Airline – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 21 Jul 2020 07:32:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คนสหรัฐฯ ‘บิน’ น้อยลงอีกครั้ง หลังเคยดิ่งหนักช่วงเดือนเมษายน เนื่องจาก COVID-19 ระบาดหนัก https://positioningmag.com/1288728 Tue, 21 Jul 2020 06:05:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1288728 หลังจากที่สหรัฐฯ ได้คลายมาตรการล็อกดาวน์ลง ทำให้ความต้องการเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณดีของสายการบินต่าง ๆ แต่ปัจจุบันการระบาดกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคใต้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ความต้องการเดินทางด้วยเครื่องบินลดลง

american airlines
(Photo credit should read Michael Brochstein / Echoes Wire/Barcroft Media via Getty Images)

การเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับต่ำสุดในรอบกว่าห้าทศวรรษในเดือนเมษายน แต่สายการบินกำลังเผชิญกับความต้องการที่ลดลงเนื่องจากจำนวนผู้ป่วยรายใหม่, คำสั่งกักกันผู้เดินทางมาถึงนิวยอร์กและที่อื่น ๆ รวมถึงความล่าช้าในการเปิดบางรัฐ จากสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 กรกฎาคม มีคน 4.65 ล้านคนผ่านจุดตรวจที่สนามบินของสหรัฐฯ ซึ่งลดลงมากกว่า 4% จากสัปดาห์ก่อนหน้าและถือว่าเป็นการลดลงสัปดาห์แรกตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ขณะที่ช่วงฤดูร้อนถือเป็นช่วงสำคัญอย่างยิ่งต่อรายได้ของสายการบิน

สายการบินเดลต้าแอร์ไลน์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จะลดจำนวนเที่ยวบินเพิ่มเติมที่วางแผนไว้ในเดือนหน้าเป็น 500 เที่ยวบินต่อวัน ขณะที่ความต้องการเดินทางเพื่อธุรกิจยังไม่กลับมา

“ความต้องการได้หยุดชะงักลงเมื่อไวรัสระบาดขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในภาคใต้ ขณะที่หลายรัฐทางเหนือก็มีมาตรการกักกันเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยทั้งสองนี้ทำให้ผู้บริโภคหยุดชะงัก”

ด้ายผู้บริหารระดับสูงของ American Airlines เตือนพนักงาน 25,000 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า งานของพวกเขามีความเสี่ยง เมื่อเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลกลางหมดอายุในวันที่ 1 ตุลาคม

“รายรับจากผู้โดยสารของเราในเดือนมิถุนายน นั้นต่ำกว่า 80% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2562 และด้วยอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและหลายรัฐประกาศการกักกันโรคอีกครั้งทำให้ความต้องการการเดินทางทางอากาศช้าลงอีกครั้ง”

ทั้งนี้ หุ้นสายการบินลดลงในเช้าวันจันทร์โดยสหรัฐฯ ลดลง -3% และ Delta Airlines ลดลง -2.5%

Source

]]>
1288728
คน 10 ประเภท “ที่ทำให้การประชุมระดมสมองล้มเหลว” https://positioningmag.com/61292 Wed, 26 Aug 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=61292
บทความโดย : ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการสื่อสาธารณะ
 

ประสบการณ์ 10 ปี ในการประชุมของผม ทั้งในระดับเจ้าหน้าที่คนทำงานเล็ก เรื่อยไปจนผู้บริหารระดับกลาง และกับผู้ใหญ่อาวุโสในวงการ ทั้งจากวงเล็ก และวงร้อย ทั้งจากการทำวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นวิทยากรกลุ่ม กระบวนการ เป็นผู้จดสาระการประชุม เป็นผู้ดำเนินรายการ เป็นวิทยากรบรรยาย และเป็นทั้งผู้เข้าร่วมประชุมด้วยตัวเอง

ในการทำงานกว่า 10 ปี (ในสายงานวิชาการ สื่อสารมวลชน นิเทศศาสตร์) ผมมักค้นพบว่า มักมีคนอยู่ 10 ประเภท ที่ผมมักพยายามหลีกเลี่ยง เพราะคนเหล่านี้มักทำให้ “บรรยากาศของการประชุมระดมสมอง” หรือการประชุมอื่นใดก็ตาม สูญเสียกัดกร่อนประสิทธิภาพ ของการประชุมลงไปมากทีเดียว

 
มีทฤษฏีทางการวิจัยเชิงคุณภาพ ของฝรั่งหลายเล่ม หลายคน (จำไม่ได้) อ้างว่า มีคนแบบนี้นี่เองที่เป็นอุปสรรคต่อการประชุม และทำให้หลายๆ ครั้ง การประชุมก็ไม่ได้สาระอะไรเท่าที่ควร  สิ้นเปลืองงบประมาณ เสียดายเวลา และเสียความรู้สึกมองหน้ากันไม่ติดต่อเนื่องกันไป
 
โดยเท่าที่รู้สึก ขอสรุปเอาเอง ว่ามี 10 แบบ ดังนี้
 

 
1. “คนรู้มาก” เก่งที่สุด รู้ทุกอย่าง ถูกคนเดียว
 
ประเภทนี้มักเป็นผู้อาวุโส หัวหน้า หรือประธาน คือ เก่ง เสียงดัง ใหญ่ แก่กว่าเพื่อน หรือเป็นพวกที่ทำงานมานาน รู้มาก ซึ่งจริงๆ ดีมาก แต่ความที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง คนพวกนี้จะคิดว่าตนเองนั้นรู้ดีที่สุด และชอบบ่น บรรยาย สาธยาย จนใช้เวลามากและทำให้ผู้ร่วมประชุมอื่นๆ รู้สึกว่าโง่ลงมากจนไม่กล้าพูดหรือไม่พูดดีกว่า
 
2. “คนค้าน” ปฏิเสธทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องของตัวเอง
 
คนประเภทที่สองน่ารำคาญมาก พวกเขาอาจนิ่งๆ เงียบๆ แต่เป็นพวกที่กัดกร่อนทำลายความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด พวกเขาพร้อมที่จะมองเห็นแต่อุปสรรคและปัญหา และนำไปสู่การสรุปทึกทักเอาว่าสิ่งต่างๆ นั้นไม่สามารถทำได้ แก้ไขไม่ได้ ติดขัดปัญหา ข้อจำกัดโน่นนี่มากมายหลายอย่าง ไม่มองว่าจะก้าวข้ามหรือหาทางออกอย่างไร 
 
