CeraVe – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Jul 2025 11:56:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CeraVe ถุงรีฟิล ราคาถูกกว่าขวด 10-15% หมัดเด็ดเสริม Loyalty กลุ่มลูกค้าใช้ฉ่ำ ใช้ประจำ https://positioningmag.com/1531838 Thu, 31 Jul 2025 08:23:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531838 เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมความงาม เมื่อ CeraVe ออกแพ็กเกจจิ้งถุง Refill ขนาดเท่ากับขวดใหญ่ หรือ 473 ml. ถูกใจสาวกแบรนด์เป็นอย่างมาก เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการสกินแคร์ ที่ออกแพ็กเกจจิ้ง Refiil เพราะส่วนใหญ่จะเห็นกับแบรนด์สินค้าอุปโภคต่างๆ เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า เป็นต้น

ตัวเลือกความยั่งยืน

ทางแบรนด์ CeraVe ได้เปิดเผยกับ Positioning ว่า CeraVe ได้เริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์ถุงรีฟิลในปี 2025 โดยเป็นการทยอยเปิดตัวในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกพร้อมๆ กันในปีนี้ เหตุผลที่เลือกเปิดตัวถุงรีฟิลในประเทศไทยมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องเป้าหมายเรื่องความยั่งยืนของ L’Oréal Groupe ที่มีพันธกิจด้านความยั่งยืน มีเป้าหมายการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสภาพภูมิอากาศ ลดการใช้ทรัพยากร และขับเคลื่อนการหมุนเวียนทรัพยากร (circular economy) ซึ่งผลิตภัณฑ์รีฟิลนั้น อยู่ในเป้าหมายใช้การลดความหนาแน่นบรรจุภัณฑ์และลดการใช้พลาสติกใหม่  

พร้อมกับต้องการสร้างความแตกต่าง การมีแพ็กเกจจิ้งรีฟิลช่วยให้แบรนด์ CeraVe สามารถสร้างความแตกต่าง และตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในตลาดไทยได้ 

แพร โตเจริญทรัพย์ Brand General Manager, CeraVe Thailand บอกว่า ผู้บริโภคคนไทยมีการตอบรับที่ดีต่อบรรจุภัณฑ์รีฟิล โดยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการรีฟิลผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน ด้วยแรงผลักดันจากกระแสความยั่งยืน และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมากต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมองหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น 

โดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์รีฟิลมักมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นประจำ อีกทั้งยังสร้าง Loyalty กับแบรนด์ในระยะยาวได้ด้วย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials มีความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมสูง และมักเป็นกลุ่มที่เปิดรับนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนได้ง่าย

โดยที่แพ็กเกจจิ้งรีฟิลของ CeraVe ไม่ใช่แพ็คเกจถุงรีฟิลแรกของกลุ่ม L’Oréal Groupe ก่อนหน้านี้มีถุงรีฟิล หรือบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนอื่นๆ ในหลายแบรนด์ และหลายประเทศ ภายใต้โครงการ L’Oréal for the Future ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Kiehl’s มีถุงรีฟิลแบบมาสักระยะหนึ่งแล้ว แบรนด์ลังโคมมีผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบกระปุก หรือกลุ่มน้ำหอมเช่น แบรนด์ YSL ในผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบขวด เป็นต้น 

เอาใจกลุ่มใช้ฉ่ำๆ

หนึ่งในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักที่ถุงรีฟิลเข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างดีเยี่ยมคือ “Heavy User” หรือผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์เป็นประจำ และในปริมาณมาก ซึ่งมักจะซื้อผลิตภัณฑ์ไซส์ใหญ่เป็นประจำอยู่แล้ว ทำให้ราคาต่อหน่วยถูกลง ไม่ต้องซื้อขวดใหม่บ่อยๆ

