Collaboration – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 16 Sep 2020 14:44:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “Modernform” แบรนด์ไทยรายแรกที่ collab กับ “Xiaomi” หวังขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ https://positioningmag.com/1297393 Wed, 16 Sep 2020 12:50:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297393 Modernform ออกคอลเลกชัน collab กับ Xiaomi พัฒนาเฟอร์นิเจอร์พ่วงนวัตกรรม ช่วยให้ชีวิตในบ้านกับเทคโนโลยีไปด้วยกันง่ายขึ้น โดยถือเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่ได้ร่วมพัฒนาสินค้ากับ Xiaomi หวังใช้ความร่วมมือนี้ “รีเฟรช” แบรนด์ ช่วยเปิดตลาดลูกค้าคนรุ่นใหม่

ปกติแล้วแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ Modernform (โมเดอร์นฟอร์ม) จะถูกผูกติดกับภาพลักษณ์สำนักงาน ทำให้ดูเป็นเฟอร์นิเจอร์ของผู้ใหญ่ที่เคร่งขรึม แต่เมื่อเทรนด์เปลี่ยนไป ลูกค้าที่ซื้อเฟอร์นิเจอร์เริ่มมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจแต่งบ้านมากขึ้น แบรนด์ก็ต้องหันไปเจาะตลาดใหม่เช่นกัน

“กิติพัฒก์ เนื่องจำนงค์” ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ทำการ “รีเฟรช” แบรนด์ครั้งใหญ่ ผ่านความร่วมมือกับ Xiaomi (เสียวหมี่) แบรนด์ดังด้านเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อออกคอลเลกชันเฟอร์นิเจอร์ที่มุ่งเน้นด้านความสะดวกสบาย ฟังก์ชันสำคัญที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ

คอลเลกชัน Modernspace Series ที่ออกร่วมกับ Xiaomi มีทั้งหมด 10 รายการ ครอบคลุมทั้งเฟอร์นิเจอร์ใช้ในบ้านและโต๊ะเก้าอี้สำนักงาน ส่วนใหญ่แล้วเป็นการผสานการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ของ Modernform เข้ากับเทคโนโลยีและลุคที่เรียบง่ายสไตล์มินิมอลของ Xiaomi เช่น

  • M Sofa มี USB Charger ในตัว และมี Charging Dock รองรับหุ่นยนต์ทำความสะอาดของ Xiaomi
    ซ่อนอยู่ด้านล่างโซฟา ทำให้ใช้พื้นที่ในบ้านได้คุ้มค่าและเป็นระเบียบ สามารถเลือกเพิ่มฟังก์ชัน Wood Pad Accessories เพื่อเป็นแท่นชาร์จไร้สายได้ด้วย

  • M Bed + M Night Table ติดตั้งพร้อมไฟ Motion Activated Night Light ส่องสว่างทันทีเมื่อ
    จับความเคลื่อนไหวได้

  • M Station เซตตู้ที่เก็บของโดยมีลิ้นชักแบบซ่อนสายไฟไปไว้ด้านหลัง เมื่อเปิดออกมาสามารถเสียบชาร์จอุปกรณ์แล้วปิดเก็บไว้ในลิ้นชักโดยไม่เห็นสายไฟได้ ด้านล่างมี Charging Dock รองรับหุ่นยนต์ทำความสะอาดของ Xiaomi เช่นกัน ส่วนด้านบนมีแท่นวางเหมาะสำหรับติดตั้งกล้องวงจรปิด Xiaomi Home Security 360 Camera

  • M Multifunctional Chair เก้าอี้สำนักงานออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ พร้อมอุปกรณ์เสริม Soundhood
    ดีไซน์สำหรับติดตั้งลำโพง Bluetooth Speaker จาก Xiaomi ได้ (ราคาไม่รวมอุปกรณ์นี้)

ทั้งนี้ สำหรับช่อง USB, แท่นชาร์จไร้สาย หรือ Charging Dock ของหุ่นยนต์ทำความสะอาด สามารถใช้กับอุปกรณ์ของแบรนด์อื่นๆ นอกจาก Xiaomi ได้ ถ้าหากอุปกรณ์นั้นๆ รองรับเทคโนโลยีเดียวกัน

ทาง Modernform ระบุว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แบรนด์ไทยได้จับมือกับ Xiaomi พัฒนาสินค้าร่วมกัน และเป็นดีลแบบ exclusive เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์รายเดียวของไทยที่ได้ออกงาน collab ดังนั้น ในอนาคตบริษัทจะมีโครงการต่อๆ ไปร่วมกันอีกแน่นอน

งานครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของ Modernform ในการเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ ทำให้ขยายฐานลูกค้าออกไปกว้างขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างให้แบรนด์เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุด

โชว์รูม Modernform เพลินจิต แสดงสินค้าคอลเล็กชันร่วมกับ Xiaomi

จากงาน collab ที่ออกมา เห็นได้ว่า Modernform กำลังพยายามตอบสนองการใช้ชีวิตของคนยุคนี้ที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมากจนสายไฟชาร์จอุปกรณ์พันกันยุ่งเหยิง และทำให้บ้านดูรก ไม่เป็นระเบียบ การนำ Xiaomi เข้ามาจึงทำให้ได้ทั้งองค์ความรู้เรื่องการผนวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ และได้แบรนด์ที่เสริมความทันสมัยให้ด้วย

ส่วนฝั่ง Xiaomi ที่เป็นเจ้าแห่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตสารพัดเครื่องใช้ไฟฟ้าออกมาเป็นประจำ ก็น่าจะได้ประโยชน์เมื่อลูกค้าซื้ออุปกรณ์ของบริษัทพ่วงไปกับเฟอร์นิเจอร์ด้วย เพราะระบบนิเวศของแบรนด์นี้เป็นที่รู้กันว่าทำให้เกิดอาการ ‘Mi งอก’ กันมาหลายราย ซื้อหนึ่งชิ้นอีกไม่นานจะตามมาเป็นสามชิ้นได้ง่ายๆ ทำให้ได้โอกาสการขายเพิ่มเช่นกัน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถแวะไปชมตัวอย่างสินค้าได้ที่โชว์รูม Modernform อาคารคิวเฮ้าส์ เพลินจิต แต่บอกก่อนว่าราคาไม่ Mi อย่างที่คุ้นเคย โดยเริ่มต้นที่ 3,000 บาทต่อชิ้นสำหรับโต๊ะทำงานขนาดเล็ก ไปจนถึง 135,150 บาทสำหรับชุดเคาน์เตอร์ครัว ตู้ ลิ้นชักแบบครบเซตหนึ่งชุด

]]>
1297393
เห็นแล้วหิว! Ben & Jerry’s x Nike สนีกเกอร์แรงบันดาลใจจาก “ไอศกรีม” เตรียมวางขายพรุ่งนี้ https://positioningmag.com/1280112 Fri, 22 May 2020 09:49:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1280112 รองเท้าสนีกเกอร์ Ben & Jerry’s x Nike ออกภาพทีเซอร์มาให้เห็นตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ในที่สุด สนีกเกอร์สีลูกกวาด แรงบันดาลใจจากไอศกรีมยอดฮิตกำลังจะเริ่มวางขายแล้วพรุ่งนี้! 

