BYD – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 02 Nov 2024 03:07:32 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘BYD’ ทำรายได้แซง ‘Tesla’ เป็นครั้งแรกใน Q3/2567 แม้ตลาด ‘จีน’ จะอยู่ในช่วงขาลง https://positioningmag.com/1496959 Fri, 01 Nov 2024 04:46:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496959 ผลัดกันขึ้นเป็น เบอร์ 1 ในตลาด รถอีวี ในด้านจำนวนยอดขาย สำหรับค่าย บีวายดี (BYD) และ เทสล่า (Tesla) แต่ถ้าเป็นในด้านมูลค่ารายได้ BYD เพิ่งจะขึ้นแซง Tesla ได้เป็นครั้งแรก ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แม้การแข่งขันจะดุเดือดก็ตาม

BYD ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยกวาดรายได้ถึง 28,240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้น +24% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Tesla ที่ทำรายได้ 25,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

แม้ว่าตลาดรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีนจะอยู่ในช่วง ขาลง แต่ BYD ยังคงรักษายอดขายได้อย่างแข็งแรง และสามารถทำยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนสิงหาคม โดยมียอดขายทะลุ 370,000 คัน เพิ่มขึ้น +30% โดยยอดขายประมาณครึ่งหนึ่งเป็นรถ ไฮบริด ในขณะที่รถยนต์ของ Tesla ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% 

อย่างไรก็ตาม หากวัดในแง่ ผลกำไร Tesla ยังคงเป็นผู้นำ โดยมีกำไรสุทธิ 2,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.2% ขณะที่ BYD มีกําไรราว 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.5% และเมื่อวัดจากรายได้รวมทั้ง 3 ไตรมาส Tesla ยังคงเป็นเบอร์ 1 ด้วยรายได้รวม 75,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน BYD อยู่ที่ 71,980 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน BYD เป็นหนึ่งในผู้ผลิต EV ที่โดดเด่นที่สุดในประเทศจีน โดย BYD ต้องสู้ทั้งศึกเพื่อนร่วมชาติ และสู้กับ Tesla ของ Elon Musk ที่ถือเป็นหนึ่งในคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะ Model Y ของ Tesla ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ขายดีที่สุดในประเทศจีนในเดือนกันยายน ส่วน Autohome Seagull ของ BYD ตามหลังในอันดับ 2

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการแข่งขันมีแต่จะดุเดือดมากขึ้น เนื่องจากภาษีศุลกากรของสหภาพยุโรปที่จะเก็บภาษีรถอีวีจากจีนเพิ่มสูงสุด 45.3% ซึ่งมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้ แม้ว่าจีนจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

Source

]]>
1496959
“Uber” เซ็นดีล “BYD” นำรถอีวี “100,000 คัน” ปล่อยราคาพิเศษให้คนขับในยุโรป-ละตินอเมริกา https://positioningmag.com/1484612 Wed, 31 Jul 2024 13:09:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484612 ไม่แคร์กำแพงภาษี! บริการเรียกรถ “Uber” เซ็นดีลกับ “BYD” นำรถอีวี “100,000 คัน” ปล่อยเช่าซื้อราคาพิเศษให้กับคนขับบนแพลตฟอร์มใน “ยุโรป” และ “ละตินอเมริกา” พร้อมจับมือร่วมกันพัฒนา “ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ” เพื่อแพลตฟอร์มนี้โดยเฉพาะ

“Uber” กับ “BYD” ร่วมกันแถลงข่าวความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาว ทางบริษัท Uber สัญญาสนับสนุนรถอีวีของ BYD จำนวนรวม 100,000 คันให้กับคนขับบนแพลตฟอร์ม โดยจะมีการจัดแพ็กเกจสินเชื่อเช่าซื้อราคาพิเศษ, สนับสนุนทางการเงิน, ประกันรถยนต์, ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และค่าชาร์จไฟฟ้า ให้กับคนขับ Uber ที่ต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD มาใช้ร่วมขับขี่

