Entertainer – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 06 Jun 2012 00:00:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “โดม” The Star 8 ครบรส “ดราม่า” คลุกเคล้า “CSR” https://positioningmag.com/14732 Wed, 06 Jun 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14732

 

“…คุณเลือกเขามาแล้ว อย่าทิ้งเขานะครับ ช่วยกันสนับสนุนเขาต่อไป ไม่ใช่แค่ในฐานะนักร้อง แต่ให้เขาได้เป็น…แบบอย่างและแรงบันดาลใจ…”  

สาระคำพูดของ บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้ให้กำเนิดรายการ The Star การประกวดเพื่อค้นหานักร้องที่เพิ่งจบปีที่ 8 ไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2555 

คืนเดียวกับที่เขาพูดประโยคนี้เพื่อแสดงความยินดีกับ โดม – จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม หลังจากมอบถ้วยรางวัล The Star ให้กับ “โดม” ในฐานะผู้ชนะบนเวที 

รายการเดอะสตาร์ เป็นความฝันของคนรุ่นใหม่ คนที่จะกล้าก้าวเข้ามาหาโอกาสให้กับตัวเองซึ่งต้องมีความมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะทำตามฝันอย่างจริงจัง จึงไม่แปลกที่ 8 คนสุดท้าย รวมทั้งคนที่ได้ตำแหน่งเดอะสตาร์หลายคน เป็นประเภท “แพ้แล้วไม่ท้อ” แต่พร้อมที่จะกลับเข้าสู่การคัดเลือกซ้ำอีก แม้บางคนจะเคยถูกคัดออกตั้งแต่รอบคัดเลือกก็ตาม  

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าประเด็นแพ้แล้วไม่ท้อ แต่ยังคงมุ่งมั่นก้าวตามฝัน คือเรื่องราวที่รายการเดอะสตาร์พยายามเสนอมาตลอดระยะเวลา 8 ปี แม้จะถูกจิกกัดว่าเป็น “ดราม่า” หรือ “มาม่า” ศัพท์แสลงที่ใช้กันมากโดยเฉพาะในเว็บพันทิป  

เช่นเดียวกับโดม หรือ “โดมเรมอน” ฉายาใหม่ของ จารุวัฒน์ ที่พี่โจ้ สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา หนึ่งในคอมเมนเตเตอร์เรียกขานเป็นคนแรกในฐานะที่โดมสามารถแสดงความสามารถได้หลากหลายเกินคาด ความสามารถของโดมที่พัฒนาและค่อยๆ แสดงให้เห็นนอกเหนือจากเสียงร้องโดดเด่น ความแม่นโน้ต และเทคนิคการร้องที่ทำให้ทุกเพลงที่ร้องเหมือนเป็นเพลงของตัวเอง เป็นสิ่งเติมเต็มที่ทำให้โดมเพิ่มระดับแฟนคลับและเสียงโหวตมากขึ้นๆ ในทุกๆ สัปดาห์ของการแข่งขัน  

“แฟนคลับแรกๆ จะเป็นเพื่อนๆ กัน จากโต๊ะที่คณะ ชื่อโต๊ะหางนกยูงเป็นโต๊ะของนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ ช่วงหลังจะเริ่มเห็นคนที่เราไม่เคยรู้จัก คนใต้ก็เยอะ บางคนก็ติดตามเรื่องครอบครัวด้วย ตอนหลังมีถึงขนาดมาช่วยเหลือที่บ้าน คอยมารับมาส่งคุณพ่อคุณแม่ที่ขึ้นมาดูการแข่งขัน” โดมให้ข้อมูลกับ POSITIONING 2 วันหลังชนะการประกวด

ถ้าย้อนถามถึงความรู้สึกตอนได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็น 8 คนสุดท้ายของเดอะสตาร์ปี 8 โดมบอกว่า ถือเป็นความสำเร็จขั้นแรก และลบสิ่งที่ค้างคาใจไปได้ว่าทักษะด้านการร้องเพลงที่เขาพัฒนาตัวเองมาอย่างต่อเนื่อง สามารถเอาชนะรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการตอบรับของสังคมที่ยอมรับเรื่องของคุณภาพเสียงร้องมากขึ้น