และแม้ว่าใครจะเสนอว่า เขาเองก็มีส่วนในการร่วมคิดร่วมทำ เขาก้จะปฏิเสธว่าทำไม่ได้ หรือ ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะต้องมาทำมารับผิดชอบ
 
3. “คนโตเต๋”  ไม่สนใจ ขาดสมาธิ  ชวนคนอื่นคุย
 
คนพวกนี้เงียบๆ ไม่มีพิษภัย แต่ชอบทำตัวลุกเดินไปโน่นไปนี่ เดี๋ยวก็ลุกไปสูบบุหรี่ ไปห้องน้ำ ไปคุยโทรศัพท์ เล่นมือถือ เดินไปนอกห้องประชุม ไปชมนกชมไม้ นั่งเล่นมือถือบนเก้าอี้โซฟานอกห้องประชุม ถ้าอยู่ในวงจะช่างเม้ามอย วนคนอื่นๆ คุย 
 
4. “คนนอกเรื่อง” ตามไม่ทัน นอกประเด็น หลงประเด็น
 
มีมากที่สุดในทุกๆ วง เพราะตามประเด็นไม่ทัน หรือไม่เข้าใจเรื่องราวสาระสำคัญในการประชุมดีพอ อาจเพราะไม่มีข้อมูล ไม่ทำการบ้าน ไม่เตรียมประเด็น แต่อยากพูด เพราะรู้สึกว่ามาแล้วต้องพูด ชอบอารัมภบท สาธยายยืดยาว ชอบออกตัวว่าไม่รู้ แต่ก็พูดเหมือนรู้ แต่ที่พูดนอกเรื่อง ไม่เข้าประเด็น พูดจาวกไปวนมา หาทางลงเข้าเรื่องไม่ได้
 
5. “คนโต้วาที” พูดมากข่มเพื่อน นักโต้เถียงเอาชนะ
 
น่าโมโหและชวนเสียอารมณ์มาที่สุด เพราะพวกเขาเข้ามาเพื่อต้องการถกเถียง โต้เถียง ดีเบต เพื่อเอาชนะผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ เพื่อเอาความคิดเห็นและเหตุผลของตัวเองเป็นที่ตั้งและทุกๆ คนต้องเอาตามที่เขาว่า ด้วยสำบัดสำนวนกระทบกระเทียบเปรียบเปรย เพื่อเอาความสะใจส่วนตัวมากกว่ามุ่งประเด็นสาระ
 
6. “คนขี้อาย” เงียบไม่กล้าพูด กลัว เขิน
 
ไม่อันตรายเท่าไรแต่ก้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีส่วนร่วม ไม่แลกเปลี่ยน ไม่กล้าถาม ไม่กล้ายกมือแสดงความคิดเห็น มาเพื่อให้จบๆ มาเพราะมาแทนคนอื่น มาเพราะคนอื่นบอกให้มา ไม่พูดดีกว่า หรือบางคน อยากพูด แต่ไม่กล้า ไม่มีช่องเสียบ เพราะคนอื่นแย่งพูดจนเวลาหมด น่าเห้นใจคนกลุ่มนี้มากที่สุด บางครั้งข้อมูล ไอเดียดี แต่ก็เขินอายมากเกินกว่าจะพูด ต้องถูกซัก ถูกจี้ ถูกถามเรียงคนจึงจะพูดได้
 
7. “คนล้น” มีข้อมูลมาก แต่ไม่สามารถสรุปประเด็นได้
 
นักเก็บข้อมูล มีข้อมูลมากมายเป็นประโยชน์ แต่ไม่สามารถสรุปเข้าเรื่องเข้าประเด็นได้ ไม่อันตรายเท่าไร ถ้าท่านเป็นวิทยากรแนะนำให้คุยกับคนพวกนี้นอกรอบจะดีกว่า เพราะเขาพร้อมที่จะให้ เสนอข้อมูลต่างๆ ในการประชุม แต่เขาอาจไม่เก่งพอที่จะสรุป หรืออาจไม่กล้าสรุปฟันธง 
 
8. “คนขี้ขโมย” รอเอาความคิดคนอื่นมาเป็นของตัว
 
คนกลุ่มนี้น่ารังเกียจ ขณะที่วงสนทนากำลังดำเนินไป คนพวกนี้พร้อมที่จะทึกทักเอาความคิดเห็นของผุ้อื่นมาเป็นของตัวเอง เขาคือนักขโมยความคิดและมีสัญชาตญาณในการเอาหน้า เอาผลงานของคนรอบข้าง มาเป็นของตัว 
 
9. “คนยังไงก็ได้” พร้อมเห็นด้วยกับทุกอย่าง
 
คนพวกนี้คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดในทุกๆ วงประชุม อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ พร้อมรับพร้อมทำ ไม่อยากขัดแย้ง ไม่อยากเสนอแนะอะไร เพราะกลัวว่าเสนอมาอาจไม่ดี หรือยังมีความคิดที่ดีไม่พอ กลัวเสนอไปแล้วผิด หรือดูตลก
 
10. “คนไม่รักษาเวลา” มาสาย ใช้เวลามาก กินเวลาคนอื่น
 
อันนี้เป็นส่วนเกินของของวงประชุม ไม่น่าเชิญ พวกเขาไม่รักษากฎระเบียบที่ง่ายที่สุด มาสาย กลับก่อน เวลาพูดก็ใช้เวลายาวนาน น่าเห็นใจ เขาอาจมีธุระสำคัญมากกว่าที่ไหนสักแห่ง ซึ่งพอเข้าใจได้ แต่ถ้าเขารวมเข้ากับนิสัยอื่นๆ อีกข้างต้น จะนับได้ว่า “ไม่ควรเชิญมาร่วมประชุมเลยในทุกๆ กรณี”
 
ถ้าต้องเป็นผู้ดำเนินการประชุม ประธาน ผู้ร่วมประชุม ผู้จดบันทึกประชุม แล้วต้องเจอคน 10 ประเภทนี้ ขอบอกว่า เวลาการประชุมนั้น “ล้มเหลวแน่นอน” เพราะฉะนั้น หน้าที่ของผู้กำกับ ควบคุม การประชุม ต้องพยายามดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ เวลา รักษามารยาทและกฎเกณฑ์การประชุมอย่างเคร่งครัด จึงจะทำให้การประชุมราบรื่นได้ไอเดียสาระสำคัญไปได้
 
ประชุมครั้งหน้า ขอเป็นคนจัดเบรก เสิร์ฟกาแฟดีกว่า!!!