โดยตลาดหลักของ Uber ที่จะเริ่มสนับสนุนรถยนต์ BYD ก่อน ได้แก่ ยุโรป และ ละตินอเมริกา ขณะที่ในอนาคตจะมีการขยายไปในตลาดอื่นๆ เช่น ตะวันออกกลาง แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

ทั้งสองบริษัทถือว่าเป็นผู้นำเรื่องรถอีวีในวงการของตนเอง เพราะ Uber ถือเป็นแพลตฟอร์มเรียกรถที่มีรถอีวีในเครือข่ายมากที่สุดในโลก ส่วน BYD เป็นผู้นำด้านการผลิตรถอีวี จากการร่วมมือกันครั้งนี้ ทั้งสองบริษัทมีเป้าหมายที่จะทำให้ต้นทุนการเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าของคนขับ Uber ต่ำลง

แม้ว่าคนขับ Uber จะเปลี่ยนไปใช้รถอีวีเร็วกว่าคนขับบนแพลตฟอร์มอื่นถึง 5 เท่า แต่จากการสำรวจของ Uber ก็พบว่า คนขับมองว่า “ราคา” ของรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนจากรถสันดาปมาเป็นอีวี ทำให้บริษัทต้องการจะหาดีลพิเศษเพื่อให้คนขับบนแพลตฟอร์มเปลี่ยนมาใช้รถอีวีได้ง่ายขึ้น

นอกจากดีลรถยนต์ราคาพิเศษแล้ว ต่อไปในอนาคตทั้งสองบริษัทจะร่วมกันพัฒนา “ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ” เพื่อนำมาใช้บนแพลตฟอร์ม Uber โดยเฉพาะด้วย

BYD Atto 3

“Uber กับ BYD มีสัญญาร่วมกันที่จะสร้างนวัตกรรมไปสู่โลกที่สะอาดขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำงานร่วมกันไปสู่อนาคตดังกล่าว” Chuanfu Wang ประธานกรรมการและประธานบริษัท BYD กล่าว

“เมื่อคนขับ Uber เปลี่ยนมาใช้รถอีวี พวกเขาจะสร้างประโยชน์ลดการปล่อยคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อมได้มากกว่า 4 เท่าเทียบกับผู้ใช้รถปกติ เพราะคนขับ Uber นั้นใช้เวลาอยู่บนท้องถนนนานกว่า นอกจากนี้ ผู้โดยสารหลายคนบอกกับเราว่าได้สัมผัสประสบการณ์บนรถอีวีครั้งแรกเมื่อเรียกรถ Uber นั่นทำให้เราตื่นเต้นที่จะช่วยสาธิตประโยชน์ของรถอีวีให้กับผู้คนทั่วโลกให้มากขึ้น” Dara Khosrowshahi ซีอีโอ Uber กล่าว

สำหรับบริษัท BYD นั้นเป็นบริษัทสัญชาติจีนที่สามารถเอาชนะ Tesla ได้ 2 ปีติดต่อกันในแง่จำนวนการผลิตและส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก เมื่อปี 2023 บริษัท BYD มีการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าถึง 240,000 คันไปสู่ 70 ประเทศ และบริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 2024 จะเพิ่มจำนวนส่งออกเป็นเท่าตัว!

การแถลงข่าวในครั้งนี้ ทั้งสองบริษัทยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่ารถอีวีที่อยู่ในดีลจะเป็นรถรุ่นไหนบ้าง แต่รูปภาพสำหรับประชาสัมพันธ์ในงานพบว่ามีรถ BYD ทั้งหมด 3 รุ่นปรากฏอยู่ ได้แก่ รถซีดานรุ่น Seal, รถเอสยูวีรุ่น Seal U และ รถเอสยูวีรุ่น Atto 3

ที่มา: Yahoo Finance, CNBC

]]>
1484612
ประเมิน ‘BYD’ จะแซง ‘Tesla’ ขึ้นเบอร์ 1 ตลาดรถอีวีได้อีกครั้งในปีนี้ https://positioningmag.com/1481087 Wed, 03 Jul 2024 09:33:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481087 กำลังเป็นประเด็นร้อนในไทยเลยสำหรับแบรนด์ บีวายดี (BYD) จากจีน ที่ประกาศลดรถราคากว่า 340,000 บาท เพื่อฉลองเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ BYD ครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับตลาดโลกเอง บีวายดีก็เดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการประเมินว่าปีนี้ BYD จะแซง Tesla เป็นเบอร์ 1 ได้อีกรอบ

