Construction – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 04 May 2016 07:44:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จักกับ “เจ๊จู” ตัวจริง! https://positioningmag.com/1090939 Wed, 04 May 2016 09:00:59 +0000 http://positioningmag.com/?p=1090939 1090939 บทสรุปความสำเร็จของ “เจ๊จู วัสดุก่อสร้าง” https://positioningmag.com/1090936 Wed, 04 May 2016 07:35:19 +0000 http://positioningmag.com/?p=1090936 1090936 "9 เทรนด์สี-ทิปแต่งห้อง" มาแรง รับปี 2015 https://positioningmag.com/59237 Sat, 24 Jan 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=59237

1. Sacred Love : กลุ่มสีรักษ์โลก เน้นให้ความรู้สึกธรรมชาติ

โทนสีฟ้าเปอร์เซีย (Persian Blue) ช่วยสร้างความสมดุลของห้องให้รู้สึกสบายและเยือกเย็น เหามะกับผู้ที่ต้องกดดันจากการทำงานหนักๆ เมื่อเข้ามาในห้องแล้วรู้สึกผ่อนคลาย

Tip : เพียงเลือกเฟอร์นิเจอร์สีอ่อนๆ ที่ทำจากผ้า เช่น โซฟา หมอน หรือจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากแก้ว กระจก เช่น โต๊ะกระจก แจกัน จะทำให้ห้องสีฟ้าเปอร์เซียดูโดดเด่นขึ้นได้ไม่ยาก

โทนสีเทาไดโนซอร์ (Dinosaur Gray) ให้ความรู้สึกสงบ แต่แฝงด้วยความมั่นใจ เหมาะกับผู้ชื่นชอบดทนสีสะอาดตา แต่ไม่ชอบสีขาว และมีบุคลิกสง่างาม

Tip : เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ หรือเฟอร์นิเอจร์แฮนด์เมดที่มีรูปทรงเก๋ๆ สีเอิร์ธโทน จะช่วยทำให้ห้องสีเทาดูลงตัวมากยิ่งขึ้น

โทนสีเขียวเอสพาริน่า (Esparina) เป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมุมพักผ่อนจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน

Tip : โทนสีนี้เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้

2. Just Me : กลุ่มสีสะท้อนความเป็นตัวตน เป็นเทรนด์สีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง สามารถสะท้อนตัวตนได้อย่างชัดเจน

โทนสีเหลืองจัสมิน (Yellow Jasmine) ให้ความรู้สึกสว่างไสว อบอุ่น สะท้อนความเป็นตัวตนและบุคลิกที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความกระฉับกระเฉง และยังเหมาะกับหลายๆ ประเทศในเอเชีย ซึ่งถือว่าสีเหลืองเป็นสีแห่งแสงสว่าง และความโชคดี

Tip : ลองแต่งห้องนั่งเล่นหรือมุมรับประทานอาหารเป็นโทนสีเหลืองจัสมิน จะทำให้ห้องดูสว่างกว้างยิ่งขึ้น และเข้ากันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์สีขาวและสีเทา

โทนสีม่วงชมพูพริตตี้ บ็อกซ์ (Pretty Box) ให้ความรู้สึกน่าหลงใหล สะท้อนตัวตนของผู้ที่ชอบสิ่งแปลกใหม่ มีเสน่ห์ เหมาะสำหรับทั้งห้องของคุณผู้หญิงที่ไม่ชอบโทนสีหวานจนเกินไป หรือผู้ชายที่ไม่ชอบสีโทนเข้มเกินไป

Tip : โทนสีนี้จะเข้ากันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์แนวโมเดิร์น แต่หากอยากได้ห้องสุดชิคแนวใหม่ ลองจับคู่กับเฟอร์นิเจอร์แนวเรโทรดูก็ไม่เลว

โทนสีส้มหัวแครอท (Carrothead) ให้ความรู้สึกกระตือรือร้น แต่ไม่ร้อนแรงจนเกินไปเมื่อเทียบกับสีแดง สะท้อนความเป็นตัวเองสูง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะกับผู้มีไลฟ์สไตล์เป็นนักสังคมตัวยง ชอบหาประสบการณ์ใหม่ๆ ชอบความสนุกสนาน มีความั่นใจ

Tip : เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์สีอ่อน หรือสร้างลวดลายแนวดมทีฟบนพื้นหรือพนัง จะช่วยตัดให้ห้องโดดเด่นสะดุดตา

3. Revo-Evolution : กลุ่มสีแห่งวิวัฒนาการ เป็นเทรนด์สีที่สื่อถึงวิวัฒนาการและความก้าวหน้า

โทนสีน้ำเงินสว่าง (Blue Award) ให้ความรู้สึกถึงความหวังและแรงบันดาลใจสู้เป้าหมายความสำเร็จในอนาคต เหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่ ที่ต้องการให้ความรู้สึกอบอุ่น และไม่ดูโอ่อ่าจนเกินไป

Tip : สร้างมิติใหม่ให้กับห้องด้วยการใช้สีฟ้าหรือสีขาวมาทาเป็นลายทาง ลายขวาง หรือเป็นบล็อกตัดกับน้ำเงินสว่าง จะได้ห้องที่ดูมีมิติแปลกตายิ่งขึ้น

โทนสีน้ำตาลกรอบไม้ (Painted Frame) ให้ความรู้สึกหรูหรา สมบูรณ์แบบ เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบความคลาสสิค เรียบง่าย แต่ดูมีระดับ

Tip :  สามารถเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไมเหรือหินมาตกแต่ง แต่หากอยากเพิ่มความสนุกสนานให้กับห้อง ลองเลือกเฟอร์นิเจอร์แนวโมเดิร์นสีขาว เขียว หรือเทามาลองตัดดู