]]>
61292
6 สิ่งที่ชาวเน็ตเรียนรู้ จากเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ https://positioningmag.com/61266 Wed, 19 Aug 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=61266

จาก เหตุการณ์ระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 58 ได้สร้างความสะเทือนขวัญ และการสูญเสียชีวิตมากมาย ในโลกออนไลน์ก็ได้มีการแชร์ข่าว และรูปภาพกันกระหน่ำโซเชียล มีเดียเช่นกัน โดยที่บางข่าวยังไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองให้ดีก่อน

ในมุมมองนักวิชาการแล้ว “ธาม เชื้อสถาปนศิริ” นักวิชาการสื่อสาธารณะ ได้โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว Time Chuastapanasiri เกี่ยวกับสิ่งที่ “ชาวเน็ต” ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีเนื้อหาดังนี้

หลังเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ และรอมาจนครบ 48 ชั่วโมง มีสิ่งที่ผมเห็นในสื่อสังคมและอยากจะบันทึกเพื่อเตือนสติและสรุปเป็นมุมมอง ที่น่าสังเกตสนใจดังนี้ คือ

1. “ไม่แชร์ภาพผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต”

เป็นเรื่องที่เห็นชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในไลน์ส่วนตัว หรือบนเฟซบุ๊ค หรือในเครือข่ายสื่อสารสังคมออนไลน์อื่น มีผู้คนมากมายที่หันมารณรงค์และร่วมกันทำภาพโปสเตอร์ หรือการไปแสดงความคิดเห็น การตั้งสเตตัสส่วนตัว แม้กระทั่งคนใกล้ชิดผมในเฟซบุ๊ค เพื่อนหลายคนตั้งสถานะเพื่อเตือนชาวเน็ตร่วมกันว่า อย่าแชร์ภาพศพ หรือชิ้นส่วนมนุษย์ เพื่อเป็นการเคารพสิทธิ และศักดิ์ศรีของผู้ตาย

นอกจากนี้ ที่น่าชื่นชม คือ สำนักข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับ (ที่เห็น คือ โพสต์ทูเดย์ สมาคมนักข่าว สภาการหนังสือพิมพ์ และเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อมวลชนหลายๆ ท่าน ) ร่วมหันมารณรงค์ทำรูปโปสเตอร์เพื่อให้ผู้คนไม่ร่วมแชร์ภาพเหตุการณ์นี้

น่าชื่นชมว่า เหตุผลสำคัญ คือ “การไม่ผิดจริยธรรมและละเมิดสิทธิ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ซึ่งสะท้อนว่ามีผู้ใช้งานเน็ตหลายคนที่เริ่มตระหนักในความสำคัญตรงนี้ และแตกต่างอย่างมากกับสื่อกระแสหลักบางเจ้า เว็บไซต์ข่าวออนไลน์บางแห่ง ที่กลับใช้ภาพเหยื่อผู้เสียชีวิตมาลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ของตนเอง ทั้งที่เป็นสื่อมวลชนที่ควรจะมีจริยธรรมมากกว่า

2. “ระดมขอความช่วยเหลือ”

สิ่ง ที่น่าชื่นชมและรับรู้ถึงความเป็นคนไทย คือ การหันมาช่วยระดมข้อมูลการสื่อสารอย่างกระตือรือร้น ในการหาล่ามแปลภาษา การระดมบริจาคเลือดสำหรับผู้ป่วย ทุกๆ คนพยายามแชร์และส่งต่อข้อมูลเพื่อให้ความช่วยเหลือ จนสำนักข่าวต่างชาติมองเห็นและกลายเป็นมุมเรื่องดีๆ ที่มาช่วยปลอบโยนคนไทยที่กำลังอกสั่นขวัญหายไปจากเหตุการณ์ร้ายได้ระดับ หนึ่ง สะท้อนความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีของผู้คน

3 “แชร์ข้อมูลความรู้เตือนภัย”

หลายๆ เพจ ความรู้ทำสิ่งที่เปลี่ยนไปด้วยการเพิ่มเติม ให้ข้อมูลความรู้เตือนภัยเกี่ยวกับระเบิด วัตถุต้องสงสัย และมีการเอาตัวรอด และหลบภัย ดูแลตัวเองในสถานการณ์ก่อการร้าย เรื่อยไปจนกระทั่งให้ข้อมูลควรรู้ ควรปฏิบัติที่เราสามารถช่วยระงับเหตุการณ์ความรุนแรง ซึ่งนับว่ามีประโยชน์และได้ความรู้มากขึ้น

4. “ระดม ตามล่าหาตัวผู้ต้องสงสัย”

สถานการณ์ล่าสุด คือ การแชร์ภาพผู้ต้องสงสัยที่อาจเป็นมือระเบิด มีการประกาศ ระดม ภาพ คลิป ข้อมูลจากชาวเน็ต ผู้ที่อาจมีเบาะแสสืบสาวภาพและข้อมูลจากเหตุการณ์ ที่อาจตามไปจนถึงเบาะแสอื่นๆ

(ที่ชาวเน็ตอาจต้องเพิ่มความระมัดระวัง คือ เพจต่างๆ ที่ “ปรักปรำ หรือทึกทักเอาว่า คนโน้น คนนี้ คือ มือระเบิด” อันนี้ระวังกฎหมายหมิ่นประมาทนะครับ ถ้าเห็นอะไรแบบนี้ ก็อย่าไปกดไลค์ หรือแชร์ต่อ เพราะเรื่องการประกาศผู้ต้องสงสัย เป็นหน้าที่ของตำรวจ และต้องรออย่างเป็นทางการเท่านั้น อย่าไปเอารูปหน้าเหมือน หน้าคล้าย มาวางรูปคู่ประกบกันนะครับ เพราะผิดกฎหมายทั้งพรบ. คอมพิวเตอร์ และ กฎหมายหมิ่นประมาท