ตามรายงานของ Counterpoint Research คาดว่า BYD จะแซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดรถอีวี (BEV) หลังจากที่ยอดขายในไตรมาส 2/2024 พุ่งขึ้นเกือบ +21% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีจำนวนอยู่ที่ 426,039 คัน ส่วนยอดขายของ Tesla ในไตรมาสที่ 2 ลดลง -4.8% เหลือ 443,956 คัน

โดยปัจจุบัน BYD ถือเป็นผู้นำในตลาด จีน โดยเฉพาะในกลุ่มรถ BEV หรือ รถไฟฟ้าล้วน โดย Counterpoint Research คาดว่า ยอดขายรถ BEV ของจีนจะสูงกว่ายอดขายในอเมริกาเหนือถึง 4 เท่า ในปี 2024 โดยคาดว่า จีนจะยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ของยอดขาย BEV ทั่วโลก จนถึงปี 2027 และยอดขาย BEV ในจีนคาดว่าจะแซงหน้ายอดขายรวมของอเมริกาเหนือและยุโรปในปี 2030

ย้อนไปในปีที่ผ่านมา ยอดการผลิตทั้งหมดของ BYD ที่มีทั้งรถอีวี และรถไฮบริด รวมแล้วมีจำนวนมากกว่า 3 ล้านคัน และแซงหน้ายอดการผลิตของ Tesla ซึ่งอยู่ที่ 1.84 ล้านคัน เป็นปีที่สองติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม หากแยกเฉพาะรถอีวี (BEV) อยู่ที่ 1.6 ล้านคัน ส่วนรถยนต์ไฮบริด 1.4 ล้านคัน ส่งผลให้ Tesla ยังคงครองเบอร์ 1 ในตลาด BEV

แม้ภาพรวมทั้งปีของ BYD จะยังสู้ Tesla ไม่ได้ แต่ก็เคยแซงหน้าเป็นครั้งแรกในช่วงไตรมาส 4/2023 แต่ก็ถูก Tesla กลับมายึดตำแหน่งคืนในช่วงไตรมาส 1/2024

อย่างไรก็ตาม อาจต้องจับตาประเด็นที่ สหภาพยุโรปจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อค่ายรถอีวีจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่อาจสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมของสหภาพยุโรปได้อย่างชัดเจนและคาดการณ์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้ BYD จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติม 17.4% ส่วน Geely จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 20% ส่วน SAIC จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 38.1% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในสามอัตรานี้ นอกเหนือจากภาษีมาตรฐาน 10% ที่เรียกเก็บกับรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าแล้ว และจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม หากการหารือกับทางการจีนไม่สามารถหาข้อยุติได้

“อัตราภาษีใหม่ของสหภาพยุโรปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ซึ่งกำลังดิ้นรนเพื่อแข่งขันกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่มีราคาต่ำกว่า ภาษีเหล่านี้อาจผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์จีนหันไปขยายตลาดเกิดใหม่ เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา ละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ลิซ ลี รองผู้อำนวยการของ Counterpoint Research กล่าว

ทั้งนี้ รายงานประเมินว่าปีนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะสูงถึง 10 ล้านคัน ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงอย่างต่อเนื่องของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน การเติบโตนี้จะได้รับการสนับสนุนจากความพยายามที่มุ่งเน้นในการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านต้นทุนและความคุ้มราคาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

Source

]]>
1481087
‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เทขายหุ้น ‘BYD’ อีกระลอก ลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือ 6.9% https://positioningmag.com/1478556 Tue, 18 Jun 2024 04:20:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478556 Berkshire Hathaway กลุ่มบริษัทของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ถือเป็นนักลงทุนรายแรกของ BYD บริษัทรถอีวีรายใหญ่สุดของจีน อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2565 บริษัทก็ได้เทขายหุ้นลงครึ่งหนึ่ง จนมาล่าสุดบริษัทก็ได้ขายหุ้น BYD เพิ่มอีก

