Canon – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 28 Aug 2024 13:22:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อีเวนต์-ท่องเที่ยวฟื้น ดันตลาด ‘กล้อง’ โตตาม ‘แคนนอน’ พร้อมส่ง 2 รุ่นเรือธงใหม่ หวังเพิ่มแชร์เป็น 40% https://positioningmag.com/1487812 Wed, 28 Aug 2024 13:15:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487812 นับตั้งแต่ตลาด กล้องถ่ายภาพ ที่หดตัวหนักสุดในช่วงที่ COVID-19 ระบาด แต่หลังจากการระบาดคลี่คลาย ตลาดก็เริ่มกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง โดยผู้นำในตลาดอย่าง CANON ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ พร้อมออกสินค้าใหม่ราคาหลักแสนลุยตลาดช่วงโค้งสุดท้ายถึง 2 รุ่น

กล้องฟื้นตามตลาดอีเวนต์

เนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด คาดการณ์ว่า ภาพรวมตลาดกล้องปี 2024 ในด้านจำนวนยูนิตจะเติบโต +15% รวม 90,000 ตัว ในแง่ของมูลค่าคาดว่าจะเติบโต +25% แตะ 3,000 ล้านบาท โดยปัจจัยหลัก ๆ คือ การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี ที่ถูกแทนที่โดยกล้อง Mirrorless ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของตลาดทั้งหมด หรือประมาณ 60,000 ตัว ขณะที่กล้องคอมแพคมีสัดส่วนอยู่ที่ 5% ส่วนกล้อง DSLR เหลือสัดส่วนเพียง 5%

อีกปัจจัยที่สร้างการเติบโตให้ตลาดคือ การกลับมาของ งานอีเวนต์ ต่าง ๆ ทำให้กลุ่ม มืออาชีพ เริ่มอัปเกรดกล้องเพื่อใช้ต่อยอดในการทำงาน รวมถึงการเติบโตของเหล่า ครีเอเตอร์ และ ภาคการท่องเที่ยว ที่ให้มีการเติบโตในกลุ่มของลูกค้าใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน

“ตอนนี้กล้อง Mirrorless กำลังมาแทนที่ DSLR เพราะดีกว่าทั้งคุณภาพ น้ำหนัก ความสะดวก เพราะเป็นตัวที่ยังพัฒนาเทคโนโลยีไปได้ในอนาคต ส่วนคอมแพคยูนิตทรง แต่มูลค่ายังไปได้ เพราะตลาดครีเอเตอร์”

ฮิโรชิ โยโกตะ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร และ นางสาวเนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด

วางเป้าเพิ่มแชร์เป็น 40%

ปัจจุบัน ตลาดกล้องผู้เล่นหลักในตลาดประมาณ 4 แบรนด์ โดย 2 ใน 4 แบรนด์ยอดตกเล็กน้อย ขณะที่แคนนอนยังสามารถเติบโตได้ 10% ในปีที่ผ่านมา และยังคงครองตำแหน่ง เบอร์ 1 ในตลาดด้วยส่วนแบ่ง 35% โดยปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 40% โดยได้เปิดตัวกล้อง 2 รุ่น ล่าสุด ได้แก่ EOS R1 และ EOS R5 Mark II เพื่อจับกลุ่มช่างภาพมืออาชีพ 

“ตอนนี้การแข่งขันจะเน้นไปที่ตลาด Mirrorless Full Frame เริ่มเห็นว่าลูกค้าจะเริ่มขยับไปใช้รุ่นที่ดีกว่า โดยตอนนี้รุ่นที่ขายดีที่สุดของเราคือ R6 Mark II ราคา 82,000 บาท”

แคนนอนมั่นใจโตได้ทุกกลุ่ม

ที่ผ่านมา การเติบโตของแคนนอนมาจากทุกเซกเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ (Beginer) กลุ่มมืออาชีพ และกลุ่มที่ ย้ายค่าย โดย เนตรนรินทร์ มองว่า มาจากแคนนอนมีกลุ่มสินค้าทั้งหมด 14 รุ่น สามารถตอบสนองทุกกลุ่มลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงมืออาชีพ และด้วยฟีเจอร์ของกล้องใหม่ ๆ ที่ออกมาตอบโจทย์การใช้งาน ทำให้ได้กลุ่มลูกค้าที่ย้ายค่ายมาด้วย รวมถึงพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง

“ความยากของตลาดกล้องคือ ความลอยัลตี้สูง เพราะต้องใช้แต่ Ecosystem ของแบรนด์นั้น ๆ ดังนั้น ถ้าเราทำให้เขาเปลี่ยนแบรนด์ได้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ซึ่งเราเชื่อว่าที่เขาย้ายเพราะคุณภาพสินค้า บางคนอาจติดเรื่องราคา แต่เรามองว่ามันเป็นเรื่องที่แก้ได้”

ย้ำ ไม่ขายแข่งกับดีลเลอร์

เนตรนรินทร์ ย้ำว่า แคนนอนไม่ขายของแข่งกับดีลเลอร์ ดังนั้น ช่องทางการขายของแบรนด์จะมาจากพาร์ทเนอร์ดีลเลอร์เป็นหลัก และการให้โปรโมชั่นจะเท่ากันทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของแต่ละร้านเอง 

“เราต้องทำให้พาร์ทเนอร์ขายของดีขึ้น ไม่ได้ไปขายแข่ง อย่างช่องทางออนไลน์เขาก็ขายกันเอง แต่จะไปขายถูกกว่าราคาหน้าร้านหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละร้านจะบริหารจัดการอย่างไร แต่เราเห็นว่าหลายร้านทำยอดได้ดีมากเมื่อถึงช่วงแคมเปญอีคอมเมิร์ซ”

กำลังซื้อหดไม่กระทบ

เนตรนรินทร์ ทิ้งท้ายว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ตลาดกล้องยังเติบโตได้ เพราะต้องยอมรับว่าบางคน ใช้กล้องประกอบอาชีพ ดังนั้น งานอีเวนต์ที่กลับมาคึกคัก การท่องเที่ยวที่ฟื้นกลับมา หรือการเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้กล้องจึงถูกซื้อไปใช้งาน ขณะเดียวกันแคนนอนเองก็ทำการตลาดผ่านการท่องเที่ยว โดยร่วมกับททท. นอกจากนี้ ยังได้เป็นสปอนเซอร์ให้กับทีม Bangkok United ในไทยลีก

“อย่างกล้อง  EOS R1 ตัว Flagship ราคา 235,900 บาท ก็มียอดจองเกิน 100 ตัว ส่วน EOS R5 Mark II ราคา 147,900 บาท ก็มียอดจองเกิน 200 ตัว แสดงให้เห็นว่ากำลังซื้อไม่มีผลกับสินค้ากลุ่มนี้”

สำหรับกล้อง EOS R1 ราคา 235,900 บาท เป็นกล้องเรือธงระดับมาสเตอร์สำหรับมืออาชีพ โดยมีจุดเด่นทั้งความเร็วและฟีเจอร์ครบครัน ทั้งความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่อง ความเร็วในการโฟกัส รวมถึงความเร็วในการถ่ายโอนไฟล์ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับมืออาชีพที่เน้นเรื่องความรวดเร็วในการทำงานเป็นหลัก เช่น การถ่ายการแข่งขันกีฬา ชีวิตสัตว์ป่า รวมถึงงานข่าว

ส่วน EOS R5 Mark II ราคา 147,900 บาท กล้องมิเรอร์เลสไฮบริด ที่มีความโด่นเด่นในเรื่องความละเอียด แบบ High Resolution ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว พร้อมฟังก์ชันด้านวิดีโอ เพื่อให้เป็นที่สุดของ VDO performance รองรับกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการผลงานคุณภาพสูง โดยเฉพาะกลุ่มงานเวดดิ้ง งานผลิตวิดีโอเชิงพาณิชย์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ไปจนถึงช่างภาพอาชีพทุกสาย

]]>
1487812
ตลาดกล้องยังไม่ตาย! ‘แคนนอน’ ชี้ ‘ครีเอเตอร์’ คือน่านน้ำใหม่ พร้อมวางเป้าเติบโต 20% https://positioningmag.com/1425989 Mon, 03 Apr 2023 06:12:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425989 ย้อนกลับไปปี 2019 ก่อนที่โลกจะเจอกับการระบาดของ COVID-19 ตลาด กล้อง มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 6,500 ล้านบาท มียอดขายประมาณ 230,000 เครื่อง แต่ในปี 2022 ที่ผ่านมา มูลค่าของตลาดก็ลดลงเหลือเพียง 3,000 ล้านบาท มียอดขายประมาณ 95,000 เครื่องเท่านั้น แต่ แคนนอน (Canon) ก็ยังเชื่อว่า ตลาดยังไม่ตาย และน่านน้ำใหม่ก็คือ ครีเอเตอร์