งาน collab ยังคงดึงดูดความสนใจได้เสมอ โดยคอลเลกชันล่าสุดจาก Nike เป็นงานออกแบบจากรสชาติไอศกรีมของ Ben & Jerry’s แบรนด์ไอศกรีมสหรัฐฯ ออกมาเป็นรองเท้าสเก็ตบอร์ดรุ่น SB Dunks ออกแบบใหม่ในชื่อคอลเลกชัน “Chunky Dunky”

รสชาติที่เลือกมาใช้ออกแบบคือรส “Chunky Monkey” ซึ่งเป็นไอศกรีมกล้วยผสมกับช็อกโกแลตฟัดจ์และถั่ววอลนัต ทำให้สีหลักของรองเท้าถูกออกแบบมาเป็นสีฟ้า เขียว และลายวัวที่ทำจากวัสดุขนวัวจริงๆ สื่อถึงแพ็กเกจถ้วยไอศกรีมแบรนด์ Ben & Jerry’s เติมด้วยสัญลักษณ์ Nike Swoosh สีเหลืองมีขอบไหลย้อยออกมาเล็กน้อย สะท้อนรสชาติไอศกรีมกล้วยที่กำลังละลาย

รองเท้าสเก็ตบอร์ดจาก Nike รุ่น Chunky Dunky (Photo: Nike)

เท่านั้นยังไม่พอ ขอบรองเท้าและพื้นด้านในยังเป็นสีรุ้งลวดลายแบบผ้ามัดย้อม สื่อถึง “จิตวิญญาณเสรี” ที่เป็นจุดร่วมของทั้งสองแบรนด์ เชือกรองเท้ายังมีให้เลือก 3 สี เหลือง ขาว เขียว สามารถนำไป mix and match กันได้ตามสไตล์ของตัวเอง ทั้งหมดมาในกล่องรองเท้าเลียนแบบถังไอศกรีม Ben & Jerry’s เก๋ๆ

รองเท้าสเก็ตบอร์ดจาก Nike รุ่น Chunky Dunky (Photo: Nike)

รองเท้า Nike ที่ออกแบบจากแบรนด์อาหารหรือเครื่องดื่มแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ Nike เคยทำงาน collab กับแบรนด์อื่นมาแล้ว เช่น รองเท้าบาสเกตบอล The Kyrie 2 Ky-Rispy Kreme ที่ออกแบบจากโดนัท คริสปี้ ครีม ปี 2016, รองเท้าสเก็ตบอร์ด SB Dunks ออกแบบร่วมกับร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง Momofuku ปี 2017, รองเท้าบาสเกตบอล The LeBron 15 ออกแบบจากซีเรียลยี่ห้อ Fruity Pebbles ออกมาแล้วหลายรุ่น ฯลฯ

สำหรับรองเท้ารุ่น Chunky Dunky จะเริ่มวางขายผ่านร้านรองเท้าสเก็ตบอร์ดที่ได้รับเลือก ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมนี้ และขายผ่านเว็บไซต์ของ Nike วันที่ 26 พฤษภาคม ราคาวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,200 บาท) 

Source

]]>
1280112
จับโต๊ะในกล่องพิซซ่ามาเป็นโต๊ะของจริง! แคมเปญสุดเก๋จาก IKEA x Pizza Hut ฮ่องกง https://positioningmag.com/1268054 Thu, 12 Mar 2020 10:24:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1268054 ใครที่เคยสั่งพิซซ่าเดลิเวอรี่คงคุ้นเคยกันดีกับ “โต๊ะ” สีขาวตัวจิ๋วตรงกลางถาดพิซซ่า และวันนี้เจ้าโต๊ะตัวนั้นได้ขยายร่างมาเป็นโต๊ะขนาดเท่าของจริง ผ่านแคมเปญการตลาดที่ร่วมมือกันระหว่าง IKEA กับ Pizza Hut ฮ่องกง

แคมเปญการตลาดโดย Ogilvy ฮ่องกง ดึงเอาสองแบรนด์ใหญ่คือ IKEA และ Pizza Hut มาร่วมมือกันผลิตเฟอร์นิเจอร์โต๊ะกลมสีขาว 3 ขา แบบเดียวกับโต๊ะในกล่องพิซซ่าเดลิเวอรี่ พร้อมแปะโลโก้แบรนด์ Pizza Hut ไว้บนโต๊ะ โดยใช้ชื่อสินค้าว่า Säva และมีวางขายจริงในร้านเฟอร์นิเจอร์ IKEA ฮ่องกง

โต๊ะพิซซ่านี้ออกแบบขนาดที่ใช้จริงโดยการวัดไซซ์ให้สามารถวางกล่องพิซซ่าของ Pizza Hut ได้พอดี และเมื่อแยกชิ้นส่วนโต๊ะตัวนี้ใส่ในกล่อง ยังออกแบบให้กล่องใส่ชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ของ IKEA หน้าตาเหมือนกล่องพิซซ่าอีกด้วย

ไอเดียการ collab ของสองแบรนด์เริ่มด้วยการยิงทีเซอร์จากเพจเฟซบุ๊กของ Pizza Hut ลงโพสต์ภาพพนักงานเดลิเวอรี่ของ Pizza Hut ที่ไปแอบหลับในโชว์รูม IKEA โดยไม่ใส่แคปชั่นอะไรเลย แต่มียอดแชร์ไปกว่า 1,500 ครั้ง จากนั้นจึงมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ร่วมกัน

พิซซ่าหน้าสวีดิชมีตบอลจาก Pizza Hut x IKEA

นอกจากจะมีโต๊ะพิซซ่าแล้ว ทาง Pizza Hut ยังสร้างสรรค์สินค้าของตนเองให้เข้ากับ IKEA ด้วยเช่นกัน โดยออก พิซซ่าหน้าสวีดิชมีตบอล อาหารประจำชาติสวีเดนต้นกำเนิดแบรนด์ IKEA นั่นเอง

“แคมเปญนี้เป็นการแสดงความขี้เล่นของ Pizza Hut ออกมา และทำให้อัตลักษณ์ของเราไปไกลกว่าในครัวสู่การ collab กับแบรนด์ใหม่ที่น่าสนใจ” Wendy Leung ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Pizza Hut ฮ่องกง กล่าว