หากจะให้ถ่ายทอดความรู้สึกนี้ออกมา ก็คงไม่ต่างจากประโยคที่เขาพูดในระหว่างคอนเสิร์ตรอบ 3 คนสุดท้ายที่ว่า

“จริง ๆ แล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความฝันนะครับ แต่ว่าผมไม่เคยกล้าที่จะเดินตามฝัน ด้วยความคิดที่คิดอยู่เสมอครับว่า เด็กอ้วนๆ ดำๆ คนหนึ่งฝันที่จะเป็นนักร้องและก็อยากจะให้ทุกคนยอมรับ มันคงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าวันนี้ ผมมายืนอยู่ตรงนี้ มันเป็นความรู้สึกที่เกินฝันมากๆ ครับ”

โดมเล่าว่า เขาเคยเข้าร่วมคัดเลือกกับเดอะสตาร์ครั้งแรกประมาณ 4-5 ปีก่อน 

“ตอนนั้นเรียนอยู่มัธยม เด็กมากๆ ไม่เคยฝึก จนเข้ามหาวิทยาลัย ได้ลองหาประสบการณ์ทำงานร้องเพลงกลางคืน มีประสบการณ์กับดนตรี มีคนช่วยดูแล ช่วยเหลือ ช่วยสอน คิดว่าน่าจะพร้อมเลยมาสมัคร” 

ปัจจุบันโดมมีสถานะเป็นนักศึกษาปี 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเดิมเขาเคยคิดที่จะเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ แต่ด้วยความรู้สึกอยากทำในสิ่งที่คุณพ่อชอบ เลยตัดสินใจสอบเข้านิติศาสตร์เพื่อเป็นกำลังใจให้คุณพ่อซึ่งเคยเป็นกำลังหลักของครอบครัวที่ล้มป่วยลงได้รับความรู้สึกดีๆ 

เรื่องราวดราม่าในเดอะสตาร์ จะมาจากข้อมูลที่ผู้เข้าแข่งขันกรอกไว้ในใบสมัคร ซึ่งนอกจากข้อมูลประวัติส่วนตัวจะมีคำถามที่เกี่ยวกับความรู้สึกด้วย เช่น เหตุการณ์ที่เศร้า หรือสุขที่สุดในชีวิต เป็นต้น ซึ่งกลายเป็นสตอรี่ในการดำเนินรายการสำหรับผู้สมัครแต่ละคนที่จะถูกหยิบมาพูดถึงในโอกาสต่อๆ ไป 

“รายการเราไม่ได้วางเรื่องดราม่า เรื่องราวพวกนี้ผู้สมัครวางของเขากันเองเพราะชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในแบบสอบถามเรามีให้ทุกคนกรอก แต่การคัดเลือกเสียงต้องมาก่อน หน้าตาอาจจะมีบ้าง พอเข้ารอบมาแล้วอาจจะเอาข้อมูลในใบสมัครมาเป็นส่วนประกอบบ้าง” ทีมงานเอ็กแซ็กท์ให้ข้อมูลเสริม 

 นอกจากประกวดเพื่อหานักร้องเสียงคุณภาพ อีกมุมหนึ่งของเดอะสตาร์ จึงมักจะได้รับการพูดถึงแทบทุกปีว่า เป็นรายการที่ “ดราม่าเด่น” ด้วย 

เดอะสตาร์เป็นรายการที่ไม่มีเงินรางวัลก้อนโตให้กับผู้ชนะ สิ่งที่ให้เป็นเพียงโอกาสสำหรับผู้ใฝ่ฝันจะเป็นนักร้อง นั่นคือการได้ออกอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเองเต็มๆ หนึ่งอัลบั้มภายในระยะเวลา 1 ปี และงานโชว์ต่างๆ  ซึ่งทีมงานเอ็กแซ็กท์ให้ข้อมูลว่าอย่างน้อยๆ ผู้ชนะจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่าเลข 7 หลักในช่วง 1 ปีที่ครองตำแหน่ง

