ความเคลื่อนไหวของ ‘เครือไทย โฮลดิ้งส์’ กลุ่มธุรกิจประกันภัยและการเงินในเครือทีทีซี ของ ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี’ กำลังถูกจับตามองอย่างมาก หลังดึง ‘ฐากร ปิยะพันธ์’ ผู้บริหารมือทองด้านดิจิทัลแบงกิ้ง นวัตกรรมเเละ AI จากค่าย ‘กรุงศรี คอนซูมเมอร์’ มานั่งคุมทัพใหญ่
เมื่อย้ายสู่บ้านหลังใหม่ได้สักพัก ‘ฐากร ปิยะพันธ์’ ได้ฤกษ์เปิดแผนธุรกิจในระยะ 3-5 ปี กับกลยุทธ์สู่เป้าหมายการเป็น ‘ตัวท็อป’ ธุรกิจประกันและการเงินของประเทศไทย พร้อมขยายไปยังอาเซียน
มาดูกันว่าการใช้ ‘Data’ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามความถนัดของฐากร จะนำพา ‘เครือไทย โฮลดิ้งส์’ ไปบนเส้นทางสายใหม่นี้อย่างไร
ปัจจุบัน ‘เครือไทย โฮลดิ้งส์’ หรือ TGH ทำธุรกิจหลักๆ 3 กลุ่ม ได้เเก่ กลุ่มธุรกิจประกัน กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มธุรกิจ Health & Wellness
ธุรกิจสุขภาพด้าน Health & Wellness เป็นพาร์ตใหม่ที่เปิดมารองรับสังคมสูงวัยโดยเฉพาะทั้งการวางเเผนการเงินในวัยเกษียณทำประกันที่คุ้มครองจนสิ้นอายุขัย เเละให้บริการที่พักอาศัย ซึ่งจะมีความคืบหน้าในเร็ว ๆ นี้
หากเจาะลึกลงไปในธุรกิจประกัน จะมีบริษัทลูกในเครืออย่าง อาคเนย์ประกันชีวิต อาคเนย์ประกันภัย และ บมจ.ไทยประกันภัย ที่มีสินทรัพย์รวมกันประมาณ 75,000 ล้านบาท
ส่วนเบี้ยฯ รับรวมทั้งตลาดประกันชีวิตของปี 2563 อยู่ที่ราว 6 เเสนล้านบาท ลดลง 1.75% เเละเบี้ยฯ รับรวมทั้งตลาดประกันภัย อยู่ที่ราว 2.5 เเสนล้านบาท เติบโต 3.9%
ขณะที่ธุรกิจการเงิน จะมีบริษัทลูกอย่าง ‘อาคเนย์แคปปิตอล’ ผู้ให้บริการรถเช่าองค์กร ที่มีสินทรัพย์รวม 15,000 ล้านบาท เป็นที่ 1 ในตลาด เเละ ‘อาคเนย์มันนี่’ ที่กำลังจะเริ่มปล่อยสินเชื่อในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบไปทุกอุตสาหกรรม ทำให้เครือไทย โฮลดิ้งส์ มีรายได้รวมลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปี 2020 มีรายได้รวม 23,300 ล้านบาท ลดลง 4% เเต่ขณะเดียวกันก็สามารถทำกำไร 168% เป็น 739 ล้านบาท จากการบริหารต้นทุน ปรับพอร์ตโฟลิโอ และการบริหารจัดการต่าง ๆ
ทิศทางต่อไปจากนี้ จึงไม่ใช่ ‘งานง่ายๆ’ อย่างเเน่นอน
เเต่เดิม ‘เครือไทย โฮลดิ้งส์’ พึ่งพารายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจประกันภัยเเละประกันชีวิต เเต่ทิศทางหลัง COVID-19 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะจะหันมารุกสินเชื่อ ’ธุรกิจรายย่อย’ มากขึ้น
จากข้อมูลพบว่า ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจการเงินของเครือไทย โฮลดิ้งส์ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 11% สวนทางธุรกิจประกันชีวิตที่เติบโตลดลง 11% เเละธุรกิจประกันภัยที่เติบโตลดลง 3%
ฐากร บอกว่า ‘ตลาดสินเชื่อ’ ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากเเม้จะต้องเผชิญกับคู่เเข่งทั้งสายเเบงก์เเละนอนเเบงก์เเละเข้าตลาดนี้ช้ากว่าก็ตาม
‘อาคเนย์มันนี่’ เพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เขาบอกว่าคือ ‘งานหิน’ ที่ต้องทำให้ได้ โดยจะใช้กลยุทธ์จับมือกับ ‘พาร์ตเนอร์’ ที่มีวิสัยทัศน์ตรงกัน เน้นเป็นบริษัทขนาดกลางที่มีเครือข่ายเข้าถึงลูกค้าอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งมีการเจรจาพูดคุยไว้เบื้องต้นเเล้ว