นอกจากนี้ หลายๆ เพจ ยังสามารถให้ข้อมูลเบาะแส เงื่อนงำที่เป็นประโยชน์ ข้อความบางคน อาจจะยังผสมผสานระหว่างข่าวลือ ข่าวมั่ว ข่าวลวง แต่หลายๆ เงื่อนงำ ก็เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ที่จะช่วยขยายผลการสืบสวน

5. “การเชื่อมโยงข้อมูลที่ลึก รอบด้านมากขึ้น”

เหตุการณ์ข้อมูลข่าวสารนี้ ช่วยเพิ่มรับความกว้างของข้อมูลข่าวสาร ให้ชาวเน็ตเริ่มมองอะไรมากกว่าความขัดแย้งในประเทศที่ผ่านมา มีการส่งต่อและแชร์บทความ ทัศนะมุมมองใหม่ๆ โดยเฉพาะจากสื่อมวลชนต่างประเทศ

มีการเชื่อมโยงเหตุการณ์และเบาะแสใหม่ๆ ที่ทำให้เราสามารถมองเรื่องนี้อย่างรอบคอบและรอบด้านมากขึ้น ซึ่งสื่อมวลชนหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ช่วยได้มากขึ้น (นอกจากข่าวเชิงเหตุการณ์ ปรากฏการณ์แล้ว) ก็ยังพบว่าบทความ บทวิเคราะห์นี้สามารถเขียนและถ่ายทอดชี้เงื่อนงำและวิเคราะห์ผลกระทบได้มากขึ้น

หลายเพจ หลายบทความ ต้องอ่านด้วยความระมัดระวังมากขึ้น และเริ่มมีคนทักท้วง ตั้งคำถามกับข้อมูลต่างๆ ที่เผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ ด้วยการระมัดระวังมากขึ้น

6. “การแชร์ผลกระทบของเหตุการณ์”

ถ้าไม่นับมุกตลก ล้อเลียน เสียดสี ที่ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดีนักต่อการนำเอาความรุนแรงมาล้อเลียนบุคคลและเจ้าหน้าที่รัฐต่างๆ สำหรับข้อมูลเรื่องผลกระทบ สภาพบรรยากาศ การท่องเที่ยว ก็นับว่าทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าผลกระทบของระเบิดนั้น สร้างความเสียหายในเชิงเศรษฐกิจได้

แต่น่าสนใจว่าฝ่ายสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่รัฐ รับมือกับการโจมตีหวังผลกระทบนี้ได้เร็ว สังเกตได้จากสำนักข่าวในประเทศ และต่างประเทศ สามารถนำเสนอสกู๊ปข่าวเพื่อเรียกความมั่นใจของประเทศกลับมาได้ในระดับหนึ่ง สื่อมวลชนไทยเองก็สามารถพลิกมุมประเด็นข่าวเพื่อเรียกร้องความสนใจจากนักท่องเที่ยวมาก (ด้วยการนำเสนอบรรยากาศ ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว) ซึ่งนับว่าเป็นการช่วยสถานการณ์ได้ดีระดับหนึ่ง

การนำเสนอข่าวการเยียวยา การสร้างมาตรการป้องกัน เร่งติดตามจับกุม นับว่าเร็วมากสำหรับ 2 วันที่ผ่านมา

อาจมีสิ่งไม่ดีบ้างที่หลุดออกมา เช่น ข่าวลือ ข่าวรั่ว ข่าวสร้างส่งต่อเพื่อสร้างกระแสหวาดหวั่นวิตก แต่เท่าที่ผมสังเกตคิดว่ารอบนี้ชาวเน็ตไทยรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ดีมาก อาจมีบ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่แชร์ภาพผู้เสียชีวิต หรือคนที่อาศัยกระแสนี้สร้างชื่อ สร้างภาพ สร้างราคาให้กับตัวเอง ต่างกรรมต่างวาระ ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจและควรตักเตือนด้วยเหตุผล

การร่วมกันแสดงความรู้สึกเสียใจ ร่วมกับผู้เสียชีวิต ร่วมประณามต่อผู้กระทำความรุนแรง และช่วยกันใช้ข้อมูลข่าวสารไปในทางที่เป็นประโยชน์ ผมเห็นผู้คนมากมายหันมาร่วมคิดแสดงออกต่อเหตุการณ์ความรุนแรงนี้ไปในทาง สร้างสรรค์มากกว่าทำลาย หลายคนเริ่มมากดรีพอร์ท และพูดคุยตักเตือนกันเองในช่องการแสดงความคิดเห็น หลายคนยอมรับและเห็นด้วยที่จะไม่แชร์ภาพ ข่าว และข้อมูลที่เป็นเท็จ

น่าสนใจต่อไปว่า “ระเบิดราชประสงค์” ได้เปลี่ยนแปลงสภาพข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ให้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์ และกระตุ้นเตือนพลเมืองเน็ตให้ใช้สื่อออนไลน์อย่างระมัดระวังมากขึ้น

ระเบิดครั้งนี้ทำให้ผู้เสียชีวิตมากมาย และมันจะทำให้สังคมไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เรื่องความมั่นคงและการก่อการร้าย และอาจนำสังคมไทยไปสู่ความรุนแรงที่อาจจะมากขึ้นต่อเนื่องจากนี้

แต่การใช้งานของชาวเน็ต และสื่อมวลชนในครั้งนี้ ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่า เราควรและได้เรียนรู้ว่าสื่อออนไลน์นั้น ต้องใช้อย่างระมัดระวังและมีสติ มีวิจารณญาณมากขึ้น

ระเบิดลูกนี้ อาจทำให้ผู้คนในสังคมไทย ได้คิดและหันมารักและใส่ใจ เข้าใจปัญหาของประเทศ และเสพข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติมากขึ้นอีกในอนาคต

และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า สื่อมวลชนต้องปรับตัวเองให้เท่าทันและเดินขึ้นนำสังคมและประชาชน ยกระดับการทำหน้าที่ของตนเองอีกมาก ผมคิดว่าสื่อมวลชนอาจต้องร่วมกันลงมือทำข่าวสืบสวนสอบสวนมากขึ้น กว่าที่เราจะพึ่งสายตาและมุมมองของสือมวลชนต่างประเทศ เราต้องหันมาคิดทบทวนดูว่า การข่าว งานข่าว รายงานข่าว ของสื่อมวลชนไทยที่ผ่านมา เรารู้ตื้นลึกหนาบางอย่างไรต่อภัยและความมั่นคง เพื่อสร้างสถาวะการรับมือเท่าทันกับสถานการณ์ความรุนแรงแบบนี้ และครั้งนี้หรือครั้งต่อๆ ไปในอนาคต

