหมือนกับที่ญี่ปุ่นมีดิสนีย์แลนด์

ทำให้การวางกลยุทธ์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการรุกตลาดนักท่องเที่ยวอย่างมาก มีการออกโรดโชว์ต่างประเทศเพื่อให้รู้จักเอเชียทีค ในปีที่ผ่านมาเน้นหนักที่ประเทศอินโดนีเซีย และยุโรป เพราะมีโอกาสเติบโตสูง พร้อมกับทำการตลาดร่วมกับสายการบินในการโปรโมตสถานที่

และโฟกัสที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเอง โดยที่ไม่ได้มากับทัวร์มากขึ้น เป็นตลาดสำคัญ นักท่องเที่ยวมีอายุระหว่าง 27-42 ปี มีการใช้จ่ายจริง และมีการใช้จ่ายมากกว่าที่มากับทัวร์ 3 เท่า ตอนนี้มีสัดส่วนระหว่างทัวร์จีนกับเดินทางมาเอง 50:50 แต่มีการตั้งเป้าเป็น 60:40 ในปีหน้า

ในปัจจุบันเอเชียทีคมีสัดส่วนลูกค้าเป็นชาวไทย 40% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% โดยที่ 5 ชาติอันดับแรกได้แก่ ไต้หวัน จีน เกาหลี ฮ่องกง และอินโดนีเซีย และมีแนวโน้มของชาติยุโรปเพิ่มมากขึ้น

1_asiatiquenew

มานพ คำสว่าง ผู้จัดการทั่วไป โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด เปิดเผยว่าตอนนี้เรามีนักท่องเที่ยวปีละ 12 ล้านคน ต้องการเพิ่มเป็น 24 ล้านคนใน 2 ปีให้ได้ มีการทำตลาดอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงมีแผนที่จะขยายพื้นที่ทั้งในเฟสเดิม และเพิ่มเฟส 2 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มด้วย เราต้องการให้เอเชียทีคเป็นรูทเส้นทางสำคัญเมื่อเขามาประเทศไทย เป็นเดสติเนชั่นที่เขานึกถึงอันดับแรก เหมือนกับดิสนีย์แลนด์

ในปีนี้มีการประกันค่าเช่าขึ้น 10-15% ปัจจุบันมีค่าเช่าเฉลี่ย 1,600 บาท/ตารางเมตร ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 500 ล้านบาท เติบโต 8% จาก 423 ล้านบาทในปี 2558

ขยายท่าเรือ เพิ่มอีเวนต์ ดึงดูดนักท่องเที่ยว

การเดินทางด้วยเรือเป็นอีกหนึ่งกิมมิกสำคัญของเอเชียทีคไปแล้ว ทำให้มีแผนที่จะขยายท่าเรืออีก 3 ท่า จากปัจจุบันมีอยู่ 1 ท่า ใช้งบลงทุน 120-130 ล้านบาท จะเป็นท่าเรือที่ยาว 60 เมตร รองรับเรือสำราญได้พร้อมกัน และปรับพื้นที่รองรับการจอดเรือท่องเที่ยว Dinner Cruise คาดว่าจะเสร็จช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2560

2_asiatique

พร้อมทั้งสร้างแม็กเน็ตด้วยการจัดบิ๊กอีเวนต์เพื่อดึงดูด ปัจจุบันมี 4 อีเวนต์ใหญ่ ได้แก่ วันปีใหม่ วันลอยกะทง วันสงกรานต์ และปาร์ตี้ฟูลมูน มีแผนจะเพิ่มอีเวนต์บิ๊กไบค์เข้าไปเพื่อรับกับไลฟ์สไตล์มากขึ้น

3_asiatique

เพิ่มเฟส 2 ผุดเอเชียทีคต่างจังหวัด

มีการพัฒนาพื้นที่เอเชียทีคเฟส 2 เพิ่มเติม เป็นส่วนของโรงแรมท่จะมีบริษัทเข้ามาบริหาร แต่ยังไม่เปิดเผย ใช้งบลงทุน 10,000 ล้านบาท มีจำนวนห้องทั้งหมด 800 ห้อง ห้องประชุมขนาดใหญ่  3,000 ตารางเมตร ห้องจัดเลี้ยง 10,000 ตารางเมตร เป็นการปั้นเอเชียทีคให้เป็น One stop service

