Chemicals – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 13 Sep 2014 00:00:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “โอโม พลัส แอนตี้แบค” เปิดตัว “เวอร์ชวล พรีเซ็นเตอร์” ครั้งแรก!! ลุยเดินสายท้าพิสูจน์ผ้าขาวสะอาดมั่นใจห่างไกลเชื้อโรคและไรฝุ่น https://positioningmag.com/58420 Sat, 13 Sep 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58420

ผลิตภัณฑ์ซักผ้า “โอโมพลัส แอนตี้แบค” โดย นางสาวจนัญญา เมฆวัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทยเทรดดิ้ง จำกัด เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ “โอ๊ค-สมิทธิ์ อารยะสกุล” ในรูปแบบ “เวอร์ชวล พรีเซนเตอร์” ครั้งแรกในประเทศไทยกับพรีเซนเตอร์เสมือนจริงของโอโมพลัส แอนตี้แบคที่จะมาแนะนำความรู้และเคล็ดลับดีๆ ในการดูแลความสะอาดของเสื้อผ้า ห่างไกลเชื้อโรคและไรฝุ่นให้กับผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด พร้อมร่วมเดินสายท้าชวนผู้บริโภคท้าพิสูจน์ประสิทธิภาพของ “โอโม พลัส แอนตี้แบค” ผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้นที่เหนือกว่าด้วยประสิทธิภาพในการขจัดลึกถึงเชื้อโรคและไรฝุ่นได้ถึง 99.9% ช่วยลดกลิ่นอับ ลดการเกิดผื่นคันและภูมิแพ้โดยไม่ทำลายเนื้อผ้า เพื่อเสื้อขาวสะอาดมั่นใจที่เหนือกว่าแค่ขจัดคราบ พร้อมห่างไกลจากเชื้อโรคและไรฝุ่น รายละเอียดเพิ่มเติมทาง www.facebook.com/OMOThailand

]]>
58420
“เซโกะ” นวัตกรรมใหม่ แก้ไขปัญหาเชื้อราที่สาเหตุ https://positioningmag.com/55077 Tue, 13 Dec 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55077

บริษัท โซเดแพค ( ไทยแลนด์ ) จำกัด ได้เปิดตัว “เซโกะ” ผลิตภัณฑ์ดูดซับความชื้นส่วนเกินในอากาศจาก ประเทศฝรั่งเศส เพื่อแก้ปัญหาการเกิดเชื้อราและกลิ่นอับชื้น สำหรับลูกค้าเจ้าของบ้าน และเจ้าของรถยนต์ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม

คุณมิ่งขวัญ วิมลสันติโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซเดแพค ( ประเทศไทย ) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทแม่ของเราเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของยุโรป ด้านการควบคุม และ ป้องกัน ปัญหาเกี่ยวกับความชื้นภายในบ้าน และภาคอุตสาหกรรม จากสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยครั้งนี้ บ้าน และรถยนต์จำนวนมากที่ต้องแช่น้ำอยู่เป็นระยะเวลานาน หลังน้ำลดผู้คนเริ่มตระหนักถึงปัญหาของเชื้อราและอันตรายที่เกิดจากเชื้อรา ปัญหาเชื้อราหลังน้ำท่วม เป็นผลมาจากอากาศมีความชื้นสูงเกิน 70% ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดีและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้นวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อราอย่างถาวรก็คือควบคุมความชื้นให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 70% บริษัทฯ จึงได้นำเข้าเครื่องมือวัดความชื้น (HYGROMETERX) และ ผลิตภัณฑ์ดูดซับความชื้นจากบริษัทแม่ เข้ามาเปิดตัว ในแบรนด์ “เซโกะ”

“ เซโกะ ผลิตภัณฑ์ดูดซับความชื้นในรูปแบบเจล สำหรับแก้ไขปัญหาความชื้นส่วนเกินในอากาศซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเชื้อรา มีประสิทธิภาพสูง สามารถดูดซับความชื้นได้ในปริมาณมากถึง 300% ของน้ำหนักตัว ช่วยควบคุมให้ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศอยู่ระหว่าง 40-60% ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยงทำให้รู้สึกสบาย และยังช่วยป้องกันการก่อเกิดของเชื้อรา จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ต่างจากการใช้ยาดับกลิ่นหรือยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งเป็นเพียงการระงับชั่วคราวเท่านั้น เซโกะ ผลิตจากสารธรรมชาติรวมกับส่วนผสมที่คิดค้นโดยนักวิจัยภายใต้คุณภาพมาตรฐานของยุโรป ปราศจากสารพิษเจือปน จึงมีความปลอดภัยทั้งต่อผู้ใช้ สัตว์เลี้ยง และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เซโกะ มีคุณสมบัติพิเศษในการดักจับความชื้นสูงได้ดี เพียงนำมาแขวนไว้ในจุดอับต่างๆ ภายในบ้าน อาทิ ห้องน้ำ ห้องใต้ดิน ห้องนอน ห้องเด็กเล็ก  ตู้เสื้อผ้า ในรถยนต์ หรือที่อื่นๆ ตามความต้องการ ความชื้นส่วนเกินในอากาศจะค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่เหมาะสม เซโกะ สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 60 วัน จำหน่ายในราคาเริ่มต้นเพียง 180 บาทเท่านั้น และหากท่านต้องการตรวจสุขภาพบ้านของท่าน เรามีเครื่องมือวัดความชื้นในอากาศ ( Hygrometer ) สำหรับใช้ตรวจวัดความชื้นภายในบ้านว่าเหมาะสมสำหรับการกลับเข้าไปอยู่ได้อย่างปลอดภัยต่อสุขภาพหรือไม่ ” ผู้บริหารกล่าว

สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทโซเดแพค (ไทยแลนด์) จำกัด
โทร 02-1752311,contact@sodepacthai.com

]]>
55077
วิวัฒนาการใหม่ล่าสุดในการกำจัดแมลงจากชิลด์ท้อกซ์ “ชิลด์ท้อกซ์ แนทเชอร์การ์ด ออโตเมติก สเปรย์” https://positioningmag.com/54823 Fri, 23 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54823

บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงชิลด์ท้อกซ์ แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ “ชิลด์ท้อกซ์ แนทเชอร์การ์ด ออโตเมติกสเปรย์” เครื่องพ่นสเปรย์กำจัดแมลงอัตโนมัติ ออกฤทธิ์กำจัดยุงและแมลงสาปได้ต่อเนื่องตลอดวัน กลิ่นดี-เลมอนนีน ไม่มีกลิ่นฉุน หมดกังวลด้วยสารสกัดจากเปลือกส้มธรรมชาติ มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ “Fine Mist Technology” ช่วยให้ละอองสเปรย์ที่พ่นมีอนุภาคขนาดเล็ก สามารถควบคุมปริมาณสเปรย์ได้อย่างเหมาะสม ด้วยระบบฉีดพ่นอัตโนมัติ ทุกๆ 15 นาที ไร้เสียงรบกวน ออกฤทธิ์กำจัดแมลงร้ายต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องคอยฉีดสเปรย์ซ้ำ เพิ่มความสะดวกสบาย ง่ายๆ แค่ปลายนิ้วสัมผัสเพียงครั้งเดียว ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัย ใช้ต่อเนื่องได้นาน 28 วัน การันตีคุณภาพด้วยรางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2010 จากประเทศออสเตรเลีย

พบกับ “ชิลด์ท้อกซ์ แนทเชอร์การ์ด ออโตเมติกสเปรย์” ได้แล้ววันนี้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และซุปเปอร์ ไฮเปอร์ ทั่วประเทศ ติดต่อสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โทร 02-6852100

]]>
54823
“คิงส์สเตลล่า” ฉลอง 48 ปี ความหอมคู่ไทย แจกมอเตอร์ไซต์ฟีโน่ส่งท้ายปี https://positioningmag.com/54727 Mon, 12 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54727

คิงส์สเตลล่า แจกรางวัลครั้งยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ในโอกาสครบรอบ 48 ปี ภายใต้แคมเปญ “คิงส์สเตลล่า” ฉลอง 48 ปี ความหอมคู่ไทย เพียงซื้อผลิต King’s stella ที่ร่วมรายการ มีสิทธิ์รับคูปองชิงโชค สำหรับผู้โชคดี รางวัลที่ 1 รับมอเตอร์ไซต์ฟีโน่ 1 คัน มูลค่า 52,000 บาท รางวัลที่ 2 โทรทัศน์ LCD 32 นิ้ว จำนวน 2 เครื่อง มูลค่า 30,000 บาท รางวัลที่ 3 โทรศัพท์มือถือ Sumsung จำนวน 20 เครื่อง มูลค่า 30,000 บาท และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย กว่า 100 รางวัล มูลค่า 138,000 บาท พร้อมกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้อง ส่งลุ้นรางวัลที่ห้างแม็คโครทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ – 29 พฤศจิกายน 2554 เท่านั้น สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2320 2113-5 หรือ www.kingstellaprotect.com

]]>
54727
“ชิลด์ท้อกซ์” ชิงบัลลังก์ ทุ่มงบ 50 ล้าน เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ https://positioningmag.com/54624 Tue, 30 Aug 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54624

ชิลด์ท้อกซ์ ชูนโยบายเชิงรุก จับเทรนด์ตลาดโลก ตอกย้ำผู้นำนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทุ่มงบ 50 ล้านบาท เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “ชิลด์ท้อกซ์ แนทเชอร์การ์ด ออโตเมติกสเปรย์” นวัตกรรมสุดล้ำในกลุ่มสเปรย์กำจัดแมลงอัตโนมัติ รายแรก ของประเทศไทย สยบคู่แข่งด้วยระบบอัตโนมัติ สะดวกสบาย ปกป้องอย่างต่อเนื่อง ตลอด 24 ชม. พร้อมย้ำจุดขาย “สารสกัดจากธรรมชาติ” ต่อเนื่องจาก ตั้งเป้าขยายตลาดด้วย ส่วนแบ่ง จาก 28% เป็น 30% ภายในสิ้นปีนี้

มร.อาตา ซัฟดาร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงชิลด์ท้อกซ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์กำจัด แมลงมีมูลค่า 3,534 ล้านบาท (ไม่รวมกลุ่มผลิตภัณฑ์ Repellent) แบ่งออกเป็น ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบสเปรย์ 60% คิดเป็นมูลค่า 2,136 ล้านบาท โดย “ชิลด์ท้อกซ์” มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 28% เติบโตจากปีที่ผ่านมาถึง 16% จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม “สารสกัดจากธรรมชาติ” ภายใต้ชื่อ “ชิลด์ท้อกซ์ แนทเชอร์การ์ด ออโตเมติกสเปรย์” เป็นรายแรกในประเทศไทย เมื่อปลายปี 2553

จากตัวเลขดังกล่าว ถือว่าตลาดผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และมีการ ขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี ถึงแม้มูลค่าตลาดรวมของผลิตภัณฑ์กำจัดแมลง ในรอบ 12 เดือน ที่ผ่านมา เติบโตเพียง 0.6% (ไม่รวมกลุ่มผลิตภัณฑ์ Repellent) แต่สมรภูมิผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงยังคงมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสเปรย์ที่มีมูลค่ามากสุด ทำให้การแข่งขันในเซกเมนต์นี้มีความสำคัญอย่างมาก ดังนั้น “ชิลด์ท้อกซ์” ในฐานะผู้นำนวัตกรรมใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง จึงยังคงชูนโยบายการดำเนินงานในเชิงรุกอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ในกลุ่มสเปรย์กำจัดแมลงอัตโนมัติครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้ผลิตภัณฑ์ “ชิลด์ท้อกซ์ แนทเชอร์การ์ด ออโตเมติกสเปรย์” โชว์จุดขายเพิ่มความ สะดวกสบาย ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ “Fine Mist Technology” ช่วยให้ละอองสเปรย์ ที่พ่นมีอนุภาคขนาดเล็กสามารถควบคุมปริมาณสเปรย์ได้อย่างเหมาะสม ด้วยระบบฉีดพ่น อัตโนมัติ ทุกๆ 15 นาที และออกฤทธิ์กำจัดแมลงได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง จากปริมาณสเปรย์ ที่ฉีดจากเครื่องพ่นสเปรย์อัตโนมัติใน 1 วัน น้อยกว่าปริมาณการฉีดสเปรย์แบบธรรมดา 1 ครั้ง จึงไม่ต้องฉีดซ้ำในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นเหมือนสเปรย์ทั่วไป นอกจากนี้ยังตอกย้ำจุดขาย “สารสกัดจากธรรมชาติ” ด้วยกลิ่นดี-เลมอนนีน (สกัดจากเปลือกส้ม) ไม่มีกลิ่นฉุนจากสารเคมี ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัย ในการใช้งาน และ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ยุคใหม่ในปัจจุบันที่ไม่มีเวลาในการดูแลครอบครัวได้เป็นอย่างดี

