Dtac – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 27 Nov 2025 10:10:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เพราะสายมู 70% เชื่อในเบอร์มงคล! ‘ทรู’ เดินเกมรุกคว้า ‘อ.สมเจตน์’ เปิดตัว ‘เบอร์พลังดาว’ ปักเป้าโต 30% https://positioningmag.com/1548916 Thu, 27 Nov 2025 04:18:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548916 หากพูดถึงเรื่องการ มู (มูเตลู) หรือ สายมู ของไทย น่าจะไม่แพ้ชาติใดในโลก ที่ไหนดี อะไรว่าศักดิ์สิทธิ์ พร้อมจะไปสักการะบูชา และแน่นอนว่า เบอร์มงคล ก็เป็นอีกไอเทมหลักของชาวสาย มู และถือเป็นอีกตลาดที่ยังคง ทำเงิน ให้กับโอเปอเรเตอร์ทุกค่ายรวมถึง ทรู-ดีแทค ที่ล่าสุดคว้า อ.สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ มาเปิดตัว เบอร์พลังดาว เดินหน้ากลยุทธ์ Better มู Gether หวังโกยยอดเปิดเบอร์มงคลโต 30%

สายมู 70% เชื่อในเบอร์มงคล

โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และมีเดีย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เล่าว่า มี 5 ปัจจัย ที่ทำให้ คนไทยสนใจเรื่องมู ได้แก่

  • Avoid Problem: ผู้คนมองหาวิธีประคองใจ ในวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
  • Decision Making: ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจต่าง ๆ
  • Bad Situation: การมูหรือการดูดวงทำหน้าที่เป็นที่พึ่งทางใจ ช่วยตั้งหลักรับมือช่วงที่ยากลำบาก
  • Entertainment: เพื่อความสุขในการเพิ่มพลังบวก และสร้างความหวังเล็กๆ
  • The Opportunity: หวังช่วยเปิดทางให้โอกาสใหม่ๆ หรือจังหวะชีวิตที่ดีขึ้น เดิมพลังในการเดินหน้าต่อ

ที่น่าสนใจคือ การมูไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว Gen Z เป็นเจนเนอเรชั่นที่สนใจเรื่องมูมากที่สุด โดยผลสำรวจพบว่า 50% Engagement ของคอนเทนต์มูเตลูมาจาก Gen Z ตามด้วย Gen Y 26% และ Gen X 14%

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่ากว่า 70% เชื่อในพลังของตัวเลข ทำให้ เบอร์มงคล กลายเป็น ไอเทมเสริมดวงที่นิยมมากที่สุด คิดเป็น 46.3% ของไอเทมมูทั้งหมด นอกจากนี้ คนไทย 3 ใน 4 ใช้ AI ดูดวง

ยิ่งขายเบอร์มงคลได้ = ได้ลูกค้าคุณภาพ

โรจน์ เดโชดมพันธ์ หัวหน้าสายงานโมบายล์ โพสต์เพย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทรู-ดีแทคมียอดขายเบอร์มงคล-เบอร์สวยเฉลี่ยเดือนละ 1 หมื่นเลขหมาย ซึ่งทรงตัวในหลักนี้มาตลอด

ที่สำคัญ ลูกค้าเบอร์มงคลจะมียอดใช้งานเฉลี่ย หรือ ARPU (Average Revenue Per User) ที่สูงกว่าลูกค้าโพสต์เพด (ลูกค้ารายเดือน) ปกติเกือบ 2 เท่า อยู่ที่ประมาณ 899 บาท/เดือน จากปกติเฉลี่ย 415 บาท/เดือน นอกจากนี้ จะใช้เบอร์นานเฉลี่ย 2-3 ปี ดังนั้น ลูกค้ากลุ่มนี้จะมีอัตรา Churn Rate หรือยกเลิกการใช้บริการที่ต่ำกว่าปกติ เท่าตัว

โรจน์ เดโชดมพันธ์ หัวหน้าสายงานโมบายล์ โพสต์เพย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น

ดึงอ.สมเจตน์ เสริมทัพ

หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้ยอดขายเบอร์มงคลเติบโตก็คือ อาจารย์ ที่เป็นพาร์ทเนอร์ โดย โรจน์ ยอมรับว่า ชื่อเสียงของอาจารย์มีผลต่อความน่าเชื่อถือ โดยที่ผ่านมา ทางทรูและดีแทคได้จับมือกับ อาจารย์ลักษณ์ โหราธิบดี และ อาจารย์ช้าง ทศพร ศรีตุลา

ล่าสุดได้ดึง อาจารย์สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ เจ้าของเว็บไซต์ เบอร์มงคลสมเจตน์ดอทคอม ที่เปิดมา 16 ปี มีผู้ใช้กว่า 1 ล้านราย และมีการขายเบอร์มงคลกว่า 1 แสนเลขหมาย/ปี พร้อมกับเปิดตัว เบอร์พลังดาว โดยเตรียมเบอร์มงคลล็อตใหม่ 3 แสนเบอร์ คาดว่าจะช่วยดันยอดขายเบอร์มงคล เพิ่ม 30%

“เราเห็นพฤติกรรมว่า บางคนเขาไม่ได้เปลี่ยนแค่ตัวเอง แต่เขาเปลี่ยนทั้งครอบครัว อย่างแม่เปลี่ยนมาใช้เบอร์มงคล เบอร์ลูกก็เปลี่ยนด้วย”

อาจารย์สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ

สายมูก็เป็นอีกแบรนด์ดิ้งทรู

โอลิเวอร์ ทิ้งท้ายว่า กลยุทธ์สายมู หรือ Better มูGetther เป็นอีกทิศทางการทำตลาดของแบรนด์ เพราะตลาดในปัจจุบันไดนามิกมากขึ้น ลูกค้าไม่ได้ต้องการ One size fit all โดยเฉพาะ Gen Z ที่ใช่แค่เอนเตอร์เทนเมนต์ เช่น โซเชียลฯ, เพลง, ซีรีส์, เกม ไม่พออีกต่อไป ต้องมองในเชิงสังคมมนุษยวิทยามากขึ้น อย่างเรื่องมูก็เป็นอีกความเชื่อของ Gen Z

“เราต้องปรับตัวเสมอ เพราะลูกค้าไม่ใช่ของตาย เขาพร้อมจะไปตามเหตุและผล เลือกเบอร์ ช่วยให้มีคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งทันยุคทันสมัยมากขึ้น แต่สุดท้าย เขาจะอยู่กับเรานานหรือไม่ ก็จะวนกลับมาที่คุณภาพ”

]]>
1548916
ถ้าเธอ 0 บาท ‘ปีหน้า’ ฉันให้ 0 บาท ‘ปีนี้’ สงครามโปร iPhone 17 จาก ‘True-Dtac’ และ ‘AIS’ https://positioningmag.com/1538839 Mon, 22 Sep 2025 06:22:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538839 ผ่านจากสงคราม ‘สตรีมมิ่ง’ ที่แลกกันไปคนละหมัด โดยทาง ‘AIS’ ได้คว้าสิทธิ์ ‘พรีเมียร์ลีก’ พร้อมจัดโปรดึงลูกค้าใหม่เต็มสูบ ทาง ‘True’ ก็สวนกลับด้วยการดึง ‘BeIn’ เป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ ล่าสุด ก็ถึงสงครามโปรฯ iPhone 17

หลังจากที่ Apple เปิดตัว iPhone 17 Series ได้แก่ iPhone 17, iPhone 17 Air, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max ไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 โดยทั้ง AIS และ True – Dtac ก็ได้เปิดให้สั่งจอง iPhone 17 พร้อมกันในวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568 และเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2568 นี้

โดยทั้ง 2 ค่ายต่างก็งัดโปรโมชั่นเด็ดออกมาสู้กัน โดยทาง True – Dtac ก็มาแบบล้ำหน้าด้วย โปรข้ามเวลา ให้ลูกค้าซื้อ iPhone 17 เครื่องใหม่ปีนี้ อัปเกรดรุ่นใหม่ 0 บาท ปีหน้า โดยมี 3 เงื่อนไข ได้แก่

  • ซื้อ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมใช้แพ็กเกจรายเดือนเริ่มต้น 1,299 บาทขึ้นไป สัญญา 12 เดือน
  • ชำระค่าบริการต่อเนื่องตามระยะสัญญา 12 เดือนขึ้นไปจนถึงวันรับสิทธิ์
  • ภายในเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2569 นำ iPhone 17 ที่ซื้อมารับการประเมินสภาพเครื่อง เพื่อรับสิทธิ์อัปเกรดเริ่มต้น 0 บาท และใช้งานแพ็กเกจรายเดือนเริ่มต้น 1,299 บาท ไปอีก 12 เดือน