ตลาดยังไม่ตายแต่ไม่โต

ตลาดกล้อง ถือเป็นอีกตลาดที่ถือเป็นช่วงขาลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่การมาของสมาร์ทโฟนที่ประสิทธิภาพของกล้องนับวันจะดีมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อภาคการท่องเที่ยว ที่ถือเป็นอีกปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาดยังหายไปนับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่มูลค่าตลาดกล้องจะหายไปเกินครึ่ง อย่างไรก็ตาม เนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เชื่อว่า ตลาดคงไม่ตกต่ำไปกว่านี้แล้ว

โดยสิ่งที่ช่วยพยุงตลาดในตอนนี้ก็คือ กล้อง Full Frame โดยในปีที่ผ่านมาเป็นกลุ่มเดียวที่ยังเติบโตได้ถึง 11% ขณะที่ปี 2023 ทาง GFK คาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 6% นอกจากนี้ การท่องเที่ยวที่กลับมาเติบโตก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดยังคงประคองตัวได้ เพราะกล้องเป็นสินค้าแรก ๆ ที่คนอยากอัปเกรดเมื่อจะไปท่องเที่ยว

“ตลาดมันลดมานานจนถึงจุดที่มันนิ่งเเล้ว อย่างกล้องคอมแพคก็ถูกแทนที่โดยมือถือ ส่วนกล้อง DSLR คนก็อัปเกรดไปใช้ Full Frame ทำให้มูลค่าตลาดตกน้อยกว่าจำนวน เพราะมีราคาสูงกว่า แต่แม้ตลาด Full Frame ยังเติบโตได้ แต่คงจะโคเวอร์ตลาดไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้น ตลาดกล้องปีนี้เราคาดว่าตลาดยังทรงตัว”

ครีเอเตอร์ น่านน้ำใหม่ของตลาด

ด้วยการเติบโตของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะเห็นว่ามี อินฟลูเอนเซอร์ หรือ ครีเอเตอร์ หน้าใหม่เกิดขึ้นมาทุกวัน ซึ่งแคนนอนมองว่าครีเอเตอร์เป็น บลูโอเชี่ยน ของตลาดกล้อง ซึ่งแคนนอนก็ต้องการจะเจาะกลุ่มครีเอเตอร์ที่ต้องการ อัปเกรดจากสมาร์ทโฟนมาใช้งานกล้อง เพราะถึงแม้ว่าการใช้สมาร์ทโฟนจะสะดวกแต่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง

โดย เนตรนรินทร์ มองว่า เห็นเทรนด์การเติบโตของครีเอเตอร์ตั้งแต่ก่อนโควิด ที่คนไทยเปลี่ยนจากแค่ถ่ายรูปมาเป็นถ่ายคลิป จนนำไปสู่การแชร์และเกิดเป็นการสร้างรายได้

“แน่นอนว่ากล้องมือถือมันสะดวก แต่ลูกค้าที่ซื้อกล้องเพราะฟีเจอร์มันตอบโจทย์สิ่งที่มือถือไม่มี โดยเราเชื่อว่ามีไม่น้อยกว่า 30% ของครีเอเตอร์ที่ใช้สมาร์ทโฟนทำคอนเทนต์เป็นหลัก และสำหรับคนที่เริ่มสร้างรายได้จากคอนเทนต์ได้ เขาก็อยากจะอัปเกรดอุปกรณ์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพิ่มคุณภาพของคอนเทนต์”

ส่งกล้อง 2 รุ่นใหม่จับตลาดเอนทรี่-มิดไฮ

ล่าสุด แคนนอนได้เปิดตัวกล้อง 2 รุ่น ได้แก่ EOS R8 และ EOS R50 สำหรับจับกลุ่มครีเอเตอร์ พร้อมออกแคมเปญ You ‘R Creator ใช้งบการตลาดที่ 50 ล้านบาท

โดย EOS R8 เป็นกล้อง Mirrorless Full Frame เน้นการใช้งานมืออาชีพ บันทึกวิดีโอคุณ 4K 60P ได้แบบไม่ครอป มีฟังก์ชัน Auto Focus detect only ช่วยให้ภาพวิดีโอดูเนียนตา โฟกัสไม่หลุดแม้เดินเข้า-ออกจากเฟรมภาพ โดยราคากล้องเปล่าอยู่ที่ 56,590 บาท และพร้อมเลนส์ RF24-50mm f/4.5-6.3 IS STM ที่ 64,790 บาท

ส่วน EOS R50 จะจับตลาดครีเอเตอร์กลุ่มเริ่มต้นที่อยากอัปเกรดจากการใช้สมาร์ทโฟนถ่ายคอนเทนต์มาเป็นกล้อง เหมาะสำหรับทำ Live Streaming Blogger และ Vlogger โดยสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อไลฟ์ได้โดยไม่ต้องลงแอปพลิเคชัน, ใช้ทัชสกรีนหาจุดโฟกัส เป็นต้น โดยราคาจะเริ่มต้นที่ 28,990 บาท มีสีขาวและดำ

“ราคาสินค้าที่ขายดีจะอยู่ประมาณ 30,000-90,000 บาท ดังนั้น ตัวเริ่มต้นราคาประมาณ 2 หมื่นไม่เกิน 3 หมื่น เรามองว่าเป็นราคาที่ลูกค้ามีกำลังจ่ายได้”

วางยอดขายโต 20%

สำหรับยอดขายทั้ง 2 รุ่นใหม่ แคนนอนวางไว้ที่ 6,000 เครื่อง พร้อมวางเป้ายอดขายทั้งปี เติบโต 20% ปัจจุบัน รายได้จากกล้องคิดเป็นประมาณ 25% ของรายได้รวม หรือราว 800 ล้านบาท

“เราจะไม่ทำสงครามราคา เพราะมองว่าไม่ยั่งยืน อย่างในตลาดตอนนี่้เทียบคู่แข่งเราไม่ได้ถูกกว่า แต่มั่นใจว่าคุ้มค่าการจ่าย โดยรุ่น EOS R50 เราต้องการจะไปแทนที่การใช้สมาร์ทโฟน เพราะเรามองว่ามันยังมีข้อจำกัด เราเลยทำฟีเจอร์ที่แทนที่ข้อจำกัดของการใช้กล้องสมาร์ทโฟน ส่วน EOS R8 จะมาเพื่อรักษาความแข็งแรงของกลุ่ม Full Frame” เนตรนรินทร์ ทิ้งท้าย

]]>
1425989
‘แคนนอน’ ทุ่มทุน 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มการผลิต ‘แผ่นเวเฟอร์ผลิตชิป’ 2 เท่า https://positioningmag.com/1403586 Fri, 07 Oct 2022 04:53:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403586 หากพูดถึง แคนนอน (Canon) ภาพจำของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นเรื่อง กล้องถ่ายภาพ แต่จริง ๆ แล้วแคนนอนนั้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิต อุปกรณ์พิมพ์แผ่นเวเฟอร์สำหรับทำชิป ขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนชิป ทางแคนนอนเลยถือโอกาสเพิ่มกำลังการผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวอีก 2 เท่า

หลายคนไม่รู้ว่า แคนนอน ถือเป็นผู้จำหน่าย อุปกรณ์พิมพ์แผ่นเวเฟอร์สำหรับทำชิป ราว 30% ของโลก ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของ ASML ซึ่งเป็นคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุด Intel และ Taiwan Semiconductor โดยปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานผลิตสองแห่งสำหรับอุปกรณ์การพิมพ์หินเซมิคอนดักเตอร์ในญี่ปุ่น แห่งหนึ่งในเมืองโทจิงิ และอีกแห่งในจังหวัดอิบารากิ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของโตเกียว

ล่าสุด บริษัทได้เปิดเผยว่ามีแผนจะลงทุน 5 หมื่นล้านเยน หรือราว 1.3 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มการผลิตอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ หรือ อุปกรณ์การพิมพ์หินเซมิคอนดักเตอร์เป็น 2 เท่า ในญี่ปุ่น โดยบริษัทวางแผนที่จะเริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเมืองอุตสึโนมิยะ จังหวัดโทจิงิ ในปี 2023 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2025 นอกจากนี้ บริษัทกำลังพิจารณาที่จะผลิตอุปกรณ์รุ่นต่อไป ซึ่งสามารถผลิตชิปได้ในต้นทุนที่ต่ำลงในโรงงานแห่งนี้

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเร่งรีบลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อพยายามแก้ปัญหาการขาดแคลนชิปทั่วโลก และสร้างซัพพลายเชนที่พึ่งพาจีนน้อยลง ซึ่งปัจจุบันตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเพิ่งมีมูลค่าทะลุ 5 แสนล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรก และคาดว่าจะถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะขายอุปกรณ์ดังกล่าวจำนวน 180 เครื่องในปีนี้ เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 4 เท่า เมื่อเทียบกับยดอขายเมื่อ 10 ปีที่เเล้ว

Source

]]>
1403586
Canon ปรับเกมรับมือตลาดกล้องแข่งโหด ส่ง “EOS RP” รุ่นเล็กอุดช่อง mirrorless ฟูลเฟรม https://positioningmag.com/1216040 Sun, 24 Feb 2019 09:57:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1216040 สมาร์ทโฟนทำให้ชาวดิจิทัลถ่ายรูปสวยโดนใจได้ง่ายด้วยการแตะหน้าจอไม่กี่ครั้ง ภาวะนี้ทำให้ผู้เล่นในตลาดกล้องต้องหาทางรอดไม่ให้ถูกกลืนหายไป Canon เป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มนี้ บนความเชื่อว่ายังมีโอกาสงามรออยู่เสมอในตลาดกล้องทั่วโลก