ถึงแม้ว่า CeraVe ที่สหรัฐอเมริกาจะมีไลน์สินค้ามากกว่า 70 รายการ ครอบคลุมสกินแคร์หลายกลุ่มทั้งมอยเจอร์ไรเซอร์, ล้างหน้า, สิว, เอจจิ้ง, กันแดด และผม แต่ในไทยมีไลน์สินค้าหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ บอดี้โลชั่น, ล้างหน้า และผิวหน้า ในปีนี้กำลังจะมีสินค้าตัวอื่นๆ เข้ามามากขึ้น

จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของ CeraVe ก็คือ การมีแพ็กเกจจิ้งทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 88 ml, 236 ml และ 473 ml ซึ่งไม่ค่อยเห็นในแบรนด์อื่นๆ มากนัก เพราะในแง่ของการตลาดแล้ว การมีแพ็กเกจจิ้งเยอะ การบริหารสต๊อกยิ่งตามมา 

แต่การมี 3 ขนาด ยิ่งเป็นผลดีต่อ CeraVe เพราะทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกกลุ่ม แต่ละคนใช้คนละแบบ ซึ่งแพรบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องการจัดการสต๊อกเลย เพราะทุกไซส์ขายดีหมด ขึ้นอยู่กับช่วงวัย 

“CeraVe มีกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y วัยทำงานอายุตั้งแต่ 25-35 ปี ที่ชอบค้นหาข้อมูล และรู้จักส่วนผสม มีกลุ่ม Gen Z บ้างเล็กน้อย การมีแพ็กเกจจิ้งหลายไซส์ก็ช่วยทำให้เข้าถึงคนหลากหลายมากขึ้น กลุ่ม New User จะเริ่มใช้ขวดเล็กเป็นการทดลองใช้ง่าย ส่วนกลุ่ม Gen Y จะชอบขนาดกลาง ส่วนกลุ่มแม่ และเด็ก จะชอบใช้ขวดใหญ่”

จากข้อมูลของแบรนด์พบว่า 50-60% ของลูกค้า CeraVe จะมีการใช้สินค้ามากกว่า 3 ตัวขึ้นไป รับกับเทรนด์      ผู้บริโภคที่ผิวแต่ละวันไม่เหมือนกัน จึงจะเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์สกินแคร์ตามสภาพผิวในแต่ละวัน 

สำหรับสินค้าที่ขายดีอันดับ 1 ได้แก่ CeraVe Moisturizing Cream 50 ml รองลงมาคือ CeraVe Moisturizing Lotion 473 ml และ CeraVe PM Facial Moisturizing 

โดยที่สัดส่วนรายได้แบ่งเป็น กลุ่มบอดี้โลชั่น 40% คลีนเซอร์ 30-40% และผิวหน้า 30-40% 

ถุงรีฟิลของ CeraVe จะมี 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ Lotion, Cream, Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีขนาดเดียวคือ 473 ml. หรือเทียบเท่ากับขวดใหญ่ 

ราคาก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนต่างของราคาถุงรีฟิลสำหรับ Lotion และ Cream ที่มีส่วนต่างราคาอยู่ที่หลักร้อย แต่ Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีส่วนต่างอยู่ที่หลักสิบ ส่วนใหญ่ส่วนต่างราคาถูกกว่าขวดราวๆ 10-15% ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างมากแน่นอน กระตุ้นให้รู้สึกคุ้มค่าได้ และมีแนวโน้มในการซื้อซ้ำ

ปัจจุบันขนาดของบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิลของ CeraVe จะมีเพียงแค่ขนาดเดียว แต่ถ้าหากได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค และมีความต้องการที่มากขึ้น อาจจะมีการพิจารณาขนาดอื่นๆ อีกก็ได้ แถมยังอาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้ แบรนด์อื่นๆ ในตลาด นำเสนอแพ็กเกจรีฟิลให้กลายเป็นเรื่องปกติของตลาดสกินแคร์ก็เป็นได้ 