*ต้องเป็นสภาพเครื่องเกรด A เท่านั้น (เครื่องทำงานได้ตามปกติ 100% และตัวเครื่องไม่มีรอยขีดข่วน ไม่มีรอยบุบ ตก แตก ร้าว) ที่จะได้รับส่วนลดเต็ม 100% (0 บาท)

ในเมื่อฝั่ง True – Dtac ให้โปรข้ามเวลา ดังนั้น AIS ขออยู่กับปัจจุบันด้วยโปรฯ All in One แลก iPhone 17 เริ่มต้น 0 บาท โดยมี 3 เงื่อนไข เช่นกัน

  • นำ iPhone 16 มาแลกรับ iPhone 17 โดยเครื่องที่นำมาแลกต้องเป็นเครื่องที่ไม่มีปัญหาการใช้งาน จอไม่แตก  และเครื่องมีรอยขนาดเล็ก น้อยกว่า 3 จุด
  • เปิดเบอร์ใหม่ หรือย้ายค่ายเบอร์เดิม ด้วยแพ็กเกจ All in One 1,499.-/เดือน (สัญญาใช้บริการนาน 24 เดือน) 
  • สมัครแพ็กเกจเน็ตบ้าน AIS FIBRE 3 ค่าบริการรายเดือนหลังหักส่วนลดเริ่มต้น 799.- ขึ้นไป (สัญญาใช้บริการนาน 24 เดือน)

ในส่วนโปรโมชั่นปกติ ดูเหมือนทางฝั่ง True – Dtac จะจัดเต็มกว่า โดยให้ส่วนลดค่าเครื่องพร้อมแพ็กเกจสูงสุด 19,700 บาท เก่าแลกใหม่ลดสูงสุด 5,000 บาท หรือใช้ Point ลดสูงสุด 5,000 บาท นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ใช้งานกับค่ายมานาน จะได้ส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 2,000 บาท

ในส่วนสิทธิพิเศษความบันเทิง สามารถดู NOW ENT ฟรี 1 ปี ,Youtube Premium 12 เดือน NETFLIX Standard12 เดือน ผ่อนได้นานสุด 48 เดือน Apple Service ฟรี 3 เดือน และได้ส่วนลด iPhone Accessories 15%

ฝั่งของ AIS เปิดราคาเครื่องพร้อมแพ็กเกจ การันตีส่วนลดสูงสุด 15,700 บาท เครื่องเก่าแลกใหม่ลดสูงสุด 4,000 บาท ใช้ Ais point รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 5,000 บาท สำหรับสิทธิพิเศษด้านความบันเทิง จะได้ Play PREMIER 1 ปี, Youtube Premium 2 เดือน Spotify Premium 4 เดือน, ฟรี iCloud ความจุ 50 GB และส่วนลด iPhone Accessories 20%

คิดว่าโปรค่ายไหนคุ้มสุด คอมเมนต์กันมาได้นะ

]]>
1538839
‘ทรู คอร์ปอเรชั่น’ ยังไม่ฟันอนาคตยุบเหลือ ‘แบรนด์เดียว’ ย้ำ 3 ปีนี้ ‘ทรู-ดีแทค’ ยังต้องแข่งหาลูกค้า https://positioningmag.com/1421654 Thu, 02 Mar 2023 11:34:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421654 เริ่มสตาร์ทวันที่ 1 มีนาคม สำหรับ ‘บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)’ ที่เกิดจากการควบรวมของ ‘ทรู’ และ ‘ดีแทค’ ซึ่งนับเป็นการควบรวมกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากมูลค่าของกิจการ (Market Capitalization) ที่รวมกันถึงประมาณ 2.94 แสนล้านบาท แล้วหลังจากควบรวมขุมพลังของ ทรู คอร์ปอเรชั่น จะมีอะไร ลูกค้าจะได้อะไรเพิ่มเติม ไปหาคำตอบกัน

โรมมิ่งคลื่น แต่ไม่รวมคลื่น

แม้ทรู-ดีแทค จะควบรวมกัน แต่การรวม คลื่นความถี่ เป็นสิ่งที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ย้ำว่า ห้ามรวมกันเด็ดขาด ดังนั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงเปิดบริการโรมมิ่งข้ามเครือข่ายในชื่อสัญญาณ ‘dtac-true’ และ ‘true-dtac’ โดยลูกค้าทั้ง 2 ค่ายที่รวมกันกว่า 55 ล้านราย (ทรู 33.8 ล.) (ดีแทค 21.2 ล.) จะใช้งานได้ ผ่านการเปิดโรมมิ่งข้อมูล โดยจะครอบคลุม 77 จังหวัดภายในกลางเดือนมีนาคมนี้ นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายโครงข่าย 5G ครอบคลุม 98% ของประชากร ในปี 2569 อีกด้วย

ทั้งนี้ หลังการควบรวม ทรู คอร์ปอเรชั่น มีคลื่นความถี่ทั้งหมด ได้แก่

  • ย่านความถี่ต่ำ ได้แก่ 700 MHz, 850 MHz และ 900 MHz ที่มีความสามารถในการทะลุทะลวง ครอบคลุมพื้นที่ในวงกว้าง
  • ย่านความถี่กลาง 1800 MHz 2100 MHz 2300 MHz 2600 MHz
  • ย่านความถี่สูง 26 GHz สำหรับใช้งานในภาคธุรกิจ

ใช้ชื่อทรูเพราะฉายภาพนวัตกรรมชัดกว่า

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ เมื่อควบรวมกัน ทำไมชื่อบริษัทกลับมีแต่ทรู โดย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า เนื่องจากแบรนด์ทรูมีโปรดักส์ด้านดิจิทัลที่ครอบคลุมกว่า เช่น เรื่องของคอนเทนต์ ดังนั้น บริษัทใหม่ที่ต้องการสื่อสารว่าเป็นบริษัท โทรคมนาคม-เทคโนโลยี จึงเลือกใช้ชื่อของทรู

“บริษัทใหม่จะได้ประโยชน์จากการผนึกกำลังร่วมกัน (Synergy) ทั้งด้านการลงทุนและรายได้ ซึ่งจะขับเคลื่อนร่วมกัน อาทิ โครงข่ายโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เครือข่ายไอที การจัดซื้อ การขาย การตลาด ช่องทางการค้าปลีก และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยจะนำสู่สมดุลความเสมอภาคและความเท่าเทียมในการแข่งขัน และจะนำมาสู่ประโยชน์สูงสุดของลูกค้า

ยังไม่ฟันอนาคตเหลือแบรนด์เดียว

ฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด กล่าวว่า ตามกฎของกสทช. ที่กำหนดไว้ว่า เมื่อรวมกิจการแล้วต้องคงแบรนด์ไว้ 3 ปี ทำให้แบรนด์ทรู-ดีแทคยังคงอยู่ในตลาด ลูกค้าทั้งสองไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ด สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง แพ็กเกจและอายุการใช้งานยังเหมือนเดิม รวมถึงช่องทางติดต่อหรือศูนย์บริการก็ยังใช้ของค่ายเดิมได้เลย

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่เคาะว่าในอีก 3 ปีจากนี้จะไปในทิศทางไหน จะรวมเป็นแบรนด์เดียว หรือ สร้างเป็นแบรนด์หลัก-แบรนด์รอง ซึ่งทั้ง 2 โมเดลก็มีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน แต่ปัจจุบันการทำตลาดของ 2 แบรนด์ยังต้องทำคู่ขนานกันไป ยังต้องแข่งขันในการหาลูกค้าตามปกติ ขณะที่พนักงานก็ยังทำงานแยกกัน ดีแทคยังทำงานที่จามจุรี ส่วนพนักงานทรูยังอยู่ที่ตึกทรู

“เรากำลังศึกษาอยู่ว่าจะรวมเป็นแบรนด์เดียวหรือสร้างเป็นแบรนด์หลัก-แบรนด์รองเหมือนโตโยต้ากับเลกซัส”

ทั้งนี้ แม้แบรนด์จะแยกกันทำ แต่สิ่งที่ลูกค้าทั้ง 2 ค่ายจะได้เพิ่มเติมคือ สิทธิประโยชน์ที่รวมกัน เช่น ดีแทคจะสามารถเข้าถึงบริการคอนเทนต์ของทรู หรือลูกค้าทรูจะสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากแบรนด์พันธมิตรของดีแทคได้ โดยหลังจากควบรวม ทางบริษัทได้เพิ่ม Better Together Gifts ได้แก่ ดูฟรี บอล หนัง และคอนเทนต์ระดับโลก นาน 30 วัน ผ่านแอปฯ ทรูไอดี, เน็ตฟรี 10GB นาน 7 วัน ทั้งเติมเงิน และรายเดือน และดื่มฟรี 1 ล้านแก้ว เลือกรับฟรี All Cafe, KOI The, DAKASI วันที่ 10 และ 24 มี.ค. ให้กับลูกค้าทั้ง 2 ค่าย