“ตอนนี้เรื่องอัลบั้มยังไม่ได้เริ่ม โปรแกรมงานของผมจะเหมือนกับเพื่อนๆ เพราะอยู่ในช่วงทำอัลบั้มรวมเดอะสตาร์ 8 การทำอัลบั้มเดี่ยวเป็นความใฝ่ฝัน เป็นโอกาสที่ได้มาแล้ว และต้องทำ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องดูว่าจะมีโอกาสอะไรเข้ามา ซึ่งผมอยากทำทุกอย่างที่มีคนเปิดโอกาสให้ลองทำ”

นี่คือการตั้งรับสำหรับโอกาสใหม่ๆ ของโดมหลังรับตำแหน่ง แต่สิ่งที่เขาเขียนในใบสมัครว่าอยากทำมากที่สุดหากเลือกได้คือ “อยากร้องเพลงละคร”

แม้หลายคนจะมองว่าโดมมีความสามารถในการร้องเพลงระดับนักร้องอาชีพ แต่คำแนะนำจากคุณบอยที่เขาได้รับ ยังเน้นให้ปรับปรุงเรื่องการร้อง โดยเฉพาะการสื่อสารในสิ่งที่ร้องออกไป 

“คุณบอยแนะนำว่า เข้าเพลงแล้วร้องโดยไม่รู้สึก อย่างไรมันก็ไม่เพราะ แต่ถ้าส่วนตัวผม สิ่งที่อยากปรับปรุงมากที่สุดคือเรื่องของบุคลิกภาพ การจัดระเบียบร่างกาย เพราะเวลาออกทีวี รูปร่าง ลักษณะท่าทางที่คนเห็นเป็นส่วนสำคัญ ไม่ต้องทำให้หล่อ แต่ทำอย่างไรให้มันน่าดู และให้คนดูแล้ว รู้สึกสบายใจ” 

ใครที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย…กับคำแนะนำของคุณบอยและสิ่งที่โดมต้องการปรับปรุงตัวเอง แนะนำให้กลับไปดูเทปประกวดในเพลง “คำอธิษฐานด้วยน้ำตา” เพลงแรกในชีวิตของโดม ที่แต่งไว้แล้วใกล้เคียงกับชีวิตจริง และตีความได้ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตทางบ้าน ความรู้สึกของตัวเอง และความรู้สึกของคนที่มีคนรักแล้วคนรักจากไป 

นอกจากดูลักษณะท่าทางภายนอก ดูแล้วให้ลองทายว่า โดมต้องการสื่ออะไรระหว่างร้องเพลงนี้ แล้วมาดูว่าตรงกับความรู้สึกที่โดมบอกไว้นี้ไหม 

“เวลาร้องก็คิดถึงที่บ้านในแง่บวก มันเป็นเพลงเศร้า เนื้อหาพูดถึงความสุขที่ดีมาตลอด วันหนึ่งมันหายไป อยากให้มันกลับมา นึกถึงมันเราก็คงต้องยิ้ม ยิ้มด้วยน้ำตา ก็คงไม่ได้เศร้า ออกมาเป็นความรู้สึกในแง่บวกมากกว่า”

]]>
14732
สูตรลับนักปั้น https://positioningmag.com/14525 Thu, 08 Mar 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14525

สูตรลับนักปั้น

Recruit

– เล็งจากเวทีประกวด เพราะว่าเข้าถึงตัวเด็กได้เลย

– ตระเวนหาตามแหล่งชุมชนไทยในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง  

– ตัวเด็กเข้ามาสมัครเองจากแบรนด์ของ เอ-ศุภชัย ที่ใครๆ ก็รู้จักว่าเป็นนักปั้นมือทอง