และยังมีแผนที่จะขยายไปต่างจังหวัด เริ่มต้นที่พัทยา และเชียงใหม่ พัทยามีพื้นที่ทั้งหมด 8 ไร่ และเชียงใหม่มีพื้นที่มากกว่า 70 ไร่ เป็นตลาดอนุสารเดิม ทั้ง 2 โครงการกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาอยู่ และมีแผนที่ดูหัวหินเพิ่มเติม

info_asiatiquenew

]]>
1102265
กางแผน “ทีซีซี แลนด์” ทุ่มงบหมื่นล้านใน 5 ปี เตรียมผุดโปรเจคต์ “Highway” https://positioningmag.com/61895 Mon, 23 Nov 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=61895

ถึงแม้ว่าในวงการธุรกิจรีเทล “ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์” ภายใต้อณาจักรไทยเบฟเวอเรจ อาจจะเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งมีอายุในวงการได้เพียง 4 ปีเท่านั้น ที่ปัจจุบันมี 5 แบรนด์ในเครือ ได้แก่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์, เกตเวย์, เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์, พันธุ์ทิพย์ และบ๊อกซ์ สเปซ น้องใหม่ล่าสุด

แต่การเคลื่อนไหวมีให้เห็นอยู่ตลอด เพราะการแข่งขันใตวงการค้าปลีกที่ดุเดือดขึ้นทุกปีๆ ซึ่งในปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีการรีโนเวทปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับแบรนด์ในเครือรวมทั้งหมด 3 แบรนด์ คือ เกตเวย์ เอกมัย, เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ (เปลี่ยนจากดิจิตอล เกตเวย์) และพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ อีกทั้งยังเตรียมสร้างน้องใหม่บ๊อกซ์ สเปซ คอมมูนิตี้ทำเลย่านรัชโยธิน ที่จะได้ฤกษ์เปิดเดือนกุมภาพันธ์ปี 2559

โดยที่ในปีหน้าถือว่าเป็น Big Step ของทีซีซี ตั้งเป้าเตรียมลงทุนรวม 10,000 ล้านใน 5 ปีข้างหน้าทั้งในการลงทุนขยายสาขาของ 4 แบรนด์ รวม 14 โครงการ แบ่งเป็น เอเชียทีค 6 โครงการ งบลงทุน 3,500 ล้านบาท เกตเวย์ 2 โครงการ งบลงทุน 5,000 ล้านบาท รีโนเวทพันธุ์ทิพย์ 4 โครงการ และบ๊อกซ์ สเปซ 2 โครงการ งบลงทุน 1,500 ล้านบาท ส่วนเซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ติดลิขสิทธ์ชื่อ ไม่สามารถนำไปขยายต่อได้

ทำให้พื้นที่ขายจะมีรวมกันมากกว่า 350,000 ตารางเมตร จากที่ปัจจุบันมี 150,000 ตารางเมตร ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ที่จะทำการขยายโครงการล้วนเป็นที่ดินที่เป็น Land Bank อยู่แล้วที่มีราว 300,000 ไร่ทั่วประเทศ

ณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด กล่าวว่า “ช่วง 4 ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น เป็นช่วงในการสร้างแบรนด์แต่ละแบรนด์ให้แข็งแกร่งอยู่ได้ด้วยตัวเอง สั่งสมประสบการณ์ และสร้างทีม ในปีหน้าจะพร้อมเดินอย่างเต็มตัวแล้วและขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพราะเราก็มีพื้นที่ที่เป็น Land Bank อีกมาก แต่คงไม่คิดทำแบรนด์เพิ่มแล้ว โฟกัสที่ 5 แบรนด์นี้ เพราะถ้าแตกไลน์ไปเรื่อยๆ เราจะไม่เจอตัวตน”

ณภัทรยังฉายภาพถึงตลาดค้าปลีกในตอนนี้อีกว่าตอนนี้มีการแข่งขันที่สูงมากแบรนด์ใหญ่ก็มีการลงทุนต่อเนื่อง รวมทั้งมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาในตลาด แต่เขามองว่าโพซิชั่นของกลุ่มทีซีซีจะอยู่ในที่ที่ไม่มีใครยืน หาความแตกต่างในตลาด หรือหาช่องว่างตามความต้องการของผู้บริโภค แต่เขามองว่าเทรนด์ค้าปลีกในปีหน้ายังคงอยู่ที่ไซส์ขนาดใหญ่อยู่