สื่อออนไลน์ในประเทศไทยยังมีหลายสำนัก แต่เราตรวจสอบระแวดระวังภัยมากพอกันแล้วละหรือที่ผ่านมา? คุณภาพข่าวสารจากสื่อมวลชนของเราเพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารสำคัญ มีดีมีพร้อมมากเพียงไหน

เป็นคำถามและบทเรียนจากระเบิดที่ราชประสงค์

 

]]>
61266
เปิดเทรนด์ศึกสายบินเดือด ธุรกิจเช่าเหมาลำ ขยับสู่เส้นทางการบินแบบประจำ https://positioningmag.com/59178 Mon, 19 Jan 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=59178

นอกจากกลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำจะเป็นดาวรุ่ง เวลานี้สายการบินเช่าเหมาลำ (Charter Carrier) กำลังเป็นอีกหนึ่งในธุรกิจน่าจับตา โดย Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ อีไอซี ได้คาดการณ์ตัวเลขว่า ธุรกิจนี้มียอด 50% ตั้งแต่ปี 2009 จนถึงปัจจุบัน

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการบินของไทยเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ของขนาดและการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากความนิยมท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่เติบโตขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันรายได้ของอุตสาหรรมการบิน รวมถึงเป็นแรงจูงใจในการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ เช่น Air Asia X NokScoot Thai Lion Air และThaiVietJet

ทั้งนี้ ในปี 2013 รายได้ในอุตสาหกรรมการบินไทยสูงถึง 370,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ถึง 13% นับจากปี 2009 ถึงปี 2013  โดยผู้เล่นหลัก 4 รายหลัก ได้แก่ การบินไทย, Bangkok Airways, Nok Air และ AirAsia มีรายได้รวมกันมากกว่า 70% ของตลาดอุตสาหกรรมการบิน

ทั้งนี้ การบินไทย และ Bangkok Airways ดำเนินธุรกิจในลักษณะบริการแบบเต็มรูปแบบ (Full Service Carrier, FSC) ในขณะที่ Nok Air และ Air Asia นั้นประกอบธุรกิจการบินต้นทุนต่ำ ถึงแม้ว่าระหว่างปี 2009-2013 การประกอบธุรกิจทั้งสองแบบจะเติบไปด้วยกัน แต่ทว่ากลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำ (LCC) มีอัตราการเติบโตสูงถึง 49% CAGR ในขณะที่กลุ่มสายการบินให้บริการเต็มรูปแบบ (FSC) กลับเติบโตเพียง 7% CAGR

อย่างไรก็ดี กลุ่มสายการบินที่มีการเติบโตไม่แพ้กับกลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำ คือ กลุ่มการให้บริการการบินแบบเช่าเหมาลำที่เติบโตถึง 48% CAGR ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

โดยในปี 2013 การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (AOT) ได้มีการบันทึก สถิติผู้โดยสารที่ใช้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำสูงถึง 4.6 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 3 ล้านคนจากปี 2009 และเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการท่องเที่ยวแบบครบวงจรที่เพิ่มขึ้นนี้ จึงเป็นโอกาสให้บริษัททัวร์ต่างๆ จับมือกับสายการบินแบบเช่าเหมาลำเพื่อนำเสนอแพ็กเกจทัวร์ที่รวมค่าเครื่องบินและห้องพักไว้ด้วยกัน ส่งผลให้สายการบินแบบเช่าเหมาลำได้ Load Factor ที่สูงขึ้น โดยใช้งบประมาณในการจำหน่ายตั๋วและค่าการตลาดที่น้อยกว่าสายการบินลักษณะอื่นๆ รวมทั้งยังขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นด้วย เนื่องจากผู้โดยสารสายการบินแบบเช่าเหมาลำมองว่าการซื้อแพ็กเกจประหยัดกว่าการแยกซื้อตั๋วโดยสารและที่พัก และยังสามารถจัดสรรเวลาในการเดินทางได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

แม้ว่าการบริการสายการบินเช่าเหมาลำจะมีสถิติการเติบโตที่สูง แต่ผู้ประกอบการบางรายขยายบริการเข้าสู่การดำเนินธุรกิจแบบเส้นทางประจำ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2014  โดยสายการบินเหล่านี้ได้มีการเพิ่มเส้นทางบินแบบประจำคู่ขนานไปกับการให้บริการแบบเช่าเหมาลำที่ทำอยู่ ปรากฏการณ์นี้คล้ายคลึงกับกรณีสายการบินเช่าเหมาลำในทวีปยุโรป ซึ่งได้เผชิญกับอุปสรรคจากการดำเนินธุรกิจเช่าเหมาลำที่ท้าทายมากขึ้นจากภาวะ Oversupply ในเส้นทางระยะสั้น และการแข่งขันที่รุนแรงจากสายการบินต้นทุนต่ำ

ข้อเสียเปรียบของธุรกิจการบินแบบเช่าเหมาลำ คือ การไม่มีแบรนด์หรือมีกลุ่มลูกค้าเป็นของตนเอง และสามารถถูกทดแทนได้อย่างง่ายดายหากคู่แข่งตั้งราคาตั๋วที่ถูกกว่า เครื่องบินที่ใหม่กว่า หรือแม้กระทั่งสายการบินต้นทุนต่ำที่เพิ่มเส้นทางการบินมาซ้อนทับกับเส้นทางที่สายการบินเช่าเหมาลำบินอยู่ ทำให้สายการบินแบบเช่าเหมาลำก้าวรุกเข้าสู่ธุรกิจแบบเส้นทางประจำควบคู่กัน เพื่อลดจุดอ่อนสร้างความมั่นคงเรื่องของรายได้

อย่างไรก็ตาม การก้าวเข้าสู่ธุรกิจแบบเส้นทางประจำย่อมมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เช่น ในปี 2009 สายการบิน PB Air ซึ่งดำเนินการแบบเส้นทางการบินแบบประจำทั้งภายในและระหว่างประเทศได้ประสบความล้มเหลวจากค่าดำเนินการที่สูง และจำต้องปิดตัวลงในที่สุด