ก่อนหน้านี้ Canon ฉลองอายุ 30 ขวบสินค้ากลุ่ม EOS ด้วยยอดขายเกิน 90 ล้านเครื่องสำหรับสินค้าตระกูลเดียว แต่หากมองในมุมกล้อง DSLR เจ้าพ่ออย่าง Canon ถือว่ามาช้ากว่าใคร จุดนี้ Canon ยอมรับว่าเป็นเพราะปรัชญาของบริษัทที่เน้นหยั่งเสียงความต้องการของผู้บริโภคแบบระยะยาว ทำให้ต้องมองถึงฟูลไลน์ของทั้งไลน์สินค้า ทำให้ DSLR ของ Canon ลงตลาดช้ากว่าค่ายอื่น

แต่แม้จะมาช้า Canon ก็เป็นแชมป์ในตลาด DSLR ไทยต่อเนื่อง 12 ปี คาดว่าจะเป็นแชมป์ต่อไปอีกในปี 2018-2019

ทั้งหมดนี้ นิฐิวัฒน์ วัจนวรานันท์ หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ คอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง (Imaging Consumer Product) บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ย้ำว่า การเปิดตัวสินค้าใหม่ของ Canon จะไม่ดูเฉพาะแค่กล้องหรือเลนส์ แต่จะมองถึงแอคเซสซอรี่อื่นที่จะตามมาด้วย ดังนั้นแม้วันนี้ Canon จะหันมาเอาจริงเอาจังกับสินค้ากลุ่ม mirrorless มากขึ้น แต่ Canon ก็จะไม่ทิ้งตลาดเดิม ด้วยการออกสินค้ากลุ่มตัวแปลงหรืออะแดปเตอร์ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผู้ใช้ EOS เดิม

“Canon กำลังสร้างอีโคซิสเต็มส์ในกลุ่มคนใช้แคนนอน ลูกค้าที่ซื้อ DSLR จะใช้อุปกรณ์เสริมของ EOS ได้ด้วยผู้บริหารระบุ  “ถามว่า Canon เอาจริงเอาจังกับ mirrorless แค่ไหน เรื่องนี้ต้องย้อนถึงคำให้สัมภาษณ์ของท่านประธาน Canon ที่ญี่ปุ่น ว่าตลาดกล้องจะหด 50% ในช่วง 3-4 ปีนี้จะเห็นว่ากลุ่มที่ลดลงคือกลุ่มเริ่มต้น สมาร์ทโฟนเข้ามาแทนตลาดนี้ ลดลงอย่างน่าใจหาย

ผู้บริหาร Canon มั่นใจว่าตลาดกล้องอีก 50% ที่เหลืออยู่คือตลาดที่แน่น กลุ่มนี้คือกลุ่มฟูลเฟรมที่มีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ แนวโน้มนี้ทำให้ชัดเจนว่ากล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ขนาดเล็กจะไม่ได้รับความนิยมแน่นอน

ดังนั้น Canon จะไปที่ฟูลเฟรม แต่เราจะมีทั้ง mirrorless และ DSLR เรามองว่าแต่ละระดับราคาควรจะมีทั้ง EOS และ DSLR เพื่อเป็นทางเลือก ลองไปดูได้เลย เพราะ Canon จะวางไว้คู่กันทั้งหมด

ภาวะนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ Canon ออกกล้อง mirrorless ฟูลเฟรมในวันนี้ นั่นคือ EOS RP อาวุธใหม่นี้เป็นสิ่งที่ Canon เตรียมมาเพราะเห็นความต้องการของลูกค้าที่ต้องการฟูลเฟรม mirrorless โดย EOS RP เป็นรุ่นที่ 2 ของ Canon ในตระกูลกล้อง mirrorless ที่ใช้เซ็นเซอร์ฟูลเฟรมและสามารถใช้เลนส์ได้อิสระเหมือน EOS R รุ่นแรกที่มีราคาหลัก 6 หมื่นบาทขึ้นไป

EOS RP อุดช่องโหว่

EOS RP ถูกวางจุดยืนเป็น mirrorless ฟูลเฟรมรุ่นเล็กที่ Canon ส่งมาตอบตลาดด้วยราคา 48,900 บาท สามารถใช้เลนส์ตระกูล RF เหมือน EOS R และใช้ร่วมกับเลนส์เมาท์ EF, EF-S, MP-E และ TS-E ได้ผ่านอะแดปเตอร์ คาดว่าราคานี้จะโดนใจตากล้องผู้เริ่มต้นที่จะเริ่มขยับขยายขึ้นมาสู่ mirrorless แต่ยังไม่อยากจะขยับขึ้นไปถึงระดับ EOS R

รักพงษ์ ชลัษเฐียร ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ของ Canon กล่าวในงานเปิดตัว EOS RP ว่า เหตุผลที่ทำให้ EOS RP ถูกแจ้งเกิดเป็นเพราะ Canon มุ่งมั่นเรื่องคุณภาพการโฟกัสของกล้อง เนื่องจากช่างภาพทั่วโลกให้ความสำคัญกับโฟกัส ทำให้ Canon มุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาระบบโฟกัส Dual Pixel โดยมีการพัฒนาระบบจับตาหรือ eye detection ที่ปรับใหม่ให้รองรับภาพมุมกว้างมากขึ้น 

EOS RP มีความละเอียด 26.2 ล้านพิกเซล สูงสุดเมื่อเทียบกับกล้อง mirrorless ฟูลเฟรมรุ่นอื่นในตลาด น้ำหนักเบาไม่เกินขวดน้ำดื่มขนาด 500 มล โดยที่มีฟังก์ชันด้านวิดีโอครบ 

ราคาที่ลดลง แต่เราไม่ลดอะไรลงตามไปด้วย Canon ผลิตบอร์ดเซ็นเซอร์เอง ผลิตเลนส์เอง เราไม่ต้องเอาจากใคร แต่เราจะรู้วิธีการจัดการกับวัตถุดิบเราว่าทำอย่างไรให้ดี รวมถึงจุดเด่นของรุ่น R ก็ถูกรวมมาใน RP ด้วย คือกล้องสามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ที่อยูู่ในเลนส์ กล้องจะรู้ว่าเลนส์ที่ใช้อยู่ต้องปรับอะไรให้เข้ากันจึงจะสมบูรณ์แบบที่สุด นี่คือความเก่ง

ดูเหมือนว่า EOS RP หวังตอบโจทย์กลุ่มคนใช้กล้อง mirrorless เพื่อถ่ายวิดีโอ เพราะหนึ่งในจุดขายหลักของ EOS RP อยู่ที่การช่วยให้ผู้ถ่ายวิดีโอสามารถภาพจับหน้าบุคคลได้อัตโนมัติ ทำให้เมื่อถ่ายวิดีโอ ภาพคนจะอยู่ในโฟกัสตลอด แม้นางแบบจะขยับตัว กล้องก็จะโฟกัสที่ตา เรียกว่าโฟกัสได้แม้อยู่ในสถาการณ์ที่ไม่มีความนิ่งเลย

นอกจาก DNA ของ Canon เรื่องปุ่มหมุนหรือ Dial ยังคงจัดเต็มมาใน EOS RP ยังมีการสาธิตการทำงานของซอฟต์แวร์ซ้อนภาพสูงสุด 999 ช็อต เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดทั้งระนาบ คุณสมบัตินี้เหมาะกับงานถ่ายภาพสินค้าขนาดเล็กเช่นนาฬิกา หรือเครื่องประดับ ทำให้การทำภาพลักษณะนี้ทำได้ง่ายขึ้นแบบไม่ต้องจ้างมืออาชีพ

อีกจุดน่าสนใจคือการมีแอปพลิเคชั่นให้ช่างภาพส่งภาพผ่านบลูทูธด้วยสมาร์ทโฟน โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเปิดกล้องหรือหยิบกล้องออกจากกระเป๋าเดินทาง ทั้งหมดนี้ผู้บริหารย้ำว่ากลุ่มเป้าหมายของ Canon ไม่ได้เน้นเฉพาะกลุ่มครีเอเตอร์หรือพ่อค้าแม่ขายบนออนไลน์ แต่ทุกอย่างพัฒนาขึ้นเพื่อให้กล้องตัวนี้ใช้งานง่าย ซึ่งเหมาะกับทุกคนไม่เฉพาะครีเอเตอร์ นักเดินทาง หรือคนที่ชอบแชร์

