Agriculture – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 17 Mar 2023 05:37:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Bloomberg รายงาน CP Group อาจ IPO ธุรกิจอาหารสัตว์และเมล็ดพันธุ์พืชในช่วงปีหน้า https://positioningmag.com/1423661 Thu, 16 Mar 2023 17:00:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423661 เครือเจริญโภคภัณฑ์ เตรียมที่จะนำธุรกิจอาหารสัตว์ รวมถึงธุรกิจเมล็ดพันธุ์พืช มา IPO ในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปีหน้า โดยคาดว่าจะระดมทุนได้สูงสุดถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ทางกลุ่มกำลังปรับโครงสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้อง 

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) พิจารณาที่จะนำธุรกิจอาหารสัตว์ รวมถึงธุรกิจเมล็ดพันธุ์พืช มา IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากที่ทางกลุ่มนั้นกำลังปรับโครงสร้างทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

แหล่งข่าวของสำนักข่าวรายดังกล่าวยังกล่าวว่า CP Group เริ่มมีการพูดคุยกับทางที่ปรึกษาทางการเงินเกี่ยวกับแผนการดังกล่าวบ้างแล้ว

การนำ 2 ธุรกิจดังกล่าวออกมา IPO คาดว่าอาจระดมทุนได้สูงสุดถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 34,443 ล้านบาท อย่างไรก็ดีเม็ดเงินที่จะระดมทุนได้นั้นแหล่งข่าวของสื่อธุรกิจรายดังกล่าวชี้ว่าขึ้นกับสภาพของตลาดหุ้นในช่วงเวลานั้น

แหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวคาดว่าธุรกิจดังกล่าวจะสามารถ IPO ได้ในช่วงปีหน้า อย่างไรก็ดีทางตัวแทนของ CPF ได้ออกมาปฏิเสธกับ Bloomberg ว่าไม่มีการนำธุรกิจดังกล่าวมา IPO แต่อย่างใด ขณะที่ตัวแทนของ CP Group ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว

]]>
1423661
คาราวานคูโบต้ามอบโชค สุดคึกคัก ตอกย้ำที่หนึ่งในใจเกษตรกรไทย กิจกรรมสุดพิเศษเฉพาะลูกค้าคูโบต้าเท่านั้น https://positioningmag.com/57318 Wed, 09 Oct 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57318

สยามคูโบต้า จัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 35 ปี เริ่มแล้วเดินสายโรดโชว์ “คาราวานคูโบต้ามอบโชค” ทั่วประเทศ ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้ อีกหนึ่งกิจกรรมสำหรับลูกค้าคูโบต้าเท่านั้น เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าเกษตรกรชั้นดีของสยามคูโบต้า และสานต่อสายสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างใกล้ชิด ตอกย้ำความเป็นที่หนึ่งในใจเกษตรกรไทย

นายจามรวุฒิ ตำนานจิตร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 35 ปี เพื่อสานต่อความเป็นผู้นำภายใต้แนวคิด “คูโบต้าที่หนึ่งในใจเกษตรกรไทย” โดยได้เริ่มเดินสายโรดโชว์ “คาราวานคูโบต้ามอบโชค” แล้วตลอดช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคมนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะร่วมขอบคุณและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มลูกค้าของคูโบต้าในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

“สำหรับกิจกรรม “คาราวานคูโบต้ามอบโชค” คูโบต้าจะเดินสายโรดโชว์ทั่วทุกภาค 18 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, ยโสธร, นครราชสีมา, เพชรบูรณ์, กำแพงเพชร, ชัยนาท, อุบลราชธานี, เชียงราย, พะเยา, พิจิตร, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, สุราษฏร์ธานี, บุรีรัมย์ และมหาสารคาม โดยรายละเอียดวัน-เวลา-สถานที่จัดกิจกรรมสามารถติดตามข่าวสารได้ทาง www.facebook.com/kubotamobchoke หนึ่งในกิจกรรมเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง และการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าเกษตรกรไทย ที่บริษัทฯ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง” นายจามรวุฒิ กล่าว

คูโบต้า จัดกิจกรรม “คาราวานคูโบต้ามอบโชค” เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าเกษตรกรชั้นดี ของสยามคูโบต้า ที่ให้ความไว้วางใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของคูโบต้ามาโดยตลอด และเพื่อสร้างการจดจำว่า คูโบต้าเป็นที่หนึ่งในใจเกษตรกรไทยมาอย่างยาวนาน ในขณะที่คูโบต้าเอง ก็มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คลอบคลุมทุกการใช้งาน ตอบสนองทุกความต้องการของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับพื้นที่และลักษณะการทำงานนอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศด้วย ปัจจุบันคูโบต้ามีเครือข่ายร้านค้าผู้แทนจำหน่ายมากเป็นอันดับ 1 ครอบคลุมทั่วประเทศ มีศูนย์บริการเทคนิคมากเป็นอันดับ 1 จำนวนกว่า 190 แห่ง รวมถึงสำนักงานสาขาสยามคูโบต้า ลิสซิ่ง กว่า 47 สาขา ทั่วประเทศ เพื่อให้บริการสินเชื่อแก่เกษตรกรไทย

]]>
57318
โอกาสสินค้าอาหารไทยในจีนยังเติบโต … อิทธิพลละคร ภาพยนตร์ ท่องเที่ยว เสริมตลาดอาหารไทยสร้างความนิยมต่อเนื่อง https://positioningmag.com/57245 Mon, 23 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57245

จีนเป็นตลาดสินค้าอาหารที่น่าจับตามองเนื่องจากโอกาสเติบโตยังมีสูง ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาพบว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดสินค้าอาหารในจีนยังคงเติบโตต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าจีนจะเป็นผู้ผลิตสินค้าอาหารส่งออกลำดับต้นๆของโลก แต่ความต้องการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งจากรสนิยมผู้บริโภคที่เปิดกว้างรับวัฒนธรรมจากต่างประเทศ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรที่สวนทางกับพื้นที่ทำการเกษตรที่ลดลง นำมาซึ่งโอกาสของผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารของประเทศไทยที่จะพัฒนาศักยภาพและขยายการผลิตสินค้าอาหารเพื่อตอบสนองความต้องการนำเข้าอาหารที่เพิ่มขึ้นของจีน

มูลค่าการบริโภคอาหารของจีนยังเติบโต….เน้นอาหารปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพ

ปัจจุบันจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นผู้ผลิตสินค้าอาหารอันดับต้นๆของโลกโดยเฉพาะผลผลิตที่ได้จากภาคปศุสัตว์ ภาคเกษตรกรรม อาทิ ธัญพืชและข้าว โดยจีนมีสัดส่วนภาคการเกษตรอยู่ที่ร้อยละ 11 ของ GDP ทั้งประเทศและมีสัดส่วนแรงงานในภาคเกษตรกรรมราวร้อยละ 40 ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่ส่งออกอาหารมากเป็นอันดับ 4 ของโลก (รองจาก สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และแคนาดา) แต่แนวโน้มการนำเข้าสินค้าอาหารจากต่างประเทศกลับเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรซึ่งสวนทางกับพื้นที่เกษตรที่ลดลง สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสส่งออกสินค้าอาหารจากผู้ประกอบการในต่างประเทศไปยังจีนที่จะยังคงมีแนวโน้มสดใส

สภาพเศรษฐกิจและสังคมจีนในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยมีความต้องการสินค้าอาหารที่หลากหลายและมีคุณภาพสูงขึ้น บรรจุภัณฑ์มีความทันสมัย นอกจากนี้ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้บริโภคชาวจีนถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันในเรื่องรสชาติตามพื้นที่แต่ละมณฑล แต่โดยภาพรวมผู้บริโภคชาวจีนนิยมอาหารที่ปรุงสุกใหม่โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นผู้สูงอายุ ในขณะที่คนจีนรุ่นใหม่และคนจีนในเขตเมืองมีทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น และนิยมอาหารแปลกใหม่และอาหารสำเร็จรูป อย่างไรก็ดี สินค้าอาหารปนเปื้อนเป็นประเด็นที่ผู้บริโภคชาวจีนให้ความสำคัญ ซึ่งส่งผลให้คนจีนใส่ในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าและยังส่งผลกระทบถึงธุรกิจอาหารฟาสต์ฟู้ดในจีนที่มีแนวโน้มหดตัวลงจากการที่ผู้บริโภคชาวจีนใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ในปี 2555 มูลค่าการบริโภคสินค้าอาหารของจีนอยู่ที่ระดับ 4,005.4 พันล้านหยวน (หรือราว 20 ล้านล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า (YoY) และคาดว่าในปี 2560 มูลค่าการบริโภคสินค้าอาหารของจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,417.2 พันล้านหยวน (หรือราว 37 ล้านล้านบาท) โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 12.9 ต่อปี ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของมูลค่าการบริโภคสินค้าอาหารของจีน ได้แก่

• การเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีก เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการบริโภคอาหารในจีนมากขึ้น เนื่องจากทำให้การซื้ออาหารเป็นไปได้อย่างสะดวก ซึ่งในปัจจุบันมูลค่าค้าปลีกของจีนสูงเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศที่เติบโต อันเนื่องมาจากนโยบายการกระตุ้นการบริโภคในประเทศของภาครัฐ

• นโยบายการเร่งกระจายความเป็นเมือง (Urbanization) และรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น ยังเป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคชาวจีนเพิ่มกำลังการจับจ่ายซื้อของ โดยระดับรายได้ต่อหัวของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 17 ต่อปี ในช่วงปี 2553 – 2555 ทั้งนี้ หลายมณฑลมีรายได้ขยับสูงขึ้น อาทิ เสฉวน ฉงชิ่ง กวางสี หูหนาน ฝูเจี้ยน และมณฑลใกล้เคียงมณฑลชายฝั่งทะเลอื่นๆ ที่มีการพัฒนาและมีรายได้สูงขึ้นทัดเทียมมณฑลติดชายฝั่งทะเล ส่งผลให้ชาวจีนในเมืองชั้นในมีกำลังการใช้จ่ายเงินในการซื้อสินค้าอาหารที่เน้นคุณภาพและรับประทานอาหารนอกบ้านเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นโยบายที่สนับสนุนการบริโภคภายในประเทศก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้มูลค่าการบริโภคอาหารเติบโต

อิทธิพลละคร ภาพยนตร์ ท่องเที่ยว เสริมตลาดอาหารไทยสร้างความนิยมในจีนต่อเนื่อง

อิทธิพลของละคร ภาพยนตร์ไทย และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ยังเป็นตัวเร่งให้ผู้บริโภคชาวจีนมีความคุ้นเคยและต้องการสินค้าอาหารไทยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ พบว่าจากกระแสละคร ภาพยนตร์ไทย รวมทั้งภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในไทย ส่งผลต่อเนื่องให้ชาวจีนจำนวนมากที่ต้องการได้รับประสบการณ์เหมือนในภาพยนตร์และละคร มีการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมถึงซื้อหาสินค้าและอาหารไทยเพิ่มมากขึ้น โดยตัวเลขจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยพบว่าในช่วงเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2556 ไทยมีนักท่องเที่ยวจากจีนจำนวนทั้งสิ้น 2.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 90.27 (YoY) ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวจีนเข้าถึงอาหารไทยสูงขึ้น

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาพการส่งออกอาหารจากไทยไปจีน ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ อาหารและน้ำตาล ซึ่งในส่วนของการส่งออกน้ำตาลของไทยไปจีนค่อนข้างถูกจำกัดด้วยนโยบายควบคุมการนำเข้าน้ำตาลของจีนจากต่างประเทศ ที่เป็นไปเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลภายในประเทศของจีนเอง ประกอบกับจีนมีแนวโน้มหันไปนำเข้าน้ำตาลจากประเทศบราซิลมากขึ้น (ส่วนหนึ่งจากต้นทุนราคาที่ต่ำกว่าสินค้าจากไทยโดยเปรียบเทียบ) จนส่งผลให้การส่งออกน้ำตาลของไทยไปจีนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2556 หดตัวถึงร้อยละ 85 (YoY)