ด้านนายสุภัทร์ ไพรสานฑ์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายเน้นกลุ่มแม่บ้านยุคใหม่ที่อาศัยในเมืองซึ่งห่วงใยและให้ความสำคัญกับการดูแลครอบครัวเป็นหลัก โดยทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมทางการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในวงกว้าง เน้นทั้ง Above the Line และ Below the line ผ่านการสื่อสารโฆษณาการจัดกิจกรรม ส่งเสริมการขายบูธเดโมสินค้า และส่งเจ้าหน้าที่ให้ความรู้ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนจัดกิจกรรมเพื่อสังคม อาทิเช่น โครงการ “พลังปกป้องน้องจากแมลงร้ายทั่วไทย” ด้วยการบริจาคผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงชิลด์ท้อกซ์ ผ่านทางกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อช่วยเหลือ โรงเรียนที่ประสบปัญหาแมลงจากภัย น้ำท่วม และได้รับผลกระทบจากยุงและแมลงร้ายอันเกิดจากน้ำท่วมขังอันเป็นที่มาของการเกิดโรคร้ายต่างๆ ที่มียุง และแมลงเป็นพาหะนำโรค อาทิ ไข้เลือดออก และไข้มาลาเรีย

จากเทรนด์ปัจจุบันที่ผู้บริโภคทั่วโลกรวมทั้งผู้บริโภคชาวไทยหันมาใส่ใจดูแลตนเอง และครอบครัวมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มของตลาดผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ และไม่มีกลิ่นฉุน เติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นบริษัทฯ จึงมั่นใจอย่างยิ่งว่านวัตกรรมใหม่ในกลุ่มสเปรย์กำจัดแมลงอัตโนมัติภายใต้ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ “ชิลด์ท้อกซ์ แนทเชอร์การ์ด ออโตเมติกสเปรย์” จะช่วยขยายตลาดผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงในกลุ่มสเปรย์ให้เติบโตมากขึ้น โดยตั้งเป้าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถครองส่วนแบ่งเพิ่มจาก 28% เป็น 30% และเชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มเป็น 35% ภายใน 5 ปี ได้อย่างแน่นอน สุภัทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวทิ้งท้าย

]]>
54624
โฆษณาทางสื่อโทรทัศน์ คายาริ ไพริทรัม สเปรย์ https://positioningmag.com/54464 Mon, 23 May 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54464

เอเยนซี่ : บริษัท ซินเซียลี่ ยัวส์ คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด

ลูกค้า : บริษัท สถาพร มาเก็ตติ้ง จำกัด

สินค้า : คายาริ ไพริทรัม สเปรย์

กิจกรรม : ภาพยนตร์โฆษณาความยาว 15 วินาที เรื่อง เด็ก

ทีมงานสร้างสรรค์ : คุณไกรศร ลีลาชัยพิสิฐ (Executive Creative Director)
คุณชัชวาล หุตะภิญโญ (Creative Director)
คุณไตรรงค์ คงไทย (Art Director)
บริษัทผู้ผลิต : Phoscine

ผู้กำกับภาพยนตร์ :คุณไกรศร ลีลาชัยพิสิฐ (Film Director)

ที่มาของแนวคิด
คายาริได้คิดค้นพัฒนา “คายาริ ไพริทรัม สเปรย์” ยาฉีดยุงที่สกัดจากดอกไพริทรัมแท้ๆ ที่องค์การอนามัยโลกรับรองว่าปลอดภัยสูงและย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้าง แต่ออกฤทธิ์แรงในการกำจัดยุงและแมลง จึงเป็นอันตรายน้อยต่อคนและสิ่งแวดล้อม เป็นทางเลือกใหม่ในการกำจัดยุงและแมลงให้กับผู้บริโภค ซึ่งคายาริเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่นำสารสกัดจากธรรมชาติจริงๆ มาผลิต ไม่ใช่การเติมกลิ่นธรรมชาติลงไป

แนวความคิดโฆษณา
“จากธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่แค่กลิ่น” โดยใช้กลุ่มเด็กมาเป็นตัวดำเนินเรื่อง เพื่อสร้างความน่าสนใจ และความแตกต่างจากคู่แข่งในกลุ่มสินค้าประเภทนี้

เนื้อเรื่องโฆษณา
ในการประชุมระดับนานาชาติ ท่านประธานกำลังขึ้นกล่าวปราศรัยให้ผู้เข้าร่วมประชุมตระหนักถึงอนามัยโลก โดยแนะนำให้ใช้ยากำจัดยุงและแมลง “คายาริ ไพริทรัม สเปรย์” ที่สกัดจากดอกไพริทรัมธรรมชาติแท้ๆไม่ใช่แค่กลิ่น นอกจากนี้ยังได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของคายาริ ไพริทรัม สเปรย์ ที่ออกฤทธิ์แรงในการกำจัดยุงและแมลงสาบ และยังสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ปรบมือให้การต้อนรับคายาริ ไพริทรัม สเปรย์เป็นอย่างดี และท่านประธานก็สุดแสนจะดีใจไปด้วย

]]>
54464
ครั้งแรกในไทย กับ “คายาริ ไพรีทรัม” https://positioningmag.com/54400 Wed, 18 May 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54400

“คายาริ” ยาจุดกันยุงจากธรรมชาติ ขอแนะนำ “คายาริ ไพริทรัม สเปรย์” ยาฉีดฆ่ายุงครั้งแรกของเมืองไทย ที่สกัดจากดอกไพริทรัม ที่เห็นประสิทธิภาพในการฆ่ายุงได้ทันที โดยไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติเหมาะสำหรับพื้นที่ที่คุณห่วงใยเป็นพิเศษ ที่ W.H.O. องค์การอนามัยโลก และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ F.A.O ให้การรับรอง มีจำหน่ายแล้วตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และร้านค้าใกล้บ้านท่านทั่วประเทศ

]]>
54400
ปุ๋ยตรามงกุฎพร้อมสู้ทุกศึก งัดกลยุทธ์ครบเครื่องลุยตลาดปี 54 https://positioningmag.com/54357 Wed, 04 May 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54357