ย้อนไปปี 2551 กลุ่มบริษัท Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังได้ลงทุนใน บีวายดี (BYD) มูลค่า 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือครองหุ้นประมาณ 225 ล้านหุ้น แต่หลังจากที่หุ้นของ BYD พุ่งขึ้น 600% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนเมษายน 2565 ทาง Berkshire ก็ได้ ลดการถือครองการขายลงครึ่งหนึ่ง

มาปีนี้ Berkshire ได้ขายหุ้น BYD ที่จดทะเบียนในฮ่องกงเพิ่มอีก 1.3 ล้านหุ้น ในมูลค่า 39.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานที่ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยการขายทำให้บริษัทลดการถือครองหุ้นเหลือ 6.9% จาก 7.02%

สำหรับ BYD ก่อตั้งโดย Wang Chuanfu โดยเริ่มจากเป็นบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือในช่วงทศวรรษ 2533 จนมาในปี 2546 บริษัทได้หันมาสนใจรถยนต์ และนับตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ชั้นนำในจีน รวมถึงเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV รายใหญ่

ในไตรมาส 4 ของปี 2566  BYD ได้ขึ้นแซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นบริษัทผู้ผลิต EV อันดับ 1 ของโลก โดยมียอดขายรถอีวีได้มากกว่า

สำหรับผู้ที่แนะนำให้ Berkshire Hathaway ลงทุนใน BYD ไม่ใช่วอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่เป็น ชาร์ลี มังเกอร์ คู่หูของบัฟเฟตต์และอดีตรองประธานของ Berkshire โดยชาร์ลี มังเกอร์เสียชีวิตไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

Source

]]>
1478556
ยลโฉม ‘กระบะไฟฟ้า’ รุ่นแรกของ ‘BYD’ พร้อมส่งลุยตลาดโลกปีนี้ https://positioningmag.com/1469262 Fri, 05 Apr 2024 06:37:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469262 เบอร์ 1 ตลาดรถอีวีอย่าง เทสลา (tesla) ได้เตรียมจำหน่าย Cybertruck รถกระบะขุมพลังไฟฟ้า 100% ล่าสุด BYD ค่ายอีวีจีนที่เคยเขี่ยเทสลาหล่นไปเป็นเบอร์ 2 ในช่วง Q4/2023 ที่ผ่านมาก็ไม่ยอมน้อยหน้า โดยได้ทดสอบวิ่งรถกระบะไฟฟ้าคันแรกของค่ายเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาด

บีวายดี (BYD) ได้เริ่มทดสอบ รถกระบะไฟฟ้า คันแรกของค่าย แต่จากรูปที่เปิดเผยออกมาจะเห็นว่า รถรุ่นดังกล่าวไม่ใช่รถอีวี 100% (BEV) แต่เป็น ปลั๊กอิน-ไฮบริด (PHEV) เนื่องจากมีฝาน้ำมันด้านข้าง และแม้ว่ารถตัวทดสอบจะพรางด้วยสีส้มและสีน้ำเงิน แต่ก็พอจะเห็นรูปลักษณ์ว่าน่าจะมีขนาดพอ ๆ กับ ฟอร์ด Ranger และ F-150 Lightning รวมถึง โตโยต้า ไฮลักซ์

แม้จะเริ่มนำรถมาทดสอบแล้ว แต่ BYD ยังไม่ได้เปิดเผยถึงดีเทลภายใน, ราคาจำหน่าย และสเปกของรถกระบะรุ่นดังกล่าว แต่จากรายงงานของทาง Carnewschina คาดว่า ตัวรถจะมีระยะวิ่งครอบคลุมทั้งระบบอยู่ที่ 1,000 กม. และวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนอยู่ที่ 100 กม. ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง 

มีการคาดว่า รถรุ่นดังกล่าวอาจจะเปิดตัวให้เห็นอย่างเป็นทางการในงาน Beijing Auto Show 2024 ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ แต่ที่แน่ ๆ รถรุ่นดังกล่าวจะไม่ได้ออกมาขายในตลาดจีน แต่จะจำหน่ายในตลาดโลกเป็นหลัก โดยเฉพาะในประเทศ ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ นิวซีแลนด์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง 