“ความท้าทายตอนนี้ เหมือนการปีนขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์ แต่เราก็มองว่าจะสามารถเข้าไปซื้อกิจการหรือหาพันธมิตรร่วมทุนได้”
อีกมุมหนึ่ง การมาของอาคเนย์มันนี่ ก็เป็นการเสริมความเเกร่งของธุรกิจรถเช่าอย่าง ‘อาคเนย์ แคปิตอล’ ที่ตอนนี้มีจำนวนรถกว่า 22,100 คัน เเบ่งเป็นลูกค้าภาครัฐ 50% ลูกค้านอกกลุ่มทีซีซี 30% เเละลูกค้ากลุ่มทีซีซี 20% ซึ่งปกติจะมีการประกาศขายรถมือสองอยู่แล้ว
‘อาคเนย์มันนี่’ มีเเผนตั้งเป้าสินเชื่อปล่อยใหม่ภายในปี 2564 ให้ได้ 2,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มต้นจากบริษัทในเครือ ผ่านสินเชื่อเพื่อคู่ค้าก่อน จากนั้นในไตรมาส 3 จะปล่อยสินเชื่อรถยนต์ รถเช่ามือสอง สินเชื่อมอเตอร์ไซค์ และในไตรมาส 4 จะเป็นสินเชื่อจำนำทะเบียน และสินเชื่อส่วนบุคคล
เเม้จะบุกหนักไปที่ธุรกิจการเงิน เเต่ผู้บริหาร ‘เครือไทย โฮลดิ้งส์’ ยืนยันที่จะให้ความสำคัญกับธุรกิจประกันยิ่งกว่าเดิม ด้วยเเพชชั่นที่ต้องการทำให้ประกันไปอยู่ในชีวิตของทุกคน
โดยจะมีการปรับพอร์ตธุรกิจประกันขึ้นมาใหม่ นำข้อมูลจำนวนมากที่ธุรกิจประกันมีเป็นจุดเเข็ง มาผสมกับเทคโนโลยีให้ใช้งานง่าย ใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตรงกลุ่มลูกค้า
สำหรับ ‘อาคเนย์ประกันชีวิต’ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมปี 2563 อยู่ที่ 8,345 ล้านบาท ครองอันดับ 9 ของตลาด จะมุ่งกลยุทธ์ไปที่การขยายฐาน ‘ตัวแทนใหม่’ ในต่างจังหวัด พร้อมๆ กับการรักษาพันธมิตรธนาคาร ที่เรียกว่า ‘แบงก์แอสชัวรันซ์’ เเละมองหาพันธมิตรใหม่ช่องทางอื่นไปด้วย โดยคาดว่าสัดส่วนช่องทางขายระหว่างแบงก์และตัวแทนต่อจากนี้ จะอยู่ที่ 60% และ 40% ตามลำดับ
ทั้งนี้ พอร์ตส่วนใหญ่ของบริษัทกว่า 70% มาจากแบงก์แอสชัวรันซ์ ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ฐากร ยังตั้งเป้ารายได้ที่จาก ‘ประกันกลุ่ม’ เเละจะออกแบบประกันชีวิตควบการลงทุนอย่าง Unit Linked ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในปีนี้
ตามมาด้วย ‘อาคเนย์ประกันภัย’ ที่ปี 2563 มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 10,556 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ร้
ส่วนใหญ่เป็นประกันรถยนต์ 66% ทรัพย์สินเเละเบ็ดเตล็ด 24% อุบัติเหตุเเละสุขภาพ 10% โดยปีนี้ บริษัทมีเเผนจะออกผลิตภัณฑ์ที่เเตกต่างจากตลาด เเละรองรับเทรนด์การใช้ชีวิตยุคใหม่อย่าง ประกันรถยนต์ไฟฟ้า EV ฯลฯ
ส่วน ‘ไทยประกันภัย’ ที่ปี 2563 มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงราว 1,321 ล้านบาท จะปรับรูปแบบการทำงานเเละโครงสร้างธุรกิจ เน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งตอนนี้มีสัดส่วนอยู่ที่ 25%
โดยจะมีการทุ่มงบ 1,500 ล้านเพื่อพัฒนาระบบดิจิทัล เพิ่มยอดขายทางดิจิทัลของบริษัทในเครือทั้งหมด หลังจากปีที่ผ่านมา มียอดขายเเล้วกว่า 1,200 ล้านบาท เติบโตถึง 70% ส่วนใหญ่มาจากลูกค้าคนรุ่นใหม่
นอกจากนี้จะมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปรับโครงสร้างการทำงานภายในองค์กรช่วยให้พนักงานทำงานสะดวกเเละลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีเเละรวดเร็ว
ฐากร บอกว่า จะจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่เพื่อทำ Data Analytics เเละเพิ่มแผนก Business Transformation พร้อมตั้งบริษัท Sofin เพื่อทำ Digital Solution โดยเฉพาะ