ปุ๋ยตรามงกุฎยังพร้อมลุยตลาด อย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จในการขาย การตลาดในปีที่ผ่านมา สนองความต้องการเกษตรกรไทยหลังพบว่า เกษตรกรมีความต้องการใช้ปุ๋ยเพิ่มมากขึ้นเนื่องจาก ภาวะราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่สูงขึ้น และ รัฐบาลมีงบประมาณช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร เพื่อนำร่อง และสนับสนุนการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างถูกวิธี โดยยังคงตอกย้ำความมั่นใจสินค้าปุ๋ยมีคุณภาพเต็มสูตรทุกกระสอบ ทุกเม็ด เพราะบริษัทในเครือเองก็ใช้ ทั้งยังมีนโยบายผลิตปุ๋ยสดใหม่เก็บไว้ขายไม่เกิน 3 เดือน และยังปรับเปลี่ยน พัฒนาคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ทั้งด้านรูปลักษณ์ที่ทันสมัย และความแข็งแรงเพื่อรักษาคุณภาพของปุ๋ยตรามงกุฎทุกกระสอบ เผยเตรียมแผนการตลาด ส่งเสริมการขาย และโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างครบเครื่อง ครบวงจร หวังสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คู่ค้าและผู้บริโภค ล่าสุดเปิดหนังโฆษณาใหม่ โดยยังใช้ “ปุ๋ยขยัน” เป็น Mascot สะท้อนประสิทธิภาพที่เห็นผลจริงจากผู้ใช้

นายวุฒิพงษ์ หวังสันติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอราโกร เฟอร์ติไลเซอร์ จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ปุ๋ยของประเทศไทยว่า ปี 2553 แม้ประเทศไทยประสบสภาวะฝนแล้งและน้ำท่วมตลอดจนปัญหาแมลงศัตรูพืช แต่ประเทศเราก็นำเข้าปุ๋ยสูงถึง 5.2 ล้านตัน ถือว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุด เพราะในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยนำเข้าเพียงปีละ 4 ล้านตันเท่านั้น

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ มากมาย ปุ๋ยตรามงกุฎกลับทำยอดขายได้กว่า 2 แสนตัน ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมกันนี้ยังมีสัดส่วนการตลาด สูงขึ้นจากเดิมค่อนข้างมาก และ เกษตรกรก็รู้จักปุ๋ยตรามงกุฎ อย่างแพร่หลาย และเป็นที่นิยมของเกษตรกรที่ได้ทดลองใช้ เนื่องจากต้นทุนต่ำลง แต่ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น

ในด้านทิศทางและโอกาสของปุ๋ยเคมี จากการประชุมสัมมนาร่วมกันกับกรมวิชาการเกษตร กระทรวงพาณิชย์ ผู้ประกอบการ และ ผู้นำเกษตรกร ทุกฝ่ายยังคงเห็นว่าปุ๋ยเคมียังคงเป็นทางเลือกหลักสำหรับอุตสาหกรรมเกษตรของไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศหลักในการผลิตพืชอาหารและพืชพลังงานของโลก การใช้ปุ๋ยเคมีจะเหมาะกว่าปุ๋ยอินทรีย์เพราะธาตุอาหารในปุ๋ยอินทรีย์ค่อนข้างต่ำ และหากต้องขนส่งปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นอินทรีย์วัตถุซึ่งไม่ใช่ธาตุอาหารหลัก เกษตรกรจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่มากขึ้น นอกจากนี้ นักวิชาการยังได้ออกมายืนยันว่าปุ๋ยเคมีเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับเกษตรกรทั่วโลก แต่แนะนำให้บำรุงดินเพิ่มเติมโดยเพิ่มอินทรีย์วัตถุ เช่นปุ๋ยหมัก มูลสัตว์ และ ไม่ทำลายธาตุอาหารโดยการเผาตอซัง โดยใช้ปุ๋ยให้ถูกกับสภาพของดินและพืช

นายวุฒิพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปุ๋ยเคมีในปีนี้ คาดว่าการใช้ปุ๋ยปั้นเม็ด ที่มีธาตุอาหาร NPK ในเม็ดเดียวน่าจะมากขึ้น เนื่องจากเมื่อเกษตรกรต้องการเพิ่มผลผลิตก็จะต้องเพิ่มในส่วนของ P และ K ขึ้นมา นอกจากนี้ภาครัฐโดยกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์และกระทรวงเกษตรฯ ล้วนแต่พยายามส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยปั้นเม็ด เพื่อลดปัญหาปุ๋ยไม่เต็มสูตร หรือปุ๋ยปลอม

จากเหตุผลดังกล่าว ประกอบกับภาวะฝนและน้ำ ซึ่งคาดว่าจะดีกว่าปีที่แล้วเนื่องจากฝนตกตามฤดูกาล ปุ๋ยตรามงกุฎก็มีเป้าหมายการเติบโตอยู่ที่ 3 แสน 5 หมื่นตันในปี 2554 พร้อมกับตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4,600 ล้านบาท

ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายข้างต้น ปุ๋ยตรามงกุฎจะยังคงยืนหยัดในเรื่องการรักษาคุณภาพ พร้อมทั้งนำนวัตกรรมที่ก้าวหน้ามาสู่ผู้บริโภค รวมทั้งเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่เกษตรกร โดยเน้นการใช้วัตถุดิบจากแหล่งที่ดีที่สุดของโลก พร้อมทั้งช่วยเกษตรกรในการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต เพราะทางบริษัทฯ มีศักยภาพในการรักษาต้นทุนของสินค้า เนื่องจากมีกำลังซื้อในปริมาณมากและมีทีมงานที่เข้าใจว่า ควรนำเข้าวัตถุดิบในช่วงเวลาใด จึงจะได้ราคาไม่สูงมาก

“นี่คือหัวใจสำคัญในการรักษาต้นทุนไม่ให้สูงจนเกินไป นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับรายละเอียดอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ และ การจัดเก็บ โดยเฉพาะถุงบรรจุนั้น เราได้พัฒนาทั้งถุงด้านนอกและถุงด้านใน ทั้งด้านการออกแบบ สีสัน และ ความแข็งแรงรวมถึงการปิดปากถุงด้วยความร้อน แทนการมัด พร้อมกับยังมีนโยบายที่จะผลิตปุ๋ยสดใหม่ สำหรับการขายในรอบละไม่เกิน 3 เดือน เพราะฉะนั้นจึงมั่นใจได้ว่า เราจะมีสินค้าที่สดและใหม่อยู่เสมอเพื่อจำหน่ายให้แก่เกษตรกร