ได้หน้าไม่ลืมหลัง

“Canon เราจะทำทั้ง DSLR และ mirrorless เราจะมีกลุ่มกลาง มีฟูลเฟรม สิ่งที่เรามองคือฟูลเฟรมโตอย่างมาก ถ้ามองลักษณะการบริโภค Entry ลดลงแต่ตลาดกลางและสูงนั้นโตมาก เราจึงมีทั้ง R และ RP ถ้าถามว่าอนาคตฟูลเฟรมจะเป็นอย่างไร Canon ก็จะมองทั้ง 2 ค่าย ตรงนี้ถือว่าน่าแปลกใจเพราะตอนแรก เรามองว่า DSLR จะด้อยลงเมื่อออกฟูลเฟรม แต่พบว่าไม่กระทบเลย ถือว่าน้อยมาก การที่ตลาด DSLR ไม่ลดลงเลยแปลว่าลูกค้ายังมองหา ถือว่าเหนือความคาดหมาย นิฐิวัฒน์ระบุ

นิฐิวัฒน์ย้ำว่า Canon ไม่ได้รับกระทบจากตลาดกล้องคอมแพกต์ที่หดหายไป โดยบอกว่า Canon เป็นบริษัทเดียวที่มีสัดส่วนกล้องคอมแพกต์อยู่ที่ 10-15% เท่านั้น เมื่อกล้องกลุ่มกลางหรือมิดเรนจ์ ขยายตัวจึงเป็นประโยชน์กับ Canon เบื้องต้นประเมินว่าการเติบโตของมิดเรนจ์นั้นเกิน 2 เท่า

กลุ่มที่มาใช้กล้องระดับกลางเพิ่มขึ้นเป็นลูกค้ากลุ่มใหม่ แต่ฟูลเฟรมคือกลุ่มลูกค้าฐานเดิมบวกลูกค้าใหม่ สำหรับ EOS เป็นกล้องราคาสูง กลุ่มเป้าหมายหลักคือมืออาชีพซึ่งเราครองตลาดอยู่ จึงเป็นข้อได้เปรียบ เราจะใช้ความได้เปรียบนี้ในการทำตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่จึงจะไม่ทิ้งลูกค้าเดิม บางคนถ่ายภาพเป็นอาชีพ บางคนเป็นงานอดิเรก เลนส์ก็ใช้ได้นาน การออกแบบพร้อมอะแดปเตอร์จะช่วยเรา

Canon ยังมองว่าสมาร์ทโฟนช่วยสร้างวัฒนธรรมการถ่ายภาพ เพราะก่อนนี้ 7-8 ปีที่แล้ว ประชากรโลกเพียงครึ่งเดียวที่มีกล้องใช้งาน สัดส่วนคือ 0.5 ตัวต่อครัวเรือน วันนี้ Canon ได้เห็นการถ่ายภาพที่แพร่หลายมากขึ้น ซึ่งพัฒนาจากคนที่ชอบถ่ายภาพทางมือถือ แล้วพัฒนามาเป็นงานอดิเรก

สำหรับปีนี้ Canon ย้ำว่าแผนการลงทุนในไทยจะเน้นที่การเพิ่มความแข็งแกร่งในตลาดมิดเรนจ์ถึงฟูลเฟรม กลุ่มเป้าหมายจะเน้นที่กลุ่มถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก คาดว่าจะมีเวิร์กช็อปเทรนนิ่งบ่อยขึ้น รวมถึงการเจาะกลุ่มนักศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทผ่านสื่อออนไลน์ โดยลูกค้ากลุ่มมือโปรและกลุ่มอดิเรกจะเจาะเข้าคอมมูนิตี้ เบื้องต้นไม่เปิดตัวเลขงบลงทุนไทยปีนี้

ความท้าทายของปีนี้คือการแข่งขัน ตลาดรวมลดลง ทำให้แบรนด์ระดับ entry ต้องยกตัวเองขึ้นมา กลุ่มกลางก็จะทำราคาหนักขึ้น โปรโมชั่นจะรุนแรงมาก ขณะเดียวกันเศรษฐกิจที่ไม่ดีจะทำให้การใช้จ่ายลดลงชัดเจน ดังนั้นโจทย์ของเราคือมีดีมานด์อยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้เกิดการซื้อ ซึ่งจุดที่จะทำได้คือนวัตกรรม

ทั้งหมดนี้คือแผนของ Canon ในการรับมือภาวะแข่งโหดในตลาดกล้องทั่วโลก.

]]>
1216040
ถึงคราวยักษ์หลับต้องขยับตัว “Canon – Nikon” เปิดศึก Mirrorless Full Frame หลังจากปล่อยให้ “Sony” กินรวบมานาน https://positioningmag.com/1193157 Wed, 17 Oct 2018 23:08:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1193157 Thanakit

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีก่อนตอนที่ “Sony” ประกาศเปิดตัวกล้อง “Mirrorless Full Frame” ตัวแรกพร้อมกันถึง 2 รุ่นคือ “A7 และ A7R” ซึ่งวางคอนเซ็ปต์ตัวเล็ก จับถนัดมือ คล่องตัว ดีไซน์สวยงามแบบกล้อง Mirrorless พร้อมจัดเต็มเซ็นเซอร์แบบ Full Frame เหมือนกับกล้อง DSLR ที่สำคัญยังมาในราคาที่จับต้องได้อยู่ที่ราว 50,000 – 70,000 บาท เท่านั้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ถูกใจ “ช่างภาพมืออาชีพ” ที่ Sony อยากตีตลาดมาตลอด

เวลานั้นหลายคนปรามาสว่า Mirrorless Full Frame ของ Sony จะไปได้สักกี่น้ำ ด้วยเทคโนโลยีที่ใส่เข้ามาจะประสบความสำเร็จถึงขนาดดึงความสนใจของช่างภาพมืออาชีพได้หรือไม่? เพราะอย่างที่รู้กัน 2 ตัวเลือกแรกเวลาที่มืออาชีพจะซื้อกล้องตัวใหม่มีอยู่ 2 แบรนด์คือ “Canon และ Nikon” ที่กินรวบตลาดเกือบจะ 100% อีกทั้งยังทำได้ดีมาตลอดในตลาดนี้

แต่แล้วด้วยราคาที่จับต้องได้และสเปกที่อัดแน่น Sony ก็สามารถหักปากกาเซียนลงได้เป็นผลสำเร็จ เพราะตั้งแต่เปิดตัว Mirrorless Full Frame ก็ทำให้ Sony ครองเบอร์ 1 กล้อง Mirrorless ในสหรัฐฯ มานานถึง 6 ปีด้วยกัน ที่สำคัญเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2018 ที่ผ่านมา Sony ยังได้ประกาศข่าวที่สร้างความ “ช็อก” ให้กับ 2 แบรนด์ยักษ์

ด้วยการก้าวขึ้นเป็นแชมป์ยอดขายกล้อง Full Frame ในช่วงครึ่งปีแรก 2018 โดยบอกว่ากล้อง Full Frame 4 ใน 10 ตัวที่ขายใน “สหรัฐอเมริกา” ซึ่งเป็นตลาดกล้องมืออาชีพที่ใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลกถูกตีตราด้วยแบรนด์ Sony

“เมืองไทย” ก็ไม่ได้หนีจาก “ตลาดโลก”

สถานการณ์เช่นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในตลาดโลกเท่านั้น ตลาดในเมืองไทยก็ไม่ได้ต่างกันมากนักเพราะกลุ่มกล้อง Mirrorless ที่มีราคาตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท ซึ่งคิดเป็นยอดขายราว 22,000 เครื่องต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 15% ในแง่มูลค่า Sony ได้กวาดส่วนแบ่งไปมากกว่า  80% ด้วยกัน

แน่นอนความสำเร็จของ Sony ไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่เกิดจากยอดขายของ Mirrorless Full Frame กับความใจป้ำของ Sony ที่ยอมอัดสเปกและหั่นราคาทำให้ถูกใจช่างภาพมืออาชีพที่ต้องการกล้องมาไว้ใช้สำหรับถ่ายงานที่ไม่จำเป็นต้องจริงจังมาก อีกทั้งยังสามารสร้างแรงดึงดูดให้กับเหล่ามือสมัครเล่นที่มีอำนาจในการจ่ายให้เข้าถึง Sony อีกด้วย

ขณะเดียวกันหลายคนก็จับตาว่า “Canon และ Nikon” จะวางแผนการโต้กลับอย่างไร จะปล่อยไว้อย่างนี้คงไม่ดีแน่ๆ เพราะยิ่งนานไปฐานลูกค้าก็มีโอกาสเปลี่ยนใจหันไปซื้อกล้องของ Sony ถึงทั้งคู่จะมีความเห็นที่ตรงกันว่า

“ถึงตลาดกล้องในเมืองไทย 60% จะถูกครองโดยกล้อง Mirrorless ส่วนกล้อง DSLR ที่เป็นฐานหลักของทั้ง Canon และ Nikon จะเหลือเพียง 30% เท่านั้น แต่ก็เชื่อว่ากล้อง Mirrorless จะไม่สามารถกินรวบกล้อง DSLR ได้ทั้งหมดแน่นอน เพราะถึงอย่างไรช่างภาพมืออาชีพก็ยังเลือก DSLR อยู่ดี”