โทนสีโอรส (Old Rose) โทนสีให้ความรู้สึกสวยงาม น่าทะนุถนอน แต่มีความอบอุ่นเป็นกันเอง สามารถผสมผสานกับสีชมพูอ่อน หรือชมพูพาสเทลทำให้บรรยากาศในบ้านอบอุ่นและสบายตา เหมาะสำหรับห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือมุมพักผ่อนของครอบครัว

Tip : เลือกเฟอร์นิเจอร์สีอ่อน อย่างสีขาว หรือสีครีม มาวางคู่กับพรมสีเข้มอย่างสีน้ำตาลหรือสีเทาเข้มดู เป็นการมิกซ์แอนด์แมทช์ที่ลงตัว

ที่มา : นิปปอนเพนต์

 

]]>
59237
เอสซีจีแถลงผลประกอบการไตรมาสที่สาม และ 9 เดือนแรกของปี 2557 มุ่งผลักดันสินค้า HVA ต่อเนื่อง คว้าที่ 1 ของโลกด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน 4 ปีซ้อนจาก DJSI https://positioningmag.com/58684 Thu, 30 Oct 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58684

ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสที่สาม มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น แต่กำไรลดลงจากปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่สาม ปี 2556 มีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ ประกาศเดินหน้าโครงการลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ในธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ตามกลยุทธ์มุ่งสู่ผู้นำอย่างยั่งยืนในอาเซียน พร้อมคว้าที่ 1 ของโลกด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในสาขาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (Construction Materials Industry) เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จากการประเมินและจัดอันดับของ DJSI

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่สาม ปี 2557 มีรายได้จากการขาย 124,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่รายได้จากการขายใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 7,846 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่สาม ปี 2556 มีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท จากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด และจากการขายเงินลงทุนในบริษัทโตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ให้กับ TOTO Group

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 370,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 24,759 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2556 ประกอบกับมีการปันกำไรในบริษัทย่อยไปให้ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมมากขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง

สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ใน 9 เดือนแรกของปี 2557 มีรายได้จากการขาย 32,565 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ในไตรมาสที่สามของปี 2557 ธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนมีรายได้จากการขาย 11,204 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการขายที่เพิ่มขึ้นของ Vina Kraft ผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเวียดนาม และ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกรายใหญ่สุดของเวียดนาม รวมถึงคอนกรีตผสมเสร็จและปูนซีเมนต์ในกัมพูชา ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 มูลค่า 79,235 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 17 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 มีมูลค่า 473,405 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สาม ปี 2557 แยกตามรายธุรกิจดังนี้

เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 46,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ของกลุ่มธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนและรายได้จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,072 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 43 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ปี 2556 มีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท

เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 64,337 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขาย Polyolefins ที่ปรับตัวลดลง แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 85 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทร่วมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 16,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของทั้งสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ และสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีกำไรสำหรับงวด 715 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตาม EBITDA ที่ลดลง

นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นในปี 2558 ทั้งนี้ เอสซีจียังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน จึงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติงบลงทุนมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ในโครงการขยายการลงทุนธุรกิจปูนสำเร็จรูป (Mortar) ปูนสำเร็จรูป HVA สำหรับงานก่ออิฐและงานฉาบผนัง ที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ สะดวกต่อการใช้งาน และเหมาะกับการใช้ในงานก่อ-ฉาบอิฐมวลเบา โดยเอสซีจีได้ขยายกำลังการผลิตปูนสำเร็จรูป 2 ล้านตันต่อปี เป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 2,800 ล้านบาท โดยก่อสร้างที่จังหวัดขอนแก่นและลำปาง และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 และโครงการร่วมทุนธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในอาเซียน โดยเอสซีจีจะเข้าร่วมทุนในสัดส่วนร้อยละ 50:50 กับบริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดตั้งบริษัทโกลบอลเฮ้าส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยเป็นเงินลงทุนในส่วนของเอสซีจีประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในรูปแบบคลังสินค้าในอาเซียน

ความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนของเอสซีจี ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ โดยโครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย และโครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งที่สองในกัมพูชาจะแล้วเสร็จ และเริ่มผลิตได้ในปี 2558 ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม คาดว่าจะสามารถสรุปวงเงินลงทุนได้ภายในต้นปีหน้า นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการ Precast Concrete Panel นวัตกรรมผนังสำเร็จรูป เพื่อทดแทนการก่ออิฐและฉาบผนังแบบเดิม ที่มีความแข็งแรง ติดตั้งง่าย ลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน 2 แห่ง คือที่จังหวัดชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช จังหวัดสระบุรี คาดว่าจะสามารถผลิตได้ในไตรมาสที่สอง ปี 2558

สำหรับการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) เพื่อเติบโตสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียนนั้น ที่ผ่านมา เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสที่สามของปีนี้ เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 42,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ขณะที่สินค้า SCG eco value มียอดขาย 36,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 29 ของยอดขายรวม

นอกจากนี้ เอสซีจี ยังดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ล่าสุด เอสซีจีได้รับการประเมินและจัดอันดับในดัชนีวัดประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนดาวน์โจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices – DJSI) ให้เป็นที่ 1 ของโลก (Industry Leader) ในสาขาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (Construction Materials) เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับ Gold Class ติดต่อกันเป็นปีที่ 7 ตั้งแต่ปี 2551 สะท้อนความมุ่งมั่นของเอสซีจีในการสร้างประโยชน์สูงสุดต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมร่วมผลักดันให้ทุกภาคส่วนนำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสร้างเครือข่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

]]>
58684
มูลนิธิเอสซีจี…เพื่อก้าวย่างที่มั่นคงของชุมชน https://positioningmag.com/58589 Tue, 14 Oct 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58589

“…ในการช่วยเหลือนั้น ควรจะยึดหลักสำคัญว่า เราจะช่วยเขา เพื่อให้เขาสามารถช่วยตัวเองได้ต่อไป….” พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๐

