Dropbox ผู้ให้บริกาพื้นที่จัดเก็บไฟล์บนอินเทอร์เน็ตฟรี ประกาศว่าในขณะนี้ กำลังพิจารณาการเลิกจ้างพนักงานทั่วโลกอีก 20% หรือเทียบเท่ากับพนักงานกว่า 528 คน 

Drew Houston ซีอีโอของ Dropbox ระบุว่า การเลิกจ้างในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในการปรับโครงสร้างของบริษัทขึ้นใหม่ ให้มีประสิทธิภาพและรักษาระดับการลงทุนให้มีความยั่งยืนยิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการลงทุนมหาศาลแต่ประสิทธิภาพการทำงานที่ได้กลับต่ำกว่าการคาดการณ์ 

โดยพนักงานที่ได้รับผลกระทบจะได้รับค่าจ้างชดเชย 16 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.2024 และจะได้รับค่าจ้างเพิ่มเติมตามอายุงานที่ได้ร่วมงานกับบริษัท

ประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ในเดือนเมษายน 2023 บริษัทฯ ได้มีการปรับลดพนักงานไป 16% ซึ่งส่งผล กระทบต่อพนักงาน 500 คนในขณะนั้น ท่ามกลางปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจ อาทิ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และนวัตกรรมเทคโนโลยี AI ที่มีการแข่งขันสูงขึ้น ทำให้บริษัทจําเป็นต้องลงทุนทรัพยากรในพนักงานต่อหัวมากขึ้น

Drew Houston แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจัยภายนอกเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะจากการเก็บข้อมูลของ บริษัทฯ พบว่า ผู้บริโภคแสดงความเห็นว่าระบบการให้บริการของ Dropbox นั้นมีความซับซ้อนมากเกินไปส่งผลให้การทำงานเกิดความล่าช้ามากขึ้น รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงและการแข่งขันของภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ Dropbox เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2008 เป็นบริการฝาก-ซิ้งค์รวมถึงแชร์ไฟล์ ที่ผู้ใช้บริการจะต้องทำการติดตั้งโปรแกรมของ Dropbox ในคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนก่อน จากนั้นจึงจะสามารถอัปโหลดไฟล์ลงโปรแกรมได้ ซึ่งไฟล์ต่างๆ จะถูกอัปโหลดเก็บไว้ใน Server ของ Dropbox 

ที่มา : CNBC

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ทาง Google Photos ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ฟรีแบบไม่จำกัด สำหรับรูปภาพใหม่ที่ถูกอัปโหลดจะสามารถใช้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรีของ Gmail และ Google Cloud Drive ได้เพียง 15GB

โดยก่อนหน้านี้ มีผู้ใช้งานในประเทศไทยจำนวนมากที่ชื่นชอบ Google Photos เนื่องจากมีบริการพื้นที่เก็บข้อมูลฟรีไม่จำกัด ผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อยต่างก็ให้ความสนใจกับการแข่งขันที่สูงขึ้นของแอปจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ซึ่ง Google Photos ยังครองตำแหน่งผู้ใช้งานสูงสุดก่อนจะเปลี่ยนเป็นระบบชำระเงิน แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มี 3 ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเก็บข้อมูลส่วนตัว ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอันโดดเด่นท่ามกลางการต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ซึ่งรวมถึงม้ามืดสุดร้อนแรงอย่าง TeraBox, One Drive ของ Microsoft และ Dropbox ที่มากด้วยประสบการณ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวแรกให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 1024GB ในขณะที่ผลิตภัณฑ์อีกสองตัว ก็ให้บริการพื้นที่จัดเก็บฟรีเช่นกัน จากมุมมองของช่างภาพ นักออกแบบ นักศึกษา และผู้ใช้ทั่วไป เห็นว่าพื้นที่จัดเก็บฟรีและการใช้งานง่าย ถือเป็นปัจจัยสำคัญ

ในแง่ของพื้นที่จัดเก็บฟรีและความสะดวกในการใช้งาน ดูเหมือนว่า TeraBox จะกลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้รายใหม่ ขณะที่ Dropbox มอบพื้นที่ว่างให้ผู้ใช้เพียง 2GB และราคาต่อ 1TB สูงถึง $9.99 ต่อเดือน ซึ่งเกือบจะเท่ากับ Google One ในขณะที่พื้นที่ว่างของ OneDrive คือ 5GB แม้แต่ผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ก็ต้องจ่ายสูงถึง $1.99 ต่อเดือน และซื้อพื้นที่เพิ่มเติมได้มากที่สุดเพียง 100GB