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1531838
CeraVe เวชสำอางที่ทำการตลาดผ่านหมอผิวหนัง จากนั้นก็โตแบบปากต่อปาก  https://positioningmag.com/1516755 Mon, 31 Mar 2025 12:34:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1516755
  • CeraVe ทำตลาดในประเทศไทย 7 ปี ใช้การตลาดแบบผ่านแพทย์ผิวหนังแนะนำ เมื่อใช้ได้ผลจนเกิดการบอกต่อกันปากต่อปาก
  • ตอนนี้กลายเป็นแบรนด์เวชสำอางที่ขึ้นชื่อว่า “ถูกและดี” มีลูกค้าทุกกลุ่มตั้งแต่วัยรุ่น ไปยังแม่และเด็ก
  • แม้แพ็กเกจจิ้งมี 3 ขนาด แต่ก็ขายดีทุกขนาด ตามกลุ่มผู้ใช้
  • การตลาดผ่านแพทย์ผิวหนัง

    ในช่วงหลายปีมานี้ผู้บริโภคเริ่มตื่นตัวกับสกินแคร์สายธรรมชาติ รวมไปถึงได้กำเนิดผู้บริโภคสาย “ส่วนผสม (Active Ingredient)” มากขึ้น นั่นคือการที่หลายคนมีความรู้เรื่องปัญหาผิวของตัวเอง รู้ว่าต้องใช้สกินแคร์ตัวไหน ใช้ส่วนผสมตัวไหนที่จะใช้ได้ถูกจุด ไม่ได้ใช้สกินแคร์แค่จากคำเคลมโฆษณาของแบรนด์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

    สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สกินแคร์ที่มีการชูจุดเด่นเรื่องส่วนผสมเป็นหลัก ไม่ใช่แบรนด์เนิร์ดๆ อีกแล้ว กลายเป็นแบรนด์ฮีโร่ขึ้นมาทันที อีกทั้งยังทำให้แบรนด์ใหม่ๆ เริ่มมีการดึงส่วนผสมมาเป็นจุดขายมากขึ้น

    หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ CeraVe (เซราวี) แบรนด์เวชสำอางสัญชาติอเมริกัน ปัจจุบันอยู่ในเครือลอรีอัล กรุ๊ป แบรนด์เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2005 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน แต่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อปี 2018 หรือเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมานี่เอง

    การตลาดของ CeraVe ค่อนข้างที่จะเป็นแนวทางเดียวกันในทุกประเทศ ด้วยความที่วาง Positioning เป็นแบรนด์เวชสำอาง จึงเน้นทำการตลาดผ่าน “แพทย์ผิวหนัง” ก่อน นั่นคือการเข้าไปขายตามโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์เป็นคนแนะนำคนไข้ที่มีปัญหาผิวหนังใช้ แล้วเมื่อคนไข้ใช้แล้วดีขึ้น ก็เกิดการบอกกันปากต่อปาก โดยได้อานิสงส์เครดิตว่าจากหมอผิวหนังแนะนำมา ยิ่งทำให้คำแนะนำของเพื่อนดูศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทันทีทันใด

    ประกอบกับตัวสินค้า แพ็กเกจจิ้ง ราคา ที่ดูเรียบง่าย ทำให้แบรนด์ CeraVe ขึ้นแท่นสินค้า “ถูกและดี” ไปเลยทันที 

    แพร โตเจริญทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไปแบรนด์ CeraVe ประเทศไทย ได้เริ่มเล่าเส้นทางของแบรนด์ CeraVe ในประเทศไทยว่า