อย่างไรก็ดี การส่งออกอาหารของไทยไปจีน กรณีที่ไม่รวมน้ำตาล มีโอกาสขยายตัวค่อนข้างสูง โดยจะเห็นได้จากช่วง 7 เดือนแรกของปี 2556 อาหารไทยที่ส่งออกไปจีนขยายตัวถึงร้อยละ 41 (YoY) โดยเฉพาะสินค้าอาหารในกลุ่มผลไม้ แป้งมันสำปะหลัง ข้าว ธัญพืช และอาหารแปรรูปยังมีแนวโน้มเติบโตสูงจากปัจจัยด้านการขยายตัวของภาคการบริโภคในจีน รวมทั้งภัยธรรมชาติที่จีนเผชิญอยู่ และการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2556 ก็น่าจะเป็นแรงส่งที่สำคัญทำให้การนำเข้าอาหารของจีนในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การส่งออกสินค้าอาหารของไทยในปีนี้ จะพึ่งพาการส่งออกอาหารที่ไม่ใช่น้ำตาลเป็นหลัก โดยคาดว่าในปี 2556 มูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารไม่รวมน้ำตาลของไทยไปจีนจะอยู่ที่ราว 1,660 – 1,740 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือขยายตัวในช่วงร้อยละ 17 – 23 โดยมีค่ากลางที่ร้อยละ 19

โดยสินค้าอาหารไทยที่มีโอกาสขยายธุรกิจไปยังตลาดจีน สามารถแบ่งได้ดังนี้

ผลไม้ เครื่องปรุงรสอาหาร ร้านอาหารไทย…มีโอกาสเจาะขยายตลาดในจีน

ผลไม้ เครื่องปรุงรสอาหาร และร้านอาหารไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดิมที่ผู้บริโภคจีนมีความนิยมในอาหารไทยอยู่แล้ว การเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติ ประกอบกับการตอบรับการมีประสบการณ์ในการบริโภคสินค้าอาหารไทยที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว การดูละคร และภาพยนตร์ เป็นตัวส่งให้ธุรกิจอาหารในกลุ่มนี้เติบโต

โดย ผลไม้ไทย ถือว่าเป็นผลไม้สำหรับผู้ที่มีฐานะดี เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูง โดยทุเรียน มังคุด เงาะ และ ลำไย ถือเป็นผลไม้ยอดนิยม

• รสนิยมผู้บริโภค : ผู้บริโภคทางตอนใต้ของจีนจะนิยมทุเรียน ในขณะที่จังหวัดทางภาคเหนือลำไยจะได้รับความนิยมมากกว่า นอกจากนี้ กระแสรักสุขภาพในจีนที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอีกโอกาสที่จะช่วยเปิดตลาดผลไม้ไทยอีกหลายชนิดเข้าสู่ในตลาดจีน มีสรรพคุณเด่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพและความงาม อาทิ กล้วยไข่ มะเฟือง น้อยหน่า มะขาม สัปปะรด ถือเป็นการส่งเสริมผลไม้ไทยชนิดอื่นให้เป็นที่รู้จักในตลาดจีนมากขึ้น

• รูปแบบและช่องทางการจัดจำหน่าย : ผลไม้ไทยถือได้ว่าเป็นผลไม้พรีเมี่ยม ซึ่งจะสามารถหาซื้อได้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าที่เป็นแหล่งรวมสินค้านำเข้าและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต)

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าปัจจุบันตลาดหลักของผลไม้ไทยยังคงเป็นพื้นที่ทางฝั่งตะวันออก เจ้อเจียง เหลียวหนิง ซานตง เหอเป่ย และ กว่างตง ซึ่งเป็นแหล่งที่ประชากรมีรายได้สูง แต่จากรายได้ของประชากรที่มากขึ้นประกอบกับการขยายของชุมชนเมืองทำให้เกิดโอกาสในการส่งเสริมและขยายตลาดผลไม้ไทยไปยังพื้นที่ตะวันตกมากขึ้น นอกจากนี้ ผลไม้เขตร้อนที่ปลูกในทางตอนใต้ของจีน อาจได้รับความเสียหายจากน้ำที่ท่วม ส่งผลให้เป็นผลไม้ไทยมีโอกาสขยายตลาดในจีนได้มากขึ้น

เครื่องปรุงรสอาหาร

• รสนิยมผู้บริโภค : บางรายการคุณภาพเครื่องเทศของจีนยังไม่สามารถเทียบเท่ากับสินค้าจากไทยได้ และถึงแม้จะสามารถผลิตได้เองในบางรายการแต่ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่จีนนำเข้าจากไทย เช่น พริกไทยป่น พริกป่น เครื่องแกง ซอส น้ำปลา กะทิ และวัสดุปรุงรสอื่นๆ จีนยังต้องการนำเข้าจากไทย ในขณะที่ กระแสความนิยมอาหารฟิวชั่นก็เป็นตัวส่งให้เครื่องปรุงรสของไทยหลายประเภทมีโอกาสเข้าไปทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะน้ำจิ้มไก่ที่สามารถนำไปรับประทานกับอาหารจีนและเป็นที่นิยม

• รูปแบบและช่องทางการจัดจำหน่าย : ซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายสินค้าชั้นนำที่มีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศวางขายอยู่ทั่วไป

ร้านอาหารไทย ยังมีโอกาสเติบโตเนื่องจากได้รับความนิยมจากชาวจีน (ปัจจุบันร้านอาหารไทยส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณทางทางภาคตะวันออกของประเทศจีน อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทางตอนในของประเทศ อาทิ เฉิงตู) โดยกลุ่มลูกค้าหลักของร้านอาหารไทยในจีนแบ่งได้สามกลุ่มได้แก่ กลุ่มผู้บริโภควัยทำงานที่มีรายได้ค่อนข้างสูง กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมการลองบริโภคอาหารต่างชาติ และกลุ่มชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน ซึ่งในปัจจุบันร้านอาหารไทยในจีนมีจำนวนไม่น้อยที่ผู้ประกอบการเป็นคนจีนและต่างชาติ ถึงแม้ว่าร้านอาหารไทยในจีนจะมีการปรับรสชาติให้ถูกปากคนท้องถิ่น แต่ในการลงทุนธุรกิจร้านอาหารไทยผู้ประกอบการไทยควรเน้นบรรยากาศและบริการที่สื่อถึงความเป็นไทย เนื่องจากการที่ชาวจีนมีการเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติประกอบกับที่มีประสบการณ์เที่ยวเมืองไทยมากขึ้น ทำให้มีความต้องการรับประทานอาหารไทยที่มีรสชาติดั้งเดิมมากขึ้น

นอกจากนี้ คนจีนรุ่นใหม่ชอบที่จะเรียนทำและทำอาหารไทยต้นตำรับโดยถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่น โดยอาหารที่คนจีนสนใจเรียน ได้แก่ ต้มยำกุ้ง ผัดไทย ยำวุ้นเส้น ข้าวผัดหมู ซึ่งทำให้คอร์สการสอนทำอาหารไทยเป็นอีกธุรกิจที่ไม่น่ามองข้าม

สินค้าเกษตรอินทรีย์ และ สินค้าฮาลาล…ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพทางธุรกิจ

ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ มีแนวโน้มเติบโตจากอานิสงส์จากกระแสรักสุขภาพที่เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าที่นิยมซื้อจะเป็นกลุ่มที่อาศัยบริเวณมณฑลที่ติดชายฝั่งทะเล และมีฐานะปานกลางขึ้นไปเนื่องจากสินค้าอาหารที่ผลิตจากเกษตรอินทรีย์ยังมีราคาที่สูง ซึ่งตลาดนี้ยังเป็นที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรไทยที่ปลูกเกษตรอินทรีย์ที่ต้องการขยายตลาด โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมได้แก่ ชา ไข่ ข้าว และผลไม้

นอกจากนี้ ตลาดสินค้าอาหารฮาลาล ในจีนเป็นตลาดที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตลาดอาหารฮาลาลในจีนมีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของตลาดฮาลาลโลก โดยชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในจีนอาศัยในพื้นที่ตอนกลางและตอนในของประเทศ (เขตปกครองอิสระหนิงเซี่ย มณฑลกานซู เขตปกครองอิสระมองโกเลียใน และเขตปกครองอิสระซินเจียง และกระจายไปตามเมืองใหญ่ อาทิ ปักกิ่ง (มีชาวมุสลิมราว 500,000 คน) เซินเจิ้น (มีชาวมุสลิมราว 120,000 คน) เซี่ยงไฮ้ (มีชาวมุสลิมราว 70,000 คน) กวางโจว (มีชาวมุสลิมราว 60,000 คน) และซีอาน (มีชาวมุสลิมราว 50,000 คน) นอกจากนี้ การกระจายรายได้เข้าสู่พื้นที่ตอนในยังส่งผลให้ชาวมุสลิมมีรายได้มากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสสินค้าฮาลาลจากกำลังซื้อที่มีเพิ่มขึ้นต่อไป

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าการเข้าไปทำตลาดในจีนจะมีปัจจัยส่งเสริมหลากหลายปัจจัย แต่ยังคงมีประเด็นท้าทายที่ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารของไทยต้องให้ความสำคัญ ทั้งจากแนวโน้มการแข่งขันของสินค้าอาหารในจีนจากประเทศในอาเซียนเข้มข้นขึ้น โดยปัจจุบันอาเซียนมีส่วนแบ่งในตลาดอาหารของจีนราวร้อยละ 15.5 โดยเฉพาะอินโดนีเซีย (ประเทศผู้ส่งออกสินค้าอาหารอันดับที่ 1 ในกลุ่มประเทศอาเซียน1) มาเลเซีย (อันดับที่ 2) เวียดนาม (อันดับที่ 4) รวมถึงผู้ผลิตจากจีนเองที่มีการพัฒนาทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพการผลิต ซึ่งคู่แข่งของผลไม้ไทยได้แก่จีนซึ่งเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกผลไม้เมืองร้อนในมณฑลกว่างซี ในขณะที่มาเลเซียเพิ่มการส่งออกทุเรียนมายังจีนมากขึ้น นอกจากนี้ เครื่องปรุงรส เครื่องเทศ หลายชนิดของไทยมีลักษณะคล้ายกับเครื่องเทศของจีน โดยจีนและเวียดนามเป็นคู่แข่งด้านตลาด อีกทั้ง ผู้ผลิตเครื่องเทศของไทยยังมีความท้าทายในเรื่องของปริมาณผลผลิตและความไม่สม่ำเสมอของคุณภาพวัตถุดิบ ทำให้สินค้าขาดตลาดในบางช่วงเวลา อาจส่งผลให้ผู้บริโภคซื้อหาเครื่องเทศจากประเทศอื่นที่ใช้ทดแทนกันได้ ส่วนร้านอาหารไทย ยังขาดแคลนพ่อครัวแม่ครัวคนไทย เนื่องจากข้อจำกัดของกฏหมายแรงงานของประเทศจีน ทำให้การนำเข้าพ่อครัวแม่ครัวจากไทยโดยตรงจึงมีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างส่งผลให้เกิดการขาดแคลนพ่อครัวแม่ครัวไทยในจีน

]]>
57245
ก้าวที่ยั่งยืนของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน https://positioningmag.com/57072 Tue, 20 Aug 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57072

เราไม่อาจปล่อยให้ชาวประมงมีอาหารสำเร็จรูปรับประทานแต่ไม่มีเรือไว้แล่นหาปลา ไม่อาจปล่อยให้ชาวประมงนั่งมองน้ำมองฟ้าแต่ไร้ซึ่งเครื่องมือทำมาหากิน

หากนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์พายุดีเปรสชั่นเมื่อพฤศจิกายน 2553 ที่พัดถล่มพื้นที่จังหวัดสงขลา (อ.หาดใหญ่ อ.จะนะ อ.สะเดา อ.นาหม่อม อ.สทิงพระ อ.สิงหนคร อ.ระโนด) และจังหวัดพัทลุง (อ.ปากพะยูน อ.เขาชัยสน อ.ควนขนุน อ.เมืองพัทลุง) ส่งผลให้เกิดน้ำท่วม สร้างความเสียหายอย่างแสนสาหัสต่อบ้านเรือน เรือ และเครื่องมือประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2 พื้นที่ชุมชนซึ่งประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านเป็นหลัก ได้แก่ที่บ้านช่องฟืน อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง และบ้านคูขุด อ.สทิงพระ จ.สงขลา สำหรับชาวประมงแล้ว การสูญเสียเรือ สูญเสียเครื่องมือประมงก็ไม่ต่างอะไรจากคนพิการไร้แขนไร้ขา

ณ เวลานั้น ความช่วยเหลือจากทั่วประเทศหลั่งไหลไปยังผู้คนในพื้นที่ภัยพิบัติอย่างไม่ขาดสาย รวมถึงมูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งเน้นในการพัฒนา ‘คน’ ตระหนักดีถึงความยากลำบากของชาวประมงพื้นบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียเรือและเครื่องมือประมงอันเป็นเครื่องมือทำมาหากินของชาวบ้าน จึงได้ร่วมกับสมาคมรักษ์ทะเลไทยให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ชุมชนบ้านช่องฟืนและบ้านคูขุดด้วยการคืนอาชีพแก่ชาวประมง เพื่อที่จะได้กลับมาทำมาหากินเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้โดยเร็วที่สุด