‘เครือไทย โฮลดิ้งส์’ ตั้งเป้าหมาย 3 ปี รายได้จะอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 14% กำไรเติบโตเฉลี่ย 20%
โดยในช่วง 2 ปีเเรกจะลุยตลาดในประเทศให้ประสบความสำเร็จก่อน จากนั้นในปีที่ 3 จึงจะขยับไปยังประเทศในอาเซียน เริ่มจากเวียดนาม ที่กลุ่มทีซีซีวางตลาดไว้อยู่เเล้ว ต่อไปจะขยายไปยังสปป.ลาว และกัมพูชา โดยจะรุกให้บริการทางการเงิน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล ต่อยอดไปเป็นประกันภัยและประกันชีวิต
นี่คือทิศทางต่อไปของ ‘เครือไทย โฮลดิ้งส์’ ภายใต้การนำทัพของ ‘ฐากร ปิยะพันธ์’ ที่หวังจะมาเขย่าวงการประกันยุคใหม่ด้วย ‘Data’ …น่าจับตามองไม่น้อย
]]>
บริษัทล่าสุดที่ Nike ควักเงินซื้อมีชื่อว่า Celect ถูกสื่ออเมริกันยกให้เป็นหนึ่งในดีลที่สะท้อนพันธกิจภาพใหญ่ที่สุดของ Nike ในยุคดิจิทัล ซึ่งมีโอกาสที่จะส่งผลถึงทุกวงจรของ Nike ทั้งในแง่การค้าปลีก การผลิต และกลยุทธ์การตลาดในอนาคต
การเข้าซื้อกิจการบริษัท Celect ที่มีสำนักงานใหญ่ในบอสตันเป็นการต่อยอดครั้งล่าสุดของ Nike หลังจากในปีที่ผ่านมา Nike ได้เปิดตัวร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ที่มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงแอปพลิเคชันสมาชิก และเปิดตัวสายผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งทั้งหมดมุ่งเน้นที่การเรียนรู้ลูกค้าเพิ่มเติมในระดับรายบุคคลผ่านระบบดิจิทัล
การเรียนรู้ลูกค้าแบบรายคน เป็นสิ่งจำเป็นในมุมของ Nike เพราะสถิติสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดิจิทัลของ Nike ชี้ว่าลูกค้าที่เป็นสมาชิกเหนียวแน่นกับ Nike ใช้เวลาบน Nike.com มากกว่าผู้เข้าชมทั่วไปถึง 3 เท่าตัว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้บริหาร Nike ต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มความสามารถของบริษัท ในการให้บริการแฟนคลับที่มีโอกาสซื้อสินค้าได้ง่ายที่สุด
สำหรับ Celect รายงานระบุว่าเมื่อปีที่แล้ว Celect สามารถระดมทุนได้ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐจากนักลงทุนหลายกลุ่ม การซื้อ Celect จะช่วยให้ Nike ได้รับการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการบริการสินค้าคงคลังและการค้าปลีก ที่สำคัญคือการทำนายรูปแบบผู้บริโภคหรือ consumer pattern ซึ่งถูกตั้งความหวังว่าจะเพิ่มเขี้ยวเล็บให้ Nike แข่งขันได้ดีกว่าเดิม
น่าเสียดายที่ดีลนี้ไม่มีการเปิดเผยข้อกำหนดของข้อตกลง สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือการเป็นไปตามแนวโน้มการซื้อกิจการช่วงหลังของ Nike นั่นคือการเน้นไปที่บริษัทด้านเทคโนโลยีและข้อมูล ตัวอย่างเข่นปี 2018 เจ้าพ่อ Nike ตัดสินใจซื้อบริษัท Invertex Ltd. ซึ่งเป็นสตาร์ทอัปสัญชาติอิสราเอลด้านเทคโนโลยีการทำให้คอมพิวเตอร์มองเห็นหรือ computer-vision ผลจากการซื้อบริษัทดังกล่าวทำให้เกิดเป็นบริการ Nike Fit ซึ่งเป็นส่วนเสริมของแอป Nike ที่เปิดกว้างให้ผู้บริโภควัดขนาดเท้าของตัวเองที่บ้าน และเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับขนาดรองเท้า Nike ที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่น ซึ่งทำให้ลูกค้าเลือกรองเท้า Nike ที่เหมาะกับตัวเองได้มากที่สุดแบบง่ายกว่าเดิม.