วาง 7 กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กร

  1. ผู้นำด้านโครงข่ายโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างแท้จริง (Be the Undisputed Network and Digital Infrastructure Leader ) – การผสานศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทใหม่ ทั้งโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัล อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานสากล ระบบคลาวด์ การต่อยอดนวัตกรรมบริการดิจิทัลต่างๆ เพื่อคนไทย ทั้ง IoT, AI Analytic, Machine Learning, Cyber Security ที่จะช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนวิถีดิจิทัล (Digital Transformation) ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
  2. เติบโตเป็นผู้นำนอกเหนือจากบริการหลัก (Champion Growth Beyond the Core) – มุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัล โซลูชัน รวมถึงระบบนิเวศดิจิทัลที่ครบวงจร พร้อมร่วมขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลในทุกภาคส่วน (Digital Inclusion) สร้างประสบการณ์ใหม่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพให้องค์กรธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนร่วมสนับสนุนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้เร็วยิ่งขึ้น
  3. สร้างมาตรฐานประสบการณ์ใหม่เพื่อลูกค้าในประเทศไทย (Set the Bar for Customer Experience in Thailand) – ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาช่วยในการวิเคราะห์ เติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าได้ตรงใจมากขึ้น ทั้งการนำเสนอสินค้าบริการ การมอบสิทธิพิเศษ ตลอดจนช่องทางการเข้าถึง O2O ผ่านการผนึกพลังทั้งออฟไลน์ในเครือทั่วประเทศและออนไลน์แบบ 24 ชม.
  4. เติมเต็มชีวิตอัจฉริยะยิ่งขึ้นเพื่อทุกสไตล์ลูกค้าชาวไทย (Enhance Smart Life for Customers) – ทรู คอร์ปอเรชั่น จะส่งมอบประสบการณ์ชีวิตอัจฉริยะเพื่อคนไทย ยกระดับวิถีชีวิต และไลฟ์สไตล์ทั้งความสะดวกสบาย การดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
  5. ยกระดับมาตรฐานสำหรับลูกค้าองค์กร (Raise Standards for Enterprise Customers) – บริษัทใหม่จะเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคธุรกิจทั้งลูกค้า SME ธุรกิจองค์กรและภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ อาทิ IoT, Robotics, AI Analytics และ Blockchain พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สู่การพัฒนานวัตกรรมโซลูชันครอบคลุมทุกมิติ
  6. สร้างสุดยอดองค์กรที่น่าทำงาน (Build the Best Place to Work) – บริษัทใหม่จะเป็นองค์กรแนวหน้าที่ขับเคลื่อนด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน ดึงดูดคนเก่งที่มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลก
  7. การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มคุณค่าขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว (ESG Best in class: Sustainable Organization to Create Long Term Value) – มุ่งเน้นการนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม มาร่วมสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับทุกชีวิต นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งมิติด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

เราตั้งเป้าจะก้าวไปเป็นหนึ่งในองค์กรนายจ้างที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเราได้เพิ่มสวัสดิการให้เท่าเทียมทุกเพศ รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+”

]]>
1421654
ชำแหละดีลควบรวม ‘ทรู’-‘ดีแทค’ ผูกขาดหรือไม่ เสี่ยงแค่ไหน และ ‘ผู้บริโภค’ ได้หรือเสียมากกว่ากัน https://positioningmag.com/1374729 Mon, 21 Feb 2022 12:15:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374729 เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา บอร์ดทรู-ดีแทค ไฟเขียวควบรวมกิจการ เคาะตั้งบริษัทใหม่เข้าตลาดหุ้น พร้อมถอนหุ้น TRUE และ DTAC ออกจากตลาด โดยทาง สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดงานเสวนา เรื่อง ‘ดีล True – Dtac ต้องโปร่งใส กสทช. ต้องรับฟังผู้บริโภค’ เพื่อสะท้อนหากเกิดการควบรวมจริงถือเป็นการ ‘ผูกขาด’ หรือไม่ และ ผู้บริโภค’ ได้หรือเสียมากกว่ากัน

ตามหลักเศรษฐศาสตร์ผูกขาดชัดเจน

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ประโยชน์ของการควบรวมบริษัทมีอยู่ 2 ประการ คือ ทำให้บริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีนวัตกรรมมากขึ้น ประหยัดต้นทุนมากขึ้น ผู้บริโภคมีโอกาสได้ของดีราคาถูก อีกมุมคือ เพิ่มอำนาจการผูกขาด ทำให้ผู้บริโภคอาจเสียผลประโยชน์ ดังนั้น ในทางเศรษฐศาสตร์ต้องชั่งน้ำหนักของ 2 ข้อนี้

“ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา องค์กรที่กำกับดูแลจะพิจารณาจาก ผลกระทบต่อผู้บริโภคเท่านั้น ว่าการควบรวมก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียกับผู้บริโภคมากกว่ากัน ถ้าเกิดผลเสียอย่างร้ายแรงก็จะ ห้ามการควบรวม แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นร้ายแรงก็จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์เพิ่มเติม”

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

สำหรับการควบรวมของ ทรู-ดีแทค นั้นส่งผลดีหรือผลเสียให้ผู้บริโภคในทางเศรษฐศาสตร์นั้นพิจารณาจาก ผู้ประกอบการรายที่เหลือ (เอไอเอส) มีท่าทีอย่างไร ถ้ามีการ คัดค้าน หน่วยงานกำกับดูแลควรอนุญาตให้ควบรวม แต่ถ้า ไม่คัดค้านหรือสนับสนุน ควร ห้ามการควบรวม กรณีนี้ไม่มีใครคัดค้าน เพราะจะทำให้ตลาดกระจุกตัวเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์

หลักฐานที่ชัดเจนคือ ราคาหุ้นของทั้ง 3 บริษัทเพิ่มขึ้น แม้ว่าเอไอเอสไม่ได้เกี่ยวข้องกับการควบรวมก็ตาม นอกจากนี้ การควบรวมทรู-ดีแทค ยังถือว่าเป็นการผูกขาดในระดับ อันตรายมาก ดังนั้น จึงไม่ควรอนุญาตให้ควบรวม

“ทุกอย่างชี้ว่าการควบรวมครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ แต่เป็นผลเสียกับผู้บริโภค รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่ต้องดีลกับผู้ประกอบการที่จะเหลืออยู่ 2 รายในตลาด ไม่ว่าจะเป็นดีลเลอร์ที่เหลือแค่ 2 ทางเลือก ผู้พัฒนานวัตกรรมหรือสตาร์ทอัพก็มีทางเลือกน้อยลง จะเห็นว่าทุกฝ่ายแย่ลงหมดยกเว้นผู้ประกอบการ ดังนั้น ควรระงับไม่ให้เกิดการควบรวม”

ด้าน นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สอบ. กล่าวว่า การควบรวมกิจการ มีผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน เพราะเมื่อทางเลือกลดลงย่อมส่งผลต่อราคา อีกทั้งยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล สิทธิในด้านกิจการโทรคมนาคมก็จะลดลงตามไปด้วย ดังนั้น หวังว่าบอร์ดใหม่กสทช. จะพิจารณาให้ถี่ถ้วน

“จากงานวิจัยในอังกฤษพบว่า เมื่อผู้เล่นลดลงจาก 4 เหลือ 3 ราย ผู้บริโภคต้องรับภาระเพิ่มขึ้นถึง 20% ดังนั้นจาก 3 เหลือ 2 ย่อมส่งผลต่อผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สอบ.