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผลิตภัณฑ์แนวหน้าทั้ง 3 นี้แล้ว ดูเหมือนม้ามืดที่ได้การยอมรับจากผู้ใช้งานมากที่สุดคือ TeraBox ซึ่งในประเด็นที่ผู้ใช้งานกังวลมากที่สุด เป็นเรื่องของพื้นที่ใช้งานฟรี นี่ถือเป็นข้อได้เปรียบที่สุดของ TeraBox ที่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นที่จัดเก็บของผู้ใช้ชาวไทยที่เพิ่มขึ้น โดยแอปนี้ให้พื้นที่จัดเก็บสูงสุดถึง 1TB นอกจากนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ส่วนบุคคลเพียงผลิตภัณฑ์เดียวที่ให้พื้นที่ว่าง 1TB ฟรี

พื้นที่ว่าง 1TB เสมือนว่าเราพกพาฮาร์ดดิสก์ติดตัวไปด้วย ผู้ใช้สามารถจัดเก็บภาพถ่ายหลายแสนภาพหรือวิดีโอความละเอียดสูงนับพันวิดีโอบน TeraBox ได้ฟรี ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพอะไร สามารถจัดเก็บภาพความละเอียดสูง สื่อการเรียนรู้ เสียง และวิดีโอได้ตามความต้องการ ไม่เพียงเท่านั้น การอัปเกรดพื้นที่บน TeraBox จาก 1TB เป็น 2TB จ่ายเพิ่มเพียง $2.99 ต่อเดือน ซึ่งเป็นเพียง 3 ใน 10 ของ Dropbox และ Google เท่านั้น

หน้าที่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของคลาวด์ส่วนบุคคลคือการส่งและการแชร์ เพื่อปรับให้เข้ากับยุคสมัย ความจำเป็นในการจัดเก็บและแบ่งปันไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งขนาดไฟล์ใหญ่ที่สุดที่ผู้ใช้ฟรีสามารถอัปโหลดด้วย TeraBox คือขนาด 4GB หากเป็นสมาชิกได้ถึงขนาด 20GB ซึ่งสูงกว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง มาพร้อมฟังก์ชันการแชร์ไม่จำกัดขนาดไฟล์ แม้แต่ไฟล์ขนาดใหญ่ก็สามารถแชร์ได้อย่างง่ายดาย

ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ด้านพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนบุคคลสามารถให้บริการพื้นฐานทั้งหมดได้ เช่น การจัดเก็บ การอัปโหลด และการแชร์ไฟล์ นอกจากความแตกต่างในการใช้งานและการออกแบบหน้าเพจแล้ว สิ่งสำคัญในการแข่งขันหลักของผลิตภัณฑ์ต่างๆ อยู่ที่ขนาดของพื้นที่ใช้งานและราคา

การเริ่มต้นเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้งานของ Google Photos นั่นหมายความว่าค่าบริการผลิตภัณฑ์พื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ส่วนบุคคลได้กลายเป็นกระแสนิยมไปเสียแล้ว การปรากฏตัวของม้ามืดอย่าง TeraBox อาจจะเป็นตัวชะลอความเร็วของการใช้จ่ายสำหรับซื้อพื้นที่จัดเก็บข้อมูล และอุตสาหกรรมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลออนไลน์จะเข้าสู่การแข่งขันที่ดุเดือดมากยิ่งขึ้นในอีกไม่ช้า

ไม่ใช่แค่การ Work from Home ยาว ๆ แต่ Sundar Pichai CEO ของ Google ระบุว่า ในอนาคตบริษัทมีแนวคิดที่จะทดสอบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยอาจจะให้พนักงานทำงานอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ในออฟฟิศเพื่อการทำงานร่วมกันกับเพื่อนพนักงาน ส่วนวันที่เหลือให้ทำที่บ้าน

อย่างที่ทราบกัน Google ไม่ใช่บริษัทเดียวในการกำหนดตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น โดยในเดือนตุลาคม Dropbox ได้ประกาศแผนการที่จะกลายเป็น ‘virtual first’ นั่นหมายความว่าพนักงานเกือบ 3,000 คนของบริษัท จะยังคงทำงานจากระยะไกลเกือบตลอดเวลา แต่บางครั้งก็จะเข้าทำงานในสำนักงานเพื่อทำงานร่วมกันและสร้างทีม และเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกนี้ บริษัทจะปรับปรุงสำนักงานใหม่โดยเปลี่ยนเป็นสำนักงานที่เรียกว่า ‘Dropbox Studios’

Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook กล่าวในเดือนพฤษภาคมว่า พนักงานของบริษัทมากถึง 50% สามารถทำงานจากระยะไกลได้ภายใน 5 – 10 ปี ในขณะที่ Twitter ได้กล่าวว่า พนักงานบางคนที่ต้องการทำงานจากที่บ้านอย่างถาวรก็สามารถทำได้

Source

Dropbox

พนักงานเกือบ 3,000 คน ของบริษัทยังคงทำงานจากระยะไกลเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีบางครั้งที่จะกลับไปออฟฟิศที่ปรับปรุงใหม่ซึ่งเรียกว่า ‘Dropbox (DBX) Studios’ สำหรับเพื่อทำงานร่วมกันและการสร้างทีม

Facebook

Mark Zuckerberg กล่าวว่า พนักงานของ Facebook มากถึง 50% สามารถทำงานจากระยะไกลได้ และอาจทำได้ยาวไปอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า

OKTA

บริษัท ซอฟต์แวร์ Okta ซึ่งจัดหาซอฟต์แวร์ล็อกอินสำหรับผู้ปฏิบัติงานให้กับองค์กรเกือบ 9,000 แห่งรวมถึง JetBlue, Nordstrom และ Slack ซึ่งคาดว่าจะมีพนักงานมากถึง 85% ที่ทำงานจากระยะไกลภายใต้นโยบายใหม่ ขณะที่ก่อนที่การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นั้น พนักงานราว 30% ก็ได้ทำงานจากระยะไกลตั้งแต่แรกแล้ว ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานประมาณ 2,600 คน

Shopify

ในเดือนพฤษภาคม Shopify ประกาศว่ากำลังจะเปลี่ยนเป็นบริษัท “digital-by-default” นั่นหมายความว่า แม้บริษัทจะเปิดสำนักงานอีกครั้งในปี 2564 แต่พนักงานส่วนใหญ่จะทำงานจากระยะไกลแบบถาวร ตามที่ Tobi Lütke ซีอีโอของ Shopify กล่าวว่า “Office centricity is over” หรือการทำงานแบบมีออฟฟิศเป็นศูนย์กลางได้ ‘จบ’ ลงแล้ว

Slack

Slack ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการสื่อสารที่ทำให้การทำงานจากระยะไกลสำหรับสถานที่ทำงานหลายร้อยแห่ง ก็เป็นอีกบริษัทที่พร้อมให้พนักงาน Work from Home ได้ถาวร

Square

อีกหนึ่งบริษัทของ Jack Dorsey CEO Twitter โดย Dorsey วางแผนที่จะอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้แม้ว่าการระบาดจะสิ้นสุดลง Square กล่าวว่า ต้องการให้พนักงานสามารถทำงานจากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา

Twitter

Twitter กล่าวว่า จะอนุญาตให้พนักงานบางส่วนทำงานจากที่บ้านได้ตลอดไป บริษัทเทคโนโลยีมองว่าประสบการณ์การทำงานจากที่บ้านในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า สามารถทำงานในระดับที่เหมาะสมแม้จะอยู่ไกลกันก็ตาม

Zillow

Zillow บริษัทตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น โดยบริษัทคาดว่าจะมีบางคนทำงานจากที่บ้านอย่างถาวรในขณะที่คนอื่น ๆ อาจเข้ามาในสำนักงาน 2-3 ครั้งต่อเดือน หรือ 2-3 วันต่อสัปดาห์

Source

หลังจากผ่านไป 11 ปีในฐานะบริษัทเอกชน ล่าสุด ดร็อปบ็อกซ์ (Dropbox) ได้ยื่นเอกสารเพื่อเตรียมจำหน่ายหุ้นครั้งแรก หรือ IPO เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 ก.พ.) 1 ในความน่าสนใจของเอกสารชิ้นนี้ คือ ความจริงที่ว่า Dropbox ต้องการระดมทุนเพิ่มอีก 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้สามารถยืนหยัดได้ในวันที่ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่รายได้ลดลง