    “CeraVe อยู่ในประเทศไทย 7 ปีแล้ว ส่วนใหญ่ตลาดเวชสำอางจะเป็นการตลาดแบบ B2B2C เติบโตจากที่แพทย์ผิวหนังที่สหรัฐอเมริกาเริ่มแนะนำ ตอนนี้คุณหมอในไทยก็แนะนำกันมากขึ้น คนมีปัญหาผิวหนังไปหาหมอ จากนั้นหมอแนะนำให้คนไข้ใช้ พอคนไข้ใช้แล้วเห็นผลก็แนะนำเพื่อนต่อไปอีก ทำให้ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าทั่วไปมากขึ้น ต่อไปก็อยากให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น อยากสร้างการรับรู้ให้คนที่มีปัญหาผื่นผิวหนัง ว่าใช้เวชสำอางช่วยได้”

    แพรยังเสริมอีกว่า CeraVe เน้นการทำตลาดแนว Medutainment นั่นคือ Medical + Entertainment นำเรื่องวิชาการ หรือเรื่องยากๆ มาให้คุณหมอเล่า เหมือนการสื่อสารเรื่องส่วนผสมต่างๆ ของสินค้าที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหนังได้ 

    ในช่วงแรกของแบรนด์ที่เข้ามาทำตลาดในไทย ยังไม่มีงบการตลาดมากนัก เลยเริ่มจากเข้าทางแพทย์ผิวหนัง พอแพทย์ได้แนะนำก็เกิดการบอกต่อกันเอง ขายดีขึ้น จากนั้นแบรนด์เริ่มใช้งบการตลาดผ่าน Influencer และทำโฆษณา โดยใช้ในสัดส่วน 5% แต่สารที่แบรนด์ใช้เป็นหลักยังเหมือนเดิม เป็นการให้ข้อมูลลูกค้า ทำให้เข้าถึงได้ง่าย และเกิดแบรนด์เลิฟ 

    มี 3 ไซส์ แต่ขายดีหมด 

    ถึงแม้ว่า CeraVe ที่สหรัฐอเมริกาจะมีไลน์สินค้ามากกว่า 70 รายการ ครอบคลุมสกินแคร์หลายกลุ่มทั้งมอยเจอร์ไรเซอร์, ล้างหน้า, สิว, เอจจิ้ง, กันแดด และผม แต่ในไทยมีไลน์สินค้าหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ บอดี้โลชั่น, ล้างหน้า และผิวหน้า ในปีนี้กำลังจะมีสินค้าตัวอื่นๆ เข้ามามากขึ้น

    จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของ CeraVe ก็คือ การมีแพ็กเกจจิ้งทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 88 ml, 236 ml และ 473 ml ซึ่งไม่ค่อยเห็นในแบรนด์อื่นๆ มากนัก เพราะในแง่ของการตลาดแล้ว การมีแพ็กเกจจิ้งเยอะ การบริหารสต๊อกยิ่งตามมา 

    Cerave

     

    แต่การมี 3 ขนาด ยิ่งเป็นผลดีต่อ CeraVe เพราะทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกกลุ่ม แต่ละคนใช้คนละแบบ ซึ่งแพรบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องการจัดการสต๊อกเลย เพราะทุกไซส์ขายดีหมด ขึ้นอยู่กับช่วงวัย 

    “CeraVe มีกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y วัยทำงานอายุตั้งแต่ 25-35 ปี ที่ชอบค้นหาข้อมูล และรู้จักส่วนผสม มีกลุ่ม Gen Z บ้างเล็กน้อย การมีแพ็กเกจจิ้งหลายไซส์ก็ช่วยทำให้เข้าถึงคนหลากหลายมากขึ้น กลุ่ม New User จะเริ่มใช้ขวดเล็กเป็นการทดลองใช้ง่าย ส่วนกลุ่ม Gen Y จะชอบขนาดกลาง ส่วนกลุ่มแม่ และเด็ก จะชอบใช้ขวดใหญ่”

    จากข้อมูลของแบรนด์พบว่า 50-60% ของลูกค้า CeraVe จะมีการใช้สินค้ามากกว่า 3 ตัวขึ้นไป รับกับเทรนด์      ผู้บริโภคที่ผิวแต่ละวันไม่เหมือนกัน จึงจะเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์สกินแคร์ตามสภาพผิวในแต่ละวัน 