ด้วยแนวทางการดำเนินงานของมูลนิธิเอสซีจี คือ การพัฒนาคน ตามพันธกิจหลักที่ว่า ‘เชื่อมั่นในคุณค่าของคน’ ส่งผลให้การพัฒนาทรัพยากร ‘คน’ เป็นเสมือนพันธสัญญาที่มูลนิธิเอสซีจีมีต่อสังคม มูลนิธิเอสซีจีจึงขอน้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้มาเป็นเข็มทิศนำทางในการทำงาน ด้วยตระหนักดีว่าการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่เริ่มจาก ‘คน’ ก่อน ชุมชนก็ไม่อาจเดินหน้า ประเทศก็ไม่อาจพัฒนาไปในทิศทางที่ยั่งยืนได้ เหตุนี้เองการส่งเสริมศักยภาพของคน และการสนับสนุนให้ชุมชนมีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ จึงเป็นความมุ่งหวังตั้งใจของมูลนิธิเอสซีจีในการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของสังคมอย่างสร้างสรรค์

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 เมื่อคลื่นสึนามิถาโถมเข้าสู่ชายฝั่งอันดามันอย่างไม่ปราณี นับเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานระหว่างชุมชนกับมูลนิธิเอสซีจีอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ในกรณีเร่งด่วน รวมถึงใช้วิกฤตนี้เปลี่ยนเป็นโอกาสในการวางรากฐานแนวคิดชุมชนเข้มแข็ง พร้อมสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมหรือพัฒนาอาชีพให้กับผู้ประสบภัย โดยหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการหนุนเสริมศักยภาพชุมชนเพื่อให้ได้พลิกฟื้นคืนอาชีพนั่นก็คือ การจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนนั่นเอง จากวันนั้น ถึงวันนี้นับเป็นเวลาร่วม 10 ปีแล้วที่มูลนิธิเอสซีจีได้ทำงานร่วมกับชุมชน โดยได้นำประสบการณ์การช่วยเหลือในครั้งนั้น เรียนรู้ต่อยอดการทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนในหลากหลายพื้นที่ และขยายผลกระบวนการของกองทุนหมุนเวียนไปยังชุมชนอีก 6 พื้นที่ เพียงแต่แตกต่างที่ลักษณะของกองทุน  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบททางเศรษฐกิจ สังคม ของชุมชนนั้นๆ โดยอาศัยต้นทุนทางภูมิปัญญาท้องถิ่นผสานกับต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติที่ชุมชนแต่ละแห่งมีอยู่เดิม ได้แก่ 1.พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2. พื้นที่บ้านปลาบู่ จังหวัดมหาสารคาม 3. พื้นที่เครือข่ายอินแปง จังหวัดสกลนคร 4. พื้นที่บ้านช่องฟืน จังหวัดพัทลุง 5. พื้นที่บ้านคูขุด จังหวัดสงขลา 6. พื้นที่ศูนย์การเรียนรู้โจ้โก้ จังหวัดน่าน  อย่างไรก็ตามรูปแบบการช่วยเหลือของมูลนิธิฯ จะเป็นการช่วยแบบมีเงื่อนไข นั่นหมายถึง เงินที่กู้ยืมไปจะต้องใช้คืนกลับมายังกองทุนฯ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนและการจัดระบบการกู้ยืมของชุมชนนั้นๆ นอกจากนี้การที่คนในชุมชนมีส่วนร่วมในกองทุนร่วมกันย่อมนำมาซึ่งการร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน

“ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิเอสซีจี ได้นำเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน อันหมายถึงกองทุนหมุนเวียน มาประยุกต์ใช้กับชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศ โดย 6 กองทุนนี้ เป็นเสมือนความภาคภูมิใจของมูลนิธิเอสซีจีที่ได้ร่วมเดินไปพร้อมๆ กับชุมชน แม้จะมีปัญหาหรืออุปสรรค แต่คนในชุมชนก็เป็นผู้จัดลำดับความสำคัญและแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไป โดยอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่น ต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ และองค์ความรู้ทางการบริหารจัดการของมูลนิธิเอสซีจี ร่วมเดินไปด้วยกัน กองทุนนี้ยังมุ่งสร้างผู้นำชุมชนคนรุ่นใหม่ให้ประกอบอาชีพในท้องถิ่น โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด พึ่งพาตนเองได้ ปัจจุบัน กองทุนฯ ใน 6 พื้นที่ยังดำเนินไปได้ด้วยดี  มีเงินหมุนเวียนกลับมายังชุมชน สร้างรายได้หมุนเวียนเรื่อยไป” ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจีกล่าว

อย่างไรก็ตามมูลนิธิเอสซีจีได้แบ่งกองทุนหมุนเวียนออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ กองทุนเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน (Investment Fund) และ กองทุนสวัสดิการ (Welfare Fund) 

สำหรับกองทุนเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน (Investment Fund) คือ กองทุนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน ริเริ่มและต่อยอดการประกอบอาชีพโดยใช้ฐานทรัพยากรของชุมชนเป็นหลัก กองทุนประเภทนี้จะให้สมาชิกกู้ยืมเพื่อการประกอบอาชีพและเน้นให้มีการนำเงินมาหมุนเวียนในระบบ โดยมีดอกเบี้ยซึ่งไม่ได้นำมาปันผลตอบแทนสมาชิกเป็นรายคน แต่นำมาต่อยอดให้แก่สมาชิกในกลุ่ม มีดอกเบี้ยนำมาเป็นเงินหมุนเวียนให้สมาชิกรายอื่น กองทุนสัมมาชีพที่อยู่ในประเภทนี้ได้แก่ 1.กองทุนหมุนเวียนเพื่อการพัฒนาอาชีพ บ้านปลาบู่  จ.มหาสารคาม 2.กองทุนคนรุ่นใหม่ลูกหลานเกษตรกรเครือข่ายอินแปง จ.สกลนคร  3.กองทุนหมุนเวียนเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูหลุม จ.น่าน