โดยสาเหตุที่ BYD เน้นที่ตลาดโลกเป็นเพราะในประเทศจีน รถกระบะยังมีข้อจํากัดบางอย่างที่ทำให้ผู้ซื้อจํานวนมากหลีกเลี่ยงการซื้อรถกระบะ 

ปัจจุบัน BYD มีเซกเมนต์รถที่ค่อนข้างกว้าง เริ่มต้นด้วยรุ่น Seagull ที่มีราคาเริ่มต้นที่ 69,800 หยวน หรือราว 3.6 แสนบาท ไปจนถึงซูเปอร์คาร์ U9 ราคา 1.68 ล้านหยวน หรือราว 8.7 ล้านบาท

CNBC / carnewschina

]]>
1469262
‘Tesla’ กลับมายึดแชมป์เบอร์ 1 รถอีวีอีกครั้ง หลังถูก ‘BYD’ แซงช่วง Q4/2023 https://positioningmag.com/1468778 Wed, 03 Apr 2024 02:06:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468778 หลังจากที่ เทสล่า (Tesla) ยึดตำแหน่งเบอร์ 1 ในตลาด รถอีวี มายาวนานติดต่อกันถึง 9 ปี แต่ในช่วง Q4/2023 ที่ผ่านมาก็ถูกแย่งตำแหน่งโดย บีวายดี (BYD) อย่างไรก็ตาม Tesla ไม่ยอมเป็นเบอร์ 2 นาน โดย Q1/2024 นี้ก็สามารถกลับมาเป็นเบอร์ 1 ได้อีกครั้ง 

BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีน รายงานยอดขายในไตรมาสแรกปี 2024 อยู่ที่ 300,114 คัน ลดลง 43% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2023 ที่มียอดขายสูงถึง 526,409 คัน ส่งผลให้ BYD ต้องส่งคืนตำแหน่ง เบอร์ 1 ในตลาดรถอีวีให้กับ Tesla แชมป์เก่า หลังจากที่เคยแย่งตำแหน่งมาได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2023

อย่างไรก็ตาม แม้ Tesla จะกลับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอีกครั้งด้วยยอดขาย 386,810 คัน แต่ถือว่ายอดขายลดลง 20.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2023 และลดลง 8.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2023 นอกจากนี้ อัตราการผลิตยังลดลงประมาณ 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลง -29% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2022 และลดลงเป็นรายไตรมาสสูงสุดเป็นอันดับสามนับตั้งแต่การเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทในปี 2010 หุ้นเทสลาปิดลดลงประมาณ 5% ในวันอังคารที่ 166.63 ดอลลาร์ต่อหุ้น

การที่ยอดขายของ BYD และ Tesla ที่ลดลงเป็นผลมาจากความต้องการโดยรวมที่ลดลงและการชะลอตัวของตลาดจีน อย่างไรก็ตาม การที่ Tesla กลับมาครองตำแหน่งเบอร์ 1 ได้อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของแบรนด์ระดับโลกของบริษัทจะไม่ถูกล้มได้ง่าย ๆ โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองบริษัทคาดว่าการเติบโตของยอดขายรถอีวีในจีนในปีนี้จะชะลอตัวลง

สำหรับยอดขายรวมรถยนต์ทุกประเภทของ BYD ในช่วงไตรมาสแรกอยู่ที่ 626,263 คัน เติบโต 13.4% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 แต่ถือว่า ลดลง 33.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2024 ที่ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 944,779 คัน 

แม้ว่ายอดขายจะลดลงเมื่อเทียบกับระดับสูงสุด แต่ BYD ได้ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีที่ 3.6 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 20% จากยอดขายปีที่แล้ว

