Collaborate – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 13 Jun 2019 03:32:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 IKEA x GREYHOUND แบรนด์สตรีทแฟชั่นไทย ขอแปลงร่างสู่ “แบรนด์เฟอร์นิเจอร์” https://positioningmag.com/1234301 Thu, 13 Jun 2019 00:59:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1234301 ถึงจะยืนหยัดอย่างแข็งแรงมากว่า 75 ปี กับ 423 สาขาใน 52 ประเทศทั่วโลก มีดีไซเนอร์ที่ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ได้เข้าถึงลูกค้าและสร้างตัวตนของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี แต่ระยะเวลา 10 กว่าปีมานี้อิเกียก็ยังต้องมีการจับมือกับสตูดิโอข้างนอก ให้ออกแบบคอลเลคชั่นเฟอร์นิเจอร์ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับแบรนด์

ที่ผ่านมาจับมือกับดีไซเนอร์หลายหลายมุมโลกมาแล้วทั้ง อินเดีย แอฟริกาใต้ อเมริกาใต้ จนมาถึงคอลเลคชั่นที่กำลังจะวางขายอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมปี 2563 แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดนได้เลือกให้เกรฮาวด์ ออริจินัลแบรนด์แฟชั่นจากเมืองไทย มาร่วม Collaborate ถือเป็นแบรนด์แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับเกรฮาวด์ถือเป็นแบรนด์แฟชั่นเก่าแก่ของไทย โดย ภาณุ อิงคะวัต เป็นผู้ก่อตั้งมาในปี 2523 ต่อมาได้แตกขยายธุรกิจ เกรฮาวด์ คาเฟ่ ในปี 2541 ถือเป็นการขยายแบรนด์เกรฮาวด์จากแฟชั่นไปสู่ไลฟ์สไตล์แบรนด์ ปัจจุบันมัดแมน ถือหุ้น 100% ซึ่งใช้เงินกว่า 1,800 ล้านบาท ซื้อมาในปี 2557

ภายใต้แบรนด์เกรฮาวด์ได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 แบรนด์ ได้แก่ ร้านอาหาร เกรฮาวด์ คาเฟ่ (Greyhound Café) มีทั้งหมด 16 สาขา, ร้านอาหาร เอนาเธอร์ฮาวด์ (Another-Hound Cafe) มี 3 สาขา, ร้านอาหาร กิน+เฮ (Kin+Hey) แบรนด์เสื้อผ้า เกรฮาวด์ ออริจินัล (Greyhound Original) และ สไมลี่ฮาวด์ (Smileyhound)

ดีลความร่วมมือนี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มแต่มีมาแล้วกว่า 2 ปี ภาณุ อิงคะวัต ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์กลุ่มบริษัทเกรฮาวด์ เล่าว่า เมื่อปลายปี 2559 มีอีเมลจากอิเกีย สวีเดนส่งเข้ามาอยากร่วมมือกัน ตอนแรกคิดว่าของปลอม จนส่งมาครั้งที่สองจึงไปถามอิเกีย ประเทศไทย ซึ่งยืนยันว่าเป็นของจริง จึงได้มีความร่วมมือกันตั้งแต่นั้น

เชื่อว่าเหตุผลที่อิเกียสนใจเกรฮาวด์มาจากภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เรียงมาตั้งแต่ชื่อที่มีความหมายว่าซนนิดๆ จึงชอบเอาของที่ง่ายมาเติมความสนุกและสร้างสรรค์ลงไป สมกับแนวคิดของแบรนด์ Basic with a twist หรือความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ทั้งเสื้อผ้า อาหารที่มีลูกเล่นตลอดเวลา และยังคุมโทนสีขาว ดำ เทา ซึ่งคล้ายกับจุดยืนของแบรนด์อิเกียที่เน้นความเรียบ โมเดิร์น

โปรเจกต์นี้ไม่ได้อยู่ในลักษณะของงานที่ทำซะทีเดียว เพราะเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ถนัดทางนี้โดยตรง แต่ด้วยความที่ชอบคิดค้นสิ่งใหม่ๆ อยู่แล้ว จึงรับทำในที่สุด

เป้าหมายของความร่วมมือนี้คือการออกแบบเฟอร์นิเจอร์เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในเมืองซึ่งมีพื้นที่จำกัด แน่นอนสิ่งที่อิเกีย จะได้คือความเข้าใจในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งฐานลูกค้าหลักของเกรฮาวด์ ออริจินัลอายุ 18 – 35 ปีอยู่แล้ว