“เงินจากกองทุนหมุนเวียนของมูลนิธิเอสซีจี ถูกจัดสรรเป็นหลายส่วน เช่นเอามาทำกองทุนปุ๋ยอินทรีย์ กองทุนนาอินทรีย์ กองทุนผ้ามัดย้อม เพาะเห็ด เลี้ยงไก่ปลอดสารเคมี ยกตัวอย่างเช่น ชาวบ้านรวมกลุ่มกันทำผ้ามัดย้อม เพราะเป็นภูมิปัญญาท้องถินที่มี เราถนัดเรื่องย้อมผ้า เรามีไม้ที่เปลือกของมันนำมาทำสีย้อมผ้าได้ คือไม้ประดู่ ไม้อะลาง ทีนี้พอใส่น้ำปูนใสลงไปจะได้สีอิฐ ถ้าใส่สนิมจะได้สีเทา และถ้าใส่เปลือกมะม่วง เปลือกเพกา จะได้สีเขียว นี่เป็นภูมิปัญญานับแต่สมัยพุทธกาล เรามีความถนัดเรื่องนี้ ก็เปลี่ยนภูมิปัญญาท้องถิ่นและความถนัดมาทำผ้ามัดย้อมขาย เพิ่มเติมรายได้จากอาชีพหลักคือการทำนา แม่บ้านในชุมชนก็มีอาชีพ มีสังคม มีปัญหาก็เอามาคุยกัน ผ้ามัดย้อมนี้ใครถนัดมัดก็มัด ใครถนัดย้อมก็ย้อม ใครถนัดทั้งสองอย่าง ก็จะได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น เพราะค่าแรงที่นี่คิดตามจำนวนชิ้นที่แต่ละคนทำได้ในแต่ละวัน ส่วนการแปรรูปเราก็ยังส่งผ้ามัดย้อมไปแปรรูปที่ชุมชนเครือข่ายของเราได้อีกที่บ้านสองห้อง จังหวัดมหาสารคาม พอเราเริ่มมาด้วยกัน เวลามีปัญหาอะไรก็จะไม่ยากเกินแก้ ปัจจุบันสินค้าผ้ามัดย้อมของเราได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ร่วมพัฒนาเป็นสินค้าโอทอป นอกจากนี้ ที่บ้านปลาบู่ของเรา ยังมีหลักสูตรการทำผ้ามัดย้อมเพื่อสอนเด็กๆ ในชุมชนให้มาเรียนเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนแต่ใช้ได้ในชีวิตจริง เป็นภูมิปัญญาของพ่อแม่พี่น้อง ที่เขาควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับท้องถิ่นของพวกเขา” พี่ณรงค์ กุลจันทร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจเพื่อสังคมสมาคมไทบ้าน กล่าว

อีกชุมชนหนึ่งที่สมาชิกในกลุ่มมีความเข้มแข็งไม่แพ้กัน นั่นคือ กลุ่มกองทุนเกษตรรุ่นใหม่ผู้เลี้ยงหมูหลุม โดยกองทุนนี้อยู่ภายใต้กองทุนสัมมาชีพน่านหรือที่รู้จักกันในชื่อกองทุนสัมมาชีพโจ้โก้ ด้วยงบประมาณจัดตั้งกองทุนเพียง 500,000 บาทจากมูลนิธิเอสซีจีเมื่อปี 2555 วันนี้กลุ่มเกษตรรุ่นใหม่ผู้เลี้ยงหมูหลุม มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กัน โดยเฉพาะกระบวนการ “หมูของขวัญ”

พี่บัวตอง ธรรมมะ ผู้จัดการศูนย์การเรียนรู้โจ้โก้ จ.น่าน และ ผู้จัดการกองทุนสัมมาชีพน่าน เล่าให้ฟังว่า “หมูของขวัญ” คือ การที่สมาชิกในกลุ่มตกลงกันว่าแทนที่จะเป็นการกู้ยืมและคืนในแบบที่ผ่านมา อาจจะไม่เกิดการสร้างอาชีพหรือการสร้างองค์ความรู้เท่าไรนัก จึงตกลงกันว่าสมาชิกในกลุ่มที่เป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู จะสามารถกู้ยืมเงินกองทุนได้ แต่เวลาคืน แทนที่จะคืนเป็นเงิน ก็จะคืนเป็นแม่หมูพันธุ์ดี ซึ่งจะต้องคืนทั้งหมด 3 ตัว โดย 2 ตัว ต้องคืนเข้ากลุ่มเพื่อให้กลุ่มมีแม่หมูพันธุ์ดีเพื่อส่งต่อ และอีก 1 ตัว จะส่งให้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ญาติกัน เพื่อสร้างการขยายผลต่อยอดแม่หมูพันธุ์ดีเรื่อยไป แต่หากหมูที่เลี้ยงมีลักษณะไม่ตรงกับการเป็นแม่พันธุ์ที่ดี สมาชิกก็สามารถคืนเป็นหมูขุนได้ โดยมีข้อแม้ว่าต้องคืนตามน้ำหนักที่เคยได้ไป เช่น ตอนได้รับหมูครั้งแรก หมูมีน้ำหนัก 95 กิโลกรัม ดังนั้นตอนที่นำมาคืนก็ต้องเลี้ยงให้ได้น้ำหนัก 95 กิโลกรัม เช่นกัน การที่ชุมชนเลือกวิธีนี้เพราะมองว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้จริง และคนในชุมชนได้พูดกันมากขึ้น ฟังกันมากขึ้น เพราะการได้แม่หมูพันธุ์ดีไปเลี้ยง จะต้องรู้วิธีการดูแล ซึ่งจำเป็นที่ชาวบ้านต้องเรียนรู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากกันและกัน นอกจากนี้ที่ชุมชนของเรา เวลาบ้านใครจะทำคอกหมู ก็จะมาช่วยกันทั้งกลุ่ม มาลงแรงสร้างคอกกัน หรือหมูใครป่วยก็จะมาช่วยกันดูแลวิเคราะห์อาการ สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง พึ่งพาตัวเอง พึ่งพากันได้ จึงอยากขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่เปิดโอกาสให้เราได้ประกอบอาชีพในแบบที่เราถนัด ในแบบที่เรามีองค์ความรู้ของเรา ถือเป็นความช่วยเหลือที่ตรงจุด และตอบโจทย์ชุมชน เรารู้สึกว่าเป็นแนวทางการช่วยเหลือที่ถูกต้องแล้ว มันถูกจริตกับชุมชนเรา”