ตีความหมายได้จากคำพูดนี้ง่ายๆ คือ ถึงแนวโน้มช่างภาพมืออาชีพจะหันไปสนใจ Mirrorless Full Frame มากขึ้น แต่กล้องรุ่นนี้ยังไม่ได้เหมาะกับทุกสถานการณ์ หากต้องถ่ายในงานที่ไม่สามารถมีข้อผิดพลาดได้เลย หรือกระทั่งการแข่งขันกีฬาที่ต้องจับภาพการแข่งขันที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว “DSLR” ยังถือเป็นตัวเลือกแรกอยู่ดี ส่วน Mirrorless Full Frame ซื้อมาสำหรับเป็นกล้องตัวที่ 2 เท่านั้น

มั่นใจใน “DSLR” แต่ก็ทั้ง “Mirrorless Full Frame”

แต่ถึงจะมั่นใจในกล้อง DSLR ของตัวเองก็ตาม แต่การจะปล่อยให้ Sony ทำตลาดใน Mirrorless Full Frame คนเดียวก็คงจะไม่ดีนัก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ 2 ยักษ์ที่หลับมานานก็ได้ขยับตัวบุก Mirrorless Full Frame เสียที เพราะถึงอย่างไรทั้ง Canon และ Nikon ยังคงได้เปรียบกว่า Sony ตรงที่มี “Brand Image” ของความเป็นมืออาชีพซึ่งหากใครจับก็จะได้ภาพลักษณ์เช่นนั้นติดไปด้วยต่างจาก Sony ที่ยังติดภาพของการเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า

ทีนี้ก็เหลือแต่ว่า Canon และ Nikon จะเข็น Mirrorless Full Frame ออกมาโดนใจช่างภาพมืออาชีพหรือเปล่า เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรสำหรับช่างภาพที่จะซื้อกล้องใหม่สักตัวด้วย Mirrorless มีขนาดที่เล็กกว่า DSLR เลนส์ที่มีหลายรุ่นจึงใช้ด้วยกันไม่ได้ จะขายของที่มีหรือซื้อใหม่ทั้งหมดก็ต้องใช้เงินหลักหลายแสนบาท

เรื่องนี้จึงไม่ได้จบแค่กล้อง 1 ตัว แต่ยังมีเรื่องเลนส์ที่ต้องคิดอีกจากการที่ช่างภาพแต่ละคนมักจะมีเลนส์อย่างน้อย 3-4 ตัวติดในกระเป๋า ช่วงราคาที่ซื้อก็มักจะอยู่ระหว่าง 30,000 – 80,000 บาท การแก้โจทย์จึงอยู่ที่ ต้องวางขายเมาท์อะแดปเตอร์ไปพร้อมกัน เพื่อสร้างตัวเลือกให้กับลูกค้า และไม่ต้องคิดมากจนเกินไปหากจะซื้อ Mirrorless Full Frame ของทั้งคู่

ไม่ต้องลุ้นให้มากความ Nikon พร้อมขาย “Z Series” แล้ว

NiKon บอกว่าได้จับตาดูความเปลี่ยนแปลงของตลาดกล้องเมืองไทยในช่วง 3 ปีมานี้อย่างใกล้ชิด โดยมองว่า Mirrorless ได้ผ่านจุดที่พีคที่สุดไปแล้ว เนื่องจาก Mirrorless เริ่มมีสัดส่วนที่เล็กลงไป ส่วน DSLR เริ่มมีมากขึ้น หากผ่านช่วงนี้ไปในที่สุดสิ่งที่เหลืออยู่จะเป็นดีมานด์ที่แท้จริงของตลาด

แต่ถึงอย่างนั้น Nikon ก็ละเลย Mirrorless ไม่ได้ โดยเซกเมนต์ที่ NiKon กำลังให้ความสนใจมากที่สุดคือ Mirrorless Full Frame ที่แม้จะมีสัดส่วนเพียง 30% หากมีอัตราเติบโตมากถึงปีละ 30% ซึ่งมาจาการที่กลุ่มมืออาชีพและมือสมัครเล่นที่กำลังพัฒนาขึ้นมาเป็นมืออาชีพหันมาซื้อกล้องประเภทนี้มากขึ้น

อีกทั้งราคาเฉลี่ยในตลาดก็ลดลงเพราะมีสินค้าใหม่เข้ามาทดแทน ฐานตลาดจึงใหญ่ขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีราคาตั้งแต่ 30,000 – 130,000 บาท โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 – 80,000 บาท

และหลังจากที่ปล่อยให้เหล่าสาวก Nikon ลุ้นมาหลายเดือนจนเกิดเป็นข่าวลือพร้อมภาพหลุดตัวเครื่องต่างๆ นานา ในที่สุด Nikon ก็พร้อมเปิดตัว Mirrorless Full Frame รุ่นแรกของตัวเองภายใต้ชื่อ “Z Series”

ครั้งนี้ไม่ได้มาเพียง 1 แต่มาถึง 2 ด้วยกัน ได้แก่ Nikon Z6 ราคาเฉพาะตัวกล้อง 69,900 บาท พร้อมเลนส์ 75,990 – 91,990 บาท โดยยังไม่มีกำหนดวางขาย

โทรุ มัทสึบาระ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท นิคอน เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า

“ผู้บริโภคอยากได้กล้องที่เล็กลงแต่คุณภาพเดียวกับ DSLR จึงพัฒนากล้องตัวนี้มา ถามว่ามาช้าไปไหมในตลาด คงตอบว่าไม่ เนื่องจากช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะกล้องเป็นระบบใหม่ทั้งหมดเลย ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนก่อนผลตอบรับดีมากๆ ถึงเราไม่ใช่รายแรกในตลาดที่ทำ แต่มั่นใจว่าพัฒนาให้เกิดความสมบูรณ์มากกว่ารุ่นอื่นๆ ในตลาดแน่นอน”

ในการนี้ Nikon ได้วางแผนการตลาดที่เน้นการสร้างโอกาสในการปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผ่านการสัมมนาเวิร์กชอปทุกอาทิตย์และกิจกรรมทางการตลาดอื่นๆ ที่จัดขึ้นในหลายพื้นที่

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญในปีนี้คือการเปิด “Nikon Experience Hub” แห่งแรกในเมืองไทย ที่ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมกับวางแผนขยาย Nikon Experience Zone ในร้านที่มีทราฟฟิกจำนวนมาก ตั้งเป้าทำ 6 สาขาในกรุงเทพฯ ก่อน

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้ Nikon พลิกกลับขึ้นมาเป็น “เบอร์ 1” ให้ได้ หลังจากที่โดนแบรนด์รองที่เร่งเครื่องทำตลาดจน Nikon หล่นมาเป็นเบอร์ 4 ในตลาด Mirrorless โดยย้ำความมั่นใจว่าเบอร์ 1-4 มีส่วนแบ่งตลาดที่ไม่ห่างกันมาก ราว 1-3% จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ Nikon จะเบียดขึ้นไปได้

ไม่ปล่อยให้ Nikon รอนาน “Canon” ส่ง “EOS R” เข้าร่วมสงครามด้วย

คล้อยหลัง Nikon ไม่ถึง 1 เดือน ในที่สุด Canon ก็เผยโฉม Mirrorless Full Frame รุ่นแรกให้กับเหล่าสาวกในเมืองไทย ภายใต้รุ่น “EOS R” ที่ได้ยกเครื่องครั้งใหญ่พร้อมกับนำเข้าจากญี่ปุ่น

ซึ่งเหตุผลนี้แหละที่ทำให้ราคาเฉพาะตัวกล้องเปิดตัวออกมา “เกิดความคาดหมาย” ของบรรดาแฟนคลับ Canon อยู่ไม่น้อย เพราะคาดกันว่าราคาเปิดตัวคงไม่เกิน 80,000 บาท แต่ขายจริงเกินขึ้นมาเกือบ 3,000 บาท ส่วนญี่ปุ่นอยู่ประมาณ 70,000 ต้นๆ เท่านั้น

โดยราคาเฉพาะตัวกล้องอยู่ที่ 82,900 บาท ถ้ามาพร้อมเลนส์ 25-105 ราคา 122,990 บาทพร้อมวางขายเรียบร้อยแล้ว ส่วนเลนส์มี 4 รุ่น ราคา 19,900 – 111,400 บาท, เมาท์อะแดปเตอร์ 3 รุ่น 3,990 – 7,990 บาท

ซึ่งราคาที่ว่านี้ถูกเคาะโดย Canon Japan ได้สร้างความหนักอกหนักใจให้กับ Canon Thailand ที่ไม่สามารถทำให้ชาวไทยซื้อในราคาที่ถูกกว่านี้ได้ เบื้องต้นจึงแก้ด้วยการแถมเมาท์อะแดปเตอร์ EF-EOS R ราคา 3,990 บาท เพื่อปลอบใจให้กับแฟนคลับชาวไทย โดยจะต้องซื้อภายใน 1 เดือนนับจากวันแรกที่วางขายเท่านั้น

สำหรับฐานลูกค้าของ “EOS R” ต้องการกวาดไปในทุกเซ็กเมนต์ทั้งมืออาชีพหรือมือสมัครเล่นโดยหลักๆ จะมาจาก 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มที่ซื้อไปเป็นกล้องตัวที่ 2 และ 2.ดึงจากฐานลูกค้าคู่แข่ง