“เราเชื่อว่าคนยังกินปลาอยู่ แต่ว่าเราไม่มีเรือ” บรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าว

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ย้อนเล่าให้ฟังว่า “เพื่อพลิกฟื้นวิกฤติในครั้งนั้น มูลนิธิเอสซีจีได้ให้ความช่วยเหลือ 2 ระยะ ระยะแรก คือการคืนอุปกรณ์เครื่องมือประมง และสนับสนุนงบประมาณสร้างอู่ซ่อมสร้างเรือชั่วคราว เพราะหากยิ่งช้านั่นย่อมหมายถึงปัญหาปากท้องของชาวประมงและครอบครัว ระยะต่อมาเป็นระยะยั่งยืน มูลนิธิเอสซีจีได้จัดตั้งอู่ซ่อมสร้างเรือถาวร และสนับสนุนงบประมาณสำหรับ ‘กองทุนหมุนเวียนพัฒนาอาชีพประมง’ เพื่อให้ชาวประมงพื้นบ้านทะเลสาบสงขลาได้มีเงินทุนสำหรับประกอบอาชีพในยามปกติ สำหรับทั้ง 2 พื้นที่นี้ มูลนิธิฯ ได้สนับสนุนงบประมาณไปกว่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เงินทุกบาทของกองทุนก็ยังคงหมุนเวียนให้ความช่วยเหลือชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารจัดการอย่างเข้มแข็งของชุมชนเอง”

อย่างไรก็ดี การช่วยเหลือของมูลนิธิเอสซีจีเป็นการช่วยแบบมีเงื่อนไขเพื่อสร้างความยั่งยืนในชุมชน นั่นหมายถึงเป็นการสนับสนุนเงินตั้งต้นก่อนโดยจัดตั้งเป็นกองทุนหมุนเวียนพัฒนาอาชีพประมงขึ้นมา หลังจากนั้นเงินที่ชาวประมงยืมไปก่อร่างสร้างตัวเพื่อพลิกฟื้นจากความเสียหายนั้น จะต้องนำมาใช้คืนตามระยะเวลาที่กำหนดตามข้อตกลงที่สมาชิกกองทุนฯ ได้ตกลงและมีมติเห็นชอบร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการประจำกองทุนเป็นผู้ทำหน้าที่จัดลำดับว่าครอบครัวใดควรได้รับความช่วยเหลือก่อนหรือหลัง ในการชำระคืนกองทุนนั้น หากใครส่งคืนช้ากว่าที่กำหนด ก็จะถูกมาตรการสังคมบังคับไปในตัวเพราะมีเพื่อนรอกู้เงินต่อในหมู่บ้านอีกหลายราย เหตุนี้เองกลไกในการจัดการกองทุนของชุมชนจึงเป็นไปอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพราะทุกคนต่างรู้บทบาทหน้าที่ของตนและคำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นด้วยเช่นกัน

“มูลนิธิเอสซีจีเข้ามาช่วยเรื่องอาชีพประมงเรื่องเครื่องมือทำมาหากิน มูลนิธิฯ ไม่ได้เอาเงินมาช่วยเราตรงๆ เพราะในเบื้องต้น มาช่วยเรื่องความเสียหาย เรื่องเรือ เครื่องมือประมง อู่ซ่อมสร้างเรือชั่วคราว ต่อมาถึงมาช่วยส่งเสริมอาชีพโดยให้พวกเราคิดกันเอง บริหารกันเองโดยใช้เงินของมูลนิธิฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้อยู่นานที่สุด หลังจากดีเปรสชั่นเราก็ออมไว้ 60% สำหรับรับมือภัยพิบัติในอนาคต ส่วนอีก 40% ก็ปล่อยให้ชาวประมงกู้เพื่อทำประมง” บังอูสัน แหละหีม แกนนำประมงพื้นบ้าน สมาคมชาวประมงรักษ์ทะเลสาบอำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง

ณ วันนี้ จากบทเรียนความเสียหายครั้งใหญ่ ชุมชนบ้านช่องฟืนไม่เพียงลุกขึ้นยืนอีกครั้งแต่ยังเป็นการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง เห็นได้จากการที่ชาวประมงมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ มีเครื่องมือประมง สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ แม้ว่าอาชีพประมงจะเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงและมีความผันผวนตามสภาพดินฟ้าอากาศก็ตาม แต่การบริหารจัดการที่ดี และกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนที่มีต่อกองทุนหมุนเวียนนี้ ก่อให้เกิดความมั่นคงในการประกอบอาชีพมากกว่าแต่ก่อน ตลอดจนทำให้สมาชิกได้มีโอกาสมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันเพื่อแสวงหาแนวทางการพัฒนาชุมชนในมิติอื่นๆ อาทิ การกำหนดเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ การเตรียมแผนและซักซ้อมรับมือภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

“กองทุนฯ ที่มูลนิธิเอสซีจีมาช่วยนี้ ทำให้ชาวประมงได้ลืมตาอ้าปาก ก่อนหน้านี้คนช่องฟืนอพยพไปทำงานในเมือง ทำงานตามโรงงาน แต่พอมีกองทุนฯ นี้ คนก็กลับมาประกอบอาชีพที่บ้านกว่า 90% แล้ว เพราะได้เงินกองทุนฯ มาซื้อเครื่องมือประมง พอมีเครื่องมือก็หาปลาได้ ได้ปลาเอาไปขายก็มีรายได้ มีรายได้ก็เลี้ยงครอบครัวได้ คนก็ไม่ต้องย้ายไปไหน ครอบครัวก็อบอุ่น” บรรจบ นุ้ยแสงทอง ชาวบ้านกลุ่มออมทรัพย์บ้านช่องฟืนกล่าว เช่นเดียวกับที่บ้านคูขุด ปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางที่ชาวประมงต้องเผชิญ ก่อให้เกิดการรวมตัวเพื่อคิดหาทางแก้ร่วมกันและนั่นคือที่มาของ ‘แพปลาชุมชน’ ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2548 เป็นแพปลาของชุมชน โดยชุมชน และเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง “เรามารวมตัวกันเพราะปัญหา ปัญหาบอกเราว่าเราต้องแก้ด้วยกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เราต้องแก้ด้วยตัวเองก่อน” นิทัศน์ แก้วศรี ประธานสมาคมประมงทะเลสาบอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา

หลังจากดีเปรสชั่น บ้านคูขุดมีการบริหารจัดการกองทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเงินดังกล่าวไปสร้างรายได้โดยเฉพาะเป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพประมง เมื่อมีชาวบ้านจับสัตว์น้ำได้ ก็นำไปขายที่แพปลาชุมชน ชาวประมงก็จะมีรายได้มาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว นอกจากนี้ชุมชนเองยังเกิดการเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการกองทุนอย่างเป็นระบบ รวมถึงมีการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และที่สำคัญยังนำมาซึ่งการช่วยคิดช่วยทำของคนในชุมชนอีกด้วย

น้ำอยู่ไกลจะนำมาดับไฟที่อยู่ใกล้ไม่ทัน

กระบวนการสร้างชุมชนสู่ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากคนในชุมชนไม่เป็นผู้ริเริ่มที่จะช่วยเหลือตัวเองก่อน มูลนิธิเอสซีจีทำหน้าที่เป็นเพียงฟันเฟืองหนึ่งที่อาสาร่วมขับเคลื่อนสังคมไปพร้อมๆ กับชาวบ้านเจ้าของชุมชน โดยให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ด้วยเชื่อว่าก้าวที่ยั่งยืนคือก้าวที่คนในชุมชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลแก้ปัญหาพื้นที่ของตนเอง เพราะชุมชนเป็นของชาวบ้าน องค์ความรู้ท้องถิ่นก็เป็นของชาวบ้าน เมื่อเกิดปัญหาหรืออุปสรรคใด ผู้ที่เป็นกำลังหลักในการแก้ปัญหาก็ย่อมต้องเป็นชาวบ้าน เพราะไม่มีใครรู้ดีกว่าชาวบ้านผู้เป็นเจ้าของบ้านอย่างแน่นอน

“เราเป็นคนทะเล เกิด แก่ เจ็บ ตายกับทะเล ทะเลให้เราทุกอย่าง ถ้าเราไม่ทำ ไม่รวมตัวกันดูแลทะเล สัตว์น้ำ ต่อไปเราก็ทำประมงไม่ได้ ลูกหลานเราที่ประกอบอาชีพประมงก็จะทำประมงไม่ได้ มันก็จะหายไป มันก็จะไม่ยั่งยืน” บังอูสัน แหละหีม แกนนำประมงพื้นบ้าน สมาคมชาวประมงรักษ์ทะเลสาบอำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าฟัง

]]>
57072
กุหลาบแดงสื่อรักยอดฮิต…ราคาพุ่งต้อนรับวาเลนไทน์ https://positioningmag.com/55162 Fri, 10 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55162

“ดอกกุหลาบ” สินค้าที่เป็นสัญลักษณ์สำหรับวันวาเลนไทน์ของทุกปี ซึ่งในปีนี้คาดว่าการซื้อขายดอกกุหลาบจะยังคงคึกคัก และเป็นช่วงที่ดอกกุหลาบมีราคาสูงที่สุดในรอบปี ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการสำรวจพบว่า ในปีนี้มีแนวโน้มว่าราคาดอกกุหลาบจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการซื้อขายดอกกุหลาบในช่วงวันวาเลนไทน์มากนัก เนื่องจาก บรรดาผู้ที่ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์นั้นมองว่า กุหลาบแดงก็ยังคงเป็นสื่อรักยอดฮิตที่มอบให้แก่กันในวันวาเลนไทน์ ในขณะที่กิจกรรมอื่นๆที่นิยมทำกันในช่วงวันวาเลนไทน์ นอกเหนือจากการให้ดอกไม้ ยังมีหลายกิจกรรมที่ได้รับความสนใจ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารนอกบ้าน และถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณของการปรับขึ้นราคาสินค้าด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะราคาสินค้าอาหาร โดยจะเห็นว่า ราคาอาหารในดัชนีราคาผู้บริโภคล่าสุดในเดือนม.ค. 55 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 สูงกว่าเดือนม.ค. 54 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ในขณะที่ราคาอาหารบริโภคนอกบ้านเดือนม.ค. 55 สูงขึ้นร้อยละ 5.4 มากกว่าเดือนม.ค. 54 ที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.2

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีสัญญาณของราคาอาหารที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่คาดว่า ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเทศกาลนี้ ก็ยังคงให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์ และยังคงมีการใช้จ่ายเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้น จึงเห็นว่าบรรดาธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ เริ่มมีการโหมโรงกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อกระตุ้นผู้บริโภคให้มีการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงมีการจัดตกแต่งร้านและสถานที่เพื่อสร้างบรรยากาศต้อนรับวันวาเลนไทน์ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์

ในช่วงเทศกาลแห่งความรัก หลากหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะมีความคึกคักเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการสำรวจ “พฤติกรรมผู้บริโภคในกรุงเทพฯในช่วงวันวาเลนไทน์ปี 2555” ในช่วงวันที่ 1-7 กุมภาพันธ์ 2555 โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 400 คน อายุระหว่าง 13-30 ปีโดยส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเทศกาลวันแห่งความรัก และเป็นกลุ่มที่มีความคุ้นเคยกับการเลือกซื้อสินค้าและทำกิจกรรมต่างๆ  

 

ประเด็นจากการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายซื้อสินค้าและทำกิจกรรมต่างๆในวันวาเลนไทน์ ปี 2555 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า

– กุหลาบแดง…สื่อรักยอดฮิต ครองใจหนุ่ม-สาวชาวกรุง

“ดอกกุหลาบ” ยังคงเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในวันวาเลนไทน์ โดยเฉพาะดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ ทั้งนี้ จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ของผู้ที่ทำแบบสำรวจมองว่า ถึงแม้ว่าในช่วงวันเวาเลนไทน์ราคาของดอกกุหลาบจะปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงปกติหลายเท่าตัว แต่ดอกกุหลาบยังคงเป็นสินค้าที่ต้องมอบให้กับคนรักในวันวาเลนไทน์