– ช่วงแรกของชีวิตนักปั้น เอ-ศุภชัย จะเลือกพระเอกคมเข้มแต่มีดีกรีนักเรียนนอกอย่าง ป๋อ-ณัฐวุฒิ หรือบัณฑิตเกียรตินิยมอย่าง โน้ต-วัชรบูล ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นดาราวัยรุ่นให้รับกับเทรนด์

Training

– ฝึกการแสดง, ร้องเพลง, บุคลิกภาพ ทำให้เด็กมีพื้นฐานในวงการบันเทิงก่อน ผู้จัดจะได้ใช้งานสะดวกขึ้น มาตรฐานอยู่ที่ เอ-ศุภชัย ว่าจะให้ผ่าน และส่งเข้าสู่สนามจริงหรือไม่ 

– ออกกำลังกาย รักษาหุ่น นักแสดงโดยเฉพาะผู้ชายจะมีคอร์สออกกำลังกายที่มีผู้เชี่ยวชาญมาดูแลรักษาหุ่น และดูแลเรื่องอาหารการกิน 

– การแต่งกาย แต่งหน้า ทำผม ในระดับหนึ่ง การแต่งตัวของดาราเวลาออกงาน เอ-ศุภชัย จะใช้วิธีการตัดชุดโดยดูแบบจากเกาหลี หรือดูแค็ตตาล็อกเสื้อผ้าแบรนด์เนม 

 – ฝึกความอดทนกับการทำงานในวงการบันเทิง ทั้งเรื่องกิน การมีปฏิสัมพันธ์กับทีมงานในกองถ่าย

– เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เรื่องการปรากฏตัวบนเวที เช่น มุมกล้องถ่ายรูป การเดิน ที่ทั้งหมดต้องโชว์มุมที่ดีที่สุดของตัวเองตลอดเวลา  

กระแสสร้างได้

– ตั้งชื่อให้กับเด็กในสังกัด โดยต้องเป็นชื่อที่สะดุดหู งานนี้ไม่ต้องดูดวงที่ไหน เอ-ศุภชัย ฟันธงด้วยตัวเอง 

– เลือกช่องทางให้เหมาะกับความสามารถ และบุคลิกของเด็กในสังกัด

– ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ ทั้งข่าวเชิงบวกและข่าวแง่ลบ ก็ช่วยโปรโมตได้ทั้งนั้น

– ขึ้นปกนิตยสารดังในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อทำให้ผู้ชมติดตา

Remain

– วาง Position ให้ดารา มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน 

– เลือกรับงานที่ถนัด ถ้าหากว่าไม่ถนัดก็ไม่ปล่อยให้งานที่ไม่มีคุณภาพออกสู่สายตาผู้ชม (อั้ม พัชราภา ไม่เคยร้องเพลงในงานไหนเลย)  

– รักษาคุณภาพงานต่อเนื่อง มีข่าวอยู่ตลอด ไม่ให้หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ 

]]>
14525
4+1 “อุ่นใจ” AIS อยากได้ ต้องจ่ายเพิ่ม https://positioningmag.com/14517 Thu, 08 Mar 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14517

“ณเดชน์ คูกิมิยะ” ถือเป็นดาราในระดับ Tier 1 ของช่อง 3 ในกลุ่มดารารุ่นใหม่ ที่ค่าตัวสูงสุด เป็นความดังและแพงในระดับที่บางครั้งสปอนเซอร์อยากให้ทำอะไรเพิ่ม ก็ไม่ง่าย เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในเวที  4+1 ซูเปอร์สตาร์คอนเสิร์ต

หากวัดจากอีเวนต์คนอื่นยังอยู่ในระดับประมาณ 7 หมื่นบาท หรือละครไม่ถึง 3 หมื่นบาท แต่ “ณเดชน์” ออกอีเวนต์ก็ทะลุแสน ส่วนละครอยู่ที่ประมาณ 3-4 หมื่นบาท ขณะที่ดาราประกอบเฉลี่ยได้เพียงประมาณ 1.5 หมื่นบาทเท่านั้น  