แต่ในอีก 3 ปี้ข้างหน้านี้ ทีซีซีเตรียมผุดอีกหนึ่งโปรเจคต์ที่เรียกกันว่า High Way เป็นเหมือนจุดพักรถบริเวณทางหลวง แต่ยังไม่มีชื่อโครงการที่ชัดเจน โดยที่โครงการนี้จะประกอบไปด้วยร้านอาหาร จำหน่ายสินค้าโอทอป โรงแรมขนาดเล็ก ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงคิดโมเดล คาดว่าจะก่อสร้างภายในปี 2560 เริ่มต้นที่ 5 โครงการ จากนั้นค่อยขยายไปทั่วประเทศ

“โครงการนี้เกิดจากไอเดียของท่านประธานที่มองเห็นโมเดลที่จากประเทศญี่ปุ่น และตนเองก็มีที่ดีติดทางหลวงค่อนข้างเยอะ จึงนำมาพัฒนาเป็นจุดพักรถ และโมเดลแบบนี้ยังไม่มีผู้เล่นรายไหนทำอย่างจริงจัง จึงอยากขยายสาขาให้ทั่วประเทศ มีการออกแบบคอนเซ็ปต์จะเป็นสไตล์ญี่ปุ่นด้วย”

ในปีนี้ทีซีซีตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาท และภายใน 5 ปีจะมีรายได้ 6,800 ล้านบาท  สัดส่วนรายได้มากจากพันธ์ทิพย์ 40% เอเชียทีค 30% เกตเวย์ 20% และเซ็นเตอร์ พอยท์ ออฟ สยามแสควร์ 10%

 

]]>
61895
เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ประกาศความพร้อมสู่ Asia Travel Destinatio https://positioningmag.com/55593 Mon, 20 Aug 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55593

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ปลื้มหลังนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ให้การยอมรับแบบเกินคาด ถึง 7.8 ล้านคนในช่วงปลายปี 2555 เผยเตรียมวางกลยุทธ์ปูทางสู่ Asia Travel Destination และแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ เพื่อต่อยอดสู่การเป็น World Class Travel Destination ภายในปี 2556

นายณภัทร เจริญกุล ผู้อำนวยการโครงการ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการล่าสุด เอเชียทีค ก็ได้รับการจัดอันดับ จากเว็ปไซด์ไปไหนดีดอทคอม (www.painaidii.com) ให้เป็นอันดับ 1 ในหมวดสถานที่ช้อปปิ้งและสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองไทย  ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา และได้รับการรีวิวจากเว็ปไซด์ CNNGo ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำแห่งล่าสุด         ที่หลายคนต้องหลงรัก ทั้งนี้ เอเชียทีค ชัดเจนในแง่แนวคิดการพัฒนา โครงการ ที่มีจุดเด่น 3  ประการ ประกอบด้วย การเป็น Theme Retail ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่สร้างจากเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงบนที่ดินแห่งนี้เมื่อประมาณ 120 ปีที่แล้ว โดยการเก็บรักษาอาคารเก่าไว้ให้มากที่สุด ผสมผสานกับอาคารใหม่ที่สร้างเพิ่มเติมขึ้นได้อย่างกลมกลืนและลงตัว กับบริบทโดยรวมของพื้นที่ดั่งเดิม ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกับบรรยากาศและเรื่องราวย้อนยุคได้อย่างใกล้ชิด ตั้งอยู่บนทำเลทองติดริมน้ำเจ้าพระยาที่มีทางเดินยาวกว่า      300 เมตร อีกทั้งยังเป็นโค้งน้ำที่เห็นวิวของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนได้อย่างสวยงามแบบที่สุด และสุดท้ายกับกลยุทธ์การนำเสนอร้านค้า ร้านอาหาร และกิจกรรมที่สอดคล้องกับยุคสมัยและไลฟ์สไตล์คนปัจจุบัน ที่สามารถสร้างความเป็น Night Market ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเสนอขายในราคาที่สมเหตุสมผล มีความหลากหลายในตัวสินค้า แต่ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและเหมาะกับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งในส่วนร้านอาหารจะเป็น ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยที่มีสาขาน้อยมากหรือมีเพียงสาขาเดียว ทั้งในรูปแบบของเรสเตอรองต์และบาร์            ซึ่งมีจำนวนร้านอาหารรวมกว่า 45 ร้าน ในปัจจุบัน การแสดงเป็นการแสดงที่หาดูที่ไหนไม่ได้ทั้งโจหลุยส์ และ   คาลิปโซ่ อีกทั้งยังมีพื้นที่จัดกิจกรรมขนาดใหญ่ริมแม่น้ำซึ่งน่าจะเป็นที่เดียวในกรุงเทพฯ ที่สามารถทำได้          ซึ่งจุดขายทั้ง 3 ประการนี้ คือ ปัจจัยหลักที่นำเราสู่ความสำเร็จในระเวลาอันรวดเร็ว

“ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวกว่า 2.4 ล้านคน ได้เดินทางมาสัมผัสความพิเศษสุดของ เอเชียทีค ซึ่งเราเองก็ได้มีการปรับแผนในการรองรับการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของสถานที่จอดรถที่อยู่ระหว่างการขยายพื้นที่เพิ่มอีก 1,000 คันบนที่ดินฝั่งตรงข้าม รวมถึงการติดตั้งระบบปรับและระบายอากาศภายในโกดังทั้งหมด เพื่อเพิ่มบรรยากาศความสะดวกสบาย ระหว่างการเลือกซื้อสินค้าภายในโครงการและปรับภูมิทัศน์ภายในโครงการ ระบบการให้บริการต่างๆ เพื่อให้ได้มาตรฐาน        World Class Travel Destination ในปี 2556 โดยคาดการรายได้รวม ในปีแรกไว้ที่ 250 ล้านบาท ซึ่ง 80%     ของรายได้มาจากค่าเช่าพื้นที่ของร้านค้า และ 20% มาจาก การปล่อยพื้นที่ให้เช่าเพื่อจัดกิจกรรม” นายณภัทร เจริญกุล กล่าว

ด้านนายฐวัฒน์ สมมะโนพัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ โครงการเอเชียทีค เดอะ     ริเวอร์ฟร้อนท์ กล่าวเกี่ยวกับภาพรวมการตอบรับจากกลุ่มนักท่องเที่ยวว่า “ในแง่ของการตอบรับจากลูกค้าถือว่าดีมาก เพราะจากเดิมเราคาดว่าจะมีลูกค้ามาใช้บริการประมาณ วันละ 10,000 คนในวันธรรมดาและ 20,000 คนในช่วงวันหยุด แต่ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เรามีลูกค้าเข้ามายังโครงการวันละ 15,000-20,000 คน  ในวันธรรมดา และ 50,000-60,000 คน ในวันหยุด ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 2-3 เท่า ส่งผลบวกต่อบรรดาร้านค้าภายในโครงการโดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร และในส่วนร้านค้าก็มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน    ซึ่งน่าจะคึกคักอย่างมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เพราะเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยว           โดยทีมการตลาดของเอเชียทีค จะใช้กลยุทธ์ Theme Retail เข้ามาเป็นจุดขายหลักบวกกับการนำเสนอจุดขาย   ที่มีกิจกรรมต่างสลับหมุนเวียนที่สร้างกระแสไม่ให้เกิดความนิ่ง เพื่อให้ลูกค้าที่มาแล้วก็ไม่เบื่อที่จะมาอีก พร้อมทั้งสามารถดึงกลุ่มลูกค้าใหม่ให้เข้ามาที่โครงการอีกด้วย และในอีกไม่นานเรามีแผนที่จะเพิ่ม ความครบวงจรของโครงการ บนพื้นที่ที่ยังเหลืออีกกว่า 50% เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เพิ่มขึ้น”

“ในช่วงแรกลูกค้าคนไทยมีสัดส่วนถึง 90% แต่ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก           ทั้งในรูปแบบของกรุ๊ปทัวร์และการมาเที่ยวส่วนตัว ปัจจุบันสัดส่วนของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ           ในวันธรรมดาอยู่ที่ประมาณ 50:50 ส่วนช่วงวันศุกร์-วันอาทิตย์อยู่ที่ 65:35 ตามลำดับ โดยนักท่องเที่ยวที่มา    ในอันดับต้นๆ คือ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น และชาติอาเซียน โดยเราคาดว่าเมื่อโรงละครคาลิปโซ่และโรงละครเอเชียทีคเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบ จะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก ประกอบกับการที่เราได้รับ      การสนับสนุนอย่างดีมาก จาก ททท. โดยอนุญาตให้ใช้สัญลักษณ์ “Amazing Thailand”  อีกทั้งทีมการตลาดเอเชียทีค ยังออกไปโรดโชว์เพื่อนำเสนอรายละเอียดโครงการในประเทศเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง อาทิ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป ซึ่งได้ทำต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา  นอกจากนี้เรายังได้รับการสนับสนุนจาก ATTA ในส่วนของกรุ๊ปทัวร์และ PATA ในส่วนของงาน MICE จากยุโรปด้วย” นายฐวัฒน์ สมมะโนพัฒน์ กล่าวสรุป

]]>
55593