ส่วนกองทุนสวัสดิการ (Welfare Fund)  คือ กองทุนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเงินทุนสวัสดิการให้แก่กลุ่มในเหตุการณ์เฉพาะ หรือกรณีเร่งด่วน เกิดจากการรวมตัวของคนในชุมชนด้วยความสมัครใจที่ประสงค์จะดูแลซึ่งกันและกันตั้งแต่เกิดจนตาย กองทุนประเภทนี้จะเน้นให้มีเงินมาหมุนเวียนในระบบและเป็นเงินออมในกลุ่มเพื่อให้สมาชิกรายอื่นมีการนำเงินไปใช้ประกอบอาชีพ ก่อให้เกิดรายได้ ลดรายจ่าย นำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจน เป็นกองทุนที่ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของ ได้แก่ 1.กองทุนหมุนเวียนซ่อมสร้างเรือและกองทุนเครื่องมือประมง ทะเลสาบสงขลา บ้านคูขุด อ.สทิงพระ จ.สงขลา 2. กองทุนหมุนเวียนซ่อมสร้างเรือและกองทุนเครื่องมือประมง ทะเลสาบสงขลา บ้านช่องฟืน อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง 3. กองทุนเพื่อเกื้อหนุนครอบครัวที่ทำงานเพื่อสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้

ตัวอย่างกองทุนสวัสดิการเพื่อเกื้อหนุนครอบครัวที่ทำงานเพื่อสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีที่มาจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นที่นราธิวาส ยะลา ปัตตานี และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อ.เทพา อ.จะนะ อ.สะบ้าย้อย และอ. นาทวี สร้างความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ท่ามกลางความตึงเครียดและความเป็นอยู่อย่างหวาดระแวงของคนในพื้นที่ กลับมีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นชาวบ้านเป็นผู้นำชุมชน ยังคงเลือกที่จะไม่ละทิ้งบ้านเกิดและเลือกทำงานจิตอาสาไม่มีแม้เงินเดือนหรือสวัสดิการใดๆ เพื่อดูแลประคับประคองชุมชนบ้านเกิดของตัวเองให้มีบรรยากาศที่ดีเท่าที่จะทำได้ มูลนิธิเอสซีจีตระหนักถึงความสำคัญของคนกลุ่มเล็กๆ ที่นอกจากจะต้องอยู่ใกล้ชิดพื้นที่เสี่ยงแล้ว ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะงักงัน ทั้งยังไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการสังคมต่างๆ คนกลุ่มนี้สมควรได้รับการช่วยเหลือเพื่อเพิ่มเติมกำลังใจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

พี่สุภารัตน์ มูซอ นอกจากเป็นเกษตรกรแล้ว ยังเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลมะกรูด อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และเป็นประธานชมรมจิตอาสาของโรงพยาบาลโคกโพธิ์ เธอทำงานจิตอาสามา 5 ปีต่อกันแล้ว โดยหน้าที่หลักของพี่จะอยู่ที่ห้องเวชกรรม คอยดูแลผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ คอยช่วยเหลือหากคนที่มาพูดภาษาไทยไม่ได้ เมื่อ 2 ปีที่แล้วเธอนำเงินจากกองทุนเพื่อเกื้อหนุนครอบครัวที่ทำงานเพื่อสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปซื้อวัว 2 ตัว และปลูกผักสวนครัว ปลูกหญ้าเพื่อเลี้ยงวัว ปัจจุบันนี้เงินตั้งต้น 30,000 บาทที่กู้ยืมไปซื้อวัว ซื้อหญ้าในวันนั้น ทำให้วันนี้พี่สุภารัตน์เป็นเจ้าของวัวจำนวน 15 ตัวแล้ว “ทุกวันนี้ความเป็นอยู่ดีขึ้น รู้สึกภูมิใจมากที่ได้ทำงานช่วยสังคม และอยากขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่มองเห็นสิ่งที่พี่ทำและให้กำลังใจ ให้อาชีพ ทำให้หมดกังวลเรื่องภาระค่าใช้จ่าย สร้างกำลังใจในการทำงานเพื่อสังคม พี่ก็ตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยจนกว่าจะทำไม่ได้ พี่เชื่อว่าถ้าเราไม่ช่วยสังคมก่อน ก็อย่าหวังให้สังคมช่วยเรา”

กว่า 10 ปี ที่เดินร่วมทางมากับชุมชน ถึงเวลาแล้วที่คนของชุมชนนั้นๆ จะเป็นผู้บอกเล่าถึงเส้นทางเดินของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการก้าวเดินบนทางขรุขระ หรือทางเรียบ แต่เส้นทางที่เดินมานั้น ล้วนมีเรื่องราวและประสบการณ์ที่น่าสนใจ มูลนิธิเอสซีจีจึงได้จัดกิจกรรม Show & Share บทเรียนกองทุนสัมมาชีพ ก้าวย่างที่มั่นคงของชุมชน ขึ้น เพื่อสร้างพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้บทเรียนการดำเนินงานของกองทุนทั้ง 6 กองทุน และเผยแพร่ให้กับชุมชนอื่นๆ ที่สนใจ