กฎหมายใหม่กสทช. มีช่องว่าง

นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ตั้งแต่ที่ทั้งทรู-ดีแทคออกมาประกาศว่า “อยู่ระหว่างการหารือเรื่องควบรวม” แต่กลับมีการเรียนอัตราการแลกหุ้นอย่างชัดเจน แสดงว่าทั้ง 2 บริษัทได้คำนวณเรื่องการควบรวมไว้แล้วแสดงว่า มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน มีการเจรจากัน ก่อนที่จะมีการประกาศการควบรวม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้ง 2 บริษัทตั้งใจจะควบรวมกิจการ ลึกที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

ไม่ว่าจะมีการควบรวมหรือไม่นั้น กสทช. เป็นองค์กรที่ต้องออกมากำกับดูแลหากเห็นพฤติกรรมที่ส่องเค้าที่จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน ดังนั้น กสทช. ไม่ควรรีรอบอร์ดกสทช. ชุดใหม่ ควรจะวางกระบวนการตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศควบรวม ต้องเรียกขอดูข้อมูล และอีกปัญหาคือ ประกาศกสทช. ฉบับปี 2561 มีช่องว่างก่อให้เกิดความเสี่ยงในการควบรวมเมื่อเทียบกับประกาศของปี 2553 จากเดิมจะ ต้องมาขออนุญาตก่อน แต่ประกาศฉบับปี 61 แค่รายงานให้ทราบ

“เห็นชัดเจนว่าถ้าจาก 3 เหลือ 2 การแข่งขันน้อยลงอย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้าปล่อยให้ทั้ง 2 บริษัทเดินหน้าควบรวมโดยที่ไม่มีหน่วยงานไหนเลยเข้ามากำกับก็จะนำไปสู่ภาวะการผูกขาดหรือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจเกิดได้ตั้งแต่ก่อนที่การควบรวมจะสิ้นสุดด้วยซ้ำ เพราะแค่เจรจาก็สุ่มเสี่ยงแล้ว”

กสทช. รับต้องรอบอร์ดใหม่พิจารณา

นพ. ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช ยอมรับว่า ตั้งแต่มีข่าวการควบรวม กสทช. ได้เรียกผู้ประกอบการมาชี้แจงบ้าง รวมถึงได้ประสานงานกับคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) แต่ช่วง 3 เดือนที่มีข่าว ทางกสทช. ไม่เคยนำเสนอเรื่องการควบรวมให้เป็นวาระการประชุมเลย เพิ่งมี 2 ครั้งหลังสุดที่มีการรายงานด้วยวาจา โดยไม่มีเอกสารวาระก่อนปิดประชุมทั้ง 2 ครั้ง

ดังนั้น กรรมการกสทช. จึงไม่มีเวลาถกแถลง หรือ หารือว่าจะทำอย่างไรต่อ และเป็นปัญหาที่ตัวข้อเท็จจริงยังอยู่ในชั้นสำนักงานทั้งหมด ซึ่งปัญหาที่เกิดถือเป็น จุดอ่อนของการบริหารของสำนักงานกสทช. อีกปัญหาคือ ตัวกฎหมายผู้ร่างคือสำนักงานกสทช. ซึ่งประกาศฉบับแก้ไขการรวมกิจการปี 61 ก็ร่างโดยสำนักงานกสทช. ซึ่งส่วนตัวนั้น ไม่เห็นด้วย เพราะกฎหมายปี 53 มีความเสี่ยงในการควบรวมได้ทันที

“หลายคนไม่เอะใจเลยว่า กฎหมายปี 61 เป็นแค่การรายงานให้ทราบ แต่ไม่มีอำนาจในการพิจารณา ถือเป็นประกาศที่อำนวยความสะดวกให้ธุรกิจไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบในการควบรวม ดังนั้น ตรงนี้ตรงไปตรงมามาก และผมไม่ได้เห็นด้วย”

อีกปัญหาสำคัญคือ การควบรวมมาในช่วงคาบเกี่ยวการแต่งตั้ง กสทช. ชุดใหม่ ซึ่งทางกรรมการชุดปัจจุบันไม่ใช่เป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติเรื่องการควบรวม ดังนั้น เมื่อมีการเสนอคำขอควบรวม จึงทำให้เกิดความอิหลักอิเหลื่อหากบอร์ดทั้ง 2 ชุดเห็นไม่ตรงกัน อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ใน 1-2 สัปดาห์จากนี้ ขณะที่การควบรวมคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 65

นพ. ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช

อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาเรื่องการควบรวมจำเป็นต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากมาประกอบว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ไม่เช่นนั้นจะเกิดการลำเอียงในการพิจารณาในภายหลัง ผู้ที่ขอยื่นอาจขอค้านทางปกครองในภายหลังว่าเราไม่มีความเป็นกลาง ดังนั้น โดยหลักแล้วทำให้กสทช. ต้องรอข้อมูลผลการศึกษาให้ครบถ้วน ซึ่งปัจจุบันข้อถกเถียงเรื่องผลดีผลเสียจากการควบรวมของทรู-ดีแทค ยังเป็นแค่การพยากรณ์ทั้งสิ้น เพราะยังไม่เกิด แต่ถ้าปล่อยให้ควบรวมก็จะสายเกิดไปในการรับมือ

และทางกสทช. ไม่ได้นิ่งนอนใจโดยมีการประสานงานกับ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า โดยได้หารือว่าจะรับมืออย่างไร นอกจากนี้ คณะสภาผู้แทนราษฎรณ์ก็มีการแต่งตั้งตัวแทนเพื่อศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งทางกสทช. ก็ได้หารือกันทุกสัปดาห์ มีการศึกษาผลระยะยาวสภาพตลาด ภายหลังจากการควบรวม เบื้องต้นพยายามรวมประเด็นเพื่อทำการวิเคราะห์ในทุกด้าน

“โดยสรุปแล้ว กสทช. ยังไม่ได้ฟันว่าจะไม่ให้ควบรวม หรือให้ควบรวม แต่ต้องปกป้องประโยชน์ต่อประชาชน และต้องคำนึงถึงมาตรการในระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้น สิ่งที่เป็นไปได้คือ ถ้าจะพิจารณาเรื่องนี้ต้องวิเคราะห์โครงสร้างตลาดที่เหมาะสมในประเทศไทย มีมาตรการเชิงโครงสร้าง และสิ่งสำคัญต้องติดตามผลกระทบจากการควบรวมจริง ๆ”

แนะ 3 ข้อ ป้องกันผูกขาด

ดร. สมเกียรติ ได้เสนอ 3 แนวทาง สำหรับป้องกันการผูกขาดที่จะเกิดจากการควบรวมทรู-ดีแทค ดังนี้

  1. ไม่อนุญาตให้ควบรวม : โดยหากดีแทคต้องการจะเลิกกิจการในประเทศไทย ควรให้ขายกิจการกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เอไอเอสและทรู
  2. ควบรวมได้ แต่ต้องคืนคลื่น : อนุญาตให้ควบรวมได้แต่ต้องคืนคลื่นมาบางส่วนแล้วนำมาจัดสรรใหม่ เพื่อให้มีผู้ประกอบการ 3 ราย ในตลาดโทรศัพท์มือถือเหมือนเดิม
  3. ควบรวมได้แต่ต้องส่งเสริมให้เกิด MVNO หรือผู้ให้บริการที่ไม่มีโครงข่ายฯ ของตัวเอง : ทางเลือกนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่มีความเหมาะสม เนื่องจาก MVNO ไม่ได้เกิดง่าย และการดูแลยากมาก ดังนั้น ควรป้องกันไม่ให้มีการผูกขาด เพราะหากปล่อยให้มีการผูกขาดแล้วไปแก้ไขในภายหลังจะเป็นเรื่องที่ยากมาก

สุดท้าย ผศ.ดร. กมลวรรณ จิรวิศิษฏ์ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายพาณิชย์และธุรกิจ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้จะยังไม่ควบรวมแต่การมีการ แบ่งปันข้อมูล อาจนำไปมาซึ่งการ ไม่แข่งขัน เพราะอาจมีการ ฮั้ว กันเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เรื่องนี้หน่วยงานกำกับดูแลต้องนำมาพิจารณาด้วย

]]>
1374729
กรณีศึกษา DTAC กับการยิงโฆษณาสุดต๊าช แบบ Hyper Personalized Ads บน LINE TODAY https://positioningmag.com/1368185 Wed, 22 Dec 2021 10:00:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1368185

การตลาด การขายสินค้า ย่อมมาคู่กับการ “โฆษณา” เพียงแต่ว่าการโฆษณาในรูปแบบเดิมๆ ย่อมไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคนี้แล้ว หลายคนไม่สนใจโฆษณา แต่ฟังจากคนรอบข้าง หรือ Influencer แทน ซึ่งผู้บริโภคมีตัวเลือกในการรับสื่อที่หลากหลาย