แต่ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริโภคจะมีพฤติกรรมในการเลือกซื้อดอกกุหลาบที่แตกต่างกัน กล่าวคือ กลุ่มนักเรียนส่วนใหญ่จะซื้อดอกกุหลาบในราคาที่ไม่แพงมากนัก คือ 50-100 บาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มในขณะที่กลุ่มนักศึกษาและกลุ่มคนทำงานจะซื้อลักษณะเป็นช่อ ตั้งแต่ 5-20 ดอก ราคาประมาณ 500-1,500 บาท อย่างไรก็ตาม งบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับซื้อดอกไม้ในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 355 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งมีงบเฉลี่ยอยู่ที่ 324 บาทต่อคน หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 9.6 

ทั้งนี้ ประเด็นที่น่าสนใจจากการสำรวจตลาดค้าส่งดอกกุหลาบในช่วงวันวาเลนไทน์ปี 2555 ได้แก่ 

แนวโน้มราคาดอกกุหลาบ ปกติแล้วในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนวันวาเลนไทน์ ราคาดอกกุหลาบจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นทุกปี แต่จะค่อยๆทยอยปรับราคาขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงคืนวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ ราคาจะพุ่งสูงสุดกว่าช่วงปกติหลายเท่าตัว แต่ในปีนี้ ราคาดอกกุหลาบที่ปากคลองตลาดค่อนข้างปรับขึ้นเร็วตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ และราคาล่วงหน้าก่อนเข้าสู่วันวาเลนไทน์ ราคาดอกกุหลาบก็มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วมาก แต่ทั้งนี้ ราคาดอกกุหลาบน่าจะปรับเพิ่มสูงสุดตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ ไปจนถึงวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555 และระดับราคาที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นนั้น น่าจะเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นราคาปกติในช่วงคืนก่อนวันวาเลนไทน์

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

ราคาดอกกุหลาบสีแดงในวันวาเลนไทน์ปี
2555 ณ ตลาดค้าส่งดอกไม้ (บาท/ดอก)

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>ประเภทดอกกุหลาบ

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>ราคาช่วงปกติ

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>ราคาล่วงหน้า
1 สัปดาห์

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>คาดราคาในวันที่12-14
ก.พ. 55

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>2555

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>2554

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>2554

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>%YoY

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>2555

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>เทียบกับราคาช่วงปกติ
กุหลาบเนเธอร์แลนด์ – 500-700 700-800 +25 1,000-1,200 2.5 เท่า* กุหลาบจีน
(คุนหมิง) 20-25 50-100 100-150 +67 150-200 6 เท่า กุหลาบไทย -กุหลาบพบพระ
(เกรดเอ) 2-3 5-6 7-10 +55 5-6 1 เท่า -กุหลาบเชียงใหม่ 7-8 15 15-25 +34 25-50 4 เท่า ที่มา:
สำรวจโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2555 หมายเหตุ:
* เทียบกับราคาล่วงหน้า 1 สัปดาห์ก่อนวันวาเลนไทน์
เพราะปกติแล้ววันธรรมดาจะไม่ค่อยสั่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศ
จะมีเฉพาะหน้าเทศกาลเท่านั้น

หลากหลายปัจจัยกระตุ้นให้ราคาดอกกุหลาบพุ่งสูงขึ้นเร็ว ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้ราคาดอกกุหลาบในปีนี้ มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าปีที่ผ่านมา ได้แก่ 

-เทศกาลงานสำคัญต่างๆ ที่ใช้ดอกกุหลาบในการประดับตกแต่งสถานที่ เช่น งานพืชสวโลก 2012 ที่ปีนี้จะจัดยาวต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมีนาคม และระหว่างนั้นก็จะมีการจัดงานวาเลนไทน์ด้วย ส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้ดอกกุหลาบเพิ่มขึ้น ผลผลิตอาจมีไม่เพียงพอกับความต้องการ

-สภาพอากาศที่แปรปรวน ตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งปีนี้มีสภาพอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ดอกกุหลาบในช่วงเดือนที่ผ่านมาดอกไม่สวยและมีขนาดเล็ก อีกทั้งยังประสบปัญหาแมลงเพลี้ยไฟ ไรแดง และแมงมุม ราจากน้ำค้างลงดอก ทำให้ดอกกุหลายเสียหาย และมีผลผลิตลดลง

-ปริมาณดอกกุหลาบที่สั่งมาจำหน่าย เนื่องจากปีนี้ บรรดาพ่อค้าแม่ค้ายังคงกังวลเกี่ยวกับปริมาณการสั่งซื้อดอกกุหลาบจากกลุ่มร้านค้ารายย่อย รวมถึงจำนวนลูกค้าที่เดินทางมาซื้อโดยตรง ทำให้ปริมาณการสั่งดอกกุหลาบเข้ามาจำหน่ายที่ปากคลองตลาดบางร้านอาจจะไม่เยอะมากนัก โดยมองว่า การสั่งซื้อในปริมาณที่คิดว่าไม่มากเกินไป น่าจะเป็นการลดความเสี่ยงที่ดีที่สุด ทำให้บางช่วงเวลาดอกกุหลาบขาดตลาด ไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยเฉพาะกุหลาบสีแดง

 

วาเลนไทน์…Marketing 

นอกจากดอกกุหลาบซึ่งเป็นสินค้ายอดฮิตในวันวาเลนไทน์ และสามารถทำรายได้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกดอกกุหลาบ ผู้ค้าส่งดอกกุหลาบ ไปจนถึงร้านจัดดอกไม้แล้ว ยังคงมีสินค้าและกิจกรรมพิเศษประเภทอื่นๆที่ผู้บริโภคนิยมเลือกซื้อ และทำร่วมกันในช่วงวันวาเลนไทน์ จึงทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจต่างๆมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ หรือวาเลนไทน์ Marketing ในช่วงนี้กันอย่างคึกคัก ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงภาพยนตร์ และร้านอาหาร รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆอย่างกว้างขวาง

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงรายได้ที่ได้รับในช่วงวันวาเลนไทน์ อาจสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

– รายได้ที่ได้รับจากผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มที่ตั้งใจจะซื้อสินค้าและให้ความสำคัญกับวัน    วาเลนไทน์ หรือรายได้ทางตรง ซึ่งจากการสำรวจโพลล์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ค่าใช้จ่ายในช่วงวันวาเลนไทน์ของผู้บริโภคในกรุงเทพฯกลุ่มนี้ จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 880 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยแบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายดอกไม้ 355 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 สินค้าอื่นๆ (ช็อกโกแลต การ์ด) 290 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 และการทำกิจกรรมพิเศษ (รับประทานอาหาร ดูหนัง) 595 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ทั้งนี้ จากผลการสำรวจ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในปี 2555 เม็ดเงินจะสะพัดในกรุงเทพฯ ในช่วงวันวาเลนไทน์ประมาณ 1,280 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12.8 YoY แบ่งเป็น ดอกไม้ 460 ล้านบาท สินค้าอื่นๆที่ไม่ใช่ดอกไม้ 265 ล้านบาท และกิจกรรมพิเศษ 555 ล้านบาท

– รายได้ที่ได้รับจากกลุ่มผู้บริโภคที่อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์ แต่เกิดความสนใจจากการทำกลยุทธ์ทางการตลาดของผู้ประกอบการ หรือรายได้ทางอ้อม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้บริโภคออกไปข้างนอกในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อนถึงวันวาเลนไทน์ อาทิ เดินห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร แล้วเห็นกิจกรรมการส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการในช่วงวันวาเลนไทน์ อาจจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจและเกิดการซื้อสินค้าที่จัดโปรโมชั่นในช่วงวันวาเลนไทน์ ซึ่งก็น่าจะทำให้ธุรกิจโอกาสที่จะทำรายได้ทางอ้อมจากกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้เพิ่มขึ้น 

ดังนั้น จะเห็นว่า การทำ Marketing ในช่วงวันวาเลนไทน์ น่าจะมีบทบาทสำคัญที่สามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคทางตรงหรือทางอ้อม ให้เกิดความสนใจในตัวสินค้าและบริการ จนเกิดความต้องการในสินค้าและบริการนั้น ซึ่งอาจจะช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการให้กับธุรกิจได้พอสมควร ถึงแม้ว่าวันวาเลนไทน์จะมีเพียงแค่ 1 วัน แต่การทำโปรโมชั่นต่างๆก่อนหน้านั้น ก็อาจจะช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการให้กับผู้ประกอบการได้พอสมควร ทั้งนี้ คาดว่า ยอดจำหน่ายสินค้าและบริการในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์น่าจะทำรายได้ให้กับธุรกิจต่างๆเพิ่มขึ้นกว่าช่วงปกติประมาณร้อยละ 10-15 โดยธุรกิจห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ และร้านอาหาร น่าจะเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในช่วงวัน   วาเลนไทน์มากขึ้น

สำหรับ การทำ Marketing ของผู้ประกอบการแต่ละธุรกิจอาจจะแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งนี้ จะเน้นรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ เพื่อสร้างบรรยากาศให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจมากขึ้น ดังนี้

 

ห้างสรรพสินค้า

– จัดทำโปรโมชั่นลดราคาสินค้าที่เป็นของขวัญยอดฮิตในช่วงวันวาเลนไทน์ อาทิ ดอกไม้ประดิษฐ์ ตุ๊กตา การ์ด ขนมและช็อกโกแลตต่างๆ เป็นต้น รวมถึงอาจจะทำโปรโมชั่นสินค้ากลุ่มอื่นๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า

– ส่งเสริมการทำกิจกรรมคู่รักภายในห้าง เพื่อสร้างบรรยากาศให้คึกคักและดึงดูดกลุ่มคนในบริเวณดังกล่าวมากขึ้น อาทิ ตอบคำถามคู่รัก บอกรักบนกระดานหัวใจที่จัดเตรียมไว้เป็นจุดต่างๆ ในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น รวมถึงอาจมีการจัดมินิคอนเสิร์ตเพื่อกระตุ้นกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเทศกาลนี้

– เปิดตัว/วางจำหน่ายสินค้าและบริการคอลเลคชั่นใหม่ๆ  themes วันวาเลนไทน์ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าสนใจและเกิดความต้องการที่จะอยากซื้อสินค้าและบริการ อาทิ เปิดตัวเสื้อผ้ารับวาเลนไทน์ หรือเครื่องประดับ เป็นต้น

– window display เนรมิตพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าและบริเวณโดยรอบให้เป็นบรรยากาศของวันแห่งความรัก อาจมีการตกแต่งด้วยดอกไม้ ของขวัญ รวมทั้งอาจจะมีการจัดสถานที่ให้เป็นบรรยากาศของการถ่ายภาพกลุ่มคู่รัก หรือเพื่อนๆที่มาช็อปปิ้งในช่วงเวลาดังกล่าว

– ผลในทางอ้อม อาจจะดึงดูดกลุ่มลูกค้าอื่นๆที่อาจจะไม่สนใจซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ เกิดการสนใจและตัดสินใจคือสินค้าแบบฉับพลัน ณ จุดขาย (Impulse buying)

 

โรงภาพยนตร์

 

– อาจจะมีโปรโมชั่นราคาตั๋วหนังพิเศษสำหรับคนที่มาเป็นคู่/คู่รัก หรือจัดเตรียมที่นั่งพิเศษสำหรับคู่รักที่เดินทางมาดูหนังในวันวาเลนไทน์

– จัดบู๊ท/กิจกรรมหน้าโรงภาพยนตร์ เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจที่จะเข้ามาดูภาพยนตร์

– คัดสรรภาพยนตร์ที่มีเนื้อเรื่องที่สอดคล้องกับวันวาเลนไทน์ และทำการเพิ่มรอบไปพร้อมๆกับการจัดทำโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจที่อยากจะดูหนังมากขึ้น

– จัดทำสินค้า หรือของรางวัลที่ระลึก ที่สอดคล้องกับวันวาเลนไทน์ เพื่อเป็นสินค้าที่ใช้สำหรับแลกซื้อหรือแจก (ตามเงื่อนไข) ซึ่งของรางวัลที่ระลึกควรเป็นสินค้าที่แปลกและไม่ซ้ำ หรือเป็นสินค้ารุ่น limited อาทิ ตุ๊กตา เป็นต้น

– ผลในทางอ้อม จำนวนคนที่ดูหนังอาจจะเพิ่มขึ้น นอกจากคนที่ตั้งใจจะมาดูหนังในวันวาเลนไทน์แล้ว ยังอาจจะมีโอกาสเพิ่มรายได้จากคนที่มาทำกิจกรรมอื่นๆ และได้เห็นการโฆษณารวมถึงโปรโมชั่นที่น่าสนใจของโรงภาพยนตร์