นอกจากนั้น เรายังมีแผนนำเสนอปุ๋ยสูตรใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ล่าสุดในเดือนมกราคม – เมษายน ที่ผ่านมา เราได้ผลิตแล้วหลากหลายเช่น สูตร 20-8-20 สูตร 21-7-18 สูตร 20-10-12 สูตร 9-9-32 สูตร 14-7-35 และ สูตร 18-8-8 สำหรับยางพารา เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดจะเป็นปุ๋ยสูตรที่เหมาะกับพืชเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะช่วยให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมกับพืชเศรษฐกิจต่างๆ และ สภาพดิน ตามนโยบายของรัฐบาล” นายวุฒิพงษ์กล่าว

นายวุฒิพงษ์กล่าวต่อไปว่า ปุ๋ยตรามงกุฎนอกจากจะผลิตเพื่อจำหน่ายในท้องตลาด และในหน่วยงานราชการบางแห่งแล้ว ยังขายให้บริษัทในกลุ่มเองด้วย
“ตรงนี้เป็นส่วนที่จะประกันได้ว่า สินค้าปุ๋ยของเรามีคุณภาพเต็มสูตรทุกเม็ดปุ๋ย ทุกกระสอบ เพราะหากบริษัทของเราผลิตเอง ใช้เอง ย่อมต้องใช้ของดี มีคุณภาพเท่านั้น”

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายสนับสนุนคู่ค้า ด้วยเป้าหมายคือ ให้คู่ค้าส่งปุ๋ยที่ดีถึงมือผู้บริโภค พร้อมทั้งให้คู่ค้ามีรายได้จากการขายปุ๋ยตรามงกุฎ เป็นการทำธุรกิจแบบยั่งยืนร่วมกันกับทางกลุ่ม โดยเบื้องต้นจะเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับคู่ค้าให้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เปิดเว็บไซต์เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารถึงคู่ค้าตลอดรวมไปจนถึงผู้บริโภคแล้วที่ www.terragrofertilizer.com

“ในด้านกิจกรรมระหว่างบริษัทกับคู่ค้า เราจะมีกิจกรรมส่งเสริมการขายในพื้นที่ ร่วมกับร้านค้ามากขึ้นในปีนี้ โดยฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายมีแผนงานทั้งปีร่วมกับร้านค้า นอกจากนั้นทีมส่งเสริมการขายที่ทำงานกับคู่ค้าในแต่ละพื้นที่ จะไปศึกษาว่าในพื้นที่นั้นมีปัญหาอะไร ต้องแก้ไขอย่างไร ทั้งนี้เป็นการทำงานในภาพรวมของทั้งประเทศ แต่ดูความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ของคู่ค้าด้วย”

ในส่วนของแผนสนับสนุนและส่งเสริมการขายปี 2554 จะมีทั้งระดับประเทศ และแผน ฯ ที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ รวมถึงเหมาะกับพืชพันธุ์ตลอดจนฤดูกาลของแต่ละร้านค้าด้วย พร้อมกันนั้นได้แบ่งซอยเขตให้เล็กลงและเพิ่มทีมงานขายและส่งเสริมการขายให้มากขึ้น เพื่อลงทำงานกับร้านค้าในพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจเกษตรกร ให้ซื้อปุ๋ยตรามงกุฎไปใช้ เพราะฉะนั้นงบประมาณด้านนี้ในปีนี้จะเพิ่มมากขึ้น

นายวุฒิพงษ์กล่าวอีกว่า ด้านกลยุทธ์การตลาดปีนี้ จะเป็นแบบครบวงจร มีการสร้างความจดจำในตราสินค้า ความน่าเชื่อถือของสินค้า ตลอดจนการตอกย้ำให้เกษตรกรมีความเชื่อมั่นในตัวสินค้า และกล้าซื้อกล้าใช้ด้วยงบประมาณทางการตลาดทั้งหมดกว่า 120 ล้านบาท

“ขณะนี้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักและเริ่มมีลูกค้าที่ซื้อแล้วกลับมาซื้ออีก เราจึงต้องการให้ลูกค้าอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่เคยใช้ กล้าทดลองใช้และใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการทำตลาดในปีนี้ จึงยังคงเป็นแบบครบวงจร ซึ่งเรารับรองได้ว่า เกษตรกรจะต้องรู้สึกถูกใจทั้งด้านคุณภาพและราคา”

ในส่วนของการโฆษณา นายวุฒิพงษ์เปิดเผยว่า จะมีทั้งทางทีวี เคเบิ้ลทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์ คือทุกสื่อที่ล้อมรอบผู้บริโภคอยู่ และจะเน้นมากขึ้นในส่วนของวิทยุชุมชน รวมทั้งเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นเนื่องจากเป็นสื่อที่เข้าถึงเกษตรกรได้ดีและอยู่กับเกษตรกรตลอดทั้งวัน โดยที่ขณะนี้ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแคมเปญเมื่อปีก่อนแล้ว

“จากที่ Mascot ปุ๋ยขยันได้รับการตอบรับอย่างดี และเป็นที่จดจำจากเกษตรกรทั่วประเทศ ในปีนี้เราจึงมอบหมายให้ Mascot ปุ๋ยขยันเป็นตัวสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ และจากที่เกษตรกรหันมาใช้ปุ๋ยตรามงกุฎอย่างแพร่หลาย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่เน้นแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เห็นผลจริงจากผู้ที่ใช้ปุ๋ยตรามงกุฎ โดยคำนึงถึงความต้องการของเกษตรกร ที่ต้องการมีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นายวุฒิพงษ์กล่าวในที่สุด

]]>
54357
ลัดดา กรุ๊ป รุกธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเกษตร ชูนวัตกรรมเทคโนโลยีเจาะตลาด ตั้งเป้าขาย 1,200 ล้านบาท https://positioningmag.com/54022 Wed, 23 Feb 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54022