    สำหรับสินค้าที่ขายดีอันดับ 1 ได้แก่ CeraVe Moisturizing Cream 50 ml รองลงมาคือ CeraVe Moisturizing Lotion 473 ml และ CeraVe PM Facial Moisturizing 

    โดยที่สัดส่วนรายได้แบ่งเป็น กลุ่มบอดี้โลชั่น 40% คลีนเซอร์ 30-40% และผิวหน้า 30-40% 

    ในปีนี้เริ่มนำสูตร Intensive Moisturizing Lotion เข้ามาจำหน่ายในไทย เป็นโลชั่นสำหรับคนผิวแห้งมาก มีผื่นภูมิแพ้ ในอนาคตอาจจะเลือกสูตรสำหรับผิวหน้าเข้ามาเพิ่มเติม แต่ต้องเลือกสูตรที่เหมาะกับผิวคนไทย 

    ขึ้นแท่นเวชสำอางเบอร์ 2 พ่วงตำแหน่งลูกรักของ “ลอรีอัล”

    “CeraVe เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่เปิดตัวแล้วรายได้ติด Top 5 ของบริษัท”

    แพรพูดถึงผลงานของแบรนด์เวชสำอางสุดฮอต ที่ตอนนี้ทำตลาดมา 7 ปี แต่สามารถมีรายได้อยู่ที่อันดับที่ 4 ของ    ลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย จากทั้งหมด 13 แบรนด์ โดยในเครือลอรีอัลเองมีแบรนด์เวชสำอางรวมกัน 3 แบรนด์ก็คือ La Roche-Posay (ลา โรช-โพเซย์), Vichy (วิชี่) และ CeraVe (เซราวี)

    แต่สำหรับภาพรวมตลาดเวชสำอาง CeraVe ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นเบอร์ 2 รองจาก Eucerin (ยูเซอริน) และมีส่วนแบ่งตลาดเบอร์ 6 ในตลาดสกินแคร์

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา CeraVe เติบโตเฉลี่ยด้วยเลข 3 หลักมาโดยตลอด มีเพียง 2 ปีที่ผ่านมาเติบโต 2 หลัก เพราะฐานมากขึ้น และในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตมากขึ้นอีก เพราะพลังการบอกต่อแบบปากต่อปากยังคงใช้ได้ผลกับแบรนด์ CeraVe 

    ]]>
    1516755
    ผ่ากลยุทธ์ “ลอรีอัล” แข่งสวยแสนล้าน  ด้วยอินไซต์ และดิจิทัล ชิงเบอร์ 1 ยักษ์ธุรกิจความงามในไทย https://positioningmag.com/1164122 Fri, 30 Mar 2018 14:18:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1164122 ลอรีอัลเป็นบริษัทความงามยักษ์ใหญ่ของโลกทำเงินในปี 2560 มาถึง 26,020 ล้านยูโร หรือกว่า 1 ล้านล้านบาท เติบโต 4.8% แต่ในประเทศไทยลอรีอัลยังเป็นแค่เบอร์ 2 ในตลาดความงามซึ่งไล่หลังยูนิลีเวอร์คู่แข่ง นอกจากเผชิญการแข่งขันโกลบอลแบรนด์ด้วยกันแล้ว ยังเจอคู่แข่งรีจินัลแบรนด์ และโลคัลแบรนด์ไทยอีก แต่ลอรีอัลก็ไม่หลัง ยังเดินหน้าสานเป้าหมายใหญ่โค่นคู่แข่งเพื่อขึ้นเป็นผู้นำตลาด ด้วยการเพิ่มสินค้าใหม่เสริมพอร์ตโฟลิโอปีละหลายร้อยรายการต่อปี กวาดลูกค้าตั้งแต่ตลาดล่างถึงบน ขายสินค้าเจาะทุกช่องทางออนไลน์ออฟไลน์