]]>AIS ก็เป็นอีกรายหนึ่งที่มีการปรับตัว ตั้งแต่ 5 ปีก่อนได้เริ่ม Transformation ตัวเองเนื่องจากเชื่อว่าจะถูก Disruption จากธุรกิจโทรคมนาคมที่เปลี่ยนแปลงไป และ AIS จะต้องพลิกธุรกิจไปสู่ Digital Life Service Provider
กานติ มาเลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล เอไอเอส ระบุว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ การ เตรียมความพร้อมภายในองค์กร ดังนั้นปีแรกของการทำ Transformation จึงเป็นการระดมทีมเพื่อหาองค์ความรู้เข้ามาช่วยกัน ปีถัดมาจึงได้เกิด AIS Academy ขึ้นเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับภายใน
หลังจากทำไปครึ่งทางได้เห็นว่าหลายๆ องค์ความรู้ที่ให้กับพนักงานน่าจะเป็นประโยชน์ถ้า AIS จะช่วยคนไทยไปด้วยกัน 2 ปีที่แล้วจึงเริ่มทำ AIS ACADEMY for THAIs ครั้งแรกได้รับการตอบรับจากผู้เข้าร่วมที่กรุงเทพฯ 4,000 กว่าคน ปีถัดมาทำครั้งที่ 2 มีผู้เข้าร่วมล้นหลามไม่แพ้กัน
AIS จึงมั่นใจว่าองค์ความรู้เหล่านี้เป็นที่ต้องการ ซึ่ง AIS มองว่า การเติบโตแต่เพียงผู้เดียวสำหรับองค์กรไม่น่าจะใช่การเติบโตที่ยั่งยืน แต่การทำให้สังคมไทยเข้มแข็งและแข็งแรง น่าจะเป็นการเติบโตแบบถาวร นั้นคือที่มาของการทำ “ภาระกิจคิดเผื่อ” องค์ความรู้ที่ทำขยายมาสู่ประชาชนภายนอก
ด้วย AIS ชื่อว่าเมืองไทยไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ คนที่อยู่ในภูมิภาคย่อมต้องการองค์ความรู้ ซึ่งสิ่งที่ยากที่สุดคือการเข้าถึง ต้องเสียเงิน ต้องไปประสาน ที่ผ่านมาการสัมมนาให้ความรู้ใหญ่เกิดในกรุงเทพฯ เป็นหลัก แต่สิ่งที่สวยงามที่สุดของสังคมไทยคือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ดังนั้น จึงตัดสินใจขยับไปสู่ภูมิภาค
และนั้นคือที่มาของการจัดงาน “AIS ACADEMY for THAIs : to the Region องค์ความรู้ สู่ภูมิภาค” ครั้งแรกจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมปรับในการเปลี่ยนธุรกิจ (Business Transformation) และถ่ายทอดเคล็ดลับนอกตำราเรียนจากประสบการณ์ตรงในการนำ Big Data มาช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เติบโต
อย่างไรก็ตาม เมื่อ “ข้อมูล” เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้ในการรับมือ “Disruption” จากหัวข้อในงานทั้งหมด Positioning จึงขอสรุปใจความสำคัญของสัมนาในหัวข้อ “Data ขุมทรัพย์เอาชนะ Disruption” มาเล่าสู่กันฟัง
โดยผู้ร่วมให้ข้อมูลมี 4 คนได้แก่ สาโรจน์ ปุญญพัฒนกุล Solution Architect, Amazon Web Services – อนันต์ แก้วร่วมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม – นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหารสำนักข่าว The Standard และ ดร.กวิณพงศ์ ฉัตรานนท์ Head of Data Management & Big Data Analytic, AIS
แกนหลัก 5 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนนำ Data มาใช้งานคือ หนึ่ง “ลูกค้าเป็นใคร” ขาจรหรือขาประจำ สอง “ยอดขาย” ขายดีจากอะไร สาม “สินค้า” ขายแบบเดิมดีแล้วหรือต้องมีปรับปรุงอะไรเพิ่มเติม สี่ “การผลิตและการบริการ” ถ้าไม่ดีหรือช้าก็ต้องปรับปรุง สุดท้าย “กำไร – ขาดทุน” ซึ่งปรกติร้านค้า SME จะรู้วันต่อวันอยู่แล้ว