 

 

ร้านอาหาร

 

– จัดทำส่วนลดโปรโมชั่นพิเศษในช่วงวันวาเลนไทน์ 

– จัดทำเมนูอาหารพิเศษ หรือเมนูแนะนำ อาจจะเป็นการตั้งชื่อเมนูอาหารขึ้นใหม่ หรือเป็นการจัดเซตอาหารให้สอดคล้องในช่วงวันแห่งความรัก เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าสนใจที่จะเข้ามารับประทานอาหารมากขึ้นในช่วงวันดังกล่าว

– ตกแต่งสถานที่และร้านอาหารให้สอดคล้องกับบรรยากาศในช่วงวันวาเลนไทน์ 

– ผลในทางอ้อม อาจดึงดูดกลุ่มลูกค้ารายอื่นๆที่มารับประทานอาหารในร้านให้สนใจเมนูอาหาร หรือเซตอาหารที่เป็นโปรโมชั่นในวันวาเลนไทน์มากขึ้น

กล่าวโดยสรุปแล้ว เทศกาลวาเลนไทน์หรือเทศกาลวันแห่งความรัก เป็นช่วงโอกาสที่บรรดาผู้ประกอบการธุรกิจต่างรอคอยด้วยความคาดหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่สามารถกระตุ้นยอดจำหน่ายสินค้าและบริการได้เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี หลังจากช่วงเทศกาลจับจ่ายซื้อสินค้าในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้ยอดขายของธุรกิจไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 

 

โดยในปี 2555 นี้ แม้ว่าสัญญาณการปรับขึ้นราคาสินค้าโดยเฉพาะราคาดอกกุหลาบ และราคาอาหารจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่คาดว่า ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเทศกาลนี้ ก็ยังคงให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์ และยังคงมีการใช้จ่ายเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ รายได้ที่เกิดขึ้นกับธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ อาจจะมาจาก 2 กลุ่มหลักๆคือ กลุ่มผู้บริโภคที่ตั้งใจจะซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆในช่วงวันวาเลนไทน์ ซึ่งจากการสำรวจโพลล์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในปี 2555 นี้ คาดว่า ค่าใช้จ่ายในช่วงวันวาเลนไทน์เฉลี่ยอยู่ที่ 878 บาทต่อคน คิดเป็นเม็ดเงินสะพัดทั่วกรุงเทพฯประมาณ 1,280 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12.8 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ อาจจะมีรายได้อีกส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการทำ Marketing ในช่วงวันวาเลนไทน์ เพราะนอกจากจะดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์ได้โดยตรงแล้ว ก็น่าจะมีบทบาทสำคัญที่จะสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆให้เกิดความสนใจในตัวสินค้าและบริการ และเกิดการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลัน ณ จุดขาย (Impulse buying) ซึ่งการทำ marketing ของผู้ประกอบการในช่วงวันวาเลนไทน์ก็อาจจะช่วยเพิ่มยอดขายทางอ้อมจากผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้กับธุรกิจได้พอสมควร โดยเฉพาะธุรกิจห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ และร้านอาหาร เป็นต้น ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมในช่วงวันวาเลนไทน์อย่างมาก

]]>
55162
เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งไทยหน้าบาน ส่งกุ้งป้อนเทสโก้ โลตัส สร้างรายได้กว่า 88 ล้านบาท https://positioningmag.com/54896 Thu, 06 Oct 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54896

ที่ผ่านมา เทสโก้ โลตัส มีความพยายามมาโดยตลอดที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทย โดยสนับสนุนโครงการเกษตรพันธะสัญญาสินค้ากุ้งของสหกรณ์เพื่อบริโภคภายในประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งเกษตรกรและลูกค้าของเทสโก้ โลตัส ส่งผลให้ยอดขายในช่วงหกเดือนหลังจากลงนามบันทึกความเข้าใจสูงถึง 88 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น เทสโก้ โลตัสยังสามารถนำกุ้งที่ได้มาเป็นสินค้าหลัก เพื่อจัดรายการโรลแบ็คให้กับลูกค้า โดยได้ลดราคาต่ำกว่าปกติถึง 30 เปอร์เซ็นต์

นายภิญโญ เกียรติภิญโญ ประธานชุมนุมสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งแห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “เทสโก้ โลตัสมีบทบาทช่วยเหลือโครงการนี้มาโดยตลอด ทำให้เราสามารถพัฒนามาตรฐานของคุณภาพสินค้า สร้างช่องทางการขายและความต้องการของตลาดที่คงที่ และยังให้ราคาที่แน่นอนแก่เกษตรกร สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร เราหวังว่าจะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อกุ้งภายในประเทศ เพื่อให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืน และสร้างรายได้ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งกว่า 1,200 คนของเรา”

คุณสาวฟาง เอกลักษณ์รุจี ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายกิจการบรรษัท – สื่อสารองค์กรเทสโก้ โลตัส กล่าวว่า “ที่เทสโก้ โลตัส เรามุ่งทำความเข้าใจลูกค้า และนำเสนอสินค้าและบริการที่ดีที่สุด เพื่อสร้างความแตกต่างและเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า ทั้งในด้านราคา ความหลากหลาย คุณภาพ ความปลอดภัยและความสดใหม่ ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการทำพันธะสัญญาที่ครบวงจร ซึ่งการลงนามโครงการเกษตรพันธะสัญญากับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งสามารถช่วยตอบโจทย์แก่เราในทุกด้านที่กล่าวมา เพื่อเป็นการช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่ได้รับผลกระทบและสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มเกษตรกรว่าจะมีตลาดภายในประเทศรองรับผลผลิตทางการเกษตรของพวกเขาเพื่อการจำหน่ายอย่างแน่นอนและสม่ำเสมอ

“ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เทสโก้ โลตัสได้ร่วมลงนามในโครงการเกษตรพันธะสัญญา (Contract Farming) กับชุมนุมสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งแห่งประเทศไทย เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อกุ้งภายในประเทศ และลดการพึ่งพิงการส่งออก โดยในช่วงหกเดือนดังกล่าว เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งได้ส่งกุ้งขาวแวนาไมให้กับเทสโก้ โลตัสไปแล้วจำนวนกว่า 430 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 88 ล้านบาท โดยเราได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมนุมสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งแห่งประเทศไทย จำกัด ในการวางแผนเพื่อกำหนดแผนการผลิตกุ้ง แผนการตลาด การตรวจสอบคุณภาพของสินค้า วิธีการส่งมอบและปริมาณสินค้า ซึ่งเราคาดการณ์ว่าจะสามารถรับซื้อกุ้งขาวแวนาไม โดยตรงจากกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางจำนวนมากกว่าปีละ 2,000 ตัน ในราคาที่เกษตรกรผู้ผลิตกุ้งพึงพอใจ” คุณสาวฟาง กล่าวสรุป

]]>
54896
“ข้าวสร้างสุข” โครงการ ฟื้นฟูชีวิตเกษตรกรอย่างยั่งยืน https://positioningmag.com/54790 Tue, 20 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54790

มูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมกับ บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ จัดทำโครงการ “ข้าวสร้างสุข” มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยน้ำท่วม และให้ความรู้ในการปลูกข้าวปลอดภัยจากสารพิษ โดย“ข้าวสร้างสุข” ล็อตแรก ที่วางจำหน่าย เป็นข้าวหอมปทุม จากเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี ซึ่งเป็นข้าวปลอดสารพิษที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเพาะปลูก และ การผลิตที่ดี อีกทั้งยังให้คุณประโยชน์ด้านสุขภาพแก่ผู้บริโภค และช่วยฟื้นฟูชีวิตเกษตรกรได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย มีวางจำหน่ายแล้วที่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาราชดำริ ทั้งนี้บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และ มูลนิธิชัยพัฒนา จะร่วมมือกันขยายขอบข่ายความครอบคลุมของโครงการข้าวสร้างสุขให้กว้างขึ้นต่อไปอีก โดยจะรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในจังหวัดพิจิตรและพิษณุโลก และวางจำหน่ายในบิ๊กซีสาขาอื่นๆ

]]>
54790
ส่งออกสินค้าเกษตรปี 2554…เติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ https://positioningmag.com/54511 Wed, 27 Jul 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54511

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรมีอัตราการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 14,961.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าในปี 2554 สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยหนุนทั้งจากราคาสินค้าเกษตรสำคัญมีแนวโน้มสูงขึ้น และความต้องการในต่างประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากสภาพอากาศที่แปรปรวน การแพร่ระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ที่มีความถี่และแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ทำให้นานาประเทศเกิดความกังวลถึงความเพียงพอด้านอาหารของประเทศ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2554 น่าจะพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับ 29,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.0 เมื่อเทียบกับปี 2553 ในขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.0 นับว่าเป็นเพิ่มขึ้นมากเป็นประวัติการณ์จากปัจจัยเอื้อของตลาดต่างประเทศ

สำหรับแนวโน้มการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปในปี 2555 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยหนุน คือ ราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในเกณฑ์สูงจูงใจให้เกษตรกรขยายการผลิต รวมทั้งอานิสงส์ของนโยบายรัฐบาลใหม่ที่จะส่งผลให้กำลังซื้อของคนในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนโยบายการเพิ่มค่าจ้างแรงงาน และการเพิ่มการลงทุนของภาครัฐบาล คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2555 น่าจะพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับปี 2554 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 ในขณะที่คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2555 น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 19,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 จากปัจจัยเอื้อของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวต่อไปได้ แม้จะไม่ร้อนแรงเท่าปี 2554 ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น ส่วนเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญคือ สหรัฐฯและสหภาพยุโรปแม้ว่าจะประสบปัญหา แต่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรน้อยกว่าสินค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค

สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่มีอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกอยู่ในเกณฑ์สูง 5 อันดับแรก ได้แก่
-ยางแปรรูปขั้นต้น (ยางแผ่นรมควัน น้ำยางข้น)
ปัจจัยผลักดันมูลค่าการส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นในปี 2554 คือ ราคายางที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคายางแผ่นดิบชั้น 3 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ที่ระดับ 170.77 บาท/กิโลกรัม แม้ว่าญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดนำเข้ายางสำคัญของไทยจะเผชิญปัญหาภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิในช่วงเดือนมีนาคม แต่ก็ส่งผลกระทบต่อราคายางในระยะสั้น และการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น ยังเป็นผลเชิงบวกต่อการส่งออกยางของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2554 สำหรับปัจจัยหนุนสำคัญอื่นๆ คือ ยอดจำหน่ายและยอดส่งออกรถยนต์ของจีนที่ยังมีแนวโน้มสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการนำเข้ายางของจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่น่าสนใจคือ การเข้าซื้อยางของจีนส่งผลให้ราคายางในแต่ละช่วงปรับตัวขึ้น/ลง รวมทั้งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ในเกณฑ์สูง ซึ่งราคายางในตลาดโลกเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ราคายางสังเคราะห์ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนยางธรรมชาติก็จะอยู่ในเกณฑ์สูงตามไปด้วย ซึ่งปัจจัยหนุนการส่งออกยางในปี 2554 ยังคงเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นให้ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในปี 2555