ท่ามกลางวิกฤติอาหาร ตลาดผลิตภัณฑ์เคมีเกษตรของประเทศไทยมีมูลค่าปีละกว่า 19,000 ล้านบาท ลัดดา กรุ๊ป องค์กรกลุ่มบริษัทด้านธุรกิจและบริการอะโกรบิสซิเนส ครบวงจรของคนไทยเติบใหญ่ด้วยก้าวย่างอันมั่นคง จนปัจจุบันขยายกิจการดำเนินงานเป็น 9 บริษัทในเครือครบวงจร ตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เคมีเกษตร งานพัฒนาวิทยาการอารักขาพืช และเพิ่มผลผลิตการเกษตรของไทย งานวิจัยและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ บริการออกแบบและติดตั้งการจัดการระบบน้ำ การพัฒนาพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยี่อและวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว ลัดดา กรุ๊ป ชูวิสัยทัศน์รุกตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม ตั้งเป้ายอดขายปี 2554 นี้ 1,200 ล้านบาท เล็งอัตราเติบโตไม่ต่ำกว่า 15 -20 % เผยโครงการลงทุนวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่จากพืชพลังงานสบู่ดำ พร้อม แตกไลน์ธุรกิจใหม่ผลิตภัณฑ์สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม กำจัดแมลงและสัตว์พาหะโรคในอาคารและชุมชนเมือง

คุณวนิดา อังศุพันธุ์ (Ms.Vanida Angsuphan) กรรมการผู้จัดการ ลัดดา กรุ๊ป กล่าวว่า “ ลัดดา กรุ๊ป ก่อตั้งในปีพ.ศ. 2509 โดยคุณพิชัย มณีโชติ (Mr.Pichai Manichote) นักวิชาการผู้มีความเชี่ยวชาญระดับสูงคนหนึ่งของไทย ด้วยประสบการณ์การบริหารอย่างมืออาชีพจนได้รับมาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001: 2000 และระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ISO 14001 : 2004 รวมทั้งกระบวนการผลิตภายใต้มาตรฐานการผลิตที่ดี GMP จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข คุณค่าที่บริษัทฯยึดถือคือ ธรรมาภิบาลและจรรยาบรรณในการบริหารองค์กรและดำเนินงาน ลัดดากรุ๊ปเจริญก้าวหน้าแตกหน่อเป็น 9 บริษัทในเครือ ประกอบด้วย บริษัท ลัดดา จำกัด ผลิตและจำหน่ายแบรนด์ผลิตภัณฑ์เคมีเกษตรที่มีคุณภาพมาตรฐาน ดำเนินการผลิตสินค้าและควบคุมคุณภาพ ตลอดจนดำเนินการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ตามที่กฏหมายกำหนด , บริษัท ลัดดา อินเตอร์เทรด จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทปุ๋ยและธาตุอาหารเสริมสำหรับพืช . บริษัท ไดนามิค อะโกรเซอร์วิส , บ.พาซาน่า (ประเทศไทย) จก.และ บ.อุตสาหเกษตรพัฒนา จก.โดยทั้ง 3 บริษัทนี้เป็นผู้จัดจำหน่ายขายปลีกผลิตภัณฑ์เพื่อการอารักขาพืช สารบำรุงพืช และสารเร่งการเจริญเติบโตของพืช, บ. เบสซอ เอ็นจิเนียร์ (ประเทศไทย) จก.เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบน้ำหยดและการจัดการน้ำทางการเกษตร ให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย ,ส่วน บ.ไดนามิคพันธุ์พืช จก. นำเข้าและจัดจำหน่ายเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง เช่น ทานตะวัน กระเจี๊ยบเขียว ผักชี และสบู่ดำ รวมถึงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและการพัฒนาพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ เช่น ดอกปทุมมาพันธุ์ลัดดาวัลย์ ,อะโกลนีมา พันธุ์ไดนามิครูบี้ ที่ได้รับความนิยมกว้างขวาง ,บริษัท ไบโอเซฟเฟอร์ จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับการรักษาคุณภาพของผลผลิตการเกษตรหลังการเก็บเกี่ยว (Post- Harvest Technology) , และบ.ทีเอบี อินโนเวชั่น จำกัด ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมการเกษตร และพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลัดดากรุ๊ปมียอดขายรวมในปี 2553 ที่ผ่านมากว่า 1,000 ล้านบาท “

ในด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการของ ลัดดา กรุ๊ป มุ่งเน้นนวัตกรรมที่ก้าวหน้าด้วยคุณภาพ แบ่งเป็น กลุ่มเคมีเกษตรป้องกันกำจัดศัตรูพืช (Pesticides) , กลุ่มเคมีเกษตร ควบคุมการเจริญเติบโตพืช (Plant Growth Regulator) , กลุ่มเคมี ธาตุอาหารพืชและสารบำรุงพืช (Plant Nutrition, Plant Growth Promoter & Plant Hormones ) , กลุ่มเคมีสำหรับสาธารณสุขและในบ้านเรือน (Public Health & Household Products) , กลุ่มผลิตภัณฑ์ สำหรับวิทยาการหลังเก็บเกี่ยว (Post Harvest Products) , กลุ่มเมล็ดพันธุ์พืช (Seeds) , กลุ่มอุปกรณ์ระบบน้ำเพื่อการเกษตร (Water System Equipments) และ กลุ่มพืชไม้ดอกไม้ประดับ (Ornamental Plants)

ตลาดเคมีเกษตรในประเทศไทย ปี 2553 มีมูลค่ารวมประมาณ 19,000ล้านบาท ลัดดา กรุ๊ปมียอดขายรวมในปี2553ที่ผ่านมากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่ง 80 % มาจากกลุ่มเคมีเกษตร สำหรับป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น เคมีเกษตรป้องกันกำจัดวัชพืช (Herbicides) , เคมีเกษตรป้องกันกำจัดแมลง (Insecticides) , เคมีเกษตรป้องกันกำจัดโรคพืช (Fungicides) , เคมีเกษตรป้องกันกำจัดหนู (Rodenticides) , และ เคมีเกษตรป้องกันกำจัดหอย (Molluscicides) เป็นต้น ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ขายดี 5 อันดับแรกของบริษัทฯ ได้แก่ Cypermethrin technical materials , Paclobutrazol , Abamectin , Acetochlor , และ Ametryn ส่วนเป้าหมายยอดขาย และอัตราการเติบโตของ ลัดดา กรุ๊ปในปี 2554 ประมาณ 1,200 ล้าน คาดว่าจะมีอัตราเติบโต 10-30% แตกต่างไปตามกลุ่มผลิตภัณฑ์