สายการบินแบบเช่าเหมาลำ อาจต้องเลือกระหว่างอัตรากำไรที่สูงจากการให้บริการแบบเช่าเหมาลำ หรือรายได้ที่สม่ำเสมอจากการให้บริการแบบเส้นทางประจำ ซึ่งมีความเสี่ยงในด้าน Load Factor ที่จะลดลง มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นด้วย ยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายตั๋วและค่าการตลาด การสร้างแบรนด์เพื่อให้เป็นที่รู้จักซึ่งต้องใช้งบประมาณอย่างมหาศาล

อีไอซีจึงมองว่า มีปัจจัยสำคัญอยู่ 5 ปัจจัยที่จะทำให้สายการบินแบบเช่าเหมาลำผันตัวเข้าสู่การให้บริการเส้นทางประจำได้อย่างราบรื่น

1) รูปแบบการบริการที่มีความพิเศษ การเปิดเส้นทางการบินแบบประจำที่มี Niche หรือเส้นทางใหม่เป็นรายแรก สามารถทำให้สายการบินกลายเป็นผู้บุกเบิกและจับความต้องการจากลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้ สายการบินเช่าเหมาลำสามารถบุกเบิกเส้นทางใหม่ตามความต้องการของลูกค้าโดยที่ไม่ต้องแวะพักเพื่อต่อเครื่องบินที่กรุงเทพฯ ตัวอย่างสายการบินที่เริ่มให้บริการเส้นทางที่มี Niche ได้แก่ กานต์ แอร์ ซึ่งดำเนินธุรกิจแบบเช่าเหมาลำและมีฐานบินอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเส้นทางการบินประจำ เชียงใหม่-หัวหิน และ เชียงใหม่-อุบลราชธานี ซึ่งหากได้รับความนิยมจะทำให้สายการบินสร้างกำไรได้อย่างงดงามจากการแข่งขันที่ยังไม่สูงนัก

2) ประสบการณ์ของผู้โดยสาร การขยายบริการของสายการบินแบบเช่าเหมาลำสู่เที่ยวบินประจำนั้นสามารถใช้จุดแข็งด้านบริการที่มีความพิเศษ และการสร้างประสบการณ์เดินทางที่แปลกใหม่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะได้อีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันนี้ จุดมุ่งหมายของการเดินทางมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่จากการสันทนาการ การทำธุรกิจ จนถึงการจาริกแสวงบุญ เป็นโอกาสในการเปิดเส้นทางใหม่

3) การสร้างแบรนด์ ให้เป็นที่รู้จักจะส่งผลให้สายการบินแบบเช่าเหมาลำผันตัวเข้าสู่การให้บริการเส้นทางประจำได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้อีไอซีมองว่าการโฆษณาบนสื่อที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้แบรนด์ของสายการบินมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

4) ช่องทางการจำหน่ายตั๋ว นอกจากควรยกระดับความสัมพันธ์กับบริษัททัวร์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อรักษา Load Factor  ในขณะเดียวกันก็ควรมองหาช่องทางอื่นๆ ในการขายตั๋วโดยสาร เช่นบริษัทจองตั๋วเครื่องบินออนไลน์เพื่อเพิ่มช่องทางให้ผู้โดยสารได้ซื้อตั๋วเครื่องบินได้ง่ายขึ้น

5) ความเหมาะสมระหว่างขนาดของฝูงบินและความจุของเครื่องบิน การมีฝูงบินที่เหมาะสมทั้งขนาดและความจุ จะทำให้สายการบินสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุดผ่านการให้บริการทั้งแบบเช่าเหมาลำและเส้นทางการบินประจำ ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายรวมไปถึงช่วยให้การดำเนินธุรกิจเช่าเหมาลำควบคู่กับธุรกิจการบินเส้นทางประจำมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยต้องประเมินถึงข้อดีข้อด้อยของขนาดเครื่องบินให้ครอบคลุมเพราะจะมีผลโดยตรงต่อ Load Factor  และรายได้โดยรวม

อีไอซีเชื่อว่า การมีองค์ประกอบทั้งห้าอย่างที่กล่าวมา จะทำให้สายการบินเช่าเหมาลำที่ต้องการรุกเข้าสู่สายการบินแบบเส้นทางประจำได้อย่างราบรื่น โดยมีผู้โดยสารอีกจำนวนมากที่ยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อแลกกับบริการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มราคาค่าโดยสารที่สูงเกินไปก็อาจทำให้ความต้องการใช้บริการลดลงเช่นกัน

หมายเหตุ: *CAGR: อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี | การคำนวณมูลค่าการตลาดไม่ได้รวมกับรายได้ของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (AOT) l ผู้เล่นใน กลุ่มอื่นๆได้แก่ ผู้จำหน่ายตั๋วเครื่องบินและตัวแทนจำหน่ายตั๋วของสายการบินต่างชาติ

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC  จากข้อมูลของ Business Online และ Bloomberg 

รูปที่ 2: จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการการบินแบบเช่าเหมาลำเติบโตสูงถึง 29% จากปี 2008

ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย 

รูปที่ 3: ผู้เล่นในธุรกิจการบินมีการเพิ่มความถี่ในการบินเพื่อชดเชยราคาตั๋วที่ลดลงและรักษาการเติบโตของรายได้

ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลบทวิเคราะห์และข้อมูลของบริษัท 

]]>
59178
เอมิเรตส์ มอบราคาสุดพิเศษแก่นักเดินทางชั้นธุรกิจ https://positioningmag.com/58894 Mon, 01 Dec 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58894

สายการบินเอมิเรตส์ ร่วมสร้างความประทับใจไปกับการท่องเที่ยวช่วงปลายปี ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษแก่นักเดินทาง เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมระดับโลก ด้วยส่วนลดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อทำการซื้อตั๋วตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 12 ธันวาคมนี้

ผู้โดยสารชั้นธุรกิจของสายการบินเอมิเรตส์ จะได้สัมผัสประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเช็คอินและโหลดกระเป๋าสัมภาระในช่องพิเศษ, ใช้บริการเลาจน์ของสายการบิน, โหลดกระเป๋าสัมภาระได้มากถึง 40 กก., ที่นั่งสามารถปรับระดับให้นอนราบได้พร้อมฟังก์ชั่นนวดในตัว และอาหารชั้นเลิศแบบหลายคอร์ส ที่เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มรสเลิ