    นอกจากนี้ ลอรีอัล (ประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่ และเติบโตสูงสุดในอาเซียนมากกว่า 8% จึงเป็นตลาดสำคัญมาก ปี 2561 ลอรีอัลจึงวางหมากรบรุกตลาดความงาม โดยโฟกัสกลยุทธ์สำคัญ 2 ด้าน คือ มุ่งเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (Consumer Centricity) ขับเคลื่อนด้วยดิจัลเต็มรูปแบบ(Digital Acceleration)

    การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางคือรู้อินไซต์ผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่สินค้า มีการนำแบรนด์ใหม่ๆ มาเติมพอร์ตตลอด ปีนี้ส่ง 2 แบรนด์ทำตลาด ได้แก่ เครื่องสำอางแบรนด์หรูจิออร์จิโอ อาร์มานี บิวตี้มีลิปสติก แป้งคุชชั่น เจาะลูกค้ากระเป๋าหนัก และแบรนด์เซราวี (CeraVe) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเสริมพอร์ตเวชสำอางเจาะตลาดแมสขึ้น จากเดิมมีแบรนด์ลา โรชโพเซย์ วิชชี่ จับตลาดระดับบน  

    ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ สินค้าลดเลือนริ้วรอยต้องมา ผู้บริโภคเห่อทำสีผม สินค้านวัตกรรมทำสีผมเปลี่ยนได้บ่อยๆต้องมี เป็นต้น

    นางนาตาลี เกอร์ชไตน์ เคอโรวดี ลอรีอัล

     “การมุ่งเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญของลอรีอัล ทั้งการออกสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน มีสินค้าอย่างการ์นิเย่ เมย์เบลลีน จับตลาดแมส คนกำลังซื้อน้อย แต่ถ้าอยากได้แบรนด์ระดับบนเราก็มีวายเอสแอลบิวตี้ ลังโคม ไบโอเธิร์ม เป็นต้น นาตาลี เกอร์ชไตน์ เคอโรวดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

    นอกจากนี้ การเปิดร้านเครื่องสำอางแบรนด์นิกซ์ (NYX) นิกซ์ โปรเฟสชั่นแนล เมคอัพ แฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกในเอเชีย สาขาสยามสแควร์วัน เป็นการออกแบบสโตร์ใหม่ ให้มีความสนุกสนานมากขึ้นเมื่อลูกค้าเข้ามาทดลองสินค้าต่างๆของนิกซ์ และนำดิจิทัลเข้ามาใช้ภายในร้าน เมื่อลูกค้าเดินเข้ามาเช็คอินเป็นสมาชิก จะช่วยจดจำรายการสินค้าไหนมีหรือใช้แล้วหมดไปบ้าง รวมถึงอัพเดทสินค้าใหม่ให้รับรู้ด้วย

    เพื่อให้ลูกค้ามีประสบการณ์แต่งหน้ากับแบรนด์จึงมีเซลฟี่บาร์ ให้ลองถ่ายรูปเปลี่ยนลุคตัวเอง ว่าเหมาะกับสินค้าอะไรด้วย เดิมเป็นการใส่แว่นแล้วลองแต่งหน้า เมื่อลูกค้าไม่ชอบก็เปลี่ยน และยังมี Makeup Genius แอพลิเคชั่นความงามให้ลูกค้าลองสินค้า

    ร้านนิกซ์แฟล็กชิพสโตร์ เราต้องการให้เป็นจุดหมายของผู้บริโภคที่ชื่นชอบการแต่งหน้า ให้รู้จักดีเอ็นเอของแบรนด์ให้มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆในการแต่งหน้าด้วยดิจิทัล และบริษัทยังต้องการโฟกัสร้านค้าคอนเซ็ปต์ใหม่ เพื่อให้ลูกค้ารู้จักตัวตนของแบรนด์มากขึ้น