แม้จะเทียบกับดารารุ่นใหญ่ของช่อง 3 ไม่ได้ อย่างในระดับ Tier 1 ของช่อง 3 เช่น เคน ธีรเดช  แอน ทองประสม ชมพู อารยา แอฟ ทักษอร รายได้จากละครเฉลี่ยตอนละประมาณ 7-8 หมื่นบาท ยิ่งออกอากาศหลายตอนก็มีรายได้มากขึ้น ขณะที่เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าแบรนด์หนึ่งจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท หรือโชว์ตัวในอีเวนต์ไม่กี่ชั่วโมงก็รับไปเฉลี่ยเกือบ 2 แสนบาท 

ที่เวที 4.1 ซูเปอร์สตาร์คอนเสิร์ต แม้เอไอเอสจะจ่ายเงินค่าเป็นสปอนเซอร์หลักที่ 10 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ “ณเดชน์” มาร้องเพลง “อุ่นใจ” ที่แต่งขึ้นใหม่ในแผนรีแบรนด์บนเวทีครั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าหากร้อง “ต้องจ่ายเพิ่ม” และยังติดที่ว่า “ณเดชน์” เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ในซิมอีสานของกลุ่มทรูมูฟด้วย 

อุ่นใจบนเวทีนี้จงมีเพียง 4 คนที่ร่วมร้องคือบอย ปกรณ์ หมาก ปริญ เคน ภูภูมิ และ มาริโอ้ เท่านั้น

 

ค่าตัวและลักษณะงานพรีเซ็นเตอร์ของ “ณเดชน์”

– งานโฆษณา เฉลี่ย 3-5 ล้านบาท สัญญา 6 เดือน -1 ปี ถ่ายทำทีวีซี 1 เรื่อง

– งานอีเวนต์ เฉลี่ย 1.2 แสนบาท ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ถือผลิตภัณฑ์ พูดถึงคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ ถ่ายรูปบนเวที ถ่ายรูปพร้อมให้สัมภาษณ์สื่อตรงแบ็กดร็อป 

– งานละคร เฉลี่ยตอนละ 3-4 หมื่นบาท (เรื่องหนึ่งประมาณ 15-25 ตอน) 

]]>
14517
ณเดชน์ ไม่ใช่เหตุบังเอิญ https://positioningmag.com/14523 Tue, 06 Mar 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14523

ความดังของ “ณเดชน์” ในระดับเมกะซุป’ตาร์เวลานี้ เอ ศุภชัยบอกว่า เป็นอุบัติเหตุแต่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ และไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดได้บ่อย หรืออาจไม่เกิดขึ้นอีกในรอบอีกหลายปีข้างหน้า พูดง่ายๆ ไม่ใช่ใครที่จะทำได้อย่างณเดชน์

ในสายตาของเอ ความดังในระดับซูเปอร์สตตาร์ ของ “ณเดชน์” นอกจากความโดดเด่นเรื่องหน้าตา ยังมาจากพื้นฐานการเป็นคนที่มีต้นทุนสูง เป็นลูกบุญธรรมในครอบครัวที่พ่อบุญธรรมเป็นคนญี่ปุ่น แม่เป็นคนไทย ณเดชน์เป็นคนหลายวัฒนธรรม ได้ความมีระเบียบ และความเป็นนักธุรกิจจากพ่อชาวญี่ปุ่น และความเป็นครอบครัวจากแม่ 

“เมื่อเขาทำหน้าที่ลูกบุญธรรมสำหรับคนที่ไม่ใช่พ่อแม่มาแล้ว ดังนั้นการที่เขาจะทำให้คนทั้งประเทศไทยรักเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับณเดชน์ ใครเห็นก็เอ็นดู”

ความเป็นที่ชื่นชอบของแมส มาจากพื้นเพความเป็นคนต่างจังหวัด เป็นลูกอีสาน พูดภาษาท้องถิ่นได้คล่องปรื๋อ เมื่อมาผสมผสานกับบุคลิกที่ถูกปั้นใหม่ เลยเป็นส่วนผสมที่ลงตัว สวมบทบาทได้ทั้งหนุ่มอีสานและไฮโซมาดเท่ในเวลาเดียวกัน ทำให้ณเดชน์ได้แฟนคลับที่ชื่นชอบหลายกลุ่ม

“ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ ทั้งนายแบบที่เหมือนหลุดมาจากโว้คหรือแคตวอล์ก แต่สามารถเอาผ้าขาวม้าคาดพุงแล้วคนก็เชื่อ นี่แหละคือโจทย์ยากที่ณเดชน์ตอบได้”

เอมองว่า ความดังในระดับเมกะซุป’ตาร์ของณเดชน์กำลัง “สุกงอม” เต็มที่ สิ่งที่นักปั้นอย่างเขาต้องทำคือ การหา “เนื้องาน” ใหม่ๆ เข้ามาป้อน ทำให้เขากำลังมองไกลไปถึงต่างประเทศ 

“ณเดชน์ยังไม่ได้ถึงจุดอิ่มตัว เราจะมีเนื้องานใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ น้องเขาร้องได้ เต้นได้  อยากไปดูดเงินต่างชาติบ้าง เคยคุยกับประวิทย์ (มาลีนนท์) ไปจีนกันมั้ย เอาให้เต็มเหนี่ยวเลย ก็ทำให้เต็มเหนี่ยว แต่ก็เข้าใจว่าน้องเขายังติดละคร แต่ไหนแล้วตีเหล็กต้องตีตอนร้อน” เอ บอกเป้าหมาย

]]>
14523
Attention Please! เมื่อ “ณเดชน์” กวาดงานพรีเซ็นเตอร์ https://positioningmag.com/14530 Wed, 29 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14530

ดาราที่ดังจนเป็นที่สนใจของคนทั้งประเทศได้ ถือเป็นโอกาสของแบรนด์ที่อยากใช้เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ดังระดับนี้ แบรนด์อาจคาดหวังไกลมากไม่ได้ เพราะในเมื่อใครๆ ก็ใช้ ”ณเดชน์” แล้วจะทำอย่างไรให้แบรนด์คุณเป็นที่จดจำ

“ผศ.ดร.กฤตินี ณัฎฐวุฒิสิทธิ์” นักวิชาการด้านการตลาด และอาจารย์ประจำ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่าการมีพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์ เป้าหมายคือเมื่อนึกถึงพรีเซ็นเตอร์ก็นึกถึงแบรนด์ แต่พรีเซ็นเตอร์คนหนึ่งนำเสนอหลายแบรนด์ ก็ยากที่จะได้ผลนี้ ถ้าเทียบกับมีเซเลบริตี้ที่มีคาแร็กเตอร์ชัดเจน สอดคล้องกับบุคลิกแบรนด์ ที่ช่วยตอบโจทย์ในการเป็นผู้สื่อสารแบรนด์ได้ดีกว่า

แต่ถ้าวัตถุประสงค์แบรนด์ต้องการดึงความสนใจ (Attention) สร้างกระแส การได้พรีเซ็นเตอร์ระดับดังมาก ก็ถือว่าตอบโจทย์ แต่แบรนด์ก็ต้องทำงานเพิ่มเติมวางกลยุทธ์ในการสื่อแบรนด์มากขึ้น

กรณีนี้สิ่งที่แบรนด์ที่มี ”ณเดชน์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ได้แน่นอนคือ การดึง ”ความสนใจ” แต่อย่าลืมว่าผู้ชมมีรีโมตในมือ หากทีวีซีไม่น่าสนใจ หรือวิธีการนำเสนอไม่สร้างสรรค์พอ คนก็จะเปลี่ยนไม่ดูโฆษณาแบรนด์นั้นทันที อย่างนี้แม้แต่การดึงความสนใจก็ยังไม่ได้

แบรนด์ที่จะทำสำเร็จได้ยังต้องสื่อสารระหว่างบุคลิกของพรีเซ็นเตอร์กับคุณสมบัติของสินค้าในแบบไปด้วยกันได้ เช่น “ณเดชน์” มีลักษณะสดใส มีพลัง ก็เหมาะกับการเป็นพรีเซ็นเตอร์เครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น แต่หากไปเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์หรู คนก็อาจยังไม่เชื่อ