โปรโมชั่นนี้พิเศษสำหรับผู้โดยสายที่สำรองที่นั่งชั้นธุรกิจแบบเดินทางไปกลับจากกรุงเทพฯไปยังจุดหมายปลายทางที่ร่วมรายการของสายการบินเอมิเรตส์[1]

ให้สายการบินเอมิเรตส์ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่จะถึงนี้ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษ โดยผู้โดยสารที่สำรองที่นั่งสามารถเดินทางได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนวันที่ 31 มีนาคม 2558

[1] โปรโมชั่นนี้สำหรับผู้โดยสายที่เดินทางไปกลับจากกรุงเทพฯไปยัง ฮ่องกง ดูไบ อัมสเตอร์ดัม ซูริค สต็อกโฮม ลอนดอน  เอเธนส์  ฮิวสตัน ลอสแองเจลิส วอชิงตัน ดัลลัส และนิวยอร์ก

]]>
58894
บางกอกแอร์เวย์สเปิดตัวแคมเปญด้านการบริการ “Service with Passion” https://positioningmag.com/57899 Wed, 14 May 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57899

สายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้จัดงานเปิดตัวแคมเปญ “Service with Passion” ซึ่งเป็น Corporate Image ใหม่ด้านการบริการ โดยมีคุณพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และคณะผู้บริหาร สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เข้าร่วม ซึ่งงานเปิดตัวจัดเป็นการแสดงแบบ Live Musical ที่เป็นการผสมผสานระหว่างการแสดงละครเวทีและการขับร้องแบบอะแคปเปลลา ถ่ายทอดผ่านบทเพลง “Nothing’s gonna change my love for you” ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

คุณพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กล่าวว่า “บางกอกแอร์เวยส์ มุ่งมั่นในการให้บริการและอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารทุกท่านโดยเสมอมา เพราะการบริการเป็นหัวใจหลักที่สำคัญที่สุด บริษัทฯ ใส่ใจตั้งแต่การคัดสรรบุคคลากรตลอดจนการฝึกอบรมที่มุ่งเน้นให้พนักงานทุกคนมีหัวใจของการบริการ ซึ่งสอดคล้องกับแคมเปญ Service with Passion ของเราในปีนี้ โดยตลอดทั้งปีพนักงาน front line ทุกคนของบางกอกแอร์เวย์สจะติดเข็มกลัด Service with Passion เพื่อเป็นเครื่องหมายให้ระลึกถึงความสำคัญของการที่จะส่งมอบการบริการจากใจสู่ผู้โดยสารของสายการบินฯ”

ม.ล. นันทิกา วรววรณ รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กล่าวว่า “Service with Passion ซึ่งเป็นแคมเปญ Corporate Image ของเราเกิดขึ้นจากสถิติคำชมเชยของผู้โดยสารที่กล่าวถึงความทุ่มเทของพนักงานในการให้บริการเหนือความคาดหมายและมาจากใจจริงๆ จึงเป็นที่มาของของ Service with Passion ที่สื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพนักงาน front line ของบางกอกแอร์เวย์สและผู้โดยสาร ตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางไปจนถึงห้องรับรองผู้โดยสาร และการบริการบนเครื่องบิน”

ม.ล. นันทิกา กล่าวเสริมว่า “ในเบื้องต้นเราได้ทำการเปิดตัวแคมเปญ Service with Passion ผ่านทางภาพยนต์โฆษณาที่เผยแพร่ทางสื่อต่างๆ รวมถึงสื่อออนไลน์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

สำหรับผู้ที่สนใจภาพยนต์โฆษณาแคมเปญ Service with Passion ของบางกอกแอร์เวย์สสามารถรับชมออนไลน์ได้ที่  http://www.youtube.com/watch?v=4c43WKFcn4c

]]>
57899
KLM จัดแคมเปญเอาใจคนคลั่งเซเลบ https://positioningmag.com/14784 Thu, 31 May 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14784

 

ใช่แต่เมืองไทยเท่านั้นที่ชื่นชอบเซเลบคนดัง ผู้บริโภคชาวดัทช์ก็ใช่ย่อย หลังจากสายการบินชาวดัทช์อย่าง KLM เคยปล่อยแคมเปญที่เป็นกระเเสอย่าง Meet & Seat ที่ผู้โดยสารสามารถเห็นข้อมูลหรือ Profile ของผู้โดยสารคนอื่นในไฟล์ทเดียวกันจาก Facebook หรือ Linkedin โดยสารการบินเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวนี้เอง เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเลือกที่นั่งข้างๆคนที่เค้าชอบได้ 

มาครั้งนี้เป็นการต่อยอดแคมเปญจากเดิม โดยให้ผู้โดยสารลุ้นเที่ยวชิดติดเซเลบคนดังชาวดัทช์ ไม่ว่าจะบินไปปาร์ตี้ที่นิวยอร์กกับ Armin Van Buuren ดีเจอันดับหนึ่งของโลก ไปแฟชั่นทริปกับซุปเปอร์โมเดล Yfke Sturm หรือไปลอนดอนดูฟุตบอลแมชสำคัญของ Ruud Gullit นักฟุตบอลระดับตำนาน ซึ่งความสนุกของแคมเปญคือการได้เล่น Interactive Video ผ่านเวปไซต์หลัก http://bemyguest.klm.com/en_US/#vip-armin-van-buuren เป็นการจำลองสถานการณ์เมื่อเราไปนั่งข้างๆเซเลบคนนั้นแล้วได้คุยกันตามไลฟ์สไตล์ของเค้า อย่างนั่งติดกับดีเจก็ชวนคุยเรื่องเพลง ติดกับนางแบบก็คุยเรื่องแฟชั่น ติดกับนักฟุตบอลก็คุยเรื่องกีฬา 

ข้อมูลจากการคุยผ่าน Interactive Video จะถูกบันทึก และนำไปร่วมลุ้นทริปของคุณกับเซเลบคนนั้นอีกด้วย เป็นการต่อยอดแคมเปญที่ใช้ Interactive Video ให้สนุกและเข้ากับสถานการณ์ได้ดีทีเดียว