-ข้าว ปริมาณการส่งออกข้าวในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 อยู่ในระดับเฉลี่ยที่ประมาณ 1 ล้านตันต่อเดือน โดยคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2554 ปริมาณการส่งอออกข้าวจะสูงถึง 10 ล้านตัน ทั้งนี้ตลาดส่งออกที่มีการขยายตัวสูง คือ ไนจีเรีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย อิรัก แอฟริกาใต้ อิหร่าน และจีน โดยประเภทข้าวที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นคือ ข้าวนึ่งและปลายข้าว เนื่องจากอินเดียซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญยังคงจำกัดการส่งออก อย่างไรก็ตาม การส่งออกข้าวยังเผชิญการแข่งขันอย่างรุนแรงจากเวียดนาม โดยเฉพาะข้าวขาว ส่งผลให้ราคาข้าวในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 อยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2553 ประเด็นที่ต้องติดตาม คือ การปรับนโยบายแทรกแซงตลาดข้าวเป็นมาตรการจำนำ ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศราคารับจำนำข้าวในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2554 สำหรับข้าวเปลือกเจ้า5% ที่ระดับ 15,000 บาท/ตัน และข้าวหอมมะลิที่ระดับ 20,000 บาท/ตัน ส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศ และราคาส่งออกข้าวขยับสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2554 นอกจากนี้ ราคาข้าวยังได้รับแรงหนุนจากการที่ในช่วงไตรมาส 3 เป็นช่วงปลายฤดูการผลิตของทั้งไทยและเวียดนาม ในขณะที่ยังมีความต้องการซื้อข้าวล็อตใหญ่จากอินโดนีเซียที่ช่วยหนุนให้ตลาดซื้อขายข้าวคึกคัก สำหรับแนวโน้มราคาข้าวในประเทศในปี 2555 คาดว่าราคายังอยู่ในเกณฑ์สูง ส่วนราคาส่งออกข้าวคาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์สูงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องติดตาม คือ สภาพอากาศกล่าวคือ ถ้าสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการผลิตข้าว การแข่งขันข้าวในตลาดโลกรุนแรง ราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในช่วงครื่งแรกปี 2555 จากเวียดนาม และมีแนวโน้มว่าอินเดียจะส่งออกข้าวขาวเพิ่มขึ้น แต่ถ้าสภาพอากาศแปรปรวน ความต้องการในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ราคามีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง สภาพการแข่งขันกับเวียดนาม โดยต้องติดตามประเด็นสำคัญคือ การปรับลดค่าเงินด่อง ส่งผลให้ราคาข้าวของเวียดนามจะถูกกว่าข้าวไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการกำหนดราคาส่งออกขั้นต่ำของเวียดนาม ซึ่งเป็นตัวชี้นำราคาส่งออกข้าวของเวียดนาม สำหรับปัจจัยสนับสนุนราคาข้าว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มสูงขึ้น จากการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น อันเป็นผลมาจากปัญหาเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มอ่อนค่า

-น้ำตาลทราย จากการคาดการณ์ผลผลิตอ้อยของไทยในปี 2553/54 จะสูงถึง 95.36 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อนถึง 27 ล้านตัน ส่งผลให้ผลผลิตน้ำตาลของไทยในปี 2554 นี้จะอยู่ที่ 9.66 ล้านตัน และบริโภคในประเทศ (โควตา ก.) 2.5 ล้านตัน ที่เหลือประมาณ 7 ล้านตันส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณส่งออกที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ ตลาดหลักคือ ประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และมาเลเซีย รวมทั้งญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ประเด็นที่ต้องติดตาม คือ ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกค่อนข้างผันผวนไปตามกระแสข่าวปริมาณผลผลิตของประเทศผู้ผลิตน้ำตาลสำคัญของโลก กล่าวคือ ในช่วงต้นปีราคาน้ำตาลทรายดิบลดลง เนื่องจากคาดการณ์ผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของไทยและอินเดีย และราคาน้ำตาลทรายดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2554 เนื่องจากมีข่าวเกี่ยวกับความล่าช้าในการผลิตและการส่งออกน้ำตาลของบราซิล อันเนื่องจากปัญหาฝนที่ตกหนักในช่วงฤดูการผลิตน้ำตาล ทำให้การเปิดหีบอ้อยล่าช้า รวมถึงในช่วงต้นของฤดูการผลิตมีการนำอ้อยไปผลิตเอทานอลเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า นอกจากนี้ การขนถ่ายน้ำตาลลงเรือล่าช้า จากอุปสรรคปัญหาฝนที่ตกหนัก คาดการณ์ว่าราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกในช่วงครึ่งหลังปี 2554 มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูง ในขณะที่ราคาน้ำตาลทรายดิบในปี 2555 จะถูกกดดันจากการคาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตน้ำตาลจะมีเกินความต้องการ เนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของประเทศผู้ลิตน้ำตาลที่สำคัญของโลก

-อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ปัจจัยหนุนการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกเป็นผลมาจากราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบทั้งปลาทูน่า และกุ้งมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาวัตถุดิบปลาทูน่าปัจจุบันเฉลี่ยที่ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปลายปี 2553 ที่ราคาปลาทูน่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ส่วนราคากุ้งมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปลายปี 2553 เนื่องจากประเทศคู่แข่งสำคัญได้รับความเสียหายจากปัญหาโรคระบาดไวรัสกล้ามเนื้อขุ่น และปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวน ในขณะที่ปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นแหล่งเลี้ยงกุ้งที่สำคัญของไทย ส่งผลให้ราคากุ้งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ การส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิในช่วงเดือนมีนาคม 2554 ทำให้มีการสั่งนำเข้าอาหารทะเลกระป๋องเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ส่วนตลาดสหภาพยุโรป(อียู)ที่บางประเทศได้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากปัญหาหนี้สาธารณะ แต่ในภาพรวมมีการนำเข้าอาหารทะเลกระป๋องเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะฝรั่งเศส และสเปน

คาดว่าในช่วงไตรมาส 3/54 คำสั่งซื้อจากตลาดยุโรปและสหรัฐฯจะชะลอตัว เนื่องจากเป็นช่วงพักร้อน ส่วนในเดือนสิงหาคมคำสั่งซื้อจากตลาดตะวันออกกลางจะลดลงจากการเข้าสู่เดือนรอมฎอน(ถือศีลอด)แต่คาดว่าคำสั่งซื้อในตลาดเหล่านี้จะกลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/54 รวมทั้งคาดการณ์ว่าราคาวัตถุดิบ คือ ปลาทูน่ามีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงหลังจากแตะระดับสูงสุดที่ 1.9 พันดอลลาร์ต่อตันในช่วงเดือนกรกฎาคม 2554 โดยราคาเฉลี่ยทั้งปี 2554 น่าจะอยู่ที่ระดับ 1.6 พันดอลลาร์ต่อตัน ในขณะที่ราคากุ้งมีแนวโน้มชะลอตัวลงเช่นกัน จากการคาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากราคาที่อยู่ในเกณฑ์สูงจูงใจให้เกษตรกรขยายการเลี้ยง ส่วนในด้านการส่งออกก็เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จากการที่ประเทศคู่แข่งฟื้นตัวจากความเสียหาย

สำหรับในปี 2555 คาดการณ์ว่าการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศในสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไม่มากนัก เนื่องจากอาหารกระป๋องและแปรรูปเป็นสินค้าจำเป็น และมีราคาต่ำทำให้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ความต้องการยังมีแนวโน้มจะเติบโต

-ผัก ผลไม้และผลิตภัณฑ์ มูลค่าการส่งออกผัก ผลไม้และผลิตภัณฑ์ในช่วงครึ่งแรกปี 2554 มีแนวโน้มขยายตัวอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณผลผลิตในปี 2554 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับในปี 2553 ซึ่งเผชิญปัญหาความแห้งแล้งที่ยาวนานผิดปกติ สร้างความเสียหายให้กับปริมาณผลผลิต คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกผัก ผลไม้และผลิตภัณฑ์ในช่วงครึ่งหลังปี 2554 และในปี 2555 ยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง และผักสดแช่เย็นแช่แข็ง ได้รับแรงหนุนสำคัญจากกรอบเจรจาการค้าเสรี โดยเฉพาะอาฟตา และอาเซียน-จีน กล่าวคือ ตลาดส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งที่มีอัตราการขยายตัวสูง คือ จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และลาว ส่วนตลาดส่งออกผักสดแช่เย็นแช่แข็งที่มีอัตราการขยายตัวสูงคือ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย สำหรับการส่งออกผลไม้กระป๋องและแปรรูปยังมีแนวโน้มขยายตัวในตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ส่วนตลาดที่น่าสนใจคือ ออสเตรเลียและรัสเซีย ส่วนผักกระป๋องและแปรรูป ตลาดส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คือ ญี่ปุ่น รัสเซีย ไต้หวัน ออสเตรเลีย และซาอุดิอาระเบีย

ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การเริ่มมีการเข้ามาลงทุนในไทยในการผลิตน้ำผลไม้ และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยอาศัยความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของผลไม้ไทย รวมทั้งฐานตลาดเครื่องดื่มของไทยที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโต โดยเฉพาะเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ เป็นการเตรียมรับตลาดประชาคมอาเซียนในปี 2556 โดยใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน

-ไก่แปรรูป มูลค่าการส่งออกไก่แปรรูปในช่วงครึ่งแรกปี 2554 พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทั้งที่ในปีปกติฤดูการส่งออกไก่แปรรูปจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากในช่วงต้นปีราคาไก่เนื้อพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากสภาพอากาศที่แปรปรวนและโรคระบาดในประเทศผู้ผลิตหลักอื่นๆ ของโลก ส่งผลกระทบทำให้ธุรกิจการเลี้ยงไก่เนื้อมีอัตราการสูญเสียสูงกว่าร้อยละ 20 ของภาวะการเลี้ยงปกติ โดยเฉพาะบราซิล ซึ่งเป็นผู้ส่งออกไก่รายสำคัญ ดังนั้น ประเทศผู้ซื้อจึงกังวลว่าจะเกิดปัญหาขาดแคลนไก่เนื้อ ทำให้มีคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ไก่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2554 ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูการส่งออก แม้ว่าในช่วงครึ่งหลังจะมีการคาดการณ์ว่าราคาไก่เนื้อมีแนวโน้มอ่อนตัวลง จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการผลิตลดลง แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจไก่เนื้อยังคงคาดการณ์ว่าในปี 2554 ปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่จะเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 500,000 ตันเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปี 2546 ก่อนที่ไทยจะมีปัญหาโรคไข้หวัดนกที่มีผลทำให้ช่วง 8 ปีที่ผ่านมาปริมาณการส่งออกไก่ของไทยลดลง เพราะต้องปรับเปลี่ยนระบบการผลิตจากไก่สดแช่เย็นแช่แข็งเป็นไก่แปรรูป สำหรับปัจจัยหนุนการส่งออกในระยะต่อไป คือ ถ้าสหภาพยุโรป และญี่ปุ่นเปิดนำเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงกฎนำเข้าสินค้าอาหารของกลุ่มประเทศสภาความร่วมมือแห่งอ่าวอาหรับ (GCC) มาใช้ระเบียบนำเข้าอาหารร่วม 6 ประเทศ ก็จะทำให้ไทยส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งไปยังตลาดนี้ได้เพิ่มขึ้น นอกเหนือไปจากการส่งออกไปยังบาร์เรน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2554 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากปัจจัยเอื้อในด้านปริมาณการผลิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับในปี 2553 ที่เผชิญปัญหาแห้งแล้งยาวนานผิดปกติ และราคาที่อยู่ในเกณฑ์สูงจูงใจให้เกษตรกรขยายปริมาณการผลิต นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเอื้อจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของตลาดต่างประเทศ รวมทั้งอานิสงส์จากการส่งออกไปยังประเทศที่เป็นคู่เจรจากรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรี โดยเฉพาะอาฟตา และอาเซียน-จีน สำหรับการส่งออกในปี 2555 คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยยังได้รับแรงหนุนจากราคาสินค้าเกษตรที่คาดว่ายังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง และความต้องการของตลาดต่างประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวต่อไปได้ แม้จะไม่ร้อนแรงเท่าปี 2554 ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น ส่วนเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญคือ สหรัฐฯและสหภาพยุโรปแม้ว่าจะประสบปัญหา แต่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรน้อยกว่าสินค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค

]]>
54511
ชั่งไข่ แคมเปญล้มเหลว https://positioningmag.com/13493 Mon, 14 Feb 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13493

สินค้าการเมืองภายใต้มาตรการประชาวิวัฒน์อีกชิ้น ที่หวังผลทางการเมืองเฉพาะหน้า คือ มาตรการ “ชั่งไข่” ที่ทำท่าจะไปไม่รอด รัฐบาลบอกว่า ต้องการลดต้นทุนเกษตรกร ดูแลเรื่องของอาหารสัตว์ และการเข้าถึงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไก่ไข่ ไก่เนื้อ และสุกรมากขึ้น เปิดเผยข้อมูลต้นทุนราคาต่างๆ อย่างทั่วถึงเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือมีสถานีโทรทัศน์ เพื่อให้ประชาชนรับรู้การเคลื่อนไหวของราคาต้นทุนต่างๆ จะได้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ

โดยเริ่มจาก “ไข่ไก่” ที่ให้มีการทดลองให้มีการเลือกซื้อขายกันเป็นกิโล ซึ่งรัฐบาลบอกว่าจะเป็นการประหยัดต้นทุนการคัดแยก ได้ประมาณ 5-10 สตางค์