Source

]]>
1268054
“คริสตัล” บลัฟกลับ! ผู้นำตลาดน้ำดื่มตัวจริง เดินเกมขวดลายพิเศษช่วยสร้างแบรนด์ https://positioningmag.com/1264486 Fri, 14 Feb 2020 11:03:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1264486 คริสตัล โชว์ยอดขายปี 2562 ทำรายได้ 7,500 ล้านบาท คิดเป็น 19.1% อันดับ 1 ของตลาดน้ำดื่มประเทศไทย (ไม่รวมกลุ่มน้ำแร่) เปิดแคมเปญปี 2563 “Crystal Moment” ช่วงเวลาคุณภาพ น้ำดื่มต้องคุณภาพ พร้อมออกขวด 3 ลายพิเศษจากการ collab กับ 2 ศิลปิน ติดตั้งเครื่องรีไซเคิลขวดที่สามย่านมิตรทาวน์ กระตุ้นสังคมแยกขยะ

“ปรางณี ไชยพิเดช” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) นำทัพผู้บริหารแถลงข้อมูลตลาดน้ำดื่มในไทยอ้างอิงจากการเก็บข้อมูลของนีลเส็น โดยมูลค่าตลาดในปี 2562 อยู่ที่ 35,776 ล้านบาท (ไม่รวมน้ำแร่ หากรวมน้ำแร่จะอยู่ที่ 40,500 ล้านบาท) และ “คริสตัล” แบรนด์น้ำดื่มในเครือเสริมสุขครองส่วนแบ่งตลาดเฉลี่ยตลอดปีที่ 19.1% จากรายได้รวมกว่า 7,500 ล้านบาท

ปรางณีเน้นย้ำว่าคริสตัลเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในตลาด แม้จะทิ้งห่างคู่แข่งไม่มาก ห่างกันไม่เกิน 1%

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ “สิงห์” เคยให้ข้อมูลเรื่องมาร์เก็ตแชร์ในตลาดน้ำดื่มว่าแบรนด์สิงห์ขึ้นเป็นผู้นำตลาดแล้ว ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 22.1% ทิ้งห่างคริสตัลไปถึง 4% อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของสิงห์เป็นข้อมูลเฉพาะ 5 เดือนแรกของปี 2562

“ปรางณี ไชยพิเดช” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)

 

ออกแบบขวด Limited Edition

สำหรับกลยุทธ์การตลาดปีนี้ของคริสตัล ปรางณีกล่าวว่าแบรนด์จะยังมี “นาย-ณภัทร” เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์เช่นเดิม โดยคริสตัลใช้แบรนด์ แอมบาสเดอร์เป็นน้องนายติดต่อกันเข้าปีที่ 5 แล้ว และมองว่านาย-ณภัทรยังเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ที่สอดคล้องกับคาแร็กเตอร์คริสตัล ซึ่งต้องการสื่อถึงความเป็นน้ำดื่มคุณภาพ

แคมเปญการตลาดปีนี้จึงจะเน้นเรื่อง “คุณภาพ” ต่อเนื่อง โดยชูเรื่อง “Crystal Moment” ช่วงเวลาคุณภาพ น้ำดื่มต้องคุณภาพ ใช้งบการตลาด 50 ล้านบาท สื่อสารให้ผู้บริโภคเลือกดื่มน้ำคริสตัลในทุกช่วงเวลาชีวิต

น้ำดื่มคริสตัลขวด Limited Edition จากการ collab กับศิลปิน 2 ท่านคือ ครูโต-ม.ล.จิราธร จิรประวัติ และหลานชาย จิระ จิระประวัติ ณ อยุธยา

นอกจากนี้ ยังมีการ collab กับศิลปิน เพื่อออกขวดลายพิเศษ Limited Edition เป็นครั้งแรกของคริสตัล โดยจับมือกับศิลปิน 2 รุ่นคือ ครูโต-ม.ล.จิราธร จิรประวัติ และหลานชาย จิระ จิระประวัติ ณ อยุธยา เป็นผู้ออกแบบลายบนขวดซึ่งจะจำหน่ายเพียง 5,000 ขวด เท่านั้น

ลายพิเศษของคริสตัลยังจะไปปรากฏบนเครื่อง RVM (Reverse Funding Machine) ที่เตรียมติดตั้งในศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ด้วย เครื่องดังกล่าวเป็นเครื่องรีไซเคิลขวดแลกแต้ม สามารถนำขวด PET ทุกยี่ห้อมารีไซเคิลในเครื่องบีบอัดนี้ได้ จากนั้นจะได้แต้มสำหรับไปแลกรับสิ่งของหรือส่วนลดจากร้านค้าภายในสามย่านมิตรทาวน์ เครื่องมือนี้จะใช้เพื่อสร้าง brand awareness ไปพร้อมๆ กับสร้างจิตสำนึกในการแยกขยะให้กับผู้บริโภค

 

ขึงโรงงานผลิตน้ำดื่มทั่วไทย

ฝั่งการตลาดของคริสตัลพยายามสื่อสารกับผู้บริโภค เพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อน้ำคริสตัลเท่านั้น ไม่ให้เป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ โดยคริสตัลจะชูจุดขายเรื่องคุณภาพน้ำและรสชาติน้ำที่ไม่หลงเหลือรสชาติไว้ในปากหลังดื่ม

“นาย ณภัทร” ยังคงเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของคริสตัล

อย่างไรก็ตาม ฝั่งการผลิตและโลจิสติกส์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ผู้บริโภคสะดวกในการซื้อสินค้าจึงต้องกระจายสินค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันเสริมสุขดำเนินการตั้งโรงงานน้ำดื่มคริสตัลไปแล้ว 15 แห่ง (รวมโรงงานพันธมิตร) ล่าสุดที่เพิ่งก่อตั้งปี 2562 คือที่ จ.ลำปาง และ จ.อุบลราชธานี ทำให้มีโรงงานครบพื้นที่ตามเป้า มีกำลังผลิตเพียงพอถึงปี 2564 เป็นอย่างน้อย

ในแง่ช่องทางการขาย ปัจจุบันมากกว่า 50% ของคริสตัลขายผ่านร้านอาหารและร้านค้าดั้งเดิม ส่วนที่เหลือคือการขายผ่านโมเดิร์นเทรด ปรางณียังกล่าวด้วยว่า กลุ่มร้านค้าดั้งเดิมมีการเติบโตที่น่าสนใจ จากการที่บริษัทผลักดันการค้าส่งให้กับห้างหรือร้านค้าขนาดใหญ่ในท้องถิ่น ทำให้ได้รับความนิยมและมียอดสั่งซื้อมากขึ้น