สนใจลองไปนั่งคุยกับเหล่าเซเลบได้ที่ : http://bemyguest.klm.com/en_US/#vip-armin-van-buuren

 

]]>
14784
กระเป๋าเดินทาง..อยู่ไหน ? แอพฯเดลต้าแอร์ไลน์จัดให้ https://positioningmag.com/14716 Thu, 24 May 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14716

เคยคิดลองมั้ยว่า…ระหว่างที่คุณนั่งเครื่องบิน  กระเป๋าเดินทางของคุณจะถูกดูเเลยังไง  จะถูกเปิดตรวจมั้ย  จะโดนขโมยของรึป่าว  หรือจะถูกทิ้งๆขว้างๆจนทำให้กระเป๋าเสียหาย   คำถามเหล่านี้สายการบินเดลต้าตอบได้หมด  ด้วยแอพลิเคชั่นติดตามกระเป๋าเดินทางของคุณผ่านมือถือนั่นเอง

โดยแอพลิเคชั่นนี้ถูกโปรโมตด้วยหนังสั้นเกี่ยวกับการเดินทางของกระเป๋า  จากแอตแลนต้าสู่นิวยอร์กด้วยกล้องหกตัวกับมุมมองหกมุม  ให้เห็นกันไปเลยว่าระหว่างทางของกระเป๋าได้เจออะไรบ้าง  

เป็นการใช้หนังสั้นมาเปรียบเทียบการทำงานของแอพในการติดตามกระเป๋าได้อย่างเข้าใจทีเดียว  และมียอดผู้ชมหนังสั้นนี้ไปกว่าล้านวิวส์บนยูทูบแล้วด้วย  ซึ่งถึงแม้จะมีคอมเม้นต์ทางลบที่ว่าพนักงานเตี๊ยมกับทีมงานแล้วบ้าง หรือจริงๆพนักงานโหดกับกระเป๋ากว่านี้อีก  แต่การเข้าถึงคนกว่าล้านผ่านหนังสั้นทุนต่ำได้…ก็ถือว่าแคมเปญนี้เวิร์คไม่ใช่น้อย 

]]>
14716
บิน-แชร์-แล้วนั่งด้วยกัน https://positioningmag.com/14594 Tue, 27 Mar 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14594

การนั่งเครื่องบินแบบเดินทางเดี่ยว ไม่ต้องลุ้นหนักเหมือนที่เคยเป็นว่าคนที่นั่งข้างๆ จะเป็นใครกันหนออีกต่อไป ถ้านั่งสายการบิน KLM กับโปรแกรม Meet&Seat

KLM ของเนเธอร์แลนด์ ประกาศให้บริการนี้ตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยใช้เครื่องมือโซเชี่ยลมีเดียให้เป็นประโยชน์ หากผู้โดยสารพร้อมแชร์โพรไฟล์กับผู้โดยสารลำเดียวกันผ่าน Facebook และ Linkedln ก็สามารถเลือกได้ว่าจะนั่งติดกับใครในเครื่อง เปิดให้บริการแล้วในเส้นทางอัมสเตอร์ดัม-นิวยอร์ก,ซานฟรานซิสโก, เซา เปาโล

ด้วยความเชื่อที่ KLM บอกว่าการได้พบกับผู้คนใหม่ๆ คือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ดังนั้นบริการนี้จึงแนะนำลูกค้าเพื่อเข้าสู่ประสบการณ์ใหม่นี้ 3 ขั้นตอน คือ แชร์โพรไฟล์ที่อยู่โซเชี่ยลมีเดีย ดูว่ามีใครอยู่ในเครื่องบ้าง จากนั้นก็เลือกนั่งติด คนนั้น นอกจากนี้ยังพบกันได้เมื่ออยู่เลานจ์ก่อน หรือหลังจากเดินทางอาจแชร์แท็กซี่เข้าเมืองไปด้วยกันอีกด้วย

]]>
14594
เช็คอินกันเถอะ https://positioningmag.com/14560 Tue, 21 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14560

แคมเปญโปรโมทเที่ยวบินของ Air China ในสวีเดน ถือว่าเป็นตัวอย่างการผสมผสานระหว่างการใช้ประโยชน์จาก
ออฟไลน์ที่เป็นร้านอาหารเอเชีย ไปยังโลกออนไลน์ การใช้สมาร์ทโฟน และการเช็คอินบนเฟสบุ๊กได้อย่างลงตัว และสามารถเรียกความสนใจจากชาวสวีดิชได้กว่าล้านคน

Rodolfo เอเจนซี่โฆษณาในสวีเดนได้รับโจทย์ในการทำให้ชาวสวีดิชรู้ว่า แอร์ไชน่า เปิดเส้นทางการบินใหม่จากสวีเดนไปยังทั่วภูมิภาคเอเชีย ไม่ได้มีแค่ประเทศจีนเหมือนแต่ก่อน ซึ่ง Rodolfo เลือกใช้วิธีสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบความเป็นเอเชีย มักจะเข้าร้านอาหารเอเชียเป็นประจำ และสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำระหว่างรออาหารก็คือการเล่นมือถือนั่นเอง จึงผุดไอเดียดึงให้คนมาเช็คอินผ่านเฟซบุ้ค Air China ในร้านอาหาร เพื่อเชื่อมโยงไปสู่เพจ Air China Sweden เมื่อเข้าเพจแล้วจะสามารถเห็นร้านอาหารยอดนิยมที่คนไปเช็คอิน กับ Air China มากที่สุดได้

เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ ในแต่ละอาทิตย์แอร์ไชน่าจะแจกตั๋วเครื่องบินไป-กลับเอเชีย 2 ใบแก่ผู้ที่เช็คอินมากที่สุด ซึ่งสามประเทศในสามอาทิตย์ของแคมเปญ ล้วนเป็นประเทศยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งนั้น ได้แก่ จีน ฮ่องกง และประเทศไทยของเราด้วย

จากแคมเปญนี้สามารถดึงคนมาเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 15,000 คน และสร้างยอดกดไลค์ Air China Sweden จากพันกว่าๆเป็นสามพันกว่าไลค์ โดยส่วนสำคัญที่ทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จได้ ก็เพราะเขารู้ดีว่า Targetตัวจริง ‘อยู่ที่ไหน’ นั่นเอง

Check in with Air China – Case Movie from Rodolfo on Vimeo.

]]>
14560