คุณวนิดา อังศุพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ ลัดดา กรุ๊ป กล่าวถึง โครงการวิจัยพืชพลังงานสบู่ดำ ว่า “ ท่ามกลางภาวะขาดแคลนพลังงาน ลัดดา กรุ๊ปได้มุ่งมองศักยภาพของพืชสบู่ดำ ไม่แพ้ปาล์มน้ำมัน และจะเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกในอนาคตของไทย โดยดำเนินงานและลงทุนในการวิจัยโครงการพืชพลังงานสบู่ดำ ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงการย่อย คือ 1. โครงการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์สบู่ดำ เพื่อนำมาสกัดและผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งนับเป็นเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผลิตคาร์บอนต่ำ วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์สบู่ดำให้ได้พันธุ์ดีและผลผลิตสูง , เพื่อหาสูตรอาหารที่เหมาะสมในการขยายพันธุ์สบู่ดำโดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ , เพื่อหาต้นตอ (rootstock) ที่ดีในการขยายพันธุ์สบู่ดำ เพื่อศึกษาปริมาณสารพิษและวิธีการกำจัดสารพิษในเมล็ดสบู่ดำ เพื่อนำกากเนื้อในเมล็ดมาใช้เป็นโปรตีนอาหารสัตว์และอาหารบำรุงพืช ผลความก้าวหน้าของโครงการเป็นที่น่าพอใจ ได้สายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตที่มากขึ้นเรื่อยๆ 800 – 900 กิโลกรัมต่อไร่ 2.โครงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสบู่ดำและชักนำการกลายพันธุ์ในสภาพปลอดเชื้อ โดยลัดดา กรุ๊ปได้ทำการศึกษาสูตรอาหารที่เหมาะสมในการสร้างยอดสบู่ดำ จากผลได้สูตรอาหารที่เหมาะสมในการสร้างยอดสบู่ดำ การศึกษาชักนำการกลายพันธุ์สบู่ดำโดยการใช้สารเคมีและฉายรังสี จากผลการวิจัยมีแนวโน้มไปในทางที่ดี รวมทั้งดำเนินการสกัดโปรตีนจากเมล็ดสบู่ดำเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านการเกษตร สามารถสกัดโปรตีนจากเนื้อในเมล็ดสบู่ดำ (seed kernel)

อีกโครงการเด่นของลัดดา กรุ๊ป คือ วิจัยพํฒนาผลิตภัณฑ์จากโครงการสารแคลเซียมฟอสโฟเนตในการควบคุมโรครากและโคนเน่าที่มีสาเหตุจากเชื้อรา ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมการควบคุมโรคในพืชที่แปลกใหม่ สามารถไปยับยั้งการเจริญของเชื้อโรคได้โดยฟอสไฟต์จะไปกระตุ้นให้พืชตอบสนองต่อ “การป้องกันตัวเอง “จากการเข้าทำลายของเชื้อสาเหตุโรค นับเป็นทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยต่อเกษตรกรผู้ใช้และผู้บริโภคในอนาคตอันใกล้ ทำให้ลดการใช้สารเคมี ช่วยเกื้อกูลสิ่งแวดล้อม

ในด้านผลงานวิจัยที่ด้านไม้ดอกไม้ใบ มีอยู่ 3 ชนิดที่กำลังออกสู่ตลาด คือ ปทุมมาลัดดาวัลย์ (Curcuma Laddawan) และ ว่านอะมาริลลิส (Amaryllis) , และ อโกลนีมา (Aglaonema) , สำหรับ ปทุมมาลัดดาวัลย์ นั้นเราได้พันธุ์ลูกผสมที่เกิดจากการนำพันธุ์ท้องถิ่นของไทยมาผสมกัน เป็นไม้ตัดดอกที่มีสีสดสวยมากกว่าพันธุ์ท้องถิ่นและมีอายุการปักแจกันนานขึ้น ส่วนไม้ใบอะโกลนีมา เราจดสิทธิบัตรไว้ที่อเมริกา 2 พันธุ์ มีชื่อเรียกว่า Bangkok Ruby และ Siam Majesty , สำหรับว่าน อะมาริลลิส (Amaryllis ) นั้นทาง ลัดดากรุ๊ป ได้ร่วมทุนกับบริษัท ซาอัด-อัสซาฟ ( Saad-Assaf )จากประเทศอิสราเอล โดยนำพันธุ์จากต่างประเทศมาทดลองปลูกในเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยจำนวน 6 สายพันธุ์ เป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ หัวว่านมีขนาดใหญ่ตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งงานทดลองจะต้องทำต่อไป ก่อนที่ขยายผลออกไปในเชิงพาณิชย์เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและยุโรป “

คุณภัชราพร เจียรวุฑฒิ (Ms.Patcharaporn Jiaravudthi) ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศและทะเบียนผลิตภัณฑ์ กล่าวถึง ปัจจัยที่ทำให้ราคาวัตถุดิบเคมีเกษตรผันผวน ว่าเนื่องจาก DEMAND และ SUPPLY ของวัตถุดิบเคมีเกษตรในตลาดโลกมีความผันผวนมากในบางช่วงอันเป็นผลกระทบจากการใช้สินค้าเคมีเกษตรทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าช่วงไหนมีการระบาดของโรคพืชและแมลงเกิดขึ้นมาก การใช้สารเคมีเกษตรก็จะมากด้วย แต่ถ้าช่วงไหนเกิดการขาดแคลนวัตถุดิบในตลาดโลก ราคาก็จะปรับตัวสูงขึ้น อีกประการหนึ่ง อัตราแลกเปลี่ยนของทั้งประเทศอเมริกา ประทศในยุโรป และจีนมีความผันผวนมากซึ่งมีผลกระทบต่อราคาของวัตถุดิบทั้งสิ้น ไตรมาสสุดท้าย เดือน ตค.-ธค.ปี 2553 ราคามีการปรับตัวสูงขึ้นจากเดิม เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกและค่าครองชีพในประเทศจีนมีการปรับตัวสูงขึ้น ส่วนในปี 2554 ช่วงไตรมาสแรก ราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในส่วนของสารกำจัดแมลงและสารป้องกันโรคพืช (Insecticides and Fungicides) เนื่องมาจากความต้องการของสินค้าในตลาดค่อนข้างสูง ส่วนสารกำจัดวัชพืช (herbicide) ราคาคงที่