รินทร์ ตันติพงศ์พาณิช รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า

“ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันเนื่องจากมาช้ากว่าคู่แข่ง กล้องที่ออกมาจะสู้ได้ไหม แต่จากผลตอบรับในระดับโลกและในเมืองไทยที่ตอนนี้มียอดสั่งจองเข้ามาแล้วกว่า 1,000 ตัว ทำให้สถานการณ์ของ Canon เปลี่ยนทันที พร้อมกับตั้งความหวังว่าในเมืองไทย EOS R จะไปได้ดีแน่ๆ”

เบื้องต้นจนถึงสิ้นปี Canon ตั้งเป้ายอดขายเฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 ตัว เหตุที่ไม่ตั้งเยอะกว่านี้เพราะยังไม่มั่นใจว่าสินค้าจะเข้ามาเยอะแค่ไหน ดังนั้นในช่วงนี้เกมการตลาดจึงจะเน้นประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งให้ผู้บริโภคทราบถึงเรื่องที่ “EOS R” เข้ามาวางจำหน่ายแล้ว

ส่วนปีหน้าค่อยมาวางแผนการตลาดอีกที แต่หลักๆ แล้วจะเน้นการทำกิจกรรมเพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้ามาทดลองกับตัวเครื่องมากกว่า เนื่องจาก Canon มีความเห็นว่าการโฆษณามากๆ ดึงดูดลูกค้าไม่มากเท่าการดึงให้พวกเขาได้มาสัมผัสเองด้วยตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้น กับการเห็นสินค้าด้วยตาตัวเองย่อมดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ Canon จะเป็นเบอร์ 1 ของกล้อง DSLR ด้วยส่วนแบ่ง 50-60% ในแง่ของจำนวนเครื่องก็ตาม แต่ในส่วนของ Mirrorless รั้งเบอร์ 3-4 มีส่วนแบ่งราว 20% เท่านั้น

การเข้ามาของ EOS R สร้างความหวังให้กับ Canon ที่ต้องการให้จนถึงสิ้นปีนี้ส่วนแบ่งจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 25% พร้อมกับตั้งความหวังที่ต้องการขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 อย่างเร็วที่สุดภายในปี 2019 หรือช้าที่สุดภายในปี 2020

เมื่อถึงเวลานั้น Canon ก็เชื่อว่าตัวเองจะต้องมีส่วนแบ่งไม่น้อยกว่า 30% อย่างแน่นอน ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาจากการที่ “EOS R” จะมีรุ่นใหม่เข็นเข้าสู่ตลาดไม่น้อยกว่า 1-2 รุ่นอย่างแน่นอน

ทั้งหมดนี้คือเกมที่ 2 ยักษ์ที่เคยหลับจำต้องลุกขึ้นมาเข้าสู่สงคราม “Mirrorless Full Frame” ที่ตัวเองละเลยมานาน ความหวังของทั้งคู่จึงต้องฝากไว้กับทั้ง “Z Series” และ “EOS R” จะพลิกเกมและสร้างความฝันที่วางไว้ได้หรือไม่ ต้องติดตามต่อไป แบบห้ามกะพริบตาเลยทีเดียว.

]]>
1193157
“แคนนอน” ใช้สูตรมาช้าดีกว่าไม่มา กดปุ่ม ลุยมิเรอร์เลสฟูลเฟรมส่ง “EOS R” ลุยตลาด หวังขึ้นเบอร์ 1 ปี 2019 https://positioningmag.com/1192342 Thu, 11 Oct 2018 12:08:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1192342 Thanatkit

หลังจากที่ปล่อยให้มวยรอง โซนี่เข้ามาโกยยอดขายมิเรอร์เลสฟูลเฟรมล่วงหน้าถึง 5 ปี อีกทั้งยังโดนคู่กัดนิคอนปล่อย “Z Series” ให้วางขายในเมืองไทยก่อนเป็นเดือน ในที่สุดก็ได้เวลาของแคนนอนเข้ามาลุยตลาดมิเรอร์เลสฟูลเฟรมเสียดี

ด้วยการเปิดตัวรุ่นแรกด้วยโค้ดเนม “EOS R” ที่ยกเครื่องครั้งใหญ่ด้วย มาพร้อมเลนส์ใหม่ในตระกูล RF ที่มีขั้วสัมผัสไฟฟ้า 12 จุด โดยย้ำว่า สามารถใช้เลนส์ตระกูล EF และ EF-S ได้ทุกรุ่น เพราะมีเมาท์อะแดปเตอร์ RF เปิดตัวมาคู่กัน

การเป็นมิเรอร์เลสฟูลเฟรมทำให้ราคาเปิดตัวค่อนข้างแรง เฉพาะตัวกล้อง 82,900 บาท ถ้าพร้อมพร้อมเลนส์ 25-105 ราคา 122,990 บาท พร้อมขายตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ส่วนเลนส์มี 4 รุ่น ราคา 19,900 – 111,400 บาท, เมาท์อะแดปเตอร์ 3 รุ่น 3,990 – 7,990 บาท

ราคานี้เกินความคาดหมายของบรรดาแฟนคลับแคนนอนอยู่ไม่น้อย เพราะคาดกันว่า ราคาเปิดตัวคงไม่เกิน 80,000 บาท แต่ขายจริงเกินขึ้นมาเกือบ 3,000 บาท ส่วนญี่ปุ่นอยู่ประมาณ 70,000 ต้นๆ เท่านั้น

EOS R+RF 50mm f 1.2L USM

ราคาในเมืองไทยถูกเคาะโดยแคนนอนประเทศญี่ปุ่น สร้างความหนักอกหนักใจให้กับแคนนอนเมืองไทยไม่น้อยเลย เบื้องต้นจึงแก้ด้วยการแถมเมาท์อะแดปเตอร์ EF-EOS R ราคา 3,990 บาท เพื่อปลอบใจให้กับแฟนคลับชาวไทย

สำหรับฐานลูกค้าของ “EOS R” ต้องการกวาดไปในทุกเซ็นเมต์ทั้งมืออาชีพ หรือมือสมัครเล่น โดยหลักๆ จะมาจาก 2 กลุ่มได้แก่ 1.กลุ่มที่ซื้อไปเป็นกล้องตัวที่ 2 และ 2.ดึงจากคู่แข่ง

วรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันเนื่องจากมาช้ากว่าคู่แข่ง กล้องที่ออกมาจะสู้ได้ไหม แต่จากผลตอบรับในระดับโลก และในเมืองไทยที่ตอนนี้มียอดสั่งจองเข้ามาแล้วกว่า 1,000 ตัว ทำให้สถานการณ์ของแคนนอนเปลี่ยนทันที พร้อมกับตั้งความหวังว่า ในเมืองไทย EOS R จะไปได้ดีแน่ๆ

เบื้องต้นจนถึงสิ้นปีแคนนอนตั้งเป้ายอดขายเฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 ตัว เพราะยังประเมินไม่ได้ว่าสินค้าจะเข้ามาช่วงไหน ช่วงแรกจึงจะเน้นประชาสัมพันธ์ว่าวางขายแล้ว และเน้นให้ผู้บริโภคได้เข้ามาทดลอง เพราะมองว่า การโฆษณาไม่ดึงดูดเท่ากับให้ผู้บริโภคมาสัมผัสเอง

อย่างไรก็ตาม การลงลุยตลาดมิเรอร์เลสฟูลเฟรมแคนนอนเชื่อว่าจะไม่กระทบกับตลาดดีเอสแอลอาร์จนต้องหายไปจากตลาด แต่ต้องการเพิ่มความหลากหลายให้ลูกค้า

แม้ว่าสัดส่วนยอดขายมิเรอร์เลสเคยพุ่งไปกินสัดส่วนสูงถึง 80% ส่วนดีเอสแอลอาร์เหลือเพียง 20% หากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามิเรอร์เลสลดลงมาเหลือ 60% ส่วนดีเอสแอลอาร์เพิ่มมาเป็น 40% 

แคนนอนยังต้องรักษาตลาด ดีเอสแอลอาร์ เอาไว้ เพราะคู่แข่งน้อย ความต้องการยังมีอยู่ และแคนนอนก็เป็นเบอร์ 1 ในตลาดนี้อยู่แล้ว ด้วยส่วนแบ่ง 50-60% ในแง่ของจำนวนเครื่อง

ต่อจากนี้การออกกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ก็จะไปพร้อมกันทั้งกลุ่มดีเอสแอลอาร์และมิเรอร์เลส เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นว่าแคนนอนมีตัวเลือกหลากหลาย

ส่วนในภาพใหญ่แคนนอนได้ตั้งเป้าที่จะขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มมลเรอร์เลสอย่างเร็วที่สุดภายในปี 2019 หรือช้าที่สุดในปี 2020 เมื่อถึงเวลานั้นแคนนอนจะต้องมีส่วนแบ่งมากกว่า 30% จากวันนี้ที่มีประมาณ 20% และภายในสิ้นปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มมาเป็น 25%.