เหล่านี้เป็น Data ที่คนจัดการธุรกิจต้องรับรู้ไม่ใช่รู้แค่เจ้าของ ตัวอย่างเช่น มีอาแปะเปิดร้านขายกาแฟ จำได้หมดว่าลูกค้าชื่นชอบรสชาติแบบไหน นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวอาแปะ แต่ถ้าเกิดแกเสียชีวิตข้อมูลเหล่านี้จะหายไปหมดเลย จึงต้องมีการกลั่นข้อมูลออกมาเพื่อที่ว่าคนบริหารต่อจะสามารถใช้งานได้ด้วย
Data ไม่ใช่เรื่องไกลตัว สิ่งสำคัญต้องรู้ก่อนว่า จะเอา Data ไปทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการกลัดกระดุมผิดจุด ซึ่งนี่เป็นเรื่องของกลยุทธ์ขององค์กร ผู้บริหารต้องเห็นความสำคัญของข้อมูล
ต่อมาเป็นของ “คน” ต้องพัฒนาทั้งคนเก่าและคนใหม่ อย่าไปนึกว่าคนรุ่นเก่าจะทำไม่ได้ ต้องมั่นใจกับพวกเขา อีกสิ่งคือพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งจุดนี้จะทำให้สามารถเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ “AIS ACADEMY for THAIs : to the Region องค์ความรู้ สู่ภูมิภาค” ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น เป็นหัวข้อที่ว่าด้วยเรื่อง “สมาร์ทซิตี้”
]]>กิจกรรมส่วนใหญ่ใช้ใช้งานกันคือ Social Media 86.9% , ค้นหาข้อมูล 86% , รับส่ง Email 70% , ดูทีวี วิดีโอออนไลน์ 60% และช้อปปิ้งออนไลน์ 50.8%
จากการติดตามพฤติกรรมผู้บริโภค “ดันน์ฮัมบี้” ได้เก็บข้อมูลในการใช้จ่ายจากฐานข้อมูล สมาชิก “คลับการ์ดของเทสโก้ โลตัส 15 ล้านราย ซึ่งคิดเป็น 22% ของครัวเรือนทั่วประเทศไทยทำให้พบว่า Big Data มีความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมาก
โดยเฉพาะการวิเคราะห์พฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคแบบเฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น ทั้งการซื้อสินค้าระหว่างช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ ประเภทสินค้าที่ซื้อ ยอดการใช้จ่าย ความถี่ เพื่อทำให้การคิดค้นคอนเทนต์ กลยุทธ์การตลาด ตลอดจนโปรโมชั่นให้เป๊ะปังสำหรับแต่ละคน (Personalize) ได้แม่นยำยิ่งขึ้น ประกอบไปด้วย
1. พฤติกรรมการซื้อสินค้าระหว่างช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ หรือทั้งสองช่องทางร่วมกันที่โตขึ้น 43%
2. ประเภทสินค้าในการซื้อ รวมถึงจำนวน ยอดการใช้จ่ายต่อครั้ง การซื้อที่เปลี่ยนไป และความถี่ในการซื้อ
3. การเข้าถึงโซเชียลมีเดียของผู้บริโภค เพื่อนำไปประมวลผลเลือกใช้สื่อโฆษณาได้อย่างแม่นยำ และเป็นแบบการวางแผนใช้สื่อเฉพาะรายบุคคลมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้สื่อแบบมิกซ์ระหว่างอินสโตร์กับดิจิตอลมีเดีย ในรูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์ และคูปองให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งในอนาคตยังสามารถคาดการณ์พฤติกรรมผู้บริโภคได้ด้วย
ดันน์ฮัมบี้แบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นสามกลุ่มใหญ่หลักๆ โดยเมื่อดูจากช่องทางการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคของลูกค้าแล้ว คือ กลุ่มลูกค้าที่ซื้อจากร้านค้า กลุ่มลูกค้าที่ซื้อของออนไลน์ และกลุ่มลูกค้าที่ซื้อจากทั้งสองช่องทาง