ทำให้นักการตลาดต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างแบรนด์มากขึ้น การสร้างโฆษณาพร้อมกับคีย์แมสเสจปังๆ ให้ไวรัลติดหูกันทั่วเมืองคงไม่ง่ายเหมือนกับในอดีตแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีช่องทางเลือกมากขึ้นทั้งโฆษณาทางโทรทัศน์ สื่อนอกบ้าน หรือสื่อออนไลน์ แต่ยุคนี้ก็มีเครื่องมือต่างๆ เช่น โปรแกรมบล็อคแอด หรือปุ่มกด Skip ads ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงโฆษณาได้เช่นกัน

จะเห็นได้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นักการตลาด หรือคนในแวดวงโฆษณาต่างต้องเปลี่ยนวิธีสร้างสรรค์โฆษณากันใหม่ เพราะวิธีแบบเดิมๆ ไม่ได้ผลอีกต่อไป ต้องอาศัยแพลตฟอร์ม และเครื่องมือดิจิทัลที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้การเข้าถึงผู้บริโภคอีกทั้งยังไม่สามารถทำสื่อแบบเหวี่ยงแห เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคเฉพาะบุคคลมากขึ้น หรือที่เรียกกันว่า Hyper Personalized Ads เพราะแต่ละคนมีความชื่นชอบ ความสนใจที่แตกต่างกัน


Hyper Personalized Ads โฆษณายุคใหม่ต้องเข้าถึงเฉพาะบุคคล

เทรนด์ของโฆษณายุคใหม่เริ่มฉายแสงไปที่การทำตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือเฉพาะบุคคลมากขึ้น เพราะการทำโฆษณาที่จับระดับแมส หรือคนกลุ่มใหญ่ คนที่ไม่สนใจอาจจะเกิดการรำคาญใจได้ ผู้บริโภคยุคใหม่จึงคาดหวังที่จะให้แบรนด์ตอบโจทย์แบบเฉพาะบุคคล (Personalization) มากกว่า

Hyper-Personalized Advertising จึงเกิดขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ด้วยการเชื่อมโยง “ความคิดสร้างสรรค์” เข้ากับ “เทคโนโลยี” ผ่าน Big Data ที่ผสานกับการใช้ Machine Learning และ AI เพื่อพัฒนาเป็นคอนเทนต์เจาะลึกผู้บริโภคเป็นรายบุคคล หรือการส่งต่อข้อมูลสื่อต่างๆ เฉพาะเจาะจงให้ตรงกับบุคลิก และรูปแบบการใช้งานของผู้บริโภครายนั้นๆ

อาทิ นำเสนอสินค้า และบริการ โปรโมชั่นหรือสิทธิประโยชน์สอดคล้องกับโลเคชันที่ลูกค้ากำลังจะไป หรือไปบ่อย หรือกำลังอยู่ในขณะนั้น (Geo-location) หรือในจังหวะที่ลูกค้าอยู่กับสิ่งๆ นั้นพอดี (Real-time Moment) รวมทั้งการจับข้อมูลได้จาก Digital Footprint เช่น เสิร์ช หรือคลิกดูสินค้า (Recommendation System) เป็นต้น

แต่การจะไปถึงเป้าหมายนั้น ไม่อาจทำงานแยกส่วนกันได้ เพราะต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่าง งานครีเอทีฟของแบรนด์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่พร้อมจะเป็นช่องทางให้เข้าถึงลูกค้าได้ถูกที่ถูกเวลาอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง และเพื่อให้เห็นภาพแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์ Hyper Personalization แล้วประสบความสำเร็จได้จริง ก็ต้องยกกรณีศึกษาของโฆษณาสุดเวิร์คในแบบ DTAC ที่เชื่อมโยงคอนเทนต์สุดว้าวเข้ากับแพลตฟอร์ม LINE เพื่อสร้าง Conversion และ Engagement


กรณีศึกษา DTAC เลือกสื่อที่ใช่บน LINE TODAY

DTAC หนึ่งในผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย เลือกที่จะใช้ช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่าน LINE โดยเฉพาะบน LINE TODAY ช่องทางที่มีศักยภาพสูงในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก และมีระบบด้านโฆษณาที่สามารถสร้างสรรค์ให้มีความหลากหลาย

เมื่อมาดูศักยภาพของ LINE TODAY เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุดในตอนนี้ ด้วยจุดเด่นในการเป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสาร และคอนเทนต์ที่โดนใจคนไทย ด้วยยอดวิวเติบโตเกิน 50% ในทุกเดือนอย่างต่อเนื่องผู้ใช้งานเกินครึ่งเป็นกลุ่มคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล

และยังมีสถิติที่น่าสนใจว่า มากกว่า 99% ของผู้ใช้ LINE TODAY มองเห็น หรือรับรู้โฆษณาของแบรนด์ต่างๆ และยิ่งไปกว่านั้นกว่า50% ของกลุ่มดังกล่าวมีการคลิกชมโฆษณาด้วย ชี้ให้เห็นว่า LINE TODAY เป็นพื้นที่ศักยภาพอย่างยิ่งของแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนเมือง


แคมเปญสายมูบน “ดูดวง”

DTAC ได้ทำแคมเปญใหญ่ “เบอร์มงคลเฉพาะคุณ” เลือกนำเสนอสื่อโฆษณาผ่านแท็บ “ดูดวง” ใน LINE TODAY ที่นอกจากจะมีคอนเทนต์ด้านดวง โชคลาภต่างๆ แล้ว ยังมีกิจกรรมร่วมกับผู้อ่านมากมายที่แฝงอยู่ในแท็บดังกล่าว ทั้งกิจกรรมเซียมซีจากวัดดังภาคต่างๆ หมุนวงล้อเช็คดวง หรือแม้กระทั่งลูกเล่นไอคอน “กระบอกเซียมซี” ให้คลิกเพื่อเขย่า เป็นต้น

โดยสำรวจจาก LINE พบว่ากว่า 95% ของผู้ใช้งาน LINE TODAY จะเข้าชมคอนเทนต์ในแท็บ “ดูดวง” เฉลี่ยอย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน ในขณะที่ผู้ใช้งานประจำที่ชอบอ่านเรื่องดวงมีอัตราการเข้าชมคอนเทนต์ในส่วนนี้เกือบทุกวัน และมีจำนวนการใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2020

โดยพบว่ายอดวิวในแท็บนี้ในปี 2021 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนสูงสุดตั้งแต่เปิดให้บริการมาถึง 254% ในขณะที่จำนวนผู้ใช้งานโดยรวมของ LINE TODAY ก็เพิ่มขึ้นสูงถึงกว่า 247% ตามไปด้วย จึงถือเป็นพื้นที่ใหม่มาแรงสำหรับนักการตลาด ที่แบรนด์ใหญ่อย่าง DTAC นำมาประยุกต์ใช้เพื่อนำเสนอสื่อโฆษณาให้เข้าถึงลูกค้าในรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ผสานเซียมซี คู่กับเบอร์มงคล

คนไทยเป็นสายมูเตลูมาช้านาน และมีความสนใจด้านนี้อย่างมาก จึงได้เห็นไอเท็มสายมูเกิดขึ้นมากมาย รวมไปถึง “เบอร์มงคล” ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ส่งที่น่าสนใจในแคมเปญนี้ก็คือ DTAC ไม่ได้วางแค่แบนเนอร์โฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่ยังใส่ความครีเอทีฟ เชื่อมโยงกับฟีเจอร์ “เซียมซี” ของดูดวงเข้าไป เพื่อเชื่อมไปยังเบอร์มงคลของตนเองในที่สุด เรียกว่าเป็นการโฆษณาที่ถูกที่ ถูกเวลา

ก่อนหน้านี้ LINE ได้พัฒนาฟีเจอร์ “เซียมซี” ในแท็บ “ดูดวง” ภายใต้ LINE TODAY นอกจากจะตอบโจทย์ผู้บริโภคสายมูที่ชอบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังผสมผสานเทคโนโลยีในการประมวลผลข้อมูล และจับคู่คอนเทนต์กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม

เมื่อเจาะลึกถึงการทำงาน Hyper Personalized Ads ในแท็บดูดวงบน LINE TODAY ของ DTAC มีการออกแบบคอนเทนต์ขึ้นใหม่เพื่อเจาะรายบุคคลผ่านกิจกรรม “เซียมซีขอพร” ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องงานการเงิน ความรัก และเรื่องทั่วไป

โดยทุกความสนใจของผู้บริโภค ที่นำเสนอผ่านคีย์เวิร์ดสำคัญใน “คำทำนายในใบเซียมซี” นั้น ไม่ว่าดวงจะเป็นแบบไหน DTAC ก็พร้อมนำเสนอตัวเลขที่จะทำให้ชีวิตกลุ่มเป้าหมายดีขึ้น เช่น ในใบเซียมซีที่ 23 เขียนว่า “ค้าขายก็มีผลดี” ก็จะมีแบนเนอร์เบอร์มงคลเฉพาะคุณ “หยิบจับอะไรก็ได้เงินได้ทอง” ขึ้นมา เป็นต้น