ปรากฏว่าหลังจากทดลองใช้ไปเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถูกรุมด่าจากทั้งนักวิชาการ แม่ค้า และคนซื้อ เพราะสร้างความยุ่งยากมากกว่าจะแก้ปัญหาราคาไข่ลดลง (ดูผลสำรวจประกอบ) รัฐบาลน่าจะเอาเวลาไปคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจเรื่องใหญ่กว่านี้ เช่นราคาสินค้าเกษตร น้ำมันปาล์ม ข้าว น้ำตาล ที่ประชาชนกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลดูอ่อนด้อยไปทันที

แม้รัฐบาลจะบอกว่า “ชั่งไข่” เป็นแค่ทางเลือก ลูกค้าหรือคนขายจะชั่งกิโล หรือซื้อไข่แบบคัดแยกแบบเดิมก็ไม่บังคับ แต่การที่รัฐก็ต้องเสียงบประมาณอย่างน้อยๆ 70 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชน จะมาบอกว่า ไม่เสียหายอะไรก็ดูจะตื้นเขินเกินไป หากนโยบายไม่ได้ผล หรือไม่ช่วยอะไร ก็เท่ากับนำเงินภาษีไปละลาย

มาตรการ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ต้นตอของปัญหาอยู่ที่การขาดระบบขนส่งมวลชนที่ดี ทำให้คนจำนวนหนึ่งต้องใช้รถส่วนตัว ผลที่ตามมาคือการจราจรติดขัด ต้องหันไปใช้มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งก็มีปัญหาเกิดขึ้นตามมา หากจะแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ก็ต้องมุ่งเน้นที่การแก้ระบบขนส่งมวลชนให้ดี แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน

กรณีการให้ใช้ไฟฟรีสำหรับผู้ที่ใช้ไม่เกิน 90 ยูนิตต่อเดือน เพื่อเอาใจผู้มีรายได้น้อย ก็มีช่องโหว่ที่จะเป็นปัญหาตามมา ที่แม้แต่นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้สัมภาษณ์ว่า

มาตรการใช้ไฟฟรีไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน กฟผ. มีความเป็นห่วงอยู่ 2 ประเด็น คือกรณีคนที่มีบ้านหลังที่สองจะได้ประโยชน์ และกรณีที่สอง คนที่ได้สิทธิ์ดังกล่าวจะไม่ประหยัดการใช้ไฟ ส่งผลเสียในระยะยาว ซึ่งหลักการเบื้องต้น จะเอาเงินอุดหนุนมาจากกลุ่มผู้ใช้ไฟด้วยกันเอง แต่ยังไม่สรุปว่าจะเกลี่ยจากกลุ่มใด

อาจารย์บุญส่งบอกว่ามาตรการเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นการแก้ปัญหาให้กับชั่วคราวเท่านั้น ขาดความยั่งยืน โอกาสที่รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะสานต่อได้ยาก ดังเช่นนโยบายประชานิยมของทักษิณที่ล้มเลิกไปหลังจากพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมา

ที่น่าเป็นห่วง ใช้นโยบายประชานิยม อาจก่อให้เกิดขาดวินัยทางการเงินของประชาชน ส่งผลกระทบต่อปัญหาการคลังของรัฐในระยะยาว กลายเป็นการเสพติดประชานิยมของประชาชน ใครที่มาเป็นรัฐบาลคงต้องใช้นโยบายเดียวกันนี้ และยิ่งต้องแจกมากขึ้น เพื่อหวังผลในเรื่องคะแนนเสียง โดยไม่ได้คิดถึงว่า จะนำเงินงบประมาณมาจากไหน ท้ายที่สุดแล้วประเทศชาติจะได้รับผลเสียในที่สุด

แต่ถึงแม้ว่าสินค้าประชาวิวัฒน์จะถูกมองว่า ล้มเหลวแก้ปัญหาชั่วคราว ทำเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่สำหรับทีมงานของกรณ์แล้ว มองว่า ประสบความสำเร็จชื่อของประชาวิวัฒน์สามารถสร้างการรับรู้หรือBrand Awareness จนติดตลาด (Stickiness) โดยเฉพาะกับกลุ่มเป้าหมาย หรือ Target Group ที่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้โดยตรง

แนวคิดนี้ไม่ต่างจากนโยบายประชานิยมของทักษิณ แม้จะถูกโจมตีจากฝ่ายต่างๆ ว่าทำเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายพึงพอใจ ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะผลที่ตามมาก็คือ คะแนนเสียงอย่างท่วมท้นจากกลุ่มคนเหล่านี้

แผนงานขั้นต่อไปของพรรคประชาธิปัตย์ โดยทีมงานกรณ์ คือ การโปรโมตประชาวิวัฒน์อย่างเข้มข้น ทั้งใช้ของสื่อของภาครัฐเพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง เช่น รายการเชื่อมั่นประเทศไทย เผยแพร่ เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง ใช้กลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว นักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการประชาวิวัฒน์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโปรโมตแคมเปญประชาวิวัฒน์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย Target Group แต่ละกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงผ่านทั้งอีเวนต์ สื่อโฆษณาทางสือต่างๆ ทีวีซี วิทยุท้องถิ่น แผ่นพับ เคเบิลทีวี เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้รับรู้ ถึงประโยชน์ที่ที่จะได้รับจาก “แพ็กเก็จ” สินค้าประชาวิวัฒน์โดยเร็ว เร็วๆ นี้

งานนี้ทีมงานกรณ์จึงต้องว่าจ้างนักโฆษณา และประชาสัมพันธ์มืออาชีพ บริษัท Turnaround ของปารเมศร์ รัชไชยบุญ อดีตนายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย ซึ่งเข้ามาช่วยดูแลรื่องการสร้างแบรนด์ให้กับกระทรวงการคลังอยู่แล้ว ให้เป็นที่ปรึกษ คิดแผนกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ โปรโมตประชาวิวัฒน์ 9 ข้อไปยังกลุ่มเป้าหมายต่างๆ

“จากนี้ไป จะทยอยเปิดตัวโครงการออกมาเรื่อยๆ มีทั้งอีเวนต์ ใช้สื่อต่างๆ ช่วย รูปแบบการจัดงานจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย เป็นลักษณะของ Permission Marketing อย่างถ้าเป็นแท็กซี่ ต้องดูว่าสื่อแบบไหนเข้าถึงเขาได้ และถ้าจัดอีเวนต์ ก็ต้องเป็นวันที่แท็กซี่คันแรกได้รับสินเชื่อ อีเวนต์น่าจะแรง” ทีมงานคนหนึ่งดูแลด้านการสื่อสารให้กับกรณ์ บอก

แม้ว่ายังไม่มีการเปิดเผยงบประมาณที่จะใช้โปรโมตอีกเท่าไหร่ แต่หากคำนวณจากเครื่องมือการตลาดต่างๆ ทั้ง การใช้สื่อ การจัดอีเวนต์ การจ้างที่ปรึกษาเพื่อมาดำเนินงานแล้ว คงต้องบอกว่าใช้เงินอีกหลายสิบล้านบาท อาจถึง 100 ล้านบาท เมื่อมาบวกกับงบประมาณที่กรณ์ จาติกวณิช ได้ว่าจ้างให้บริษัทแมคคินซี่ย์ ที่กรณ์คุ้นเคยดีสมัยที่ทำงานด้านการเงิน มาเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายในการจัดทำโครงการ ด้วยวงเงิน 69 ล้านบาท เฉพาะแค่งบดำเนินการที่ผ่านมา ใช้ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท

รัฐบาลบอกว่ามีประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ 10 ล้านคน และรัฐได้ประโยชน์ 1 หมื่นล้านบาท โดยรัฐใช้งบประมาณเบื้องต้น 2,000 ล้านบาท และอาจต้องใช้ถึง 1 หมื่นล้านบาทสำหรับปล่อยกู้ เมื่อแรงงานนอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ คนกลุ่มนี้เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี กรมสรรพากรก็จะจัดเข้ามาอยู่ในกลุ่มที่จะต้องถูกเก็บภาษีมูลค่าต่างๆ จะทำให้งบประมาณแผ่นดินสมดุลได้ภายใน 5 ปี

แต่รัฐบาลจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เงินที่ปล่อยกู้ออกไป จะนำไปใช้ประโยชน์ตามที่ต้องการจริง และจะไม่ลงเอยแบบประชานิยม ดังเช่นโครงการแท็กซี่เอื้ออาทร ของรัฐบาลทักษิณ ที่สร้างหนี้เสีย 50% ให้กับเอสเอ็มอีแบงก์ และรัฐบาลสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องตั้งงบถึง 2 แสนล้านบาท มาชดเชยขาดทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากโครงการประชานิยมของพรรคไทยรักไทย

แต่ดูเหมือนว่าประเด็นเหล่านี้ อาจไม่สำคัญสำหรับรัฐบาลเท่ากับ คะแนนเสียงของประชาชนฐานราก เป็นเดิมพันอันยิ่งใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ ต้องการเอาชนะคู่แข่งทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งนายกอภิสิทธิ์หลุดปากออกมาหลายครั้งว่าการยุบสภาอาจจะมีขึ้นในเร็ววันนี้ แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรู้อยู่เต็มอกว่า นี่คือ Me Too Political Campaign ประชานิยม ที่แต่งองค์ทรงเครื่อง เปลี่ยนชื่อใหม่ให้ดูดีขึ้นเท่านั้นก็ตาม

9 ของขวัญประชาวิวัฒน์ !

  1. มาตรการ คนไทยเท่าเทียม ประกันสังคมถ้วนหน้า ให้ผู้ที่ไม่อยูในระบบประกันสังคม 24 ล้านคน เข้าระบบประกันสังคม ประชาชนจ่ายเงิน 70 บาท รัฐสมทบ 30 บาท หรือ ถ้าจ่าย 100 บาท รัฐสมทบ 50 บาท
  2. การเข้าถึงระบบสินเชื่อ โดยเฉพาะคนขับรถแท็กซี่ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 9 ปี เป็นเจ้าของรถ โดยผ่อนเงินดาวน์ต่ำสุด 5% คาดว่าจะใช้วงเงินสินเชื่อประมาณ 1,600 ล้านบาท
  3. การขึ้นทะเบียนและจัดระบบมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบสวัสดิการ ต้องมีการปรับปรุงวิน ป้ายราคาต้องชัด โดยจะเริ่มในเดือนมีนาคม ประเดิมพื้นที่กรุงเทพมหานคร คาดว่าใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท
  4. เพิ่มจุดผ่อนผันให้ผู้ค้าจำนวน 2 หมื่นรายมีพื้นที่ค้าขายเพื่อลดรายจ่ายนอกระบบและพัฒนาให้เป็นจุดท่องเที่ยว
  5. มาตรการแก้ปัญหาค่าครองชีพ โดยเฉพาะแก้ปัญหากองทุนน้ำมัน โดยจะมีการยกเลิกการตรึงราคา LPG ในภาคอุตสาหกรรม แต่ยังตรึงราคาภาคครัวเรือนและภาคขนส่งต่อไป เพื่อประชาชนจะได้ใช้ในราคาที่เป็นธรรม
  6. การใช้ไฟฟ้าฟรีสำหรับคนที่ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วยอย่างถาวร โดยการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมจากคนที่ใช้ไฟมากในอัตราที่สูง
  7. ลดต้นทุนเกษตรกร ดูแลอาหารสัตว์ และการเข้าถึงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไก่ไข่ ไก่เนื้อ และสุกรมากขึ้น โดยเปิดเผยข้อมูล ต้นทุนราคาต่างๆ อย่างทั่วถึงเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือมีสถานีโทรทัศน์ เพื่อให้ประชาชนรับรู้การเคลื่อนไหวของราคาต้นทุนต่างๆ
  8. อาหารในส่วนของผู้บริโภคจะต้องมีทางเลือกมากขึ้น ต้องมีการเปิดเผยต้นทุนการผลิต ต้องมีความโปร่งใส ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยมีแนวคิดจำหน่ายไข่เป็นกิโลกรัม
  9. ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปลอดภัยอาชญากรรม โดยเฉพาะจุดเสี่ยงกว่า 200 จุด จะมีการบูรณาการ การเพิ่มบุคลากรในการตรวจตราเพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูปตำรวจ คาดว่าจะใช้งบประมาณ 200-300 ล้านบาท โดยตั้งเป้าลดปัญหาอาชญากรรมได้ร้อยละ 20 ภายใน 6 เดือน
Time line
14 พ.ย. 2553 นายกฯอภิสิทธิ์ พูดในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย ถึงที่มาของปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ว่าเกิดจากการระดมความคิด ของข้าราชการทุกกระทรวง ตลอด 5 สัปดาห์ ในลักษณะของการเข้าค่ายเพื่อเวิร์คช็อป แต่ไม่ได้เปิดเผยว่า ได้จ้างแมคคินซี่ย์ เป็นที่ปรึกษา
16 ธ.ค. 2553 กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ในวันที่ 17 ธ.ค. จะเป็นวันสิ้นสุดผลการศึกษาโครงการปฏิรูปการประชาวิวัฒน์ “คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ” โดยนายอภิสิทธิ์ มาเป็นประธานในพิธีปิดโครงการ ซึ่งโครงการดังกล่าว รัฐบาลได้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคมผ่านมา
17 ธันวาคม 2553 นายกอภิสิทธิ์รับมอบข้อเสนอของคณะทำงาน 5 กลุ่ม เพื่อนำไปกลั่นกรอง และประกาศออกมาเป็นนโยบายของรัฐบาล
9 มกราคม 2554 นายกอภิสิทธิ์ประกาศ “แคมเปญของขวัญ 9 ข้อภายใต้แผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย” โดยมุ่งไปที่คนรายได้น้อย และคนด้อยโอกาส
1 กุมภาพันธ์ 2554 ออกแบบโลโก้เพื่อใช้กับโครงการประชาวิวัฒน์ โดยนายกจะเป็นคนเลือก และจะเผยแพร่ตามสื่อต่างๆต่อไป
6 กุมภาพันธ์ 2554 รายการเชื่อมั่นประเทศไทย ถ่ายทอด นายกฯ อภิสิทธิ์ และทีมงานรัฐบาล ออกเดินสำรวจพื้นที่ ในย่านสะพานพุทธฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดผ่อนผันหาบเร่แผ่งลอย และเป็นจุดที่จะมีการดูแลความปลอดภัย ตามโครงการประชาวิวัฒน์