สรุปภาพรวมของปีนี้ คริสตัลยังตั้งเป้ารั้งตำแหน่งอันดับ 1 ต่อเนื่อง ด้วยมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 20% ของตลาด และมองว่าตลาดน้ำดื่มจะยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะมีผลกระทบบ้าง แต่เนื่องจากน้ำดื่มเป็นปัจจัยดำรงชีพทำให้ได้รับผลกระทบน้อยกว่าสินค้าอื่น

]]>
1264486
เปิดไอเดียที่มาโปรเจกต์ “MK X” เมื่อ MK ไม่ได้เป็นแค่สุกี้ https://positioningmag.com/1224474 Wed, 10 Apr 2019 23:55:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1224474 ในยุคที่บรรดาแบรนด์ต่างๆ ลุกขึ้นมาทำกลยุทธ์การตลาด Collaboration กันมากมาย MK Restaurants แบรนด์ “ผู้นำ” ธุรกิจร้านอาหารมากว่า 30 ปี สร้างปรากฏการณ์ “Collab กับแบรนด์” ที่แตกต่าง เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วม บอกไอเดีย Passion Point สิ่งที่อยากเห็น “MK X กับอะไร” เพื่อทำให้ “เอ็มเค” ยังคงเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภครักและชื่นชอบ

พัชนีวรรณ ตันประวัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ส่วนงานการตลาด MK บริษัทเอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในยุคที่ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ Gen Y-Z ที่มีความเป็นตัวเองมากขึ้น ชื่นชอบและสนใจ Passion Point ที่ต่างกัน บางคนชอบแฟชั่น สนใจการทำอาหาร เล่นเกม ฟังเพลง ศิลปะ แฟชั่น มองว่าการทำตลาดที่มีประสิทธิภาพและ “โดนใจ” ผู้บริโภคในยุคนี้ คือการเปิดรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของผู้บริโภค

เอ็มเคจึงสร้างโปรเจกต์ MK X เพื่อเป็นพื้นที่ หรือแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมหรือ เรียกว่ามา Collab กับแบรนด์

รูปแบบการมีส่วนร่วมในโปรเจกต์ MK X อาจไม่ใช่การที่ผู้บริโภคกับแบรนด์มา X กันเท่านั้น แต่เป็นการที่แบรนด์ X กับ Passion Point ต่างๆ ของผู้บริโภค เพื่อสร้างประสบการณ์และความประทับใจกับแบรนด์ เพราะเชื่อว่าการร่วมมือกันทำอะไรขึ้นมาสักอย่างจะสามารถสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ที่ดีขึ้นได้

แพลตฟอร์ม MK X โปรเจกต์ยาว

สำหรับการ Collab ของโปรเจกต์ MK X ไม่ใช่แค่การสื่อสารหรือโฆษณาที่แบรนด์ต่างๆ มักเป็นผู้นำเสนอและผู้บริโภคเป็นฝ่ายรับฟัง แต่ MK X เป็นการ “ลงมือ”  ทำให้เห็นจริง เพราะ “เอ็มเค” เป็นแบรนด์ที่เชื่อว่า “การกระทำมีความหมายมากกว่าคำพูด” จึงเปิดช่องทางให้ผู้บริโภคเข้ามาบอกแบรนด์ว่าอยากเห็น “เอ็มเค” ทำอะไรที่มากกว่า “อาหาร” 

ถือเป็นการบอกกล่าวสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการเห็น โปรเจกต์นี้จึงมีทั้งเอ็มเค X กับผู้บริโภค และเอ็มเคกับ X แบรนด์อื่นๆ ซึ่งทั้งหมดจะมาจากเสียงของผู้บริโภค ทำให้ “โปรเจกต์ MK X เป็นการทำงานที่มากกว่าการที่ 2 แบรนด์มาทำงานร่วมกัน แต่มีพื้นฐานจากเสียงผู้บริโภค

หัวใจสำคัญของการ X หรือ Collab ไม่ว่าจะเป็นการร่วมกันทำ หรือร่วมกันส่งต่อ แต่ท้ายที่สุุด ในทุกสิ่งที่เอ็มเคทำ คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้บริโภค เพื่อเปิดรับสิ่งใหม่ (open) สร้างความตื่นเต้นและแตกต่าง (fresh) และพิเศษเหนือความคาดหมาย (Extra) เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่

พัชนีวรรณ ตันประวัติ

โดยโปรเจกต์ MK X คือแพลตฟอร์มหรือพื้นที่ที่เอ็มเคเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนกับแบรนด์ และเป็นโปรเจกต์ระยะยาวที่จะทำงานต่อเนื่อง ให้เป็นพื้นที่ของผู้บริโภคที่บอกสิ่งที่ต้องการเห็นจากแบรนด์

หลังจากปล่อยโปรเจกต์ MK X ผ่านเฟซบุ๊ก แฟนเพจ MK Restaurants ในเดือนมีนาคม ได้รับการตอบรับที่ดี มีหลายไอเดียที่เสนอให้เอ็มเค ทำ Collab กับสิ่งต่างๆ เป็นเสียงสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคมี Passion หรือสนใจเรื่องไหน และอยากให้เอ็มเค นำเสนอสิ่งใหม่ๆ จากไอเดียที่หลากหลาย

โดยแบ่งกลุ่มความสนใจ หรือ Passion Point หลักๆ คือ ศิลปะ ดนตรี เกม กีฬา การทำอาหาร แฟชั่น เป็นสิ่งที่เอ็มเคต้องนำไปศึกษาต่อถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาออกมาเป็นโปรเจกต์ MK X ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ไอเดียใด จะเกิดขึ้นก่อน

ภาพจากเฟซบุ๊ก MK Restaurants

“ต้องบอกว่าเร็วๆ นี้จะเห็นโปรเจกต์แรกจากไอเดีย Collab ที่ผู้บริโภคเสนอมา และปีนี้อาจจะได้เห็น MK X อีก 2-3 โปรเจกต์ ถือเป็นการทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อให้ทุกๆ คนได้เซอร์ไพรส์ และตื่นเต้นกับแบรนด์”   

 รีเฟรชแบรนด์-ปรับตามผู้บริโภค

สำหรับโปรเจกต์ MK X เริ่มมาตั้งแต่ปีก่อน ด้วยวัตถุประสงค์ที่แบรนด์ต้องการ Move Forward และ Refresh Brand จากการที่แบรนด์อยู่ในตลาดมา 30 ปี ซึ่งก็เป็นเหตุผลเหมือนกับแบรนด์ใหญ่ที่เป็นเบอร์ 1 ในตลาดและอยู่มานาน ทุกแบรนด์ก็ต้อง Refresh Brand เพราะผู้บริโภค 30 ปีก่อนและปัจจุบันไม่เหมือนกันแน่นอน ทั้งไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต ความเชื่อ และการเสพสื่อ ที่แตกต่างจากผู้บริโภคในอดีต