    ส่วนกลยุทธธ์รุกดิจัลเต็มรูปแบบ ปีที่ผ่านมา ลอรีอัลได้เข้าซื้อกิจการ “Modifcae” ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญตลาด AR Beauty และนำมาใช้ในการแต่งหน้าเสมือนจริงสำหรับลูกค้าทุกลักษณะผิวพรรณ

    ปัจจุบันดิจิทัลกับผู้บริโภคใกล้กันมาก แบรนด์จึงต้องทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ

    ที่ขาดไม่ได้ในการรุกดิจิทัล คือการขยายช่องทางจำหน่ายรุกออนไลน์ทุกรูปแบบ ทั้ง E-Retailers กลุ่มเซ็นทรัล ท็อปส์ เทสโก้ โลตัส วัตสัน เซโฟร่าฯ มีอีคอมเมิร์ซไหน บริษัทนำสินค้าไปขายหมด, E-Tailers อย่างลาซาด้า อีเลฟเว่นสตรีท Konvy Looksi ค่ายไหนมีแพลมฟอร์มใดต้องไป, Social Commerce ไลน์ เฟซบุ๊ก CRAZE สินค้าต้องขายในนั้นเพราะคนไทยใช้เฟซศบุ๊กติดท็อปของโลก หากไม่มีสินค้าขายอาจพลาดจับกลุ่มเป้าหมายได้ รวมทั้งมี Owned E-Boutique แพลตฟอร์มออนไลน์ขายสินค้าแต่ละแบรนด์ เช่น ลังโคม คีลส์ อีฟแซงต์ โลร็องส์ ซึ่งบริษัทเปิดตัวไตรมาส 3 ปีก่อน

    ในไทยยอดขายออนไลน์ลอรีอัลโตแรง 97% แต่สัดส่วนยอดขายยังน้อยมาก และบริษัทต้องการดันสัดส่วนให้ใกล้เคียงกับบริษัทแม่ที่มียอดขายออนไลน์ 8% เติบโต 33.6%

    จากแผนดังกล่าวลอรีอัล ตั้งเป้ายอดขายเติบโตต่อเนื่องมากกว่าตลาด 8% จากช่วง 6 ปีที่ผ่านมา บริษัทโตมากกว่าตลาดโดยตลอด

    ขณะเดียวกันเกมรุกจะยังสอดคล้องวิชั่นของ ส่งผลให้ลอรีอัล ประเทศไทย ที่ต้องการให้ทุกครัวเรือนมีผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลอย่างน้อย 1 ชิ้น และผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวสู่บริษัทความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทยต่อไป

    สำหรับตลาดความงามในประเทศไทย ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า ปี 2560 มีมูลค่า 168,470 ล้านบาท เติบโต 7.8% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตใกล้เคียงกันต่อเนื่อง 5-6 ปี เพราะคนไทยรักสวยรักงามไม่ว่าจะเจอปัญหาเศรษฐกิจ กำลังซื้อชะลแต่ง แต่ขอหน้าสวยไว้ก่อน 

    ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามหมวดสินค้าพบว่า

    ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) 47% หรือมูลค่าราว 78,700 ล้านบาท เติบโต 8.7% แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า 84% ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย 16%, ผลิตภัณฑ์ผม(Hair) 18% มูลค่าราว 30,800 ล้านบาท เติบโต 6.7% แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม 83% ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม 11% ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม 4% และผลิตภัณฑ์ยืดดัดผม 1%

    เครื่องสำอาง (Makeup) 14% มูลค่า 22,700 ล้านบาท เติบโต 7.6% แบ่งเป็น สำหรับผิวหน้า 56% ริมฝีปาก เช่น ลิปติก 26% แต่งตา 17% และเล็บ 1% ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย(Hygiene) 16% น้ำหอม (Fragrance) 5% มูลค่า 8,500 ล้านบาท เติบโต 7.6% ส่วนแนวโน้มตลาดความงามปี 2561 คาดว่าจะเติบโต 7-8%  

    ]]>
    1164122