Co-Branding – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 13 Feb 2019 04:35:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “กรุงเทพประกันภัย” จับมือ “แรบบิทไฟแนนซ์” ทลายโจทย์ราคาแพง และการเข้าหาคนรุ่นใหม่ https://positioningmag.com/1213733 Wed, 13 Feb 2019 04:09:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1213733 โจทย์ใหญ่ของกรุงเทพประกันภัยบริษัทประกันอายุ 70 กว่าปีในวันนี้ การที่ผู้บริโภคทั่วไปมองว่า เบี้ยประกันค่อนข้างสูง จึงทำให้ฐานลูกค้าหลักอายุเฉลี่ย 35 ปีขึ้นไป เพราะคนที่จะซื้อได้ต้องมีรายได้พอสมควร แม้ว่าจะมีการต่ออายุสัญญาประกันเฉลี่ย 90% ก็ตาม

แต่เป้าหมายของกรุงเทพประกันภัย ต้องการเข้าถึงกลุ่มฐานลูกค้าอายุต่ำกว่า 35 ปี จึงเป็นที่มาของการจับมือกับแรบบิทไฟแนนซ์โบรกเกอร์ออนไลน์ในเครือ BTS Group ซึ่งมีฐานลูกค้าที่ถือบัตรแรบบิทกว่า 7 ล้านคน ส่วนฐานโบรกเกอร์ 1 ล้านรายอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 27 ปี ตรงความต้องการพอดี

ดีลนี้ทั้งคู่จะร่วมกันทำแคมเปญ Co Branding เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าอายุ 25-35 ปี ใช้ชื่อแคมเปญแคร์ คุ้ม ทุกไลฟ์สไตล์ ซึ่งมาจากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มค่า จึงนำคำนี้มาใส่ในชื่อแคมเปญ

ก่อนจะร่วมกันออกแพ็กเกจประกัน 4 รูปแบบในราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่าปรกติของกรุงเทพประกันภัย เพื่อเจาะฐานลูกค้ากลุ่มนี้ และเติมกิมมิกด้วยสีแทนแต่ละรูปแบบ ได้แก่ สีฟ้ามาลิบู สำหรับประกันภัยรถยนต์, สีเขียวไลท์ซี สำหรับประกันภัยโรคมะเร็ง โดยมี 4 แผนหลักราคาเริ่มต้นที่ 1,920 บาท, สีเหลืองมิลานสำหรับประกันภัยการเดินทาง และสีชมพูแคนดี้สำหรับประกันภัยอุบัติเหตุ มีให้เลือก 3 รูปแบบ

ปิติพงษ์ ชาวชายโขง รองผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจลูกค้ารายย่อย บมจ.กรุงเทพประกันภัย บอกว่าแรบบิทไฟแนนซ์จะทำหน้าที่ในการเคาะประตูบ้าน ผ่านสื่อต่างๆ ที่มีอยู่ในมือทั้งรถไฟฟ้า BTS และสื่อในอาคารสำนักงานต่างๆ ซึ่งแม้ช่วงแรกๆ คนที่เห็นอาจจะไม่ค่อยรู้จักมากนัก แต่เมื่อเห็นไปเรื่อยๆ ก็จะก่อให้เกิดความสนใจซื้อในที่สุด รวมไปถึงการขายทั้งช่องทางโทรศัพท์และออนไลน์

และเพื่อให้เมสเสจกระจายในวงกว้าง จึงได้เลือกฟิล์มธนภัทร กาวิละที่โด่งดังจากละครเรื่องเมีย 2018 มารับหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแคมเปญนี้ เหตุที่เลือกฟิล์มด้วยมองว่า เป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล มีไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างหลากหลาย อีกทั้งยังมีบุคลิกและภาพลักษณ์ที่ดูอบอุ่น

ตั้งเป้ายอดเบี้ยประกันตลอดแคมเปญ 100 ล้านบาท แต่ปิติพงษ์ บอกว่า ยอดขายไม่ได้เป็นเป้าหมายหลัก แต่ต้องการสร้างพฤติกรรมให้คนรุ่นใหม่ ซื้อประกันเองไม่ใช่รอให้ผู้ใหญ่ซื้อให้ ซึ่งหากจุดพฤติกรรมเหล่านี้ติดแล้วก็จะเป็นผลดี

โดยเฉพาะกับสำหรับประกันภัยการเดินทาง ซึ่งคนยุคนี้ชอบไปเที่ยวอยู่แล้ว จึงคาดว่า ภายใน 3-5 จากนี้จะเติบโตเทียบได้กับประกันภัยรถยนต์

กรุงเทพประกันภัยพยายามเจาะไลฟ์สไตล์อินชัวรันส์ โดยเฉพาะกับไลฟ์ไสตล์คนรุ่นใหม่ ซึ่งหากจุดติดแล้ว ต่อไปจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม แพ็กเกจประกันทั้ง 4 รูปแบบยังถือเป็นเฟสแรกเท่านั้น เพราะในเฟส 2 ที่คาดว่าจะออกในเดือนสินหาคม จะขยายประกันไปยังกลุ่มอัคคีภัยและโจรกรรม เพราะฐานลูกค้าที่ถือแรบบิทมักจะอยู่คอนโดมิเนียมกันอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มนี้ยังไม่เห็นรายอื่นๆ เจาะเท่าไหร่นัก

นอกจากนี้ยังวางแผนออกประกันสำหรับผู้ที่ถือบัตรแรบบิท คุ้มครองเมื่อเดินทางในรถไฟฟ้า BTS ครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินที่อยู่ในกระเป๋าด้วย

ในขณะที่ฟากแรบบิทไฟแนนซ์ ชยพัทธ์ สกุลร่มโพธิ์ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ แรบบิท อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ บอกว่า ประโยชน์ที่ได้จากความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากรายได้จากค่าคอมมิชชั่นขายประกัน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนหลักของรายได้รวม 200 ล้านบาทในปีที่ผ่านมาแล้ว

ยังจะทำให้ชื่อของแรบบิทไฟแนนซ์ เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค ในการเป็นช่องทางซื้อประกันออนไลน์ ซึ่งนับวันจะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นตลาดที่บริษัทแม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วม เพราะมีขนาดใหญ่มาก มูลค่านับแสนล้านบาท.

]]>
1213733
รูดปรื๊ดแข่งเดือด! KTC ปัดฝุ่นบัตร Co-Brand บางกอกแอร์เวย์ส หวังเทกออฟสู่ลูกค้ากระเป๋าหนัก https://positioningmag.com/1198597 Tue, 20 Nov 2018 23:08:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1198597 Thanatkit

เมื่อประเมินแล้วว่า ธุรกิจท่องเที่ยวยังคงคึกคัก KTC จึงตัดสินใจหยิบบัตร Co-Brand บางกอกแอร์เวย์ส มาปัดฝุ่นใหม่ เพื่ออัพเกรดเข้าหาลูกค้ากระเป๋าหนัก

ข้อมูลจาก KTC ระบุว่า “หมวดการท่องเที่ยว” มีการใช้จ่ายเติบโตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ซึ่งหมวดนี้เดิม KTC มีบัตรเครดิต Co-Brand ที่จับมือกับ “บางกอกแอร์เวย์ส” อยู่แล้ว ใน 2 รูปแบบคือ เคทีซีบางกอกแอร์เวย์ส ไทเทเนียม มาสเตอร์การ์ด และ เคทีซีบางกอกแอร์เวย์ส วีซ่า แพลทินัม

ทั้งคู่ร่วมมือกันมานานกว่า 13 ปี แต่ยังมีฐานผู้ใช้บัตรเพียง 42,000 ราย Active ประมาณ 70% มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรประมาณ 11,000 บาท/คน/เดือน ถือว่าน้อยกว่าภาพรวมของทั้งพอร์ตที่มียอดใช้จ่ายบัตรประมาณ 12,500 บาท/คน/เดือน

เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการทำการตลาดมากมายนัก มีเพียงโปรโมโมชั่นส่วนสิทธิประโยชน์อย่างที่บัตรเครดิต Co-Brand ควรจะมีมากกว่าบัตรปกติ ก็ให้ส่วนลด 10% และแลกคะแนนสะสมไปยัง “ฟลายเออร์โบนัส” ระบบ CRM ของบางกอกแอร์เวย์สเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม บัตรนี้ยังมีความน่าสนใจอยู่ที่ผู้ถือบัตรใช้จ่ายหมวดท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 20% มากกว่าผู้ถือบัตรปรกติที่ใช้จ่ายราว 10% ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจ Refresh บัตรใหม่ โดยเติมหน้าบัตรใหม่อีก 5 ใบ ครอบคลุมทุกเครือข่ายพันธมิตร ทั้งมาสเตอร์การ์ด วีซ่าและเจซีบี พร้อมปรับดีไซน์ใหม่เพิ่มกลิ่นอายของความเป็นบูทีคเข้าไป

ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่สิทธิประโยชน์ที่เติมเข้าไปเพื่อดึงดูดฐานลูกค้าให้กลับมาสนใจบัตรเครดิต Co-Brand อีกครั้ง เช่น คะแนน KTC FOREVER สูงสุด 4 เท่าแลกเป็นคะแนนสะสมฟลายเออร์โบนัสเพียง 1.5:1 คะแนน, สิทธิเข้าห้องรับรอง Blue Ribbon Club Lounge สูงสุด 4 ครั้ง เมื่อบินกับบางกอกแอร์เวย์ส และรับฟรีน้ำหนักกระเป๋าเดินทางเพิ่ม 10 กิโลกรัม

พิทยาวร ปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชนบอกว่า

การทำบัตร Co-Brand จะประสบความสำเร็จได้ ต้องอัดสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมาสมัคร เราก็คาดหวังว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2019 จะมีบัตรใบใหม่เพิ่มอีก 30,000 ใบ Active เพิ่มเป็น 80% และยอดใช้จ่ายต่อบัตรเพิ่ม 15% ที่สำคัญยังจะช่วยให้ KTC สามารถขยายไปหากลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทอีกด้วย”

สำหรับภาพรวมของธุรกิจบัตรเครดิตในปีนี้ พิทยาฉายภาพ ยังมีการแข่งขันที่รุนแรงอย่างมาก ทุกค่ายต่างทุ่มเม็ดเงินเพื่อชิงฐานลูกค้าให้เติบโต กลยุทธ์ของ KTC จะเน้นทำงานรวมกับพันธมิตร ไปที่ไหนต้องเจอ KTC อยู่ที่นั่น ขณะเดียวกันก็มองหาลู่ทางใหม่ๆ เช่น กลุ่มแท็กซี่ ร้านกาแฟต่างๆ โดยต้องการเข้ามาแข่งกับเงินสด

ปัจจุบัน KTC มีฐานบัตรเครดิตทั้งหมด 2.3 ล้านใบ ปี 2018 คาดว่าจะมีบัตรใหม่ 2.8 แสนใบ ซึ่งอาจจะต่ำกว่าเป้าที่เคยตั้งไว้ที่ 3-4 แสนใบ เนื่องจากมีการเข้มงวดในการอนุมัติยอดบัตรใหม่มากขึ้น ตอนนี้ยอดอนุมัติ (Approve) อยู่ที่ 47-48%

ด้านยอดใช้จ่ายผ่านบัตร คาดทั้งปีเติบโตราว 10% ถือว่าต่ำกว่าเป้าที่ต้องการ 15% เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กำลังซื้อไม่ได้ดีมากนัก แม้ว่าในเดือนสิงหาคมและกันยายนจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากการอัดฉีดโปรโมชั่นก็ตาม แต่ก็คาดว่าปีหน้ายอดใช้จ่ายน่าจะกลับมาโต 15% ได้.

]]>
1198597
เมื่อ “A&W” ก็ยังต้องมี “บิงซู” หลังผนึกเครือซีพี เพิ่มไลน์เมนูนางเอกในร้าน https://positioningmag.com/1158095 Wed, 21 Feb 2018 12:07:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1158095 การทำธุรกิจในสังเวียนเดียวกัน นอกจากเห็นแบรนด์แข่งขันกันแล้ว ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องจับมือกัน เพื่อ Co-Branding เพื่อทำตลาดและขยายฐานลูกค้าร่วมกันมากขึ้น

ล่าสุดผู้เล่นในตลาดอาหารบริการด่วน (QSR) บริษัท เอ็นพีพี ฟู๊ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (NPPF) ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านอาหารบริการด่วน A&W ร้านปิ้งย่างแบรนด์มิยาบิ และคาเฟ่ขนมหวานมิสเตอร์โจนส์ออร์แฟเนจ  (Mr.Jones’ Orphanage) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท ซีพี บีแอนด์เอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ CP B&F ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เพื่อพัฒนาธุรกิจอาหารให้  win win ทั้ง 2 ฝ่าย

การร่วมมือครั้งนี้เอ็นพีพีเอฟ อาศัยจุดแข็งของ ซีพี บีแอนด์เอฟ ที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจอาหารมานานกว่า 20 ปี มาเป็นพันธมิตรนำอาหารประเภทเบเกอรี่ ไอศกรีม บิงซู และเครื่องดื่มเข้าไปจำหน่ายในร้าน A&W  ช่วยเพิ่มเมนูรายการสินค้าภายในร้านให้มีความวาไรตี้มากขึ้น จากเดิมร้านมีเมนูพระเอกของร้านคือ ไก่ทอด รูทเบียร์ เคอร์ลี่ฟรายส์ และวาฟเฟิล

ส่วนร้านมิสเตอร์โจนส์ออร์แฟเนจ นอกจากมีเค้ก เบเกอรี่ โทสต์ต่างๆ ก็ได้ “บิงซู” มาเป็นแม่เหล็กของร้านเพิ่ม รับเทรนด์น้ำแข็งไสเกาหลีที่มาแรงมาก

อย่างไรก็ตาม ซีพี บีแอนด์เอฟ ไม่ได้แค่นำสินค้าไปจำหน่าย แต่ยกร้านกาแฟไปตั้งเป็น coffee corner ให้เป็นส่วนหนึ่งของร้านพร้อมเสิร์ฟลูกค้าด้วย

ส่วนซีพี ได้ประโยชน์จากการจับมือครั้งนี้ คือการขยาย “ช่องทางขาย” ให้ร้านกาแฟมีสาขาครอบคลุมตลาดมากขึ้น เพิ่มการขายเมล็ดกาแฟได้ด้วย รับเทรนด์ธุรกิจร้านกาแฟมูลค่า 17,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 15% จากปี 2559-60 (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)

“การร่วมมือครั้งนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพธุกิจอาหารและเครื่องดื่มให้ร้าน A&W มีความมั่นคงมากขึ้น และในอนาคตบริษัทจะร่วมกับซีพี บีแอนด์เอฟ พัฒนาสินค้าอื่น ๆ เพื่อเข้าไปจำหน่ายในร้านอาหารของเครือซีพีอีกทางหนึ่งด้วย สร้างการเติบโตต่อเนื่อง” นักกีล ซึง กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิปปอน แพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NPP กล่าว

กลุ่มเอ็นพีพี และเครือซีพีถือเป็นพันธมิตรกันมานาน เพราะบริษัทรับจ้างผลิตสินค้าในรูปแบบ Private Label หรือเฮาส์แบรนด์ให้กับซีพีออลล์เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก

นักกีล กล่าวอีกว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะขยายร้าน A&W เพิ่มจำนวน 30 สาขา จากปัจจุบันมี 33 สาขา จากร้าน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.รูปแบบผลิตภัณฑ์ครบวงจร (Full Restaurant) ให้บริการตามสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊ม) ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 2.รูปแบบผลิตภัณฑ์ขนมหวาน (Sweet & Treat) และภายใน 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้ามีร้าน A&W ให้บริการจำนวน 100 สาขาทั่วประเทศ

เอ็นพีพี มีรายได้ในปี 2559 ประมาณ 1,020 ล้านบาท ขาดทุนราว 137 ล้านบาท โดยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มทำรายได้หลัก 42.03ตามด้วยบรรจภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัว 31.32บรรจุภัณฑ์พลาสติก 12.55ขวด PET 11.31ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ 1.97และธุรกิจติดตั้งสื่อโฆษณา 0.82%. 

]]>
1158095
เมื่อสตาร์บัคส์ Co-Branding อาฟเตอร์ยู ขนมหวานพันล้าน https://positioningmag.com/1150554 Fri, 15 Dec 2017 06:37:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1150554 ช่วงหลังมานี้ สตาร์บัคส์ เดินเกมรุกเต็มที่ เพื่อรับมือกับการแข่งขันในธุรกิจ “ร้านกาแฟ” ที่กำลังดุเดือด เพราะนอกจากจะขยันเปิดสาขาแล้ว ยังขยายผลมาถึงการจับมือกับแบรนด์ร้านขนมดังอย่าง “อาฟเตอร์ยู”

ล่าสุด สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) ร่วมมือกับ อาฟเตอร์ยู นำเมนูยอดนิยม อย่าง ชิบูย่าฮันนี่โทสต์ และช็อคโกแลตบราวนี่ พร้อมไอศกรีมวนิลา มาสร้างเมนูขนมหวานต่าง ๆ อาทิ เบอร์รี่ครัมเบิลแพนเค้ก บานอฟฟี่ครัมเบิลแพนเค้ก และอัฟโฟกาโต โดยเริ่มที่ ร้านสตาร์บัคส์รีเสิร์ฟ เอ็กซ์พีเรียนบาร์ เมกาบางนา เป็นสาขาแรก

ตามปกติแล้ว เมนูอาหารที่ในร้านสตาร์บัคส์ จะไม่ได้ผลิตเองอยู่แล้ว แต่จะคัดเลือกจากผู้ผลิตมาอีกที เช่น แซนด์วิช เพสทรี และขนมเค้ก เมอร์เรย์ ดาร์ลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) สตาร์บัคส์ มองว่า การร่วมมือกับ “อาฟเตอร์ยู” จะช่วยเพิ่มความหลากหลาย และช่วยยกระดับ ประสบการณ์สตาร์บัคส์ให้กับลูกค้าในวงกว้างขึ้นต่อไป

นอกจากเพิ่มความหลากหลายแล้ว ต้องถือว่าเป็นการ Co-branding มาช่วยเสริมแบรนด์ซึ่งกันและกัน เพราะ “อาฟเตอร์ยู” เองก็ถือว่าเป็นแบรนด์ขนมหวานชื่อดังยอดนิยมของคนไทยในหมู่วัยรุ่นสาว ๆ และวัยทำงาน ถึงขนาดต้องเข้าคิวในบางสาขา การมีอาฟเตอร์ยูวางขาย ก็ช่วยให้ขยายไปยังลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวเข้ามาที่สตาร์บัคส์มากขึ้น

ส่วนอาฟเตอร์ยูเอง การร่วมมือกับ “สตาร์บัคส์” ถือว่าเป็นการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายผลิตภัณฑ์ไปยังเชนร้านกาแฟดังระดับโลกอย่างสตาร์บัคส์ จะยิ่งส่งเสริมให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มคอกาแฟ คนทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ “สาขา” ของสตาร์บัคส์ เป็นช่องทางในการกระจายสินค้าได้มากขึ้น และไปในทำเลที่อาฟเตอร์ยูยังไปไม่ถึง แทนที่จะรอการขยายสาขาเอง ซึ่งต้องใช้ต้นทุนและเวลา

เวลานี้อาฟเตอร์ยูมี 25 สาขา ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ในขณะที่สตาร์บัคส์เวลานี้มี 320 สาขาทั่วประเทศไทยแล้ว ต้องรอดูว่าหลังจากสาขาเมกาบางนาแล้ว เมนูของอาฟเตอร์ยูจะขยายไปสาขาอื่น ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน.

]]>
1150554
อิทธิฤทธิ์ Co-Branding LOUIS VUITTON X SUPREME มาไทยแล้ว สาวกกระเป๋าหนักต่อแถวเพียบ !! https://positioningmag.com/1132961 Sat, 15 Jul 2017 00:55:47 +0000 http://positioningmag.com/?p=1132961 สำหรับคอลเลกชั่นพิเศษ Louis Vuitton x Supreme Fall/Winter 2017 ที่เกิดจากการ Co-Branding ระหว่างแบรนด์ดัง หลุยส์ วิตตองฝรั่งเศส และสุพรีม สหรัฐอเมริกา ได้วางขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้เป็นวันแรก ทำเอาสาวกต้องไปเข้าแถวจองล่วงหน้ากันข้ามคืน

หลังจากสร้างกระแสฮือฮาไปทั่ววงการแฟชั่นไปตั้งแต่ต้นปี เมื่อแบรนด์หรูอันทรงอิทธิพลแห่งวงการแฟชั่นอย่างหลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) จากปารีส ฝรั่งเศส มาจับมือสุพรีม (Supreme) แบรนด์สตรีทแวร์จากนิวยอร์กสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันออกคอเลกชั่นพิเศษ Louis Vuitton x Supreme Fall/Winter 2017 หรือเรียกว่า Friends and Heroes โดยได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมของชาวนิวยอร์กในยุค 70’s– 90’s และเปิดตัวคอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วงฤดูหนาวประจำปี 2017 ล่าสุดคอลเลกชั่นนี้ก็ได้เข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อดีเดย์มาเปิดวางขายถึงไทย เหล่าแฟชั่นนิสต้าและบรรดาสาวกของทั้งแบรนด์ในไทยก็ไม่รอช้า พุ่งเข้าไปจับจองเป็นเจ้าของจนคิวยาวเหยียด บางคนถึงขนาดไปนั่งรอตั้งแต่คืนวันที่ 13 กรกฎาคม

จากรายงานของผู้ที่ไปร่วมต่อคิวในครั้งเผยว่า ทางร้านจะให้เข้าไปซื้อสินค้าได้เพียงครั้งละ 12 คน มีเวลาคนละ 20 นาที และซื้อสินค้าได้ไม่เกิน 3 ชิ้น โดยแต่ละชิ้นห้ามซื้อซ้ำแบบกัน อย่างเช่น รองเท้า เป็นต้น

โดยสินค้าในคอลเลกชั่น Louis Vuitton x Supreme Fall/Winter 2017 นั้นจะมีจำหน่ายทั้งรองเท้า ผ้าพันคอ เสื้อแจ็กเก็ต กระเป๋าทรงทรังก์ ยีนส์เดนิมเท่ๆ รวมถึงเคสโทรศัพท์ โดยมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท เช่น กระเป๋าเป้ ตกใบละ 120,000 บาท เคส iPhone 7 ราคา 43,000 บาท ผ้าพันคอ 12,500 บาท เดนิม แจ็กเก็ต 62,000 บาท รองเท้า 33,000 บาท หมวก 24,000 บาท

คิมโจนส์ (Kim Jones) ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของหลุยส์ วิตตองที่รับหน้าที่ดูแลเครื่องแต่งกายผู้ชาย เผยว่า กลุ่มลูกค้าในปัจจุบันมีอายุน้อยลง จึงต้องสร้างความตื่นเต้น และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งตัวเขาเองก็รู้สึกสนุกไปด้วยจึงเกิดเป็นความมือกันในครั้งนี้

โดยคอลเลกชั่น Louis Vuitton x Supreme Fall/Winter 2017 ที่เกิดจากการ Co-Branding ระหว่าง 2 แบรนด์ดังครั้งนี้ ถือเป็นการผสมผสานความหรูหราและความเป็นสตรีทแวร์แฟชั่นกวนๆ แนวฮิปแบบเด็กสเก็ตบอร์ดเข้าไว้ด้วยกัน เหมาะสำหรับผู้ทีชื่นชอบความเป็นไฮเอนด์แต่ยังคงความเป็นวัยรุ่นลุคคูลๆ เท่ๆ ไว้ได้ ทำให้หลุยส์ วิตตองเองได้ลดอายุแบรนด์ตัวเองลง เพื่อให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ ที่จำเป็นต้องมองหาความหรูหราในแบบฉบับใหม่ ในขณะที่สุพรีมก็ได้ขยายฐานกลุ่มลูกค้าของตัวเองให้พรีเมียมยิ่งขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งในกรณีศึกษาของการ Co-Branding ของแบรนด์ดังที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายใหม่

ภาพจาก : อินสตราแกรมวู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา
ภาพจาก : แฟนเพจ “ผู้บริโภค” วันที่ หน้าสยามพารากอน วันที่13 กรกฎาคม 60
ภาพจาก : ผศ.เสริมยศ ธรรมรักษ์
]]>
1132961