ภาพจากเฟซบุ๊ก MK Restaurants

“หากแบรนด์ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคนี้ สุดท้ายแบรนด์นั้นอาจจะหายไป หน้าที่ของแบรนด์จึงต้อง Move ไปกับผู้บริโภคและเข้าใจผู้บริโภค ต้องรู้ว่ากำลังคุยอะไรและนำเสนออะไรกับผู้บริโภค และทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง”

วันนี้หากถามผู้บริโภคเชื่อว่า “เอ็มเค” ยังเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบและรัก แต่แบรนด์ที่อายุ 30 ปี ความชอบและความรัก อาจไม่ได้มาพร้อมความตื่นเต้น  จะเห็นได้ว่า “เอ็มเค” เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคเลือกที่จะไปรับประทานกับครอบครัว แต่หากไปกับเพื่อนอาจมองหาร้านใหม่ๆ แบรนด์ใหม่ๆ ที่มีความตื่นเต้น

“เอ็มเคเป็นแบรนด์ที่ทุกคนรัก ชื่นชอบ รู้ว่าอยู่ที่เดิม ไปกินเมื่อไหร่ก็อร่อย มีความสุขกันได้ทั้งครอบครัว แต่อาจไม่ตื่นเต้น เป็นสิ่งที่เราต้องรีเฟรชแบรนด์ และสร้างแพลตฟอร์มให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมในสิ่งใหม่ๆ กำลังจะเกิดขึ้นกับ MK X และจะทำต่อเนื่องระยะยาว เพื่อให้แบรนด์เอ็มเคที่อยู่มานานยัง Look Cool และผู้บริโภคอยากมาหาตลอด”

ภาพจากเฟซบุ๊ก MK Restaurants

โปรเจกต์ MK X ถือเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถดึงทุกเจนเข้ามามีส่วนร่วม แม้ว่าผู้บริโภคเจนต่างๆ จะมีความสนใจแตกต่างกัน แต่เมื่อทุกคนมาอยู่บนโลกโซเชียลมีเดีย สามารถเป็น Gen Collaboration ได้เหมือนกันหมด เพราะทุกคนใช้โซเชียลมีเดีย เสพสื่อออนไลน์เหมือนกัน และต้องการมีส่วนร่วมกับแบรนด์บนโลกออนไลน์

ดังนั้นการที่แบรนด์จะ Move Forward เพื่อให้โดนใจผู้บริโภค การใช้แพลตฟอร์มสื่อโซเชียล จึงเป็นช่องทางสร้างสัมพันธ์กับทุกเจน และลูกค้าทุกกลุ่มของเอ็มเคนั่นเอง ทั้งลูกค้ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์และเจน เอ็กซ์ พร้อมสร้างความตื่นเต้นให้กับคนรุ่นใหม่ผ่านแพลตฟอร์ม MK X

ภาพจากเฟซบุ๊ก MK Restaurants

โดย MK X ถือเป็นโปรเจกต์ที่เมื่อผู้บริโภคเห็นแบรนด์เอ็มเค “ขยับ” ทำอะไรใหม่ๆ จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) ให้กับผู้บริโภคได้เห็นว่า “เอ็มเค” แบรนด์ที่อยู่มา 30 ปี ก็ปรับตัวไปตามยุคสมัย และต้องการเป็นแบรนด์ที่เติบโตไปกับสังคมไทยและผู้บริโภคไทย สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นยุคไหน

ที่สำคัญเป็นตัวอย่างการทำให้เห็นว่า “พูดแล้วต้องลงมือทำ” จากการรับฟังความคิดเห็นและทำโปรเจกต์ใหม่ๆ จากไอเดียของผู้บริโภคที่ต้องการให้เห็น “เอ็มเค” เป็นมากกว่าแบรนด์อาหาร

“วันนี้แบรนด์ร้านอาหารต้องเป็นมากกว่าร้านอาหาร เพราะการทำแบรนด์ไม่ใช่แค่เราขายอะไร แต่ แบรนด์คืออะไรสำหรับผู้บริโภค เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภค การจะไปมากกว่าสิ่งที่แบรนด์เป็นอยู่คือการเข้าใจผู้บริโภค รู้ว่าวันนี้ผู้บริโภคต้องการอะไรและสนใจอะไร”

ส่องไอเดีย “อยากเห็น MK  X กับอะไร”

สำหรับโปรเจกต์ MK X ได้เริ่มทำกิจกรรมบนเฟซบุ๊ก แฟนเพจ MK Restaurants โดยโพสต์ “โปรเจกต์ MK X  มาบอกให้โลกรู้ว่าอยากเห็น MK  X กับอะไร” เพื่อให้ผู้บริโภคเข้ามาเขียนไอเดีย เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 สถิติถึงวันที่ 1 เมษายน 2562 มียอด Reach 1.9 ล้าน Reactions 30,160  Comments 2,134  ข้อความ

หลังจากนั้นเอ็มเคได้รวบรวมไอเดียสุดจี๊ดจากผู้บริโภค ที่อยากเห็น MK X กับอะไร มาสรุปเป็นภาพโพสต์โชว์บนเฟซบุ๊ก MK Restaurants เมื่อวันที่ 30 มีนาคม สถิติถึงวันที่ 8 เมษายน โพสต์ดังกล่าวมียอด Reach 8.18 แสน Reaction 8,371 Shares 4,009 ครั้ง Click 35,928 ครั้ง

ท็อป 3 ไอเดีย ที่มี Engagement สูงสุดคือ

  • MK X บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหมี่หยกเป็ดย่าง
  • MK X ติ่มซำเอ็มเคในร้านสะดวกซื้อ
  • MK X แอร์ไลน์ เซตบะหมี่เป็ดบนเครื่องบิน

ไอเดียที่จุดประกายการ Collab สิ่งใหม่ๆ ที่ผู้บริโภคต้องการเห็น MK X กับอะไร  เสียงสะท้อนที่มากสุด คือ “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บะหมี่หยก และติ่มซำ ในร้านสะดวกซื้อ อาจสะท้อนได้ว่า “ผู้บริโภคต้องการเข้าถึงเอ็มเคตลอดเวลา”

นอกจากนี้ยังมีไอเดียอีกหลากหลาย ที่จะทำให้ได้เห็นการทำงานที่ “น่าตื่นเต้น” ของโปรเจกต์ MK X อย่างต่อเนื่อง