]]>
1192342
โฆษณาชุด Canon EOS Kiss https://positioningmag.com/11850 Sun, 05 Jul 2009 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=11850

การก้าวขึ้นสู่บัลลังก์กล้องดิจิตอลอันดับ 1 ในญี่ปุ่นของ Canon ท่ามกลางบรรดาผู้ผลิตกล้องดิจิตอลชั้นนำอีกมากหน้าหลายแบรนด์นั้น คงไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุบังเอิญเป็นแน่

เพราะผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าเหนือกลไกราคา ตัวอย่างเช่นการเลือกซื้อกล้องดิจิตอลซึ่งโปรโมชั่นหั่นราคา อาจไม่มีผลต่อการตัดสินใจมากเท่ากับนวัตกรรม อรรถประโยชน์ และดีไซน์ซึ่งสำทับด้วยโฆษณาที่โดนใจ

ยุทธศาสตร์การสร้างแบรด์ที่วางไว้ครบถ้วนตามสูตรดังกล่าวส่งผลให้ผู้บริโภคไม่อาจมองข้ามชื่อ Canon หากคิดจะซื้อกล้องดิจิตอลสักเครื่อง ยิ่งไปกว่านั้นจุดแข็งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือกล้องดิจิตอลของ Canon ในญี่ปุ่นนั้น “Made in Japan”

นอกจากนี้โฆษณาทางทีวี สิ่งพิมพ์ โปสเตอร์ในรถไฟ รวมถึงเคาน์เตอร์กล้องดิจิตอล Canon ในร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าโดดเด่นด้วยโฆษณาซีรี่ส์ล่าสุดซึ่งมีพรีเซ็นเตอร์เป็นสัตว์นานาชนิดที่สามารถใช้กล้องมือโปร Canon EOS Kiss ถ่ายภาพลูกๆ ได้สวยคมชัด

เป็นคอนเซ็ปต์ของงานโฆษณาที่หยิบยกความรักของพ่อแม่ (ของสัตว์) มาสะกิดความรู้สึกของผู้คนซึ่งสื่อออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

]]>
11850
สแกนเนอร์รุ่น CanoScan LiDE 500F https://positioningmag.com/22853 Wed, 01 Jun 2005 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=22853

สแกนเนอร์รุ่น CanoScan LiDE 500F เป็นสแกนเนอร์แบบ CIS ที่มีดีไซน์ทันสมัยฉีกไปจากรูปแบบเดิมๆ ให้ภาพคมชัด สดใส ความละเอียดสูงถึง 2400 x 4800 จุดต่อตารางนิ้ว นอกจากนี้ ฝาปิดแบบ Advanced Doubled-Hinge ยังเปิดกว้างได้โดยรอบ 180 องศา ทำให้สแกนภาพขนาดใหญ่ และภาพจากหนังสือได้ทุกระดับองศา คุณสมบัติเด่นอื่นๆ ได้แก่:
•ภาพละเอียดสูง 2400 x 4800 จุดต่อตารางนิ้ว: สแกนได้ทั้งภาพถ่าย และเอกสารด้วยความละเอียดสูงถึง 2400 x 4800 dpi และ ภาพสี 48 บิต ที่ให้สีได้มากกว่า 281 ล้านล้านสี
•ภาพคมชัดด้วยเทคโนโลยี FARE Level 3: เทคโนโลยี FARE (Film Automatic Retouching and Enhancement) Level 3 กำจัดร่องฝุ่น และลายเส้นต่างๆ บนภาพ ได้ทันทีด้วยแสงอินฟราเรด ทำให้ภาพคมชัด สีสันสดใส
•หรูหรา พกพาสะดวก: LiDE 500F มีดีไซน์ทันสมัยสีเงิน บางเฉียบ 34.9 มม. และหนักเพียง 1.86 กก. นอกจากนี้ ฝาปิดแบบ Advanced Doubled-Hinge ยังช่วยยกฝาให้สูงหนึ่งขึ้นถึงหนึ่งนิ้ว ทำให้สแกนภาพขนาดใหญ่ เช่นภาพในหนังสือและนิตยสารได้คมชัด
•ดีไซน์แบบ 3 ทิศทาง ติดตั้งสแกนเนอร์ได้สะดวก 3 ทิศทาง ได้แก่ แนวนอน แนวตั้ง และแนวดิ่ง และประหยัดพื้นที่ในการเก็บด้วยขาตั้งที่มาพร้อมเครื่อง
•สแกนฟิล์มขนาด 35 มม.: ฟิล์มอแดปเตอร์ในตัวเครื่องสามารถสแกนฟิล์มขนาด 35 มม. ได้พร้อมกันถึง 6 ภาพ นอกจากนี้ เทคโนโลยี Multi-Scan ทำให้สามารถสแกนภาพมากถึง 10 ภาพ ได้เพียงครั้งเดียว
•สแกนภาพคมชัด สดใส: ปรับสีที่ซีดจางของภาพถ่ายให้สดใสขึ้น ลบริ้วรอย ฝุ่น และรอยขีดข่วนต่างๆ เมื่อสแกนด้วยฟิล์มเก่า ด้วยคำสั่ง Backlight Correction และ เทคโนโลยี Fading Correction and Grain Correction
•สั่งงานคล่องตัวด้วยปุ่ม EZ: ใช้งานง่ายด้วยดีไซน์ปุ่ม EZ ที่ประกอบด้วยปุ่ม Copy Scan, PDF และ E-mail เพื่อการสั่งงานหลักๆ
•ทำงานโดยไม่ต้องใช้ Adapter: ประหยัดไฟโดยใช้เพียงไฟเลี้ยงจากสาย USB High-speed 2.0 โดยไม่ต้องใช้ Adapter
ราคาโดยประมาณ: 5,960 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ตัวแทนจำหน่าย: – บริษัท เวลเทค กรุ๊ป จำกัด โทร. 0-2614-3200
– บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 0-2553-8888
– บริษัท เมโทร ซิสเต็มคอร์เปอร์เรชั่น จำกัด โทร. 0-2726-5555
– บริษัท เบลต้า คอมพิวเตอร์ จำกัด โทร. 0-2612-3907-15
สอบถามเพิ่มเติม: บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด โทร. 0-2344-9999
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.canon.co.th

]]>
22853
แคนนอนลั่น ชูเทคโนโลยีบุกตลาดเลเซอร์พรินเตอร์ https://positioningmag.com/22854 Wed, 01 Jun 2005 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=22854

กรุงเทพฯ (17 พฤษภาคม พ.ศ. 2548) – บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ประกาศรุกตลาดเลเซอร์พรินเตอร์ ส่ง LASERSHOT LBP2900 และ LBP3000 ชูเทคโนโลยีอัจฉริยะเหนือคู่แข่ง CAPT & Hi-ScoA ผสาน On-Demand Fixing เพื่อการพิมพ์ความเร็วสูงสุด พร้อมประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมมุ่งเจาะตลาดออฟฟิศและเอสเอ็มอี มั่นใจส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น แนะควรเลือกพรินเตอร์ที่ประสิทธิภาพและความคุ้มค่า มากกว่าราคาเครื่องเพียงอย่างเดียว

นายวรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป ส่วนคอนซูมเมอร์ซิสเตมโพรดักตส์ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงตลาดรวมของเลเซอร์พรินเตอร์ในประเทศไทยว่ามีอัตรา การเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยดูจากยอดการจำหน่ายของแคนนอนในปี พ.ศ. 2547 เนื่องจากระบบงานของธุรกิจทุกประเภทโดยเฉพาะภาครัฐและธุรกิจเอสเอ็มอีได้รับการปรับปรุงให้เข้าสู่ระบบสารสนเทศ อีกทั้งเลเซอร์พรินเตอร์ มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากขึ้นในราคาที่หาซื้อได้ ผู้ประกอบการในธุรกิจขนาดกลางและเล็กจึงหันมาใช้เลเซอร์พรินเตอร์เป็นหลักเนื่องจากความคมชัดและความรวดเร็วด้านการพิมพ์ที่เหนือกว่า

“ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าราคาของเครื่องเลเซอร์ได้ปรับลดลงมาจากเดิมมาก จึงทำให้ผู้ใช้มีโอกาสได้ใช้พรินเตอร์ระบบเลเซอร์ที่ให้ความคมชัดและรวดเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม แคนนอนในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ มายาวนาน เชื่อมั่นว่าปัจจัยหลักที่ลูกค้าพิจารณาเลือกซื้อเครื่องเลเซอร์พรินเตอร์ในปัจจุบันอยู่ที่ประสิทธิภาพ การทำงานที่มอบความคุ้มค่า และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการพิมพ์ในระยะยาวมากกว่าการพิจารณาแค่ราคา ของตัวเครื่องเพียงอย่างเดียว เลเซอร์พรินเตอร์ของแคนนอนจึงประกอบด้วยความสามารถอันรอบด้าน พร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 75% เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการรวมถึงผู้ใช้ ตามบ้านได้อย่างครบถ้วน” นายวรินทร์เผย