มูลนิธิเอสซีจีเชื่อว่าเมื่อใดก็ตามชุมชนมีปัญหาเกิดขึ้น ผู้ที่จะแก้ปัญหานั้นได้ดีที่สุดก็คือคนในชุมชนนั่นเอง เพราะความตั้งใจจริง และรู้ถึงปัญหาที่แท้จริง ย่อมเป็นนิมิตรหมายอันดีในการแสวงหาทางออกร่วมกัน มูลนิธิเอสซีจีจึงมุ่งเน้นไปที่การช่วย ‘คน’ มากกว่าการช่วยในลักษณะของวัตถุหรือการบริจาคสิ่งของซึ่งไม่นานก็อาจหมดไป เป็นกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นกระบวนการแห่งวิถีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

                                      …. มูลนิธิเอสซีจี เชื่อมั่นในคุณค่าของคน…

]]>
58589
เอสซีจี เดินหน้าลงทุนสินค้า HVA มุ่งสู่ผู้นำอย่างยั่งยืนในอาเซียน https://positioningmag.com/58343 Wed, 03 Sep 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58343

เอสซีจี ประกาศเดินหน้าลงทุนพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) มูลค่าการลงทุนรวม 3,190 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตปูนสำเร็จรูป (Mortar) ร่วมทุนธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในอาเซียน พร้อมลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) มุ่งสู่ผู้นำอย่างยั่งยืนในอาเซียน

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติโครงการลงทุนในธุรกิจซิเมนต์ – ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และการลงทุนในสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ตามกลยุทธ์มุ่งสู่ผู้นำอย่างยั่งยืนในอาเซียน มูลค่าการลงทุนรวม 3,190 ล้านบาท ประกอบด้วย

1) การขยายการลงทุนธุรกิจปูนสำเร็จรูป (Mortar) ปูนสำเร็จรูป HVA สำหรับงานก่ออิฐและงานฉาบผนัง ที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ สะดวกต่อการใช้งาน และเหมาะกับการใช้ในงานก่อ-ฉาบอิฐมวลเบา โดยเอสซีจีได้ขยายกำลังการผลิต Mortar 2 ล้านตันต่อปี เป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 2,800 ล้านบาท ทั้งนี้ โรงงานดังกล่าวก่อสร้างที่จังหวัดขอนแก่นและลำปาง และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559

2) การร่วมทุนธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในอาเซียน โดยเอสซีจีจะเข้าร่วมทุน ในสัดส่วนร้อยละ 50:50 กับบริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดตั้งบริษัท โกลบอลเฮ้าส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยเป็นเงินลงทุนในส่วนของเอสซีจีประมาณ 200 ล้านบาท การร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในรูปแบบคลังสินค้าในอาเซียน สอดคล้องกับกลยุทธ์ของเอสซีจีในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอาเซียนซึ่งมีศักยภาพสูงในอนาคต โดยอาศัยความเป็นผู้นำตลาดและเครือข่ายธุรกิจในอาเซียนของเอสซีจีประกอบกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจดังกล่าวของสยามโกลบอลเฮ้าส์

3) การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยเอสซีจีจะลงทุนประมาณ 190 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของสินค้า HVA โดยการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็นร้อยละ 20 ในบริษัท Lysando AG ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจ R&D ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Life Science) โดยเงินลงทุนที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณด้าน R&D ในปี 2557 ทั้งหมด 4,000 ล้านบาทของเอสซีจี

]]>
58343
“อิตัลไทยวิศวกรรม” แตกไลน์โครงการผลิตน้ำและบำบัดน้ำ ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หวังกวาดปีละ 1,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/58253 Fri, 15 Aug 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58253

“อิตัลไทยวิศวกรรม” ภายใต้ อิตัลไทย กรุ๊ป สบช่องการเมืองสงบ แตกไลน์ฝ่ายเทคโนโลยีน้ำ (Water Technology Division) งานระบบของโครงการผลิตน้ำ และบำบัดน้ำในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หลังประเดิมรับงาน IRPC, Siam Mitsui PTA ประสบความสำเร็จด้วยดี หวังเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการขยายตัวของตลาดทั้งในและนอกประเทศในอนาคตอันใกล้ พร้อมเจาะกลุ่ม ภาครัฐ การประปานครหลวง และการประปาภูมิภาค รวมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ปูนซีเมนต์ ยาง อาหารและเครื่องดื่ม กระดาษ และโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งเป้ารายได้กลุ่มนี้แตะปีละ 1,000 ล้านบาท  ภายใน 5 ปี

นายวรเทพ พงศ์ทวิกร ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีน้ำ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด หรือ  (ITALTHAI Engineering : ITE)  หนึ่งในบริษัทผู้นำตลาดทางด้านวิศวกรรม ภายใต้ “อิตัลไทย กรุ๊ป” เปิดเผยว่า จากการที่อิตัลไทยวิศวกรรมได้มีโอกาสในการรับงานก่อสร้าง และงานระบบของโครงการผลิตน้ำ และบำบัดน้ำในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี และเพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการขยายตัวของตลาดทั้งในและนอกประเทศในอนาคตอันใกล้ บริษัทจึงได้แตกไลน์ ฝ่ายเทคโนโลยีน้ำ (Water Technology Division) ที่ประกอบด้วยบุคลากรที่มีประสบการณ์ ทั้งทางด้านการออกแบบ, ก่อสร้างและติดตั้งระบบ,การทดสอบและติดตามผล รวมถึงการให้คำแนะนำเพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มผลผลิตให้แก่ลูกค้า

การให้บริการของฝ่ายเทคโนโลยีน้ำ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ระบบผลิตน้ำใช้ (Water Treatment System) ซึ่งประกอบไปด้วย การผลิตน้ำเพื่อการบริโภค-อุปโภคและในระบบอุตสาหกรรม, Demineralization, Reverse Osmosis, การบำบัดน้ำที่ต้องการความบริสุทธิ์สูงสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะ, Desalination System (การแยกเกลือ), การนำน้ำมาหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ และ ระบบบำบัดน้ำเสีย (Wastewater Treatment System) ประกอบด้วยการบำบัดทางเคมี, การบำบัดทางชีวภาพ, การผลิตแก๊สจากน้ำเสีย, การกำจัดกลิ่น, การกำจัดตะกอน เป็นต้น