Source

]]>
1468778
มีสงครามราคาก็ไม่สะเทือน! ‘BYD’ โชว์กำไร 1.5 แสนล้าน โต 80% https://positioningmag.com/1468085 Thu, 28 Mar 2024 06:28:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468085 แม้ว่าปีที่ผ่านมา ตลาดรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดอย่างจีนจะเจอกับการแข่งขันราคาที่รุนแรง ทำให้หลายแบรนด์อัตรากำไรหดหาย แต่ไม่ใช่กับ BYD ที่ประกาศผลกำไรปี 2023 ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังยอดขาย Q4/2023 แซงหน้า Tesla เรียบร้อยแล้ว

บีวายดี (BYD) ได้เปิดเผยถึงกำไรสุทธิในปี 2023 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 3 หมื่นล้านหยวน หรือราว 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า +80% จากปี 2022 ที่มีกำไรสุทธิ 1.66 หมื่นล้านหยวน (8.5 หมื่นล้านบาท) แม้ว่าบริษัทจะเจอกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงทั่วโลก และการชะลอตัวของการเติบโตในประเทศเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่

ย้อนไปช่วงไตรมาส 4/2023 ยอดขายของ BYD ได้แซงหน้า เทสลา (Tesla) ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก ด้วยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) 525,409 คัน เทียบกับ Tesla ที่มียอดขาย 484,507 คัน หากรวมยอดขายทั้งปีอยู่ที่ 3.02 ล้านคันทั่วโลก เพิ่มขึ้น +62% จากปี 2022 โดยแบ่งเป็นยอดขาย BEV 1.8 ล้านคัน และรถปลั๊กอินไฮบริดที่ 1.44 ล้านคัน

หนึ่งในจุดที่ทำให้ BYD มียอดขายมากกว่า Tesla มาจาก ราคาที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกัน ซึ่งช่วยให้ดึงดูดผู้ซื้อได้กว้างขึ้น โดยรถรุ่นเริ่มต้นที่ขายในประเทศจีนมีราคาเพียง 10,000 ดอลลาร์ (3.6 แสนบาท) ส่วนรถ Tesla ที่ถูกที่สุดคือ Model 3 มีราคาเกือบ 39,000 ดอลลาร์ (1.4 ล้านบาท)

ทั้งนี้ จากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นและสงครามราคาในปีที่แล้ว ได้ส่งผลกระทบต่ออัตรากําไรของผู้ผลิตรถยนต์จีนหลายราย โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนมี อัตรากําไรเฉลี่ย 5% ลดลงจากในปี 2022 ที่มีอัตรกำไรเฉลี่ย 5.7% และ 6.1% ในปี 2021 ตามตัวเลขล่าสุดจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน

แม้จะมีอัตรากําไรเพียงเล็กน้อย แต่สงครามราคาก็ดูเหมือนจะไม่ลดลง เพราะเมื่อต้นเดือนนี้ BYD ได้ลดราคาเริ่มต้นของรถอีวีรุ่นเริ่มต้นอย่าง Seagull hatchback ลง 5% เป็น 69,800 หยวน (9,670 ดอลลาร์) ผู้ผลิตรถยนต์จีนรายอื่นๆ ได้ประกาศลดราคาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึง Geely, Chery และ XPeng Motors

Source

]]>
1468085
ถึงเวลาสู้ศัตรูคนเดียวกัน! ‘ฮอนด้า’ ผนึก ‘นิสสัน’ พัฒนารถอีวีเพื่อสู้กับ ‘ค่ายจีน’ https://positioningmag.com/1466580 Mon, 18 Mar 2024 03:58:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466580 หากเป็นรถยนต์สันดาป ผู้ที่ครองตลาดก็จะเป็น ค่ายรถญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นตลาดรถอีวี ค่ายจีน ได้กลายเป็นผู้นำของตลาดไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่แบรนด์สุดแข็งอย่าง Tesla ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับค่ายจีน ดังนั้น แบรนด์ญี่ปุ่นจึงต้องเลิกสู้กันเอง หันมาจับมือกันเพื่อสู้ค่ายจีน