แคนนอนลั่น ชูเทคโนโลยีบุกตลาดเลเซอร์พรินเตอร์ หน้า 2

เลเซอร์พรินเตอร์ 2 รุ่นใหม่จากแคนนอน “LASER SHOT LBP2900” และ “LASER SHOT LBP3000” สามารถพิมพ์เอกสารความละเอียดสูงถึง 2400 x 600 ที่ความเร็วจริง 12 หน้าต่อนาที และ 14 หน้าต่อนาที ตามลำดับ ด้วยเทคโนโลยี On-Demand Fixing เลเซอร์พรินเตอร์จากแคนนอนจึงสามารถพิมพ์ได้ทันทีที่เปิดเครื่องโดยไม่ต้องเสียเวลาวอร์มอัพ (Zero Warm-up Time) และลดการใช้พลังงานลงถึง 75% เมื่อเทียบกับเลเซอร์พรินเตอร์ทั่วไปในท้องตลาด และด้วยเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล CAPT & Hi-SCoA เอกสารหน้าแรกจึงพิมพ์ออกมาได้อย่างรวดเร็วภายใน 9.3 วินาที ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วที่สุดสำหรับเครื่องเลเซอร์พรินเตอร์

นอกจากนี้ ด้วยเทคโนโลยีเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงสุขภาพของผู้ใช้ เทคโนโลยี Single Cartridge System จึงไม่เพียงแต่ลดอันตรายต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากสารพิษปนเปื้อน ด้วยการรวบรวมตลับผงหมึก ดรัม และชุดทำความสะอาดไว้ในตลับเดียวเท่านั้น แต่ผู้ใช้ยังได้ชุดสร้างภาพใหม่ทุกครั้งเพื่อความคมชัดของงานพิมพ์ และลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเครื่องควบคู่ไปกับ และรักษาสุขภาพของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้นไปพร้อมกัน

นายวรินทร์เผยถึงกลยุทธ์การรุกตลาดเลเซอร์พรินเตอร์ว่า นอกจากการจัดแคมเปญโฆษณา และประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นตลาดแล้ว แคนนอนเตรียมจัดโรดโชว์และการสัมมนาเพื่อแนะนำการเลือกซื้อ เลเซอร์พรินเตอร์เพื่อความคุ้มค่าสูงสุดสำหรับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในสถานศึกษา หน่วยงานราชการ และงานแสดง สินค้าไอทีต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อสาธิตประสิทธิภาพการใช้งานทั้งด้านความคมชัดและความรวดเร็วของงานพิมพ์ พร้อมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่า

LASERSHOT LBP2900/3000 มีวางจำหน่ายแล้วตามร้านค้าไอทีทั่วไป สำหรับ LBP2900 ราคา 6,135 บาท และ LBP3000 ซื้อพร้อมกับ Toner Cartridge 303 ราคาพิเศษ 8,764 หมดเขต 30 มิถุนายน ศกนี้ (ราคานี้ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

]]>
22854
พิกซ์มา ไอพี 90 สุดยอดโมบายพรินเตอร์จากแคนนอน https://positioningmag.com/22855 Wed, 01 Jun 2005 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=22855

กรุงเทพฯ (26 พฤษภาคม พ.ศ. 2548) สำหรับไลฟ์สไตล์ที่ต้องพร้อมสำหรับการทำงานที่ต้องตอบรับ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่เสมอ โซลูชั่นที่สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วทันใจและสามารถมอบผลงาน คุณภาพสูงในระดับมืออาชีพจึงเป็นตัวเลือกที่ไม่อาจมองข้าม พรินเตอร์รุ่นเล็กขนาดพกพาพร้อมความสามารถ ด้านการพิมพ์ไร้สายจากแคนนอนรุ่น พิกซ์มา ไอพี 90 (PIXMA iP90) จึงเป็นอุปกรณ์คู่ใจสำหรับมืออาชีพในวงการธุรกิจซึ่งมาพร้อมกับความสามารถการพิมพ์ภาพถ่ายรายละเอียดสูง พิมพ์ได้อย่างรวดเร็ว ติดตั้งสะดวก และใช้งาน ได้อย่างง่ายดาย

ระหว่างการพูดคุยถึงความสามารถอันรอบด้านของ พิกซ์มา ไอพี 90 ร่วมกับ นายวรินทร์
ตันติพงศ์พาณิช ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป ส่วนคอนซูมเมอร์ซิสเตมโพรดักตส์ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง
(ไทยแลนด์) จำกัด นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่ายบรอดแบนด์และอินเทอร์เน็ต บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยถึงเหตุผลที่เลือกพรินเตอร์ พิกซ์มา ไอพี 90 เป็นผู้ช่วยด้านการพิมพ์ว่า “เนื่องจาก ผมจำเป็นต้องพบปะลูกค้าและประสานงานกับทีมการตลาดและทีมพัฒนาเทคโนโลยีของ TRUE อยู่เสมอ รวมถึงขณะเดินทางด้วย ซึ่งหลายต่อหลายครั้ง ผมจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของภาพที่ได้รับผ่านโทรศัพท์ มือถือ อีเมล์ หรือพิมพ์เอกสารที่ดาวน์โหลดผ่านอินเทอร์เน็ตในขณะที่อยู่นอกสำนักงาน เช่น ที่สนามบินหรือระหว่างอยู่ในรถ พิกซ์มา ไอพี 90 ซึ่งรองรับการพิมพ์ไร้สายผ่านบลูทูธ และอินฟราเรดพอร์ตจึงช่วยให้ผมสามารถตอบรับ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที โดยไม่พลาดรายละเอียดที่สำคัญ”

“คุณสมบัติของ พิกซ์มา ไอพี 90 ที่ช่วยให้ผมสามารถทำงานในขณะเดินทางได้อย่างสะดวกสบายก็คือ การพิมพ์ภาพสีคุณภาพสูงรวมถึงเอกสารทั้งสีและขาวดำขนาด A4 ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม โดยไม่ต้องหาปลั๊กไฟให้ยุ่งยาก โดยเฉพาะในสถานที่ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย อย่างเช่นที่ร้าน โอ บอง แปง ซึ่งผมมักจะใช้เป็นที่นัดพบกับลูกค้า หรือแวะพักระหว่างที่อยู่นอกออฟฟิศ ผมก็สามารถดาวน์โหลดเอกสาร และพิมพ์ออกมาอ่านได้ทันทีอย่างง่ายดาย” นายณัฐวุฒิเสริม

พิกซ์มา ไอพี 90 สุดยอดโมบายพรินเตอร์จากแคนนอน หน้า 2

พิกซ์มา ไอพี 90 พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการพิมพ์ภาพถ่ายคุณภาพสูงได้ในทุกที่ ผ่านอุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากการพิมพ์ผ่านอุปกรณ์มือถือ ผ่านอินฟราเรดพอร์ต (IrDA) เทคโนโลยีบลูทูธ (Bluetooth Technology) แล้ว พิกซ์มา ไอพี 90 จากแคนนอน ยังสามารถพิมพ์ผ่านเทคโนโลยีพิกซ์บริดจ์ (PictBridge) จากกล้องดิจิตอลได้โดยตรงอีกด้วย และด้วยดีไซน์เพรียวบาง ขนาดเท่าสมุดโน้ต รองรับการใช้แบตเตอรี่ลิเธียมซึ่งมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน น้ำหนักเบาเพียง 1.8 กิโลกรัม พร้อมอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ในรถยนต์ของ พิกซ์มา ไอพี 90 คุณจึงสามารถสั่งพิมพ์ภาพได้ทุกที่ โดยไม่ต้อง คำนึงถึงอุปสรรคอันอาจเกิดขึ้นจากการเดินทางหรือกระแสไฟฟ้า

นอกจากการใช้งานในระหว่างเดินทางขณะทำงานแล้ว นายวรินทร์กล่าวถึงสไตล์การใช้งานเพิ่มเติมว่า
“ไม่เพียงแค่การพิมพ์ภาพระหว่างเดินทางเท่านั้น พิกซ์มา ไอพี 90 เป็นพรินเตอร์ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในบ้านด้วยเช่นกัน เนื่องจากแคนนอนได้ออกแบบ พิกซ์มา ไอพี 90 เป็นพรินเตอร์ที่ไม่เพียงแต่ติดตั้งได้ง่าย แต่ยังสั่งพิมพ์ ภาพถ่ายได้ง่าย และรวดเร็วทันใจด้วยการสัมผัสเพียงปุ่มเดียว ผู้ใช้จึงสามารถรับชมภาพถ่ายจากงานเลี้ยงสังสรรค์ ภายในบ้าน รวมถึงถ่ายทอดช่วงเวลาอันน่าประทับใจของครอบครัวและเพื่อนฝูงบนภาพที่พิมพ์ด้วยสีสันสด คมชัด ทุกรายละเอียดด้วย พิกซ์มา ไอพี 90 จากแคนนอน”

พิกซ์มา ไอพี 90 จากแคนนอนยังรองรับการพิมพ์บนเสื้อยืด กระดาษพิมพ์ภาพแบบด้าน (Matte Paper) สติ๊กเกอร์ และแผ่นใสเพื่อความสนุกสนานจากการพิมพ์ที่ไม่ถูกจำกัดเพียงแค่การพิมพ์ภาพถ่ายด้วยเทคโนโลยี จากแคนนอนหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีภาพถ่ายและการพิมพ์ระดับโลก

]]>
22855