สำหรับลูกค้าหลักๆ บริษัทฯ จะเน้นหนักไปทางกลุ่มผู้ผลิตน้ำ และกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น การประปานครหลวง, การประปาภูมิภาค, อุตสาหกรรมปิโตรเคมี, ปูนซีเมนต์, ยาง, อาหารและเครื่องดื่ม, กระดาษ, โรงกลั่นน้ำมัน เป็นต้น

นายวรเทพ กล่าวต่อไปอีกว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้รับความไว้วางใจจากเครือ SCG และ Siemens ในการดูแลงานด้านการก่อสร้าง งานท่อและงานระบบในโครงการ Map Ta Phut Olefins Company (MOC), MTP HPPO Manufacturing (Dow Chemical), Siam Mitsui PTA, EXXON Mobile ปัจจุบันบริษัทกำลังดำเนินการก่อสร้างโครงการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียให้กับโรงงาน IRPC จ.ระยอง ซึ่งมีมูลค่างานกว่า 580 ล้านบาท

จุดแข็งของบริษัท มีบุคลากรที่มีประสบการณ์สูงในด้านเทคโนโลยีการจัดการน้ำ พร้อมทีมงานก่อสร้างที่มีประสบการณ์ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจรในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะงานที่เน้นคุณภาพความละเอียด และความปลอดภัยในการทำงานสูงภายในการทำงานที่เร่งรัด (Fast Track) เช่นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมทั้งยังสามารถดำเนินการแบบ One Stop Service ตั้งแต่การให้คำปรึกษา, ออกแบบ, ก่อสร้างและติดตั้งระบบ, ทดสอบและติดตามผล เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของลูกค้า

“เนื่องจากธุรกิจน้ำมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับปรุงระบบเดิมที่หมดอายุหรือต้องการขยายและการสร้างระบบใหม่ ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาภายในประเทศที่ผ่านมาก็ตาม ทั้งนี้บริษัทได้มุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจแบบยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายยอดขายเฉลี่ยในธุรกิจน้ำที่ 1,000 ล้านบาทต่อปีภายใน 5 ปีข้างหน้า และการทำตลาดบริษัทฯ จะเน้นจุดแข็งที่สามารถให้บริการลูกค้าได้ครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยมุ่งเป้าที่จะทำการตลาดในโครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้ประสบการณ์ และคุณภาพของงาน ทั้งนี้บริษัทก็ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจให้สอดคล้องกับการขยายตัวของตลาด AEC ในอนาคตอีกด้วย” นายวรเทพ กล่าวสรุปในตอนท้าย

]]>
58253
ยิปรอคจัดบูธชูแนวคิด Gyproc Go Greenในงาน “2014 Thai Green Building Expo and Conference” https://positioningmag.com/58192 Sun, 03 Aug 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58192

บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ “ยิปรอค” ร่วมจัดแสดงบูธในงาน “2014 Thai Green Building Expo and Conference” โดย สถาบันอาคารเขียวไทย ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนาเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมการก่อสร้างที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ “ยิปรอค” ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดผลกระทบที่เกิดต่อสภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” หรือ Gyproc3G ซึ่งประกอบด้วย Green Products การใช้วัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Green Solutions การนำเสนอระบบผนังและฝ้าเพดานประหยัดพลังงานและ Green Manufacturing กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน

งาน “2014 Thai Green Building Expo and Conference” มีวัตถุประสงค์เพื่อการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของสถาบันอาคารเขียวไทย ตลอดจนส่งเสริมวิชาชีพสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมที่ยั่งยืน โดยการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการออกแบบ การก่อสร้างและการบำรุงรักษาอาคารที่สอดคล้องกับการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านการจัดกิจกรรมงานสัมมนาวิชาการ นิทรรศการแสดงสินค้าและการนำเสนอบริการที่เกี่ยวข้องกับอาคารเขียวซึ่งกิจกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของ “ยิปรอค” นอกจากนี้ ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม ยังเป็นหนึ่งในผู้อุปถัมภ์กิจกรรมของสถาบันอาคารเขียวไทยอย่างเป็นทางการ

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาโทร 076-236-468 หรือ 02-640-8600 ท่านสามารถติดตามข่าวสารจาก “ยิปรอค” ได้ที่ http://www.gyproc.co.th/https://www.facebook.com/GyprocClub หรือ http://www.saint-gobain-gyproc.com

]]>
58192
เอสซีจีแถลงผลประกอบการไตรมาสที่สอง และครึ่งปีแรกของปี 2557 มุ่งผลักดันสินค้า HVA พร้อมเดินหน้าโครงการในอาเซียนต่อเนื่อง https://positioningmag.com/58177 Thu, 31 Jul 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58177

ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสที่สอง มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น แต่กำไรลดลง เนื่องจากความต้องการสินค้าในประเทศชะลอตัวลง เชื่อมั่นในระยะยาวเศรษฐกิจไทยและอาเซียนยังเติบโต มุ่งพัฒนาสินค้า HVA และเดินหน้าโครงการลงทุนในภูมิภาคต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์ก้าวสู่ผู้นำอย่างยั่งยืนในอาเซียน พร้อมเสนอจ่ายปันผลงวดระหว่างกาลในครึ่งปีแรก 5.5 บาทต่อหุ้น

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่างบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่สอง ปี 2557 มีรายได้จากการขาย 124,795 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 8,532 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจการลงทุนและธุรกิจเคมีภัณฑ์ รวมทั้งความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศชะลอตัวลง ทำให้ต้องเพิ่มสัดส่วนการส่งออก ซึ่งมีมาร์จิ้นน้อยกว่า แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากธุรกิจการลงทุน ซึ่งชดเชยผลการดำเนินงานของทุกธุรกิจที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนได้

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 246,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกธุรกิจ มีกำไรสำหรับงวด 16,913 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ประกอบกับในปีนี้มีการปันกำไรในบริษัทย่อยไปให้ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมมากขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง

สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 มีรายได้จากการขาย 21,361 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน ทั้งนี้ ในไตรมาสที่สองของปี 2557 ธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย มีรายได้จากการขาย 11,100 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการขายที่เพิ่มขึ้นของ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกรายใหญ่สุดของเวียดนาม คอนกรีตผสมเสร็จในเมียนมาร์ และปูนซีเมนต์ในกัมพูชา ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 มูลค่า 76,811 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 17 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 มีมูลค่า 462,386 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สอง ปี 2557 แยกตามรายธุรกิจดังนี้

เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 46,378 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำของเวียดนาม และการรับรู้รายได้ของบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด ตั้งแต่ไตรมาสที่สาม ปี 2556 แต่ลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,445 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน

เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 64,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,259 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการปันกำไรในบริษัทย่อยไปให้ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมมากขึ้น ส่วนต่างราคา PVC-EDC/C2 ลดลงค่อนข้างมาก และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง

เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 15,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของสายธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ แต่ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่ลดลงของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ มีกำไรสำหรับงวด 887 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 29จากไตรมาสก่อน

นายกานต์ กล่าวว่า สำหรับสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA products and services) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรกของปีนี้ เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 84,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ขณะที่สินค้า SCG eco value มียอดขาย 74,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 30 ของยอดขายรวม

“เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกชะลอตัวลง และคาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงไตรมาสที่สาม แต่ด้วยความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของภาคประชาชนและธุรกิจ ประกอบกับทิศทางการส่งออกที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวกลับคืนมาได้ในไตรมาสสุดท้าย และจะเห็นผลชัดเจนในปี 2558 ทั้งนี้ เอสซีจี ได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นขยายการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกของเอสซีจีในไตรมาสที่สอง ปี 2557 เท่ากับ 37,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่ารายได้จากการส่งออกในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน นอกจากนี้ เอสซีจี ยังเชื่อมั่นว่าในระยะยาวเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน จึงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังคงเดินหน้าโครงการลงทุนในภูมิภาคตามแผนที่ได้วางไว้ อาทิ โครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ใน สปป.ลาว อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และกัมพูชา โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ตามวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน” นายกานต์ กล่าว

คณะกรรมการบริษัท มีมติให้ออกและเสนอหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2557(SCC18OA) จำนวนไม่เกิน 10,000  ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยตามราคาตลาดในขณะที่ออก โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ 
จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC14OA จำนวน 5,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 ตุลาคม 2557 และออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกจำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยเสนอขายให้กับ (1) ผู้ถือหุ้นกู้ (SCC14OA) ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป (2) ผู้ถือหุ้นกู้ SCC ชุดอื่น ๆ ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป และ (3) นักลงทุนที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ตามรายละเอียดที่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของเอสซีจีเมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว จะมีวงเงินหุ้นกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 151,500 ล้านบาท

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2557 ในอัตรา 5.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 6,600 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2557 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 7 สิงหาคม 2557 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 13 สิงหาคม 2557 และปิดสมุดทะเบียนรวบรวมรายชื่อเพื่อสิทธิรับเงินปันผลวันที่ 14 สิงหาคม 2557

]]>
58177
ยิปรอค เปิดศูนย์บริการระบบผนังและฝ้าเพดานครบวงจร ยิปรอค เซ็นเตอร์ แห่งแรกในจังหวัดภูเก็ต ตามแผนยุทธศาสตร์เออีซี https://positioningmag.com/58058 Wed, 02 Jul 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58058

ธงชัย กมลพัฒนะ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัทไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ยิปรอค เซ็นเตอร์ เกิดขึ้นจากความร่วมมือเป็นอย่างดีระหว่าง ยิปรอค และพันธมิตร บริษัท ภูเก็ตเกษม จำกัด ในเครือเกษมกรุ๊ป  โดยเป็นศูนย์บริการสาขาที่ 5 ในประเทศไทย”

“การเปิดยิปรอคเซ็นเตอร์ ณ จังหวัดภูเก็ต ยังมีนัยยะสำคัญอย่างยิ่งกับยิปรอค เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของพื้นที่ภาคใต้และประเทศไทยในภาพรวม โดยมีความโดดเด่นทั้งในด้านเศรษฐกิจและการลงทุนจากนานาประเทศ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่จะเอื้อให้เกิดการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากประเทศในกลุ่มสมาชิก การเปิดยิปรอคเซ็นเตอร์ ณ จังหวัดภูเก็ต ร่วมกับ บริษัท ภูเก็ตเกษม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทฯ ในเครือ เกษมกรุ๊ป ผู้คร่ำหวอดในวงการกระจก อลูมิเนียม มานานกว่า 50 ปี มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ กว่า 16 สาขา จึงเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีและแนวทางในการทำธุรกิจ ที่มุ่งมั่นในความสำเร็จร่วมกันกับพันธมิตร โดยมีเป้าหมายในการก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการระบบผนังและฝ้าเพดานครบวงจร เพื่อเตรียมพร้อมรับเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต”

ยิปรอคเซ็นเตอร์ ศูนย์บริการระบบผนังและฝ้าเพดานครบวงจร ตั้งอยู่บน ถ.เทพกระษัตรี ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยิปรอค บริการให้คำปรึกษาโดยทีมวิศวกรมืออาชีพ คำนวณพื้นที่และประเมินราคาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ให้บริการติดตั้งโดยทีมผู้ชำนาญของยิปรอคซึ่งมีประสบการณ์และผ่านการอบรมจาก ยิปรอค  เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์  ตอบรับความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างได้อย่างลงตัว

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาโทร 076-236-468 หรือ 02-640-8600  หรือ เยี่ยมชมเว็บไซต์ http://www.gyproc.co.th/,https://www.facebook.com/GyprocClub หรือ http://www.saint-gobain-gyproc.com

 

]]>
58058