ในอดีตค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นอาจจะต้องแข่งกับค่ายรถจากฝั่งยุโรปและแข่งขันกันเอง แต่ตอนนี้ทุกค่ายคงตระหนักได้ว่า คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในตลาดก็คือ ค่ายรถอีวีจีน ทำให้ นิสสัน (Nissan) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจแบบไม่ผูกมัด (Memorandum of Understanding – MoU) กับ ฮอนด้า (Honda) ค่ายรถยนต์คู่แข่ง เพื่อร่วมมือกันในการผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ในแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ยานยนต์

โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองบริษัทประหยัดต้นทุนในการผลิต เพราะทำให้มี Economy of scale ที่มากขึ้น ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถแข่งขันกับค่ายรถอีวีจากจีน โดยเฉพาะ บีวายดี (BYD) จากจีนที่เพิ่งบุกตลาดประเทศญี่ปุ่น รวมถึง เทสลา (Tesla) ด้วย

“ผู้เล่นหน้าใหม่มีความก้าวร้าวมากและกำลังบุกเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง เราไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ ตราบใดที่เรายึดมั่นในแนวคิดและแนวทางแบบดั้งเดิม” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอของนิสสัน กล่าว

อย่างไรก็ตาม นิสสันและฮอนด้า ยังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการลงทุนร่วมกัน แต่ก็เปิดรับความเป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงยัง เปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตร ที่มีอยู่หากมีโอกาสเกิดขึ้น

“เราถูกจำกัดด้วยเวลา ดังนั้น จำเป็นต้องทำให้เร็ว เพื่อที่ภายในปี 2030 เราจะอยู่ในตำแหน่งที่ดี เราจึงต้องตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้”

ทั้งนี้ ฮอนด้าตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงเป็น 100% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2040 ส่วนนิสสันถือเป็นผู้บุกเบิกด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยรุ่น Leaf

ที่ผ่านมา ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องแข่งขันกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยนิสสันเตรียมลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% เหลือ 1.6 ล้านคัน/ปี ส่วนฮอนด้านั้นจะลดกำลังการผลิตราว 20% เหลือ 1.2 ล้านคันต่อปี

Source

]]>
1466580
‘BYD’ ผงาด! เบียด ‘Tesla’ ขึ้นแท่น “แชมป์ตลาดอีวี” Q4/2023 นับเป็นการเสียตำแหน่งในรอบ 9 ปี https://positioningmag.com/1457657 Thu, 04 Jan 2024 03:22:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457657 ปี 2023 ถือเป็นปีที่ตลาด รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี เติบโตเป็นอย่างมากทั้งในตลาดไทยและทั่วโลก และหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในไทยก็คือ BYD ที่สามารถครองอันดับ 3 ยอดจองสูงสุดในงาน Motor Expo 2023 แต่ไม่ใช่แค่ไทย ทั่วโลก BYD ก็ขึ้นเบอร์ 1 แซงหน้า Tesla เรียบร้อย

กลายเป็นว่า Tesla ค่ายรถยนต์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาตลอดกลับต้องเสียแชมป์ให้กับค่ายจากจีนอย่าง BYD ในช่วง Q4/2023 ที่ผ่านมา แม้ว่า Tesla จะมียอดส่งมอบรถยนต์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 484,507 คัน เติบโต 11% ส่วน BYD มียอดขายเฉพาะ รถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) 525,409 คัน โดยการขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของ BYD ในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ทำให้ Tesla หล่นจากตำแหน่งแชมป์ที่ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2015 หรือ 9 ปี

จริง ๆ แล้ว ยอดขายรถยนต์รวมทั่วโลกของ BYD แซงหน้า Tesla ได้ตั้งแต่กลางปี 2022 แต่ถ้านับเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือแบบ BEV อย่างเดียว Tesla ยังนำมาตลอด แต่มา Q3/2023 ที่มียอดขายใกล้เคียงกัน จนมาถึง Q4/2023 BYD ก็สามารถแซงหน้า Tesla ได้สำเร็จ และนอกจากการส่งมอบรถยนต์น้อยลงแล้ว Tesla ยังตามหลัง BYD ในการผลิตรถยนต์ใน Q4/2023 อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หากวัดกันทั้งปี Tesla ยังคงมียอดจำหน่ายมากกว่า BYD โดยมียอดสะสมอยู่ที่ 1.8 ล้านคัน เติบโต 38% ส่วนภาพรวมของ BYD มียอดขายรวมกว่า 3.02 ล้านคัน เติบโตขึ้น 61.9% โดยในส่วนของยอดขายรถ BEV อยู่ที่ 1.6 ล้านคัน เติบโต 73% ส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV) มียอดขายประมาณ 1.4 ล้านคัน