กลไกลการตลาดแคมเปญประชาวิวัฒน์

Campaign ประชาวิวัฒน์
Positioning แผนปฏิบัติการช่วยเหลือคนรายได้น้อย และคนด้อยโอกาส ภายใต้มาตรการ 9 ข้อ
Target Group หลัก แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ หาบเร่แผงลอย คนประกอบอาชีพทำงานกลางคืน
รอง ผู้มีรายได้น้อย
Slogan คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ
Story Telling จัดอีเวนต์ นำหน่วยงานต่างของรัฐ 30 หน่วยงาน ระดมความคิดกันในค่าย เป็นเวลา 5 สัปดาห์ เพื่อเป็นเรื่องราวที่รัฐบาลใช้สื่อถึงที่มาว่ามาจากการคิด
Presenter นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยตำแหน่ง หน้าตา ภาพลักษณ์ดูดี พูดจากน่าเชื่อถือมีการศึกษา มีแม่ยกตามเชียร์อยู่มาก

Communication Strategies

ช่วงแรก เน้นสร้าง Brand Awareness ให้คำว่าประชาวิวัฒน์เป็นที่รู้จัก ผ่านประชาสัมพันธ์ผ่านรายกเชื่อมั่นประเทศไทย และแถลงข่าว ให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ
ช่วงที่สอง เตรียมแผนโปรโมทหนักขึ้น เพราะถูกโจมตีว่า ไม่ต่างจากประชานิยมของคู่แข่ง ซึ่งทำขึ้นเพื่อต้องการชิงฐานเสียงกลุ่มฐานราก จึงได้ว่าจ้างนักโฆษณาและประชาสัมพันธ์มืออาชีพ บริษัท Turnaround ของปารเมศร์ รัชไชยบุญ อดีตนายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย เป็นที่ปรึกษ าคิดแผนกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ โปรโมตประชาวิวัฒน์ ไปยังกลุ่มเป้าหมายต่างๆ โดยใช้ทุกเครื่องมือที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อีเวนต์ สื่อทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์ โบรชัวร์ แผนการโปรโมตตลอดทั้งปี 2544
Budget 1.งบจ้างบริษัทแมคคินซี่ย์มาเป็นที่ปรึกษา 69 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ และยังมีงบประชาสัมพันธ์ และการใช้สื่อ จัดอีเวนต์ตลอดทั้งปี 2544 ที่ยังไม่เปิดเผย
2 .สินเชื่อที่คาดว่าสถาบันการเงินของรัฐปล่อยกู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
]]>
13493
ไม่เอา…ชั่งไข่ https://positioningmag.com/13494 Mon, 14 Feb 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13494

ผลสำรวจสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ความรู้สึกของประชาชนต่อราคาไข่ของนายกรัฐมนตรี จากกลุ่มเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลทั้งสิ้น 1,103 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 22-23 ม.ค.ที่ผ่านมา

ความรู้สึกต่อนโยบายชั่งไข่กิโล
แปลกและเป็นธรรม 47.9 %
น่าขบขัน และไม่น่าทำ 42.8 %
ซ้ำเติมประชาชน 9.3 %
ที่มา : เอแบคโพลล์
ราคาไข่มาร์ค – ไข่ทักษิณ ใครน่าประทับใจกว่ากัน
ไข่มาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 37.1%
ไข่แม้ว ทักษิณ ชินวัตร 36.5%
ไข่เติ้ง บรรหาร ศิลปอาชา 11.9%
ไข่ชวน ไข่ชาติชาย ไข่จิ๋ว 14.5%
ที่มา : เอแบคโพลล์
ไข่ชั่งกิโลทำให้คะแนนนิยม “มาร์ค” ดีขึ้นหรือไม่
ความนิยมเพิ่มขึ้น 14.9%
ความนิยมไม่เพิ่มขึ้น 32.4%
ความนิยมเท่าเดิม 50%
ความนิยมลดลง 22.4%
ที่มา : เอแบคโพลล์

สวนดุสิตโพลล์ สำรวจความคิดเห็นจากประชาชนในกรุงเทพฯ ปริมณฑล กรณี ไข่ชั่งกิโล จำนวนทั้งสิ้น 1,262 คน ระหว่างวันที่ 20-22 มกราคม 2554

ความเห็นต่อนโยบายทดลองไข่ไก่ชั่งกิโล
ไม่เห็นด้วย 66.29%
ยุ่งยากเกินไป 56.63%
เห็นด้วย 12.06%
ลดต้นทุนการคัดแยกไข่ 13.85%
ที่มา : สวนดุสิตโพลล์
ทัศนคติต่อการชั่งกิโลไข่ไก่
ไม่แน่ใจว่านโยบายดีหรือไม่ 21.65%
ข้อดี-ข้อเสียเท่ากัน 29.52%
สร้างความยุ่งยากให้ผู้ซื้อ-ผู้ขาย 22.78%
ที่มา : สวนดุสิตโพลล์
ข้อดี-ข้อเสียของนโยบายชั่งกิโลไข่ไก่
ข้อดี ลดขั้นตอน ค่าใช้จ่ายในการแยกไข่ 47.54%
  ผู้บริโภคได้ไข่ราคาถูก 28.11%
ข้อเสีย สร้างความยุ่งยากให้ผู้ซื้อ-ผู้ขาย 40.09%
  พ่อค้า-แม่ค้าโกงตาชั่ง และเศษเงิน 16.60%
ที่มา : สวนดุสิตโพลล์
นโยบายประชาวิวัฒน์มีผลต่อการเลือกประชาธิปัตย์หรือไม่
ไม่มีผลต่อการเลือก ปชป. 71.9%
มีผลต่อการเลือก ปชป. 28.1%
นโยบายนี้มีประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่
ไม่มีประโยชน์ 58.9%
มีประโยชน์ 41.1
นโยบายประชาวิวัฒน์ตรงกับความต้องการหรือไม่
ตรงกับความต้องการ 91.3%
ไม่ตรงกับความต้องการ 8.7%
ที่มา : กรุงเทพโพลล์
นโยบายประชาวิวัฒน์ลดความเหลื่อมล้ำได้หรือไม่
ไม่แน่ใจ 49.6%
แก้ปัญหาได้ 31.2%
แก้ปัญหาไม่ได้ 19.3%
ที่มา : กรุงเทพโพลล์
ความเข้าใจและเชื่อมั่นนโยบายประชาวิวัฒน์
ลดค่าครองชีพ 73.0%
แก้ปัญหาการเงิน 62.5%
หลักประกันสุขภาพ 62.0%
ที่มา : เอแบค โพลล์
ความไม่เชื่อมั่น และไม่เข้าใจนโยบายประชาวิวัฒน์
แก้ปัญหาทุจริต คอร์รัปชั่น 66.3%
การกระจายที่ดิน โฉนด 56.6%
ความปลอดภัยในทรัพย์สิน 49.1%
ที่มา : เอแบคโพลล์
ประชาวิวัฒน์เป็นเรื่องใหม่ หรือเรื่องเก่า
เป็นเรื่องเก่าที่เคยทำมาแล้ว 68.7%
เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งรับรู้ 31.3%
ที่มา : เอแบคโพลล์

ความเป็นห่วงต่อนโยบายประชาวิวัฒน์

  1. ความไม่ยั่งยืนในนโยบาย
  2. ประชาชนคอยรับสิ่งที่รัฐบาลให้
  3. ความเท็จในการรายงานถึงความสำเร็จของโครงการ

ที่มา : แอแบคโพลล์

ข้อเสนอในการปรับนโยบายประชาวิวัฒน์ในอนาคต

  1. เร่งหามาตรการสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืน
  2. เร่งกระจายทรัพยากรให้ประชาชนและชุมชนได้ครอบครอง
  3. เร่งแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น

ที่มา : เอแบคโพลล์

นโยบายประชาวิวัฒน์กับการตัดสินใจเลือกพรรค
เลือกประชาธิปัตย์ 27.7%
เลือกเพื่อไทย 12.3%
ไม่ระบุพรรคการเมือง 41.3%
ที่มา : เอแบคโพลล์
เพศกับการเลือกพรรคการเมือง
ประชาธิปัตย์ ผู้หญิง 52.4%
&nbsp: ผู้ชาย 41.7%
เพื่อไทย ผู้หญิง 28.4%
  ผู้ชาย 35.4%
ที่มา : เอแบคโพลล์
อายุกับการเลือกพรรคการเมือง
ประชาธิปัตย์ อายุ 50 ปีขึ้นไป 50.5%
  อายุต่ำกว่า 20 ปี 39.7%
เพื่อไทย อายุ 50 ปีขึ้นไป 29.3%
  อายุต่ำกว่า 20 ปี 39.3%
ที่มา : เอแบคโพลล์
ระดับการศึกษากับการเลือกพรรคการเมือง
ประชาธิปัตย์
ต่ำกว่าปริญญาตรี 48.2%
ปริญญาตรี 43.5%
สูงกว่าปริญญาตรี 43.8%
เพื่อไทย
ต่ำกว่าปริญญาตรี 31.6%
ปริญญาตรี 33.3%
สูงกว่าปริญญาตรี 18.8%
ที่มา : เอแบคโพลล์
กลุ่มอาชีพกับการเลือกพรรคการเมือง
ประชาธิปัตย์
ข้าราชการ-รัฐวิสาหกิจ 43.4%
นักธุรกิจ-ค้าขาย 53.6%
พนักงานบริษัทเอกชน 44.1%
เกษตรกร-ผู้ใช้แรงงาน 42.9%
นักเรียน-นักศึกษา 46.8%
เพื่อไทย
ข้าราชการ-รัฐวิสาหกิจ 40.6%
นักธุรกิจ-ค้าขาย 26.1%
พนักงานบริษัทเอกชน 32.8%
เกษตรกร-ผู้ใช้แรงงาน 33.2%
นักเรียน-นักศึกษา 35.6%
ที่มา : เอแบคโพลล์
ระดับรายได้กับการเลือกพรรคการเมือง
รายได้ (บาทต่อเดือน) ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย
ต่ำกว่า 5,000 44.7% 33.0%
5,001 – 10,000 53.1%
10,001 – 15,000 50.2%
15,001 – 20,000 49.6%
20,000 ขึ้นไป 40.5% 37.2%
ที่มา : เอแบคโพลล์
การเลือกพรรคในพื้นที่ภาคต่าง ๆ
พื้นที่ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย
ภาคเหนือ 45.4% 31.4%
ภาคกลาง 39.2% 31.6%
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 37.2% 44.5%
ภาคใต้ 82.2% 3.0%
กรุงเทพฯ 38.2% 43.4%
ที่มา : เอแบคโพลล์
ความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
มากขึ้น 10.4 %
เท่าเดิม 26.1 %
ลดลง 63.5 %
ที่มา : เอแบคโพลล์
]]>
13494