คุณชื่นจิตต์ มีโพธิ์สม (Ms.Chuenjit Meeposom) ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “บ.ลัดดา กรุ๊ป ได้แตกไลน์กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ( Environmental Health) ภายใต้แบรนด์ “ลัดดา” โดยผลิตภัณฑ์ที่ขายดี ได้แก่ผลิตภัณฑ์กำจัดลูกน้ำยุง เทมีการ์ด 1%เอสบี, ผลิตภัณฑ์กำจัดยุง แบบฉีดพ่นหมอกควัน เดลต้าเมทริน 1% EC , ผลิตภัณฑ์กำจัดปลวก – ฟิโปรนิล 5% SC .ผลิตภัณฑ์กำจัดหนู – โบรมาดิโอโลน 0.005%แว๊กซ์บล็อก ,ผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงทั่วไป – ไซเพอร์เมทริน 10%EC เป็นต้น โดยในปี 2553 มียอดขายเติบโต มากกว่า 100 % หลังจากเริ่มทำตลาดอย่างจริงจังในระยะ 1-2 ปีที่ผ่าน โดยในปี 2554 เราตั้งเป้าหมายไว้ที่ 40 ล้านบาท หรือที่อัตราเติบโต 40% ส่วนแผนงานการตลาด ยังคงเน้นที่การจัดหาและแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในทุกเขตพื้นที่ เพื่อผลักดันสินค้าเข้าไปในตลาดให้ได้มากที่สุดโ ดยที่ลัดดาจะให้การสนับสนุนทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และ ข้อมูลวิชาการ รวมถึงสนับสนุนโปรโมชั่นต่างๆ ให้กับตัวแทนจำหน่าย”
—————————–
www.ladda.com
PR Agency : BrainAsia Communication
Tel : ประภาพรรณ 081-899-3599 ,นภาพร 086-341-6567 , 02-911-3282 Fax : 02-911-3208
Email : brainasia@hotmail.com

]]>
54022
ไอวีแอลรายงานยอดขายประจำไตรมาส 1 ที่สองหมื่นสี่พันล้านบาท https://positioningmag.com/51993 Mon, 24 May 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=51993

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (“ไอวีแอล”) ผู้ผลิตโพลีเอสเตอร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และผู้ผลิต PET รายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ได้รายงานยอดขายประจำไตรมาสที่ 1 ของปี 2553 ที่ 24,100 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตร้อยละ 37 จากไตรมาสที่ 1 ของปี 2552 ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่หดตัวและการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย เท่ากับ 3,010 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสที่ 1 ของปี 2552 ในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 เป็น 1,583 ล้านบาท ยอดขายจากทุกกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งจากปริมาณขายและราคาของ PET โพลีเอสเตอร์ และ PTA อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 30.8

ยอดขาย PET เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากไตรมาสที่ 1 ของปี 2552 จากการขายที่เพิ่มขึ้นโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายจากโรงงานอัลฟ่าเพ็ท ซึ่งเป็นโรงงานใหม่ของบริษัทที่มีเทคโนโลยีชั้นสูง ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา และยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการแปลงสายการผลิตโพลีเอสเตอร์สายหนึ่งในโรงงาน อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดรัสตรี้ส์ ในประเทศไทย เป็นสายการผลิต PET ถึงแม้ว่ากำลังการผลิตเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ในโรงงาน อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดรัสตรี้ส์จะลดลงจากการแปลงสายการผลิตดังกล่าว ยอดขายของกลุ่มธุรกิจยังเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 83 จากไตรมาสที่ 1 ของปี 2552 ยอดขาย PTA สุทธิ (ไม่รวมการขายภายในกลุ่มบริษัท) เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 13 ซึ่งจากยอดขายทั้งหมดของกลุ่มธุรกิจ PTA ประมาณครึ่งนึงเป็นการขายภายในกลุ่มบริษัท เพื่อใช้ในการผลิต PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์

นายอาลก โลเฮีย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของไอวีแอล กล่าวว่า “ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของปี 2553 นี้เป็นไปตามประมาณการที่บริษัทตั้งไว้เมื่อครั้งโร๊ดโชว์ผู้ถือหุ้นที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทยังได้อนุมัติโครงการขยายกำลังการผลิตในโรงงานที่รอตเตอร์ดัม ซึ่งจะทำให้โรงงานดังกล่าวเป็นหนึ่งในโรงงานที่มีศักยภาพที่สุดในกลุ่ม จากการใช้ประโยชน์เพิ่มเติมจากระบบสาธารณูปโภคพิ้นฐานที่มีอยู่ นอกจากนี้ ไอวีแอลได้เข้าซื้อสินทรัพย์ของกิจการสาธารณูปโภคซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งจะรองรับการขยายกำลังการผลิตดังกล่าว อีกทั้งบริษัทยังสามารถเพิ่มการบริโภค PTA ส่วนเกินที่ผลิตได้จากโรงงานหนึ่งของบริษัทในพื้นที่ และได้รับประโยชน์ด้านต้นทุนค่าขนส่ง โรงงานนี้ยังได้รับประโยชน์จากบุคคลากรที่มีประสิทธิภาพ และคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ

“ในทุกวันนี้ ยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีความต้องการส่วนเกินในเม็ดพลาสติก PET ซึ่งการขยายโรงงานครั้งนี้จะช่วยเติมเต็มความต้องการในภูมิภาคนี้ได้” นายอาลก โลเฮียยังกล่าวอีกว่า “ไอวีแอลคาดว่าการขยายโรงงานครั้งนี้จะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555”

เมื่อไม่นานมานี้ ไอวีแอลได้ประกาศการลงทุนร้อยละ 50 ในกิจการร่วมค้ากับบริษัท PCH Holdings เพื่อเข้าซื้อกิจการผลิต PET และ PTA ในประเทศอิตาลี และประกาศการเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของโรงงานสาธารณูปโภคขนาด 24 เมกะวัตต์ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับโรงงานของบริษัทในรอตเตอร์ดัม บริษัทยังมุ่งใช้กลยุทธ์การเติบโตเพื่อเพิ่มมูลค่า ดังเช่นการขยายโรงงานในรอตเตอร์ดัม ซึ่งจะเพิ่มสายการผลิต PET ที่กำลังการผลิต 190,000 ตันต่อปี

]]>
51993