ที่ผ่านมา DTAC ได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยการจับคู่บริการกับโปรไฟล์ของผู้ใช้งาน เช่น เบอร์มงคล สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ หรือเปลี่ยนงาน เบอร์เสริมชีวิตคู่ สำหรับผู้ที่เข้าดูดวงความรัก เป็นต้น โดยโฆษณาจะขึ้นมาในจังหวะที่ถูกต้อง ตรงใจผู้ใช้งาน ทำให้โฆษณาได้รับความสนใจมากขึ้น โดย DTAC ได้ทำชิ้นงานโฆษณามากถึง 50 แบบ เพื่อให้สัมพันธ์กับโปรไฟล์ของผู้ใช้งานมากที่สุด


สะท้อนด้วยผลลัพธ์สุดปัง

สำหรับดัชนีชี้วัดความสำเร็จจากกลยุทธ์ Hyper-Personalized advertising และการใช้เครื่องมือนี้อย่างจริงจัง ส่งผลให้ผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาของ DTAC ในแท็บดูดวงบน LINE TODAY เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากตัวเลขเฉลี่ยปกติ และมีอัตราการคลิกโฆษณาอยู่ที่ 0.48% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยที่ 0.10% เลยทีเดียว

ทั้งนี้ กรณีศึกษาของ DTAC ที่ใช้กลยุทธ์ Hyper Personalization บนแพลตฟอร์ม LINE นอกจากจะสามารถสร้าง Conversion และ Engagement ให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจน และประสบความสำเร็จแล้ว ยังสามารถยืนยันว่า การส่งแมสเสจไปยังผู้บริโภคที่สนใจในสิ่งๆ นั้นอยู่แล้ว และในจังหวะ หรือช่วงเวลาที่ใช่ ช่วยกระตุ้นผู้บริโภคได้อีกทางหนึ่ง และทำให้แบรนด์เข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้าได้จริงๆ ขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนผลดีต่อแบรนด์ นับเป็นการสร้างประสบการณ์เชิงบวกให้กับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

]]>
1368185
‘เอไอเอส’ ไม่ขออยู่เฉยส่งแคมเปญ ‘อยู่กับเอไอเอสดีที่สุด’ พร้อมอัดส่วนลด 50% ดึงย้ายค่าย https://positioningmag.com/1363591 Tue, 23 Nov 2021 13:59:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363591 ในช่วงสัปดาห์นี้ ในแวดวงโทรคมนาคมคงไม่มีข่าวไหนจะใหญ่ไปกว่าการที่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ dtac จะควบรวมกัน แน่นอนว่าหลังจากมีข่าว หลายคนต่างก็ต้องคิดแล้วว่าการแข่งขันจากนี้จะเป็นอย่างไร และพี่ใหญ่อย่าง ‘เอไอเอส’ (AIS) จะงัดไม้ไหนออกมาสู้

ในตลาดโทรคมนาคมที่ผ่านมา เอไอเอสถือว่าเป็นเบอร์ 1 ที่แข็งแรงมาโดยตลอด หากอ้างอิงจากตัวเลขไตรมาส 3 ปี 64 เอไอเอส มีลูกค้าทั้งสิ้น 43.7 ล้านเลขหมาย มีคลื่นความถี่รวม 1,420 MHz และมีรายได้ รายได้ 130,995 ล้านบาท ขณะที่เบอร์ 2 อย่าง ทรูมูฟ เอช มีลูกค้า 32 ล้านเลขหมาย มีคลื่นรวม 990 MHz มีรายได้ 96,678 ล้านบาท ส่วน ดีแทค มี 19.3 ล้านเลขหมาย มีคลื่นรวม 270 MHz และมีรายได้ 78,818 ล้านบาท

แน่นอนว่าหากทรูและดีแทคควบรวมกันแล้วจะพลิกขึ้นนำเอไอเอสทันที แต่ในส่วนของจำนวนคลื่นความถี่ยังถือว่าน้อยอยู่ ดังนั้น ก่อนที่ทั้ง 2 บริษัทจะควบรวมกันอย่างสมบูรณ์ เอไอเอสก็ไม่รอช้าที่จะสื่อสารไปยังผู้บริโภคด้วยการใช้จุดแข็งของ จำนวนคลื่นความถี่ ว่ามีมากที่สุดพร้อมทั้งขยี้ด้วยแคมเปญ อยู่กับเอไอเอสดีที่สุด

โดยเอไอเอสถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่กวาดเอาดาราตัวท็อปมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้มากเบอร์ต้น ๆ ของไทย ไม่ว่าจะ เจมส์ จิรายุ, เป๊ก ผลิตโชค, เวียร์ ศุกลวัฒน์, เบลล่า ราณี, น้องเทนนิส, แบมแบม กันต์พิมุกต์, ลิซ่า ลลิษา และน้อง ๆ BNK48 ดังนั้น เอไอเอสจึงได้ปล่อยภาพเหล่าพรีเซ็นเตอร์เพื่อสื่อสารถึงความเป็น เบอร์ 1 เผยแพร่ลงในโซเชียลทุกช่องทาง โดยในทวิตเตอร์ก็ขึ้นเทรนด์เป็นอันดับ 1 เลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่ย้ำว่า อยู่กับเอไอเอสดีที่สุด แต่ถ้าย้ายมาอยู่ด้วยกันมันก็จะดีนะ เพราะมีความเห็นในโซเชียลบางส่วน ที่รู้สึกอยากย้ายค่ายหากทรูและดีแทคควบรวมกัน ดังนั้น เอไอเอสจึงอัด โปรย้ายค่าย โดยโปร 4G มีส่วนลด 50% แถมใช้ฟรี 1 เดือนด้วย ส่วนโปร 5G ลด 25%

ก็ไม่รู้ว่ากว่าจะถึงเวลาที่ทรูและดีแทคควบรวมกันเสร็จ เอไอเอสจะสามารถดึงลูกค้าย้ายค่ายไปได้มากน้อยแค่ไหน และไม่รู้ว่าทางทรูและดีแทคจะออกแคมเปญอะไรออกมารักษาลูกค้าไหม หรือจัดหนักทีเดียวตอนควบรวมไปเลย คงต้องรอดูกัน

]]>
1363591
จับตา! ‘เทเลนอร์’ จับมือ ‘ซีพี’ ควบรวม ‘ดีแทค-ทรู’ https://positioningmag.com/1363008 Fri, 19 Nov 2021 10:06:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363008 เทเลนอร์ (Telenor) ร่อนจดหมายแจงกำลังพิจารณาควบรวมกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย ผู้โชคดีคือเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย นักสังเกตการณ์จับตาการเจรจาจะนำไปสู่การควบรวมกิจการมือถือระหว่างดีแทค (Dtac) และทรู (True) ในอนาคต

ดีแทคนั้นเป็นบริษัทลูกของเทเลนอร์ในประเทศไทย ขณะที่ทรูเป็นธุรกิจด้านสื่อและโทรคมนาคมของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ ล่าสุด รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ และ E24 ระบุว่า เทเลนอร์ได้ส่งเอกสารชี้แจงหลักทรัพย์ (​​stock exchange release) ว่าบริษัทกำลังพิจารณาการควบรวมกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย โดยจะร่วมเจรจากับเครือเจริญโภคภัณฑ์เพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา

แถลงการณ์ของเทเลนอร์ไม่เพียงชี้ว่า การควบรวมกิจการจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อก่อตั้งบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำในประเทศ แต่ระบุว่า ยังคงต้องตกลงกันในประเด็นสำคัญ และไม่แน่ใจว่าการเจรจาจะนำไปสู่ข้อตกลงขั้นสุดท้าย รวมถึงกรอบเวลาในเบื้องต้นที่ยังไม่มีการเปิดเผย ดังนั้น ยังไม่มีความแน่นอนว่าการเจรจาครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ โดยจะมีการแถลงความชัดเจนในวันที่ 22 พ.ย.นี้ อีกที