Dropbox เป็นบริการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์และซอฟต์แวร์เพื่อการทำงานที่ชาวออนไลน์ทั่วโลกรู้จักดี วันนี้ Dropbox เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่คาดว่าจะได้รับความนิยมมากที่สุดจากนักลงทุนในวอลล์สตรีทช่วงหลายปีนี้ เนื่องจากการประเมินมูลค่าบริษัทที่ถือว่า Dropbox เป็นบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ในช่วงแรกที่ Dropbox เปิดตัว โลกออนไลน์ตื่นเต้นกันมากจนเป็นบริการยอดนิยม เนื่องจากผู้บริโภคสามารถใช้บริการฟรี เพื่อเก็บรูปภาพ เพลง และวิดีโอ ไว้บนคลังออนไลน์ กระทั่ง Dropbox เติบโตเต็มที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทเริ่มเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ และเปิดตัวบริการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์แบบเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงบริการซอฟต์แวร์เพื่อการทำงานร่วมกัน ทำให้เรียกความสนใจจากลูกค้ากลุ่มบริษัทธุรกิจได้มากขึ้น

รายงานระบุว่า Dropbox ได้ยื่นขอ IPO อย่างเงียบเชียบช่วงมกราคมที่ผ่านมา กระทั่งวันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ Dropbox จึงจัดทำเอกสารสาธารณะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับสถานะการเงิน รวมถึงโครงสร้างเทคโนโลยีภายใน และแผนการขยายธุรกิจ 

1 ในสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจชัดเจนจากเอกสารของ Dropbox คือ ยอดขายเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ลดลง

เช่นเดียวกับหลายบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งที่เริ่มเสนอขายหุ้น IPO นั่นคือ การอยู่ในภาวะไม่สามารถทำกำไรได้ จุดนี้ Dropbox ยอมรับว่ายังไม่มีกำไร ทำให้สรุปได้เลยว่า ยอดขายแต่ละปีของ Dropbox นั้น เติบโตขึ้นในขณะที่บริษัทยิ่งติดตัวแดง

ตลอดปี 2017 ดาวรุ่งอย่าง Dropbox มียอดขาย 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 31% จาก 844.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 ที่ผ่านมา ในปีเดียวกันนั้นเอง Dropbox ขาดทุนมากกว่า 111.7 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนขาดทุนลดลง 47% จากที่เคยขาดทุน 305.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016

รายได้ประมาณ 576 ล้านเหรียญสหรัฐ ของ Dropbox ช่วงปีที่แล้วนั้น มาจากตลาดสหรัฐฯ โดยอีก 531 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรายได้จากผู้ใช้ในประเทศอื่น จุดนี้ Dropbox กล่าวว่า ไม่มีประเทศใดนอกเหนือจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ครองสัดส่วนยอดขายเกินกว่า 10% ซึ่งแปลว่า ตลาดแดนลุงแซมบ้านเกิด คือ ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Dropbox นอกนั้น ผู้ใช้ Dropbox กระจายตัวอยู่ทั่วมุมโลก

Dropbox ยังกล่าวว่า วันนี้บริษัทมีผู้ใช้ที่ลงทะเบียนกับ Dropbox มากกว่า 500 ล้านรายทั่วโลก โดยมี 11 ล้านคนที่จ่ายเงินเพื่อให้สามารถใช้ฟีเจอร์พิเศษ เช่น ระบบรักษาความปลอดภัย และเครื่องมือการจัดการของ Dropbox 

ที่สำคัญ คือ ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์หลักของบริษัทอย่าง Dropbox Business มีผู้ใช้งานแล้ว 300,000 ราย ทั้งหมดนี้เพิ่มจาก 150,000 รายที่ใช้งานในปี 2016 ที่ผ่านมา โดยปี 2016 เป็นปีที่ผู้ใช้ Dropbox คงที่ 500 ล้านราย

สถิตินี้ชัดเจนว่า หลายธุรกิจยอมจ่ายเงินให้ Dropbox เพียงแต่ Dropbox ยังขาดทุนอยู่เท่านั้น ซึ่งเพื่อให้ Dropbox สามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่างแอมะซอน (Amazon), แอปเปิล (Apple), กูเกิล (Google) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่ให้บริการเก็บข้อมูลบนคลาวด์เหมือนกับ Dropbox บริษัทจำเป็นต้องใช้เงินทุนมากขึ้นภายใต้แรงกดดันหลายปัจจัย

เงินทุนมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่คาดว่า Dropbox จะระดมได้จากการขาย IPO มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทจะนำมาใช้เพื่อจ้างพนักงานขายจำนวนมาก รวมถึงการพยายามขยายพันธมิตร ซึ่งเบื้องต้น มีการวิเคราะห์ว่า Dropbox มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับเอชพี หรือ Hewlett Packard Enterprise ทำให้อาจมีความคืบหน้าอื่นที่โดดเด่นแน่นอนในอนาคต.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000019106