• กลุ่มซื้อสินค้าออนไลน์ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรายได้สูง มีสัดส่วน 63% ของคนที่ซื้อออนไลน์ทั้งหมด กลุ่มนี้จะพิจารณาราคาและคุณภาพสินค้าก่อนซื้อ (Mid Market) มองหาสินค้าเฉพาะไม่ซ้ำใคร
• กลุ่มคนซื้อสินค้าในร้าน คิดเป็นสัดส่วน 53% ของคนที่ซื้อจากร้านค้าทั้งหมด กลุ่มนี้มีรายได้ปานกลาง ซื้อเพราะมีความอ่อนไหวต่อราคา ชอบโปรโมชั่น (Price Sensitive)
• กลุ่มที่ซื้อสินค้าจากทั้งสองช่องทาง มีสัดส่วน 56% เป็นกลุ่มรายได้สูง ตัดสินใจซื้อจากคุณภาพสินค้า (Up Market)
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าถึงลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง ผ่านกลยุทธ์การสื่อสารและโฆษณาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะและพฤติกรรมที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละราย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากบิ๊กดาต้าจึงมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์การสื่อสารและโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ
ดันน์ฮัมบี้เชื่อว่าร้านค้าในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่จะยังคงมีบทบาทสำคัญสำหรับลูกค้าชาวไทย และสื่อโฆษณา ณ จุดขายมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าที่จัดขายเพิ่มมากขึ้น
“ยอดขายช่องทางออฟไลน์ไม่ตก แต่ผู้บริโภคมีการ Shift ไปออนไลน์มากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเสื้อผ้า ยังไม่ใช่ของกินของใช้ หรือGrocery ดังนั้นช่องทางค้าปลีก โฆษณา ณจุดขายก็ยังสำคัญ” ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ประธานกรรมการผู้จัดการฝ่ายการพาณิชย์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ดันน์ฮัมบี้ จำกัด
โดยจากผลการวิจัยพบว่า กลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าและเห็นโฆษณาทั้งที่ร้านค้าและผ่านทางออนไลน์นำคูปองส่วนลดมาซื้อสินค้าที่ร้านค้ามากกว่า 43% เมื่อเทียบกับอัตราการนำคูปองส่วนลดมาซื้อสินค้าของลูกค้าที่ซื้อสินค้าและเห็นโฆษณาผ่านทางช่องทางเดียว
“สื่อดิจิทัล” ทำให้ Customer Journey ของลูกค้ามีความซับซ้อนกว่าเดิม ถึงแม้ลูกค้าจะตัดสินใจมาแล้วจากบ้าน แต่ถ้าหน้าเชลฟ์ถ้าเห็นโปรโมชั่นแรงๆ ก็พร้อมจะเปลี่ยนแบรนด์ (Switching Brands) ได้ทันที
สะท้อนว่าสื่อโฆษณา ณ จุดขายมีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า ในขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นของช่องทางการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ในประเทศไทย ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคในการเชื่อมต่อกับลูกค้าผ่านสื่อดิจิทัล
แต่สิ่งที่สำคัญ คือการใช้กลยุทธ์การสื่อสารและโฆษณาที่เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ด้วยการทำความเข้าใจในพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าใน Customer Journey ขั้นตอนต่างๆ ของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างลึกซึ้ง โดยมี Big Data เป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อที่ว่าแบรนด์จะได้สื่อสารกับลูกค้าได้ตรงจุดที่สุด.
]]>