สิ่งที่แบรนด์ต้องคำนึงถึงอย่างยิ่งคือโฆษณาแบบทีวีซีนั้น อย่าทำเป็นละคร แต่ต้องจับคาแร็กเตอร์ของพรีเซ็นเตอร์ให้สะท้อนคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้น เม็ดเงินที่แบรนด์ทุ่มลงไปกับพรีเซ็นเตอร์ ก็จะสูญเปล่า  

]]>
14530
ถอดรหัส “ณเดชน์ โมเดล” โปรดักต์แชมเปี้ยน https://positioningmag.com/14529 Wed, 29 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14529

“ณเดชน์ คูกิมิยะ” จัดเป็น ”โปรดักต์แชมเปี้ยน” ในสังกัด ”เอ ศุภชัย” ซึ่งความสำเร็จนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือระบบการ ”ปั้น” จากคนในวงล้อม ”ณเดชน์” ปรากฏการณ์นี้ ทำให้เห็น ”ตัวตน” ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ไปจนถึง How to หากคุณอยากสร้าง ”โปรดักต์แชมเปี้ยน” ให้สำเร็จ “ผศ.ดร.กฤตินี ณัฎฐวุฒิสิทธิ์” นักวิชาการด้านการตลาด และอาจารย์ประจำ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ได้อย่างน่าติดตาม

 

โดน Insight ก็ได้เสียงกรี๊ด

การเป็นคนดังในระดับเมกะซูเปอร์สตาร์ของคนไทยนั้นที่ผ่านมา จะต้องมีบุคคลที่มีลักษณะร่วมคือเป็น “ที่รัก” ของมหาชน ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้

– “เป็นที่รัก” มีลักษณะที่ทำให้คนชอบได้ง่าย คือ บุคลิก หน้าตา การวางตัว การพูดจาที่มีมารยาท ทั้งการสื่อสารกับสื่อ แฟนคลับ และผู้ชม

– “บันเทิง” เป็นคนที่ให้ความสุข ความบันเทิงกับคนรอบๆ ข้าง อย่างที่ผ่านมามี เบิร์ด ธงไชย อั้ม พัชราภา ที่มีความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์

– “แคร์” เป็นคนที่แคร์ ใส่ใจความรู้สึก ความคิดของผู้ชม หรือเอาใจใส่ว่าเมื่อพูดอะไรแล้วจะส่งผลต่อความรู้สึกของคนรอบข้างอย่างไรบ้าง

– “ความต่อเนื่อง” ในการแสดงออกที่ให้ความรู้สึกดีต่อความรอบข้าง มีการทำอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะนี้เป็นผลมาจากทางจิตวิทยา และวัฒนธรรมของสังคม ที่ ผศ.ดร.กฤตินี อธิบายว่า คนที่เป็นที่ชื่นชอบลักษณะนี้ในสังคมไทยจะต่างจากสังคมในยุโรปและอเมริกา ที่สังคมตะวันตกจะชอบคนที่มีบุคลิกภาพฉีกตัวเองออกจากสังคมทั่วไปชัดเจน อย่างเลดี้ กาก้า หรือเมื่อก่อนมีมาดอนน่า อีมิเนม ไมเคิล แจ็กสัน เป็นการชื่นชมแบบไม่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหัวใจ ต่างจากสังคมตะวันออกรวมทั้งคนไทย ที่จะชื่นชมและนำบุคคลนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ

ในเชิงจิตวิทยา ความต่างนี้มาจากค่านิยมที่ไม่เหมือนกัน เกี่ยวกับมุมมองของความสำเร็จในชีวิต คือสังคมตะวันตกต้องผลักดันตัวเองให้สำเร็จ และต่างจากคนอื่น ส่วนคนไทยแม้ต้องการความสำเร็จ แต่ไม่ได้อยากรู้สึกต่างจากคนอื่น ยกตัวอย