คงต้องรอดูว่าปี 2024 นี้ Tesla จะกลับมาทวงตำแหน่งแชมป์ได้หรือไม่ โดย Garrett Nelson นักวิเคราะห์หุ้นของ CFRA Research คาดการณ์ว่า Tesla ยังสามารถมองบวกได้ เพราะยอดขายในปีนี้มีแนวโน้มที่จะได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัว Model Y รุ่นรีเฟรชใหม่ ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

]]>
1457657
Tesla มีหนาว! ‘Nio’ ได้เงินลงทุนอัดฉีดเพิ่มอีก 2.2 พันล้านเหรียญ จากกองทุน CYVN Holdings ของ UAE https://positioningmag.com/1456363 Tue, 19 Dec 2023 08:42:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456363 การแข่งขันในตลาด รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี น่าจะยิ่งดุเดือดขึ้น เพราะล่าสุด Nio ค่ายรถอีวีที่มียอดขายติด Top 5 ของจีน ได้เงินทุนเพิ่มเติมจากกองทุนใน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเสริมสายป่านให้ยาวยิ่งขึ้น

Nio ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน (EV) ได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก 2.2 พันล้านดอลลาร์ จาก CYVN Holdings กองทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทมีสายป่านที่ยาวขึ้น เพื่อใช้ในการแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ย้อนไปในไปในช่วงเดือนกรกฎาคม กลุ่มทุนดังกล่าวได้ลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ใน Nio ทำให้ตอนนี้ CYVN Holdings บริษัทถือหุ้นจำนวน 20% ใน Nio ทำให้ CYVN จะสามารถเสนอชื่อกรรมการสองคนให้เป็นคณะกรรมการของ Nio ได้ 

“ด้วยงบลงทุนที่เราได้รับ จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งแบรนด์ เพิ่มความสามารถในการขายและการบริการ รวมถึงการลงทุนระยะยาวในเทคโนโลยีหลักต่อสู้กับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น” William Bin Li ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nio กล่าว

Nio ก่อตั้งในปี 2014 โดยหลายคนมองว่าเป็นคู่แข่งของ BYD และ Tesla ในการแข่งขันแสนดุเดือดของจีน โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา Nio มียอดขายสูงเป็นอันดับ 5 ของตลาด แต่ในช่วงสงครามราคาปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มโดย Tesla ทำให้ Nio เองก็ต้องดัมพ์ราคาลงมาเพื่อแข่งขันเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่า Nio จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนครั้งใหม่นี้ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทค่อนข้างขยายตัวค่อนน้อย เพราะต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน เช่น เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายโครงสร้างพื้นฐานในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ และสร้างโชว์รูมทั่วประเทศจีน ยิ่งไปกว่านั้น Nio กำลังพยายามที่จะก้าวไปสู่ระดับโลก นั่นต้องใช้เงินทุนมากกว่ายอดขายที่จะสามารถรองรับได้

สำหรับสงครามราคา เริ่มต้นจาก Tesla ที่ลดราคารถในตลาดจีนครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2022 ซึ่งจีนถือเป็นตลาดอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยหลังจากที่สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่งอย่าง BYD บริษัทได้ลดราคารถยนต์ที่ผลิตในจีนหลายครั้งในปีนี้ต่อเนื่อง 

จากการลดราคา ส่งผลให้ Tesla รายงานผลกำไรที่ลดลงในไตรมาสสาม ซึ่งนักวิเคราะห์อ้างว่าเป็นการลดราคาที่ส่งผลต่ออัตรากำไร แม้ว่าบริษัทจะยืนยันว่าประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนของรถแต่ละคันแล้วก็ตาม

Source

]]>
1456363