Photo : Shutterstock

ข่าวนี้ทำให้โลกเทความสนใจไปที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือที่เรียกกันในนามซีพี กรุ้ป (CP Group) ซึ่งมีธุรกิจหลากหลายด้านทั้งเกษตรกรรม การค้าปลีก โทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมยานยนต์ เภสัชกรรม และการเงิน จากข้อมูลของบลูมเบิร์ก (Bloomberg) เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของเครือซีพีนั้นมีตำแหน่งเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกที่มีทรัพย์สินมากกว่า 4,800 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ซีพี กรุ๊ปถูกจัดเป็นบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ปัจจุบัน ดีแทคมีฐานลูกค้ารวม 19.3 ล้านราย แบ่งเป็นลูกค้ารายเดือนราว 6.2 ล้านราย และลูกค้าในระบบเติมเงิน 13.1 ล้านราย ในขณะที่กลุ่มทรู มีฐานลูกค้าของทรูมูฟ เอช ราว 32 ล้านราย แบ่งเป็นรายเดือน 10.8 ล้านราย และเติมเงิน 21.2 ล้านราย

ดังนั้น ในกรณีที่เกิดการควบรวมกิจการกันจะทำให้มีฐานลูกค้ารวมมากกว่า 51 ล้านราย และขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศไทยทันที เนื่องจากปัจจุบันเอไอเอสมีฐานลูกค้ารวมอยู่ที่ 43.7 ล้านราย

โดยหลังจากที่มีความคืบหน้าจากสื่อต่างประเทศออกมา ทั้งทรู และดีแทคต่างส่งจดหมายแจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า หากมีข้อชี้แจงใดที่บริษัทมีหน้าที่ต้องแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทางบริษัทฯ จะแจ้งข้อมูลให้ตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

Source

]]>
1363008
‘ดีแทค’ ย้ำกลยุทธ์ดิจิทัล ‘มัดใจลูกค้า’ ปักเป้าผู้ใช้ 10 ล้านราย/เดือน ในสิ้นปี https://positioningmag.com/1355289 Wed, 06 Oct 2021 14:22:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1355289 ต้องใช้คำว่า ก่อน ที่ทั่วโลกจะเจอกับการระบาดของ COVID-19 แบบนี้ เกือบทุกอุตสาหกรรมก็ต้องการจะทรานส์ฟอร์มองค์กรหรือบริการไปสู่ดิจิทัล เช่นเดียวกันกับ ‘ดีแทค’ (Dtac) ซึ่งไม่ได้ปักธงแค่การนำดิจิทัลมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า แต่ต้องต่อยอดสู่บริการที่มากกว่าโทรคมนาคม ดังนั้น ที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นว่าดีแทคเองเริ่มแตกบริการอื่น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ

ลูกค้าเกือบครึ่งใช้ดิจิทัล

ฮาว ริ เร็น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ได้เปิดเผยว่า ตั้งแต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของการแพร่ระบาดของ COVID-19 การใช้งานบริการดิจิทัลของลูกค้าดีแทคก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ

ปัจจุบันลูกค้ากว่า 46% ใช้งานดิจิทัลแอคทีฟต่อเดือน และด้วยกลยุทธ์ที่เน้นให้ลูกค้าทุกกลุ่มเข้าถึงบริการดิจิทัลได้ทั่วถึง โดยเฉพาะ dtac app Lite โมบายแอปที่ไม่ต้องดาวน์โหลดแต่ให้บริการได้เหมือนดีแทคแอป ทำให้มีลูกค้าเข้าถึงบริการต่าง ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลได้มากขึ้น โดยแต่ละวันมีลูกค้าราว 1 ล้านคนใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล ขณะที่กลุ่มลูกค้าเติมเงินใช้งานเพิ่มขึ้น 3 เท่า และเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 124% ในกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด

นอกจากนี้ ศูนย์บริการดีแทคได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบดิจิทัลเป็นแบบไร้กระดาษ 100% ร้านตัวแทนจำหน่ายมากกว่า 90% ได้ใช้เครื่องมือดิจิทัลในกิจกรรมการขายและบริการในแต่ละวัน ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายดีแทคดิจิทัลทะลุ 70% ทั้งแบบเติมเงิน ชำระค่าบริการ และการซื้อบริการเสริมผ่านช่องทางของดีแทคเองและช่องทางอื่น ๆ

“ลูกค้าไทยมีความพร้อมและความเข้าใจในการใช้งานดิจิทัล เรามีการทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเราว่าเราทำได้ดีแค่ไหนให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างดี”

ฮาว ริ เร็น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค

เพิ่มกิจกรรม ตรึงลูกค้า ใช้แอป

ที่ผ่านมา ดีแทคเพิ่มกิจกรรมในรูปแบบของ เกม และสิทธิพิเศษจาก ดีแทครีวอร์ด Coins เป็นการดึงดูดให้ลูกค้าให้สนุกสนานในการใช้งานดิจิทัล ได้มีส่วนร่วม และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้าเข้าสู่แพลตฟอร์มและเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นดิจิทัลในวงที่กว้างขึ้นด้วยรูปแบบการเล่นเกมลุ้นรางวัล

นอกจากนี้ยังใช้ AI ที่สามารถวิเคราะห์และนำเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงช่องทางดิจิทัลเท่านั้นแต่ยังสามารถขยายการให้บริการไปในช่องทางร้านค้าอื่น ๆ ทั้งหมดได้อีกด้วย และเพื่อเข้าถึงลูกค้าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน รวมถึงเจาะลูกค้ารุ่นใหม่ ด้วยการขยายสู่ตลาด เช่น Shopee, Lazada และ JD Central รวมถึงโซเชียลมีเดียอย่าง LINE , Facebook และ WeChat

“จุดสำคัญของการผลักดันลูกค้าใช้งานดิจิทัลคือ เอนเกจเมนต์ ยิ่งสามารถสร้างปฎิสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ลูกค้าอยู่กับเรานานขึ้น ใช้งานกับเรามากขึ้น ก็จะยิ่งสร้างความยั่งยืนให้ทั้งลูกค้าและองค์กร แต่ปลายทางเราต้องการเป็นมากกว่าโทรคมนาคม”

ต้องโตจากบริการอื่นที่ไม่ใช่โทรคมนาคม

ทั้งดีแทคและเทเลนอร์บริษัทแม่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งที่จะโตในบริการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โทรคมนาคม โดยที่ผ่านมา ดีแทคมีความร่วมมือจากบริการใจดี มีวงเงินให้ยืม ร่วมกับ LINE BK และเว็บเติมเกม Gaming Nation ที่ถือเป็นก้าวแรกในการขยายบริการที่ ‘มากกว่า’ โทรคมนาคม

โดยในไตรมาส 4 จะได้เห็นบริการใหม่ ๆ แน่นอน อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าบริษัทไม่สามารถไปได้ทุกทาง ดังนั้นจะเน้นโฟกัสในส่วนที่สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดก่อน ทั้งนี้ ดีแทคตั้งเป้าให้มีผู้ใช้งานผ่านดิจิทัลที่ 10 ล้านคน/เดือน และการเข้าซื้อผ่านดิจิทัลเติบโต 5 เท่าภายในปี 2566 และเป็น ‘ซูเปอร์แอป’ ในอนาคต

]]>
1355289
dtac business E-Care ตัวช่วยสำหรับ SME จัดการธุรกรรมมือถือในยุคชีวิตวิถีใหม่ https://positioningmag.com/1341913 Tue, 13 Jul 2021 10:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1341913

dtac business ผู้ให้บริการเทคโนโลยีสื่อสารและโซลูชันสำหรับ กลุ่มองค์กรธุรกิจ แนะนำ dtac business E-Care โซลูชันที่ทำให้การจัดการแพ็กเกจธุรกิจ SME บริหารจัดการธุรกรรมมือถือให้สะดวกในช่วงของการทำงานอยู่ที่บ้านได้ง่าย ประหยัดเวลา สร้างคุณค่าให้ธุรกิจจากความเข้าใจในความต้องการเทคโนโลยีมาช่วยดำเนินธุรกิจได้ อย่างสบายใจไร้ความกังวลในช่วงที่ต้อง Work from Home เพราะการทำธุรกิจในช่วงเวลานี้ ต้องสามารถจัดการได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง

ในช่วงการระบาดโควิด-19 ระลอกสาม หลายบริษัทอาจจะต้องการหลีกเลี่ยงการเดินทางไปทำธุรกรรมต่างๆที่หน้าเคาน์เตอร์ของศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือdtac business จึงออกแบบบริการ E-Care service เพื่อนำมาตอบโจทย์ลูกค้าด้วย ฟังก์ชั่นการทำธุรกรรมจากมือถือทางออนไลน์ได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ลูกค้า dtac business สามารถจัดการแพ็กเกจโทรศัพท์มือถือเองได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านเว็ปพอร์ทัลออนไลน์เพียงแค่ทำการสมัครและล็อคอินผ่านเว็ปบราวเซ็อร์ก็สามารถดูข้อมูลการใช้งาน ชำระค่าบริการ หรือ ปรับเปลี่ยนแพ็กเกจได้ด้วยตัวเอง ด้วยการออกแบบให้ใช้งานได้สะดวก เหมาะกับทุกธุรกิจทั้งธุรกิจขนาดเล็กและองค์กรใหญ่สามารถเช็คยอดการใช้งานได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ธุรกิจสามารถรู้ได้ว่าค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเป็นเท่าไร เพื่อจัดการวางแผนจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้ได้