]]>
1224474
วี คอร์น อภิรักษ์ X ซอสต๊อด ที่มากลยุทธ์ “Collaboration” ข้าวโพดหวานจับคู่ซอสเผ็ดดัง https://positioningmag.com/1223543 Thu, 04 Apr 2019 14:09:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1223543 ปรากฏการณ์ Collaboration หรือ กลยุทธ์ “X” บนโลกธุรกิจ กับการจับมือกัน เพื่อร่วมกันสร้างแบรนด์และยอดขายแลกฐานลูกค้าระหว่างกัน กำลังเป็นที่นิยมของแบรนด์ไทยเวลานี้ค่อนข้างมาก หนึ่งในที่นิยม “X” กัน คือ อุตสาหกรรมอาหาร

ที่เพิ่งจับคู่ใช้กลยุทธ์ X ไปไม่นาน คือ บาร์บีคิวพลาซ่าและพิซซ่าฮัท ทั้งการ Co-Promotion และร่วมกันครีเอตเมนูใหม่ขึ้นมาเพื่อขยายฐานลูกค้าระหว่างกัน

แต่การ X อย่างไรให้ลงตัว การจับคู่ที่ถูกฝาถูกตัวเป็นสิ่งสำคัญ มีกรณีศึกษาเกิดขึ้นมากมาย สำหรับการ X ของแบรนด์สินค้าทำให้พบ 4 กุญแจสำคัญที่ทำให้การ X ประสบความสำเร็จ คือ รสชาติ (Tasty) คุณภาพ (Quality) สุขภาพ (Healthy) และความแตกต่าง (Differentiation)

ทั้ง 4 คีย์ซัคเซสจุดประกายให้เกิดการ X ครั้งใหม่ระหว่าง V Corn X ซอสต๊อด จนกลายเป็นวีคอร์นรสซอสต๊อด ข้าวโพดหวานกับความเผ็ดจัดจ้าน เป็นความแตกต่างที่ท้าทายให้นักชิม

จุดกำเนิดการ X ข้ามสายพันธุ์

ที่มาของการ Collaboration เกิดขึ้นจากความบังเอิญและความอยากลองของ “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและทำการตลาดผลิตภัณฑ์ข้าวโพดพร้อมทานและน้ำนมข้าวโพด ภายใต้แบรนด์ “วี คอร์น” (V Corn)

“อภิรักษ์” เล่าให้ฟังว่า วีคอร์นถือเป็นเมนูประจำบ้านที่มีติดตู้เย็นไว้เสมอ วันหนึ่งบังเอิญเปิดตู้กับข้าวพบซอสต๊อดจึงนำมาคลุกเคล้ากับข้าวโพด และเมื่อรองรับประทานพบว่า มีรสชาติอร่อย ถูกใจ เข้ากันได้อย่างลงตัว เมื่อนำไปให้คนอื่นชิมก็ชื่นชอบ

นวัตกรรมไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องแล็บ อยู่ที่ไหนและการใช้ชีวิตประจำวันกันก็ทำให้เกิดขึ้นได้

ซอสต๊อด ก็จุดขายที่เป็นซอสพริกอเนกประสงค์ ที่คัดสรรวัตถุดิบชั้นดี ไม่ใส่สารกันบูด มีรสเผ็ดจัดจ้าน ที่ไม่ว่าจะจิ้ม ต้ม ผัด ทอด ปิ้งย่าง ก็เข้ากันกับทุกเมนูนานาชาติ

ด้วยแนวคิดตรงกันของสองแบรนด์จึงเกิดการร่วมมือกันขึ้น โดยการนำซอสต๊อดมาร่วมทำเป็นเมนูพิเศษกับวี คอร์น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการ X ข้ามสายพันธุ์

ความสำเร็จไม่เกิดหากไม่สานต่อ

วี คอร์น เกิดขึ้นจากวี ฟู้ดส์ ที่อยู่ในธุรกิจผักและผลไม้พร้อมทานมา 5 ปี ซึ่งเวลานี้ “วี คอร์น” กลายแบรนด์ข้าวโพดพร้อมทานและน้ำนมข้าวโพดที่ทำยอดขายได้ดี โดยคาดการณ์ว่าภายในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 15-20%

ส่วนกระแสของ ซอสต๊อด หรือ Made By TODD ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ฟาเธอร์ ออฟ ออล ซอส จำกัด และการบริหารงานของ ต๊อด-ปิติ ภิรมย์ภักดี เริ่มเปิดตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2560 โดยจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และ Modern trade ทั่วประเทศ ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์น้องใหม่ที่แจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งคู่หวังว่า ความสำเร็จของวีคอร์น บวกกับกระแสของซอสต๊อด จะทำให้กลยุทธ์ X แบบข้ามสายพันธุ์ จะช่วยสร้างความแตกต่างและเพิ่มความโดดเด่นในการขยายฐานลูกค้าระหว่างกัน

“วี คอร์นรสซอสต๊อด” วางจำหน่ายในเดือนเมษายนนี้ โดยเริ่มต้นเอ็กซ์คลูซีพเฉพาะเซเว่น อีเลฟเว่นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 5,000 สาขา.

]]>
1223543
ล้วงลึก Bar B Q Plaza กับกลยุทธ์ “Marketing Collaboration” เมื่อคนทำแบรนด์สมัยนี้ต้องใจกว้าง หมดยุคลูกค้าเป็นของฉันทั้งชีวิต! https://positioningmag.com/1222222 Fri, 29 Mar 2019 00:08:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1222222 การทำธุรกิจในวันนี้มีความยากมากขึ้นทุกวัน เพราะใครๆ ก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ยิ่งเป็นธุรกิจที่ผู้บริโภคต้องใช้ทุกวัน ยิ่งต้องเจอกับคู่แข่งที่ถาโถมเข้ามา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอาหาร ซึ่งแต่ละวันผู้บริโภคต้องกิน 3 มื้อ และบางคนกินมากกว่านั้นด้วยช้ำ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินมูลค่าตลาดธุรกิจร้านอาหารในปี 2018 น่าจะอยู่ที่ 411,000-415,000 ล้านบาท เติบโตราว 4-5% จึงไม่ต้องแปลกใจหากจะมีร้านอาหารใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทั้งในห้างและนอกห้างเต็มไปหมด

กลายเป็นความท้าทายที่แม้แต่เชนร้านอาหารยังต้องปรับตัว สำหรับ “Bar B Q Plaza” ได้เลือกแก้โจทย์เรื่องนี้ด้วยกลยุทธ์ “Marketing Collaboration” หรือการไปร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ โดยถึงกับยกให้ปี 2019 จะเป็นปีแห่ง Collaboration เลยทีเดียว

บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด

บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า บริษัท ฟู้ด แพชชั่น จำกัด เล่าให้ฟังว่า Bar B Q Plaza มีแนวคิดอย่างหนึ่งคือ “First Move” การทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เพื่อเข้าไปยังมุมที่แบรนด์ยังไม่เคยเข้าถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ Collaboration ผ่านพาร์ตเนอร์ชิพกับแบรนด์อื่นๆ

กลยุทธ์นี้เริ่มขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อนตอนออกแคมเปญรีฟิล โดย Bar B Q Plaza ดึงบัตรเครดิต 11 ธนาคารมาทำแคมเปญร่วมกัน ต่อมาก็ทำอีกเรื่อยๆ ทั้งทรานส์ฟอร์มไปอยู่ใน Air Asia, Grab Car, Coke นำคาแร็กเตอร์บาร์บีกอนไปปรากฏตัวบนเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ Anitech หรือปีที่ผ่านมาก็ไปร่วมกับ สาหร่ายมาชิตะของค่ายสิงห์ ออกรสชาติ เบคอนย่างซอสบาร์บีคิวพลาซ่า 

สิ่งที่แบรนด์จะได้มานอกเหนือจากการเพิ่มฐานลูกค้าระหว่างแบรนด์ที่เข้าไปจับมือ เพิ่ม Brand Awareness – Brand Value – Brand Perception แต่ที่สำคัญที่สุดสามารถนำแนวคิด Know-how ของแบรนด์นั้นๆ มาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับต่อยอดเกมการตลาดได้

“Pizza Hut” Collaboration ดีลแรกของปี 2019

สำหรับในปี 2019 คาดว่าจะได้เห็น Marketing Collaboration จำนวน 3 ดีลจาก Bar B Q Plaza มี 2 ดีลที่กำลังคุยอยู่เป็นแบรนด์อาหารและไลฟ์สไตล์ โดยดีลแรกของปีคือการร่วมมือกับ “Pizza Hut” ธุรกิจที่อยู่ภายใต้ตระกูลมหากิจศิริ

แม้จุดเริ่มต้นของดีลจะมาจาก Pizza Hut เดินเข้ามาหาก่อน แต่ลึกๆ แล้วความท้าทายที่ Bar B Q Plaza กำลังเจอคือ การที่ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในโหมด “Auto Pilot” เดินเข้ามาไม่ต้องต้องดูเมนู สามารถสั่งได้เลย แต่แทนที่จะเป็นจุดได้เปรียบว่าเป็นแฟนคลับจริงๆ แต่กลับสร้างผลเสียแทน

เพราะแม้จะสร้างแบรนด์ได้ดีแค่ไหนแต่เมื่อมีแต่อาหารซ้ำๆ ก็ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า ยิ่งกินแต่เมนูเดิมๆ ก็อาจจะสร้างความเบื่อหน่ายและไม่มีความกระตือรือร้นที่อยากจะเดินเข้ามาที่ร้าน ทางออกจึงต้องเพิ่มเมนูใหม่ๆ เพื่อสร้าง Need ให้ลูกค้า โดย Bar B Q Plaza วางแผนจะออกแคมเปญใหม่ทุกไตรมาส

สำหรับดีลกับ Pizza Hut เป็นการนำเอาจุดแข็งคือรสชาติมาทำร่วมกัน โดยฝั่ง Bar B Q Plaza จะออกชุดหมูบาร์บีฮัทในราคาสุดคุ้ม 299 บาท ที่เสิร์ฟมาในถาดพิซซ่า ยังมีเมนูทานเล่นและของหวานอีก 2 เมนู

ส่วน Pizza Hut ออกพิซซ่าหน้าใหม่พิซซ่าฮัทบีก้อนขายในราคาถาดละ 299 บาท (ปกติ 429 บาท) ทั้งหมดจะวางขายเฉพาะ 1 เมษายน – 20 พฤษภาคม

ทั้งคู่ยังได้ร่วมกันใช้งบ 80 ล้านบาทสำหรับโปรโมตแคมเปญฟินเว่อร์ ฮัทเจอก้อนและยังได้ออก Co-Promotion ใน 7 วันแรกที่เริ่มแคมเปญเมื่อซื้อเมนูที่ทำร่วมกันจะได้ส่วนลด 100 บาทไปใช้กับร้านของอีกฝ่ายได้ ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในเกมตลาดที่จะดึงให้คนส่วนใจ และเพิ่มจำนวนลูกค้าในช่วงสงกรานต์ที่จะมาถึง

ปรกติคนทำอาหารจะหวงลูกค้ากันมาก จะไม่ยอมมา Collaboration ร่วมกันเลย แต่การร่วมมือของเราคู่ถือเป็นวิธีคิดแบบใหม่ และเป็นครั้งแรกในวงการอาหาร เพราะมองว่า คนทำแบรนด์สมัยนี้ต้องใจกว้าง หมดยุคลูกค้าเป็นของฉันทั้งชีวิต การร่วมกันกลับจะยิ่งทำให้ธุรกิจแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

เพราะเป้าหมายต้องการคือ Cross Target ของทั้งสองแบรนด์ ฝั่ง Pizza Hut ก็อยากได้ฐานกลุ่มวัยรุ่น (Teen) และคนรุ่นใหม่ (Young Adult) เพิ่มส่วน Bar B Q Plaza ก็เติมกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ที่มีลูก (Young Family with Kids) และยังตั้งเป้ายอดขายโต 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

3 กลยุทธ์ปี 2019 ของ Bar B Q Plaza

ด้านกลยุทธ์ในภาพรวมของปี 2019 Bar B Q Plaza วางเป้าไว้ 3 ข้อ ได้แก่

1.เน้นการเติบโตของยอดขายเดิม มากกว่าการขยายสาขาใหม่ ในปีนี้วางแผนเปิดเพียง 5 สาขา ลดลงจากปีก่อนที่เปิด 8 สาขา ใช้งบสาขาละ 10 ล้านบาท และวางแผนรีโนเวตสาขาเดิม 4-5 สาขา งบ 5-7 ล้านต่อสาขา ถ้าเป็นไปตามแผนสิ้นปี 2019 จะมีทั้งสิ้น 255 สาขา ภายรวมใช้งบลงทุน 10% ยอดขาย มีแคมเปญใหญ่ประมาณ 3-4 แคมเปญ