ในขณะที่ฝั่งเกรฮาวด์ก็จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์จากการร่วมมือกับแบรนด์ใหญ่ที่สำคัญคอลเลคชั่นนี้จะถูกวางขายไปทั่วโลกเป็นประโยชน์โดยตรงกับร้านอาหารที่มีสาขาอยู่ตามเมืองต่างๆ ในเอเซียรวม 17 สาขา เช่น ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง สิงคโปร์ และ 1 สาขาที่เปิดตัวในยุโรปโดยมีสาขาแรกที่เมืองลอนดอน

“SAMMANKOPPLA/ซัมมันคอปล่า คือชื่อของสรรค์คอลเลคชั่นพิเศษนี้ โดยออกแบบไอเดียสบาย สบายซึ่งมาจากพฤติกรรมของคนไทยทั้งชอบนั่งกับพื้น ชอบสีสัน และชอบพลิกแพลง นำของที่พังแล้วมาซ่อมใหม่ ไม่เหมือนกับต่างประเทศที่จะทิ้งเลย

โดยมีสินค้าทั้งหมด 25 รายการ อาทิ พรมจากพลาสติกรีไซเคิลที่กลับใช้ได้ทั้งสองด้าน โต๊ะและชั้นวางของที่ได้แรงบันดาลใจจากนั่งร้านก่อสร้างที่เห็นอยู่กลาดเกลื่อนตามเมืองใหญ่ที่กำลังพัฒนา โคม ‘Container’ LED อุปกรณ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร หมอนอิงทรงสามเหลี่ยมของไทย เป็นต้น

สำหรับราคานั้น ลาเซีย เชอร์ล็อก รองผู้บริหารฝ่ายธุรกิจค้าปลีกอิเกียไทย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ยังไม่ได้กำหนดเพราะสินค้ายังอยู่ในระหว่างการผลิตซึ่งแต่ละประเทศจะไปกำหนดเอง แต่ที่แน่ๆ จะเป็นราคาที่คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้อย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้เผยถึงความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการกับสื่อทั่วโลกในงาน Democratic Design Days ที่จัดขึ้น ณ เมืองเอล์มฮุลท์ (Älmhult) ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอิเกียนั่นเอง ก่อนที่คอลเลคชั่นจะวางขายอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม 2563 ไปจนถึงกุมภาพันธ์ 2564 พร้อมกันทั่วโลก

]]>
1234301
ถอดรหัส “KFC” ทำไมต้อง X “CARNIVAL” https://positioningmag.com/1233540 Sat, 08 Jun 2019 02:49:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1233540 10 โมงเช้าวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน คือช่วงเวลาที่ KFC ประกาศขายดับเบิ้ล ดาวน์ กิฟท์เซต ลิมิเต็ด อิดิชั่น” (Double Down Gift Set Limited Edition) ที่ประกอบด้วย เสื้อยืด CARNIVAL X DOUBLE DOWN เมนูดับเบิ้ลดาวน์ 1 ชิ้น ไก่ทอด 1 ชิ้น วิงซ์แซ่บ 3 ชิ้น และเป็บซี่ 1 แก้ว ในราคาเซต ละ 990 บาท ณ ร้าน KFC สาขา สยามแสควร์วัน โดยมีทั้งหมด 100 ชุด

เชื่อว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ต่อแถวของสาวกสตรีทแวร์ ไม่แพ้ปรากฏการณ์ต่อแถวซื้อ Adidas YEEZY 350 สีดำ ที่คนแน่นจนน่าตกใจอย่างแน่นอน หรือหากข้ามไปก่อนหน้านี้ในวันที่ 29 พฤษภาคมวันแรกที่เสื้อผ้าสตรีทแฟชั่นคอลเลคชั่น KFC X CARNIVAL เริ่มขายวันแรก

โดยมีการสร้างความเย้ายวนด้วยการระบุว่าผลิตจำนวนจำกัดประกอบไปด้วยเสื้อแจ็กเก็ต เสื้อฮู้ด เสื้อยืด และไอเทมอื่นๆ ราคาตั้งแต่ 350 บาท ถึง 1,990 บาท จึงได้เห็นการต่อแถวบริเวณหน้าสาขา Siam Square Soi.7

CARNIVAL ลงทุนแปลงโฉมสาขานี้ให้เป็น Pop-up Store จำลองบรรยากาศมาจากร้าน KFC โดยสินค้าหมดในระยะเวลาเพียงหนึ่งวันครึ่ง ขนาดสินค้าที่ระลึกได้แก่กล่องและแก้วน้ำ ยังถูกนำไปประมูลต่อหลักร้อยถึงหลักพันเลยทีเดียว

นี่ถือเป็นครั้งแรกของ KFC แบรนด์ไก่ทอดผู้พันที่เข้ามาเมืองไทยได้ 35 ปี กับสาขารวม 739 แห่งทั่วประเทศ จับมือกับแบรนด์อื่น โดยสาเหตุที่เลือกจับมือกับ CARNIVAL เศกไชย ชูหมื่นไวยรองกรรมการผู้จัดการ ฝ่าย Brand Strategy and Integration เคเอฟซีประเทศไทย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (YRIT) กล่าวว่า

KFC และ CARNIVAL ต่างมีจุดร่วมด้วยกันหลายอย่าง ทั้งในแง่ของบุคลิกของแบรนด์ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ความรักและลุ่มหลงในสิ่งที่ทำ และการจับมือครั้งนี้ ยังช่วยสะท้อนความเป็นตัวตนของ KFC นอกเหนือจากเรื่องอาหาร แต่เป็นเรื่องความสนุก ความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นขบถ

หลายคนอาจเข้าใจว่าการ Collaborate ข้ามสายพันธุ์ ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ที่หลายแบรนด์เลือกใช้ ด้วยมองว่าจะช่วยสร้างประสบการณ์ร่วมและได้ Brand Image ที่มองว่าเท่จากเดิม และทำให้ได้ประสบการณ์แปลกใหม่รู้สึกเข้าถึงง่าย สัมผัสง่ายขึ้น เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม เปิดใจให้ยอมรับได้มากขึ้น

นั้นก็ถูกแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจุดประสงค์ของการจับมือไม่ได้มีเป้าหมายแค่นำโลโก้ หรือผู้พันแซนเดอร์ไปปรากฏตัวบนเสื้อผ้าสตรีทแฟชั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่กำลังชื่นชอบ และการใส่เดินไปไหนมาไหน ก็ถือเป็นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ไปในตัว และช่วยให้ KFC เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น

ที่มากกว่านั้นคือ KFC ต้องการสร้างกระแสการขายในการเปิดขายเมนูดับเบิ้ลดาวน์ (Double Down)” ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิต ที่มียอดขายมากกว่า 10 ล้านชิ้นล้านชิ้นทั่วโลก ซึ่งเปิดขายชั่วคราวระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 26 มิถุนายน

ด้วย KFC มองว่า ถ้าขายเฉยๆ ก็เหมือนแบรนด์อื่นๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผู้บริโภคไม่ได้จดจำอะไรด้วย สู้สร้างสีสันไปในตัวดีกว่า

หากสิ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วสิ่งที่ KFC คาดหวังไว้คือการสร้างแบรนด์ไก่ทอด ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อ 3 ปีก่อน KFC จะลุกขึ้นมาสร้าง Branding ภายใต้แนวคิด “KFC Always Original เป็นตัวจริง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด

แต่ด้วยบริบทและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป อีกทั้งคู่แข่งมากยิ่งขึ้นซึ่งวันนี้ไม่ได้จำกัดแค่แบรนด์ไก่ทอดอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงอาหารชนิดอื่นๆ จึงต้องทำให้แบรนด์เด่นชัดมากขึ้น ดังนั้นการจับมือกับ CARNIVAL จึงเริ่มนำสโลแกน Branding ใหม่เข้ามาสอดแทรกด้วยคือ

“ONE OF A KIND” สะท้อนความเป็นตัวจริงในสิ่งที่ทำ โดยแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ไม่ทำตามกระแส ไม่เหมือนใคร ซึ่งความสดใหม่ให้กับแบรนด์

จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ KFC ได้เริ่มปรับ Branding ผ่านการทำแคมเปญอื่นๆ บ้างแล้ว เช่น ไก่ใจเด็ด ส่วนปีนี้ก็ได้สอดแทรกลงไปในโฆษณาไม่ให้นำเสนอสินค้าอย่างเดียว แต่เติมเรื่องแบรนด์เข้าไปด้วย

ภายใต้แคมเปญ ONE OF A KIND ตัว KFC จะค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยให้กับผู้บริโภคให้ชิน ไม่ทำโปรโมทใหญ่โตในครั้งเดียว เพราะเดี๋ยวผู้บริโภคจะจำไม่ได้ โดยมีแผนที่จะออกเมนูใหม่เพื่อสะท้อนความเป็นตัวตนอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน พร้อมการสร้างร้านใหม่ที่ถือเป็น Flagship Store จะเปิดตัวภายในเดือนตุลาคมนี้

รูป : Carnival Store

]]>
1233540
KFC X คานิวัล สตรีทแฟชั่น Collaborate ข้ามสายพันธุ์ หวังผันจากแบรนด์ไก่ทอดไปสู่ไลฟ์สไตล์แบรนด์ https://positioningmag.com/1230844 Tue, 21 May 2019 09:50:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1230844 ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดยอดฮิตของแบรนด์ยุคนี้ ในการ Collaborate ระหว่างแบรนด์ที่อยู่ต่างธุรกิจ เพื่อสร้างความแปลกใหม่และประสบการณ์ใหม่ๆ ในการขยายฐานลูกค้าร่วมกัน

ล่าสุดเป็นคิวของ KFC แบรนด์ไก่ทอดจากสหรัฐอเมริกา อายุ 70 ปี ตัดสินใจ Collaborate กับ Carnival แบรนด์สตรีทแฟชั่นของไทย ภายใต้แคมเปญใหม่ “ONE OF A KIND”

ด้วยการนำรูปผู้พันแซนเดอร์ส ถูกชูเป็นพระเอกในการโปรโมต ซึ่งไม่กี่วันที่ผ่านมา คานิวัลได้เริ่มโปรโมตออกมาแล้ว และในอีกไม่นานเคเอฟซีจะมีเมนูใหม่และสินค้าตามออกมา

โดยผู้พันแซนเดอร์สไม่ได้เป็นเพียงแค่มาสคอตชายสูงวัยใจดีใส่ทักซิโด้ขาวถือไม้เท้า ที่เป็นเพียงโลโก้ของแบรนด์ที่มุ่งให้คนนึกภาพ KFC ไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น แต่ถูกนึกถึงในฐานะนักสร้างตำนานที่ยิ่งใหญ่ โดยสะท้อนตัวตนและถ่ายทอดมาสู่ความเป็นแบรนด์ KFC ทุกวันนี้

เคเอฟซี ประเทศไทย ระบุว่า การที่ลุกขึ้นมาสร้างแบรนด์ในครั้งนี้ เพื่อต้องการก้าวข้ามนิยามความเป็นไก่ทอด ไปสู่ตำนานบทใหม่ โดยยังคงความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ทำตามกระแส ไม่เหมือนใคร ไปสู่ “แบรนด์ที่มีมูลค่าทางจิตใจ” สามาถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกค้ามากขึ้น ด้วยการสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ระหว่างแบรนด์ KFC กับผู้บริโภคในหลายๆ ด้าน ทำให้ลูกค้าจดจำและมีลอยัลตี้กับแบรนด์ ซึ่งโจทย์ที่ว่านี้นำไปสู่การกำหนดทิศทางและเดินหน้าต่ออย่างมีกลยุทธ์ของ KFC ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

นับเป็นอีกหนึ่งในความท้าทายของแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง KFC ในการก้าวข้ามไปสู่การเป็นไลฟ์สไตล์ส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคได้มากน้อยเพียงไร และจะมีเรื่องตื่นเต้นรวมถึงความอร่อยแปลกใหม่ใดๆ มาให้ลูกค้าเซอร์ไพรส์อีก คงต้องติดตามต่อ

ชวนา กีรติยุตอมรกุล General Manager และ Strategic Planning Director บริษัท CJ WORX ให้ความเห็นว่า การ Collaborate ระหว่างธุรกิจเดียวกันหรือข้ามธุรกิจกัน มีมานานแล้ว เพื่อต้องการสร้างประสบการณ์ร่วมและได้ Brand Image ที่มองว่าเท่จากเดิม และทำให้ได้ประสบการณ์แปลกใหม่รู้สึกเข้าถึงง่าย สัมผัสง่ายขึ้น เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม เปิดใจให้ยอมรับได้มากขึ้น

“การ Collaboration จะเป็นธุรกิจประเภทเดียวกันหรือข้ามประเภทธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการสร้าง Experienceใหม่ให้กับผู้บริโภค หรือไม่บางคนอาจไม่เคยซื้อสินค้าและบริการของแบรนด์หนึ่ง แต่เมื่อมีการ Collaboration แล้วก็อาจสร้างให้เกิดโมเมนต์กระตุ้นให้เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ให้อยากซื้อและใช้สินค้าและบริการเมื่อมีการผนึกกำลังกันแล้วก็ได้”

]]>
1230844
ทำไมกลยุทธ์ Collaborate ถึงฮิตในแบรนด์อาหาร เปิดกรณีศึกษา 3 คู่ต่างข้ามสายพันธุ์ บาร์บีคิวพลาซ่า X พิซซ่าฮัท-วีคอร์น X ซอสต๊อด – MK X https://positioningmag.com/1227766 Wed, 01 May 2019 22:55:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1227766 แม้เป็นกลยุทธ์ที่แบรนด์ต่างๆ หยิบยกมาใช้ให้เห็นก่อนหน้านี้ แต่ปีนี้ต้องเรียกว่าเป็นปรากฏการณ์กันเลยทีเดียวกับการทำ Marketing Collaboration หรือกลยุทธ์ “X” ของบรรดาแบรนด์ต่างๆ ทั้งที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันและต่างธุรกิจ

ชวนา กีรติยุตอมรกุล General Manager และ Strategic Planning Director บริษัท CJ WORX บอกว่า กลยุทธ์การทำ Collaboration มีมานานแล้ว อย่าง หลุยส์วิตตองที่ Collaboration กับออฟไวท์ ปลายทางคือทำให้คนรู้สึกว่ามีประสบการณ์ร่วม และได้ Brand Image ที่มองว่าเท่ จากเดิมที่อาจรู้สึกว่าเข้าถึงได้ยาก ก็ทำให้ได้ประสบการณ์แปลกใหม่ รู้สึกเข้าถึงง่าย สัมผัสง่ายขึ้น เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม เปิดใจให้ยอมรับได้มากขึ้น

การ Collaboration จะเป็นธุรกิจประเภทเดียวกันหรือข้ามประเภทธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการสร้าง Experienceใหม่ให้กับผู้บริโภค หรือไม่บางคนอาจไม่เคยซื้อสินค้าและบริการของแบรนด์หนึ่ง แต่เมื่อมีการ Collaboration แล้วก็อาจสร้างให้เกิดโมเมนต์กระตุ้นให้เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ให้อยากซื้อและใช้สินค้าและบริการเมื่อมีการผนึกกำลังกันแล้วก็ได้

สำหรับธุรกิจอาหาร กำลังเป็นที่นิยมในการ Collaboration กันอย่างมากนั้น เป็นการสร้างความตื่นเต้นใหม่ให้เกิดประสบการณ์ใหม่ในมุมมองของผู้บริโภค ซึ่งในเชิงการตลาดคือการจับมือกันของทั้ง 2 แบรนด์เพื่อกระตุ้นให้เกิดอยากลองชิมของผู้บริโภค รวมถึงการสร้างการพูดถึงในวงกว้าง

บาร์บีคิว พลาซ่า Collaboration คือเชื้อเพลิงต่อยอดเกมการตลาด

ไม่พูดถึงคงไม่ได้สำหรับ “Bar B Q Plaza” หนึ่งในแบรนด์ที่นำกลยุทธ์ Marketing Collaboration มาใช้อย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ไล่มาตั้งแต่ดึงบัตรเครดิต 11 ธนาคารมาทำแคมเปญร่วมกัน ต่อมาก็ทำอีกเรื่อยๆ ทั้งทรานส์ฟอร์มไปอยู่ใน Air Asia, Grab Car, Coke รวมถึงนำคาแร็กเตอร์บาร์บีก้อนไปปรากฏตัวบนเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ Anitech หรือปีที่ผ่านมาก็ไปร่วมกับสาหร่ายมาชิตะของค่ายสิงห์ ออกรสชาติเบคอนย่างซอสบาร์บีคิวพลาซ่า

เช่นเดียวกันในปี 2019 ที่ Bar B Q Plaza วางให้เป็นปีแห่ง “Marketing Collaboration” เพราะน่าจะมีดีลการทำร่วมกันราว 3 ครั้งด้วยกัน

บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์บาร์บีคิว พลาซ่า บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เล่าให้ฟังว่า Bar B Q Plaza มีแนวคิดอย่างหนึ่งคือ “First Move” การทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เพื่อเข้าไปยังมุมที่แบรนด์ยังไม่เคยเข้าถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ Collaboration ผ่านพาร์ตเนอร์ชิพกับแบรนด์อื่นๆ

เพราะสิ่งที่แบรนด์จะได้มานอกเหนือจากการเพิ่มฐานลูกค้าระหว่างแบรนด์ที่เข้าไปจับมือเพิ่ม Brand Awareness – Brand Value – Brand Perceptionแล้ว ที่สำคัญที่สุดสามารถนำแนวคิด Know-how ของแบรนด์นั้นๆ มาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับต่อยอดเกมการตลาดได้

สำหรับดีลแรกของปี 2019 Bar B Q Plaza เลือกจับมือกับเชนร้านพิซซ่า “Pizza Hut” ธุรกิจที่อยู่ภายใต้ตระกูลมหากิจศิริเป้าหมายของดีลนี้นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนฐานลูกค้าระหว่างกันผ่านการออกเมนูใหม่ของทั้งคู่ ได้แก่ชุดหมูบาร์บีฮัทกับเมนูทานเล่นและของหวานอีก 2 เมนู และพิซซ่าหน้าใหม่พิซซ่าฮัทบีก้อน

แต่สิ่งที่เข้ามาช่วย Bar B Q Plaza แก้โจทย์ที่กำลังเจอคือการที่ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในโหมดAuto Pilot” เดินเข้ามาไม่ต้องดูเมนูสามารถสั่งได้เลย แต่แทนที่จะเป็นจุดได้เปรียบว่าเป็นแฟนคลับจริงๆ แต่กลับสร้างผลเสียแทน

เพราะแม้จะสร้างแบรนด์ได้ดีแค่ไหนแต่เมื่อมีแต่อาหารซ้ำๆ ก็ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า ยิ่งกินแต่เมนูเดิมๆ ก็อาจจะสร้างความเบื่อหน่ายและไม่มีความกระตือรือร้นที่อยากจะเดินเข้ามาที่ร้าน ทางออกจึงต้องเพิ่มเมนูใหม่ๆ เพื่อสร้างNeed ให้ลูกค้าโดย Bar B Q Plaza วางแผนจะออกแคมเปญใหม่ทุกไตรมาส

อย่างไรก็ตาม การ Collaboration ถือเป็นครั้งแรกในวงการที่แบรนด์อาหารมาจับมือร่วมกัน เพราะปรกติแล้วแต่ละแบรนด์มักจะหวงฐานลูกค้าของตัวเองมาก

ปรกติคนทำอาหารจะหวงลูกค้ากันมาก จะไม่ยอมมา Collaboration ร่วมกันเลย แต่การร่วมมือของเรา ถือเป็นวิธีคิดแบบใหม่และเป็นครั้งแรกในวงการอาหาร เพราะมองว่าคนทำแบรนด์สมัยนี้ต้องใจกว้าง หมดยุคลูกค้าเป็นของฉันทั้งชีวิต การร่วมกันกลับจะยิ่งทำให้ธุรกิจแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

โปรเจกต์ MK X” ต้องเป็นมากกว่าแบรนด์ร้านอาหาร

อีกหนึ่งในแบรนด์ธุรกิจอาหารที่นำกลยุทธ์ Collaboration มาสร้างความตื่นเต้นให้กับแบรนด์ในจังหวะนี้เช่นกันสำหรับ MK Restaurants เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ Gen Y-Z ที่มีความเป็นตัวเองมากขึ้น ชื่นชอบและสนใจ Passion Point ที่ต่างกัน

พัชนีวรรณ ตันประวัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ส่วนงานการตลาด MK บริษัท เอ็มเคเรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า การทำตลาดที่มีประสิทธิภาพและ โดนใจผู้บริโภคในยุคนี้คือการเปิดรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของผู้บริโภค เอ็มเคจึงสร้างโปรเจกต์ MK Xเพื่อเป็นพื้นที่หรือแพลตฟอร์ม เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วม หรือเรียกว่ามาCollab กับแบรนด์

รูปแบบการมีส่วนร่วมในโปรเจกต์ MK X คือการที่แบรนด์ X กับ Passion Point ต่างๆ ของผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น การทำอาหาร เล่นเกม ฟังเพลง ศิลปะ เพื่อสร้างประสบการณ์และความประทับใจกับแบรนด์เพราะเอ็มเคเชื่อว่าการร่วมมือกันทำอะไรขึ้นมาสักอย่างจะสามารถสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ที่ดีได้

วันนี้แบรนด์ร้านอาหารต้องเป็นมากกว่าร้านอาหาร เพราะการทำแบรนด์ไม่ใช่แค่บอกว่าแบรนด์ขายอะไร แต่แบรนด์ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภค โดยเข้าใจผู้บริโภค รู้ว่าวันนี้ผู้บริโภคต้องการอะไรและสนใจอะไร

เส้นทางของโปรเจกต์ MK X ได้เริ่มทำกิจกรรมบนเฟซบุ๊กแฟนเพจ MK Restaurants โดยโพสต์โปรเจกต์ MK X มาบอกให้โลกรู้ว่าอยากเห็น MK X กับอะไรเพื่อให้ผู้บริโภคเข้ามาเขียนไอเดียต่างๆ ว่าต้องการเห็น MK X กับอะไรซึ่งก็มีการเสนอไอเดียเข้ามาหลากหลายหลังจากนี้เอ็มเคจะรวบรวมไอเดียเป็นกลุ่มๆ เพื่อศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ของการร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ที่ผู้บริโภคเสนอเข้ามา

เอ็มเคเชื่อว่าโปรเจกต์ MK X เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถดึงทุกเจนเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้แม้ว่าผู้บริโภคเจนต่างๆ จะมีความสนใจแตกต่างกัน แต่เมื่อทุกคนมาอยู่บนโลกโซเชียลมีเดียก็สามารถเป็น Gen Collaboration ได้เหมือนกันหมด เพราะทุกคนใช้โซเชียลมีเดีย เสพสื่อออนไลน์เหมือนกัน และต้องการมีส่วนร่วมกับแบรนด์บนโลกออนไลน์

การที่แบรนด์จะ Move Forward เพื่อให้โดนใจผู้บริโภค การใช้แพลตฟอร์มสื่อโซเชียลจึงเป็นช่องทางสร้างสัมพันธ์กับทุกเจนและลูกค้าทุกกลุ่มของเอ็มเค

วีคอร์น X ซอสต๊อด เมื่อความหวานปะทะจัดจ้าน

ในอุตสาหกรรมอาหารการ Collaboration มีให้เห็นกันหลากหลายรูปแบบ แต่ 4 กุญแจสำคัญที่ทำให้การ “X” ประสบความสำเร็จคือรสชาติ (Tasty) คุณภาพ (Quality) สุขภาพ (Healthy) และความแตกต่าง (Differentiation) ต้องบอกว่าทั้งหมดคือเป้าหมายของการจับคู่ X ครั้งใหม่ระหว่างวีคอร์นXซอสต๊อดข้าวโพดหวานกับความเผ็ดจัดจ้านเป็นความแตกต่างที่ท้าทายนักชิม

อภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วีฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและทำการตลาดผลิตภัณฑ์ข้าวโพดพร้อมทานและน้ำนมข้าวโพดแบรนด์วีคอร์น” (V Corn) เล่าที่มาของการ X อย่างลงตัวของวีคอร์นซอสต๊อดว่าเกิดขึ้นจากความบังเอิญและความอยากลอง

ด้วยวีคอร์นถือเป็นเมนูประจำบ้านที่มีติดตู้เย็นไว้เสมอ วันหนึ่งบังเอิญเปิดตู้กับข้าวพบซอสต๊อดจึงนำมาคลุกเคล้ากับข้าวโพดและเมื่อรองรับประทานพบว่ามีรสชาติอร่อยถูกใจ เข้ากันได้อย่างลงตัว เมื่อนำไปให้คนอื่นชิมก็ชื่นชอบ

จึงเกิดเป็นความร่วมมือของวีคอร์นและซอสต๊อด ของต๊อดปิติ ภิรมย์ภักดีด้วยการนำซอสต๊อดมาร่วมทำเป็นเมนูพิเศษกับวีคอร์น ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการ X ข้ามสายพันธุ์ระหว่างความหวานและจัดจ้าน ทำให้ได้รสชาติใหม่เรียกว่าเป็นนวัตกรรมที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องแล็บ แต่อยู่ที่ไหนและการใช้ชีวิตประจำวันก็ทำให้เกิดขึ้นได้สิ่งใหม่ได้

กระแสของธุรกิจที่เห็น Collaboration กันมากยิ่งขึ้นในช่วงนี้ ชวนา กีรติยุตอมรกุล จาก CJ WORX มองว่า มาจาก ปัจจัยหลัก

  1. ภาพลักษณ์แบรนด์ คือเป็นการทำให้ Brand Image ของทั้ง 2 แบรนด์เกื้อหนุนช่วยกันให้ดูดีขึ้น ทำให้ภาพลักษณ์ของทั้ง 2 แบรนด์มีความแตกต่างไปจากเดิม สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภค
  2. การขยายฐานลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์เพื่อให้ได้กลุ่ม Brand Love ของแบรนด์ที่มาร่วมมือกัน ทำให้มาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของทั้ง 2 แบรนด์ไปด้วยกัน
  3. การเพิ่มความเชี่ยวชาญชำนาญของแต่ละแบรนด์ที่ต่อยอดซึ่งกันและกัน แบรนด์หนึ่งเก่งอีกด้าน แต่อีกแบรนด์ชำนาญอีกด้าน ก็ทำให้มีการส่งเสริมกันกันลงตัว.

]]>
1227766
มาแล้ว! PEPSI x FILA กลยุทธ์ collaborate คลาสสิกแบรนด์ปี 19 https://positioningmag.com/1221167 Fri, 22 Mar 2019 08:22:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1221167 เป๊ปซี่ แบรนด์น้ำดำ ที่ยึดกลยุทธ์ Collaborate กับแบรนด์ดังอายุเก่าแก่แต่ยังคงความทันสมัย เพื่อร่วมกัน Collaborate แบรนด์ ร่วมกันสร้างแบรนด์ให้ดูทันสมัยเข้ากับคนรุ่นใหม่

ปีนี้เป็นคิวของ “FILA” แบรนด์สปอร์ตแฟชั่นชื่อดัง มีต้นกำเนิดจากอิตาลี อายุยาวนาน 100 ปี ได้ร่วม Collaborate ออกแบบแฟชั่นด้วยคอลเลกชั่นพิเศษ “PEPSI x FILA” เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หมวก แจ็กเก็ต รวม 60 ชิ้นด้วยการผสานสีโลโก้ของทั้งสองแบรนด์น้ำเงินขาวและแดง

ดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก 4 แนวดนตรี ได้แก่ POP, HIP HOP, EDM และ LOCAL โดยมีทั้งหมด 2 คอลเลกชั่น คือ 1 Artist Collection ซึ่งมี 4 คอลเลกชั่น เช่น Local, EDM, HIP HOP และ POP และ 2.Basic Collection เน้นนสวมใส่ง่าย ใส่ได้ทุกวัน

วางจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมเป็นต้นไป ที่ FILA Store กว่า 30 สาขา ร้านตัวแทนจำหน่าย FILA ทุกสาขาทั่วประเทศ และ online shop ช้อปได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เป๊ปซี่ ใช้กลยุทธ์ Collaborate มาใช้ต่อเนื่อง โดยปีที่แล้วจับมือกับสปอร์ตแฟชั่น PUMA ออกแบบเสื้อผ้า สนีกเกอร์ คอลเลกชั่นพิเศษร่วมกัน ในโอกาส PUMA ครบรอบ 50 ปี

ส่วนแฟชั่นแบรนด์ไทย อย่าง GreyHound ก็เคยจับมือกับ เป๊ปซี่ ออกคอลเลกชั่นพิเศษ เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ปรากฏว่าทำยอดขายได้ดี

สำหรับ FILA เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2454 ที่ประเทศอิตาลี เป็นร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ชานเมือง แต่มาโด่งดังเป็นพลุแตก จากนักเทสนิสชื่อดังชาวสวีเดน บียอร์น บอร์ก สวมใส่ในการแข่งขัน ต่อมาได้ถูก FILA เกาหลีซื้อกิจการไป ภายใต้การนำของผู้บริหารชุดใหม่ นอกจากยังให้ความสำคัญกับเสื้อผ้ากีฬา เช่น เทนนิส กอล์ฟ แล้ว ยังขยายตลาดรองเท้ากีฬาแฟชั่น เพื่อขยายไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปีที่ใช้ชีวิตในเมือง

กลยุทธ์การ collaborate ระหว่างแบรนด์ดังช่วยให้แบรนด์มีความสดใหม่อินเทรนด์ ที่สำคัญยังขยายกลุ่มเป้าหมายของแต่ะละฝ่าย.

]]>
1221167