ทำไมธุรกิจ SME ถึงควรสมัครบริการ dtac business E-Care

1. เช็คข้อมูลแพ็กเกจการใช้งานได้ด้วยตนเองดูข้อมูลการใช้งานในแต่ละเบอร์สามารถดูใบแจ้งยอดค่าบริการ/ ชำระค่าบริการผ่านบัตรเครดิต/ ดูประวัติการชำระเงินย้อนหลังได้

2. ชำระค่าบริการออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงด้วยบัตรเครดิต พร้อมพิมพ์ใบเสร็จและใบกำกับภาษีได้ทันที ไม่ต้องเดินทางไปขอใบเสร็จที่ศูนย์บริการมีบริการแต่งตั้งดีแทค เป็นผู้นำส่งภาษี หัก ณ ที่จ่ายโดยกดที่เมนูตั้งค่า

3. ปรับเปลี่ยนแพ็กเกจให้เหมาะสมตามการใช้งานจริงได้ด้วยตนเองเพื่อความคุ้มค่ามีระบบหน้าจอบอกสถานะของการใช้งานของทุกเบอร์ในองค์กรแพ็กเกจหลักของแต่ละเบอร์ข้อมูลจำนวนนาทีการโทรออก และการใช้งานอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแพ็กเกจหลักของแต่ละเบอร์ได้ทันทีสมัครแพ็กเกจเสริมได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับลูกค้า dtac business ที่สมัครบริการ dtac business E-Care วันนี้ – 30 กันยายน 2564 รับสิทธิ์ลุ้นโทรศัพท์iPhone 12 pro max จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 43,900 บาท

สนใจสมัครใช้บริการได้ที่ https://www.dtac.co.th/s/hvGWmTM ติดต่อ call center ที่เบอร์ 1431เพื่อทำให้ทางทีม dtac business ทำการสมัครให้

]]>
1341913
“ดีแทค” ผนึก “เอบีบี” เชื่อมต่อหุ่นยนต์-เครือข่ายความเร็วสูง กระตุ้นอุตสาหกรรมสู่ 4.0 https://positioningmag.com/1338950 Mon, 28 Jun 2021 05:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338950

ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับทุกสิ่ง ทุกๆ อุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ยิ่งโลกหมุนเร็วเท่าไหร่ ธุรกิจต้องหมุนตามให้ทัน มิเช่นนั้นจะไม่สามารถเติบโตเท่าทันได้ ยิ่งเมืองไทยเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรม ยิ่งจำเป็นต้องอัพเกรดให้เข้ากับยุค 4.0 ให้ได้

ความเคลื่อนไหวที่สำคัญล่าสุดในวงการเทคโนโลยี และอุตสาหกรรม บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด และ บริษัท เอบีบี ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Understanding: MOU) ในการนำ ABB Robotics และ ABB Remote Insights เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโครงข่ายดีแทค และต่อยอดสู่ 5G โครงข่ายส่วนตัว (5G Private Network)

เท่ากับว่านี่คือกุญแจสำคัญที่กระตุ้นธุรกิจให้เดินหน้าการผลิตทุกวิกฤต แม้เจอโรคอุบัติใหม่ทำให้ต้องล็อกดาวน์จนธุรกิจสะดุด แต่ก็มีความพร้อมในการควบคุมการผลิตได้ทุกที่อย่างแม่นยำ และปลอดภัย พร้อมทำ Proof of Concept (POC) ทดสอบให้กลุ่มผู้ประกอบการพร้อมโซลูชั่นต่อยอดอุตสาหกรรม 4.0 อย่างยั่งยืนอีกด้วย

ราจีฟ บาวา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจองค์กรและธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า

“ความท้าทายของอุตสาหกรรมไทย คือ การที่วันนี้ต้องเร่งนำเทคโนโลยีแห่งอนาคตมาปรับใช้เพื่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตครั้งใหญ่ และใช้การเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยีความเร็วสูง ซึ่งหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่มาพร้อมกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงรวมถึง 5G โครงข่ายส่วนตัว (5G Private Network) จะทำให้เกิดการปฏิรูปกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมไทย และก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน รวมถึงจะสามารถดึงดูดให้นักลงทุนเลือกย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับเอบีบี”

ทางด้าน เจียนอังเดร บรุซโซเน กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เอบีบี ประเทศไทย กล่าวว่า

“พวกเรารู้สึกยินดีที่ได้เป็นพันธมิตรกับดีแทคร่วมผลักดันอุตสาหกรรมของไทย โดยเอบีบีเป็นผู้นำด้านหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ อุปกรณ์เสริมและแอปพลิเคชันในการใช้งาน และได้ให้บริการมากถึง 53 ประเทศทั่วโลก โดยปัจจุบันเราได้ติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมไปแล้วมากกว่า 500,000 โซลูชั่น โดยเอบีบีมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับความความร่วมมือในครั้งนี้ที่ต้องการใช้ศักยภาพของเครือข่าย dtac 4G/5G ในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ผ่านกลุ่มธุรกิจภาคอุตสาหกรรม จึงเป็นที่มาของความร่วมมือในการพัฒนาและต่อยอดสู่ ABB Solution เพื่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในประเทศไทย”


พลิกโฉมอุตสาหกรรมไทย 2 ปัจจัยสำคัญ

1. ความร่วมมือ ABB Robotics

เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ ABB Collaborative Robot ซึ่งเป็น Solution ของกลุ่มธุรกิจ Robotics & Discrete Automation บนโครงข่ายส่วนตัว dtac 5G Private Network เพื่อทดสอบการใช้หุ่นยนต์ และแขนกลอัตโนมัติสำหรับนำไปใช้งานในกลุ่มธุรกิจภาคอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่เฉพาะ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมจำกัดที่เป็นอันตราย

โดยการเชื่อมต่อกับโครงข่ายของดีแทคจะเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่ควบคุมได้แบบเรียลไทม์ แม่นยำ และปลอดภัยในการรับส่งข้อมูล ที่สำคัญ 5G มีประสิทธิภาพสูงและตอบสนองที่รวดเร็ว หุ่นยนต์จึงสามารถทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงได้ ในขณะที่ผู้ควบคุมสามารถสั่งงานจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัย

2. ความร่วมมือ ABB Remote Insights

เป็นการพัฒนา และต่อยอดโซลูชั่นของกลุ่มธุรกิจ Process Automation ร่วมกับโครงข่ายดีแทค 4G/5G ที่ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทั่วไทย เพื่อนำไปใช้งานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่มีความต้องการโซลูชั่นที่เพิ่มประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการทำงาน

โดยแอปพลิเคชันที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารโต้ตอบระยะไกลระหว่างผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ จะใช้เทคโนโลยีการแสดงภาพเสมือนจริง หรือ  Augmented Reality (AI) บนโครงข่ายดีแทคในการให้ข้อมูล และคำแนะนำเพื่อการแก้ไขปัญหาแบบเรียลไทม์

ความร่วมมือของดีแทค และเอบีบีในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม และธุรกิจของไทย รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ทางการตลาดเพื่อกลุ่มธุรกิจภาคการผลิต และอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจที่มีความต้องการใช้งานเทคโนโลยี 5G กับ Robotic ที่จะเป็นการขับเคลื่อนครั้งสำคัญให้แข่งขันได้ทั้งในประเทศ และภูมิภาค

ถือว่าเป็นการผสานจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ความเชี่ยวชาญทางด้านหุ่นยนต์ของเอบีบี สู่การเชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลของดีแทค จะสามารถเพิ่มศักยภาพ และสร้างโอกาสทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง โดยข้อมูลจากเอบีบีรายงานว่า สิงคโปร์ และไต้หวันนำหุ่นยนต์ใช้งานทดสอบ COVID-19 ลดความเสี่ยงชีวิตผู้ปฏิบัติงาน เพิ่มขีดความสามารถ รวดเร็ว และแม่นยำสูง ได้อีกด้วย

]]>
1338950