2.ปรับโครงสร้างการทำงาน เพราะโลกหมุนเร็วไปทุกวัน แค่คิดอาจจะสายเกิดไปด้วยซ้ำ Bar B Q Plaza จึงได้เปลี่ยนระบบการทำงานให้สามารถขยับตัวได้เร็วมากขึ้น จากเดิมทำเป็นแผนกมาสู่การทำงานแบบ Agile

3.เพิ่มคุณภาพ โดนตั้งเป้าให้ทุกสาขาผ่านการรองรับระบบคุณภาพ GMP

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าธุรกิจอาหารจะไม่โดนดิสรัปชั่น เพราะคนยุคนี้ต้องการความสะดวกสบายไม่อยากออกมาข้างนอก อยู่บ้านก็สามารถกิจได้ Bar B Q Plaza จึงกำลังศึกษาโมเดลเดลิเวอรี่ เบื้องต้นอาจจะตั้งทีมขึ้นมาทำเอง แต่ถ้าศึกษาแล้วไปต่อไม่ได้ก็จะไปหาพาร์ตเนอร์มาช่วย เพราะธุรกิจวันนี้หยดยุคมานั่งงมเอง ถ้าไม่ไหวก็ต้องหาตัวช่วยมาติดความเร็วให้กับธุรกิจ

]]>
1222222
Jaspal ในวัย 46 ปี จะ COLLAB ทั้งที ต้องเล่นใหญ่ถึงดีไซน์เนอร์ดังระดับ Icon https://positioningmag.com/1168371 Fri, 04 May 2018 00:08:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1168371 เกรียวกราวกันทั้งสยามพารากอน กับการเปิดตัวคอลเลกชั่น “Karl Lagerfeld for Jaspal” (วันที่ 3 พ.ค. 2018) เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 46 ปีแบรนด์ยัสปาล (Jaspal) แบรนด์ที่เริ่มต้นจากเครื่องนอนมาสู่แคตวอล์กและโตจากไทยไปตลาดอินเตอร์

จากเอเชีย ตะวันออกกลางต่อยอดสู่ยุโรป ด้วยการดึงดีไซเนอร์ดังระดับไอคอน (Icon) อย่าง คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ (Karl Lagerfeldมาร่วมมือทำคอลเลกชั่นทั้งเสื้อผ้าและแอคเซสซอรี่ ที่มีคาแร็กเตอร์คาร์ลกับแมวสีสวาดพันธุ์ไทย ชูว์เพ็ตต์ ควงคู่กันมาโชว์เด่นอยู่บนสินค้าแต่ละชิ้น

การ COLLAB (Collaboration) เป็นกลยุทธ์ที่ฮิตมากทางการตลาด โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นที่จับเอาความหรูมารวมกับสตรีทแฟชั่น ไปจนถึงแฟชั่นระดับกลาง เป็นความร่วมมือระหว่างแบรนด์ที่เป็นเทรนด์ ซึ่งให้ผลในการแลกเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายช่วยให้แต่ละแบรนด์ขยายฐานลูกค้าไปยังคนกลุ่มใหม่ ๆ ได้ผล นิยมทำกันต่อเนื่องมาหลายปี และทำให้แบรนด์บางแบรนด์ดูน่าตื่นเต้น สดใหม่ สดใสขึ้น

ยัสปาล ปล่อยกระแสความร่วมมือคอลเลกชั่นนี้ก่อนเปิดตัวจริงมาสักระยะเกือบเดือนก่อนหน้านี้ เท่านั้นก็เสียงฮือฮาจากกลุ่มแฟนคลับของยัสปาล และกลุ่มคนที่ชื่นชอบผลงานของลาเกอร์เฟลด์ ด้วยอาการตั้งตาคอย ก่อนจะได้เห็นผลงานในวันนี้ที่ได้ทั้งความเรียบเก๋ แต่แอบสนุกมีกิมมิกด้วยไอคอนจากคาแร็กเตอร์ของลาเกอร์เฟลด์ในร่างการ์ตูนกับชูว์เพ็ตต์ข้างกาย บางชิ้นก็แยกกันโชว์เดี่ยวแล้วแต่รสนิยมของแฟนคลับนักช้อป

ราคา 4,595 บาท

สำหรับคนที่ไม่คุ้นวงการแฟชั่น ข้อมูลของลาเกอร์เฟลด์ที่ต้องรู้คือ ดีไซเนอร์คนนี้ นอกจากมีบุคลิกโดดเด่นเฉพาะตัว ยังจัดเป็น “ตัวพ่อ” หรือ GODFATHER” แห่งวงการแฟชั่น แน่นอนย่อมเป็นผู้ส่งอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของวงการอย่างไม่ต้องสงสัย

ฝีมือจัดขนาดนี้ นอกจากมีแบรนด์ของตัวเองในชื่อตัวเอง ยังเป็นดีไซเนอร์ให้แบรนด์ดังสุดหรู อย่าง ชาเนล (Chanel) เฟนดิ (Fendi) และมีงานดีไซเนอร์ร่วมกับคนดังอื่น ๆ และด้วยสายตาที่เฉียบคมด้านแฟชั่น ทำให้เขาเป็นคนที่มุมมองสวยเฉียบ จนสามารถโชว์สกิลด้านการเป็นช่างภาพได้อีกอาชีพในช่วงหลัง ๆ นี้ด้วย ไม่รู้มันเป็นอาการมุมมองคนอื่นไม่ถูกใจเลยต้องจัดเองหรือเปล่า

ราคา 3,995 บาท

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยคุ้นกับแบรนด์ยัสปาล แนะนำแบบรวบรัด ยัสปาล หรือบริษัท ยัสปาล จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี 1947 (พ.ศ. 2490) โดย ยัสปาล ซิงค์ ชาวอินเดียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย โดยยึดอาชีพค้าขายผ้าขนหนูนำเข้าจากอเมริกาเข้ามาในตลาด มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวอเมริกันและชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย ต่อมาขยายไปสู่สินค้าเครื่องนอน จนมีโรงงานผลิตของตัวเองภายใต้แบรนด์แซนตาส (Santas)

จากนั้นในปี 1972 (พ.ศ. 2515) เริ่มขายสู่ธุรกิจแฟชั่นภายใต้แบรนด์ยัสปาล เป็นแบรนด์แรก ก่อนจะมีแบรนด์ในสังกัดตามมาอย่างต่อเนื่องทั้งธุรกิจเสื้อผ้าและรองเท้า ได้แก่ ซีพีเอส แชปส์ (CPS Chaps) ซีซี ดับเบิลโอ (CC-OO) ลิน (Lyn) ลินอะราวด์ (Lyn Around) ฟุตเวิร์ค (Footwork) ฟุตเวิร์ค นัวร์ (Footwork Noir) และ มิสตี้มิ้งซ์ (Misty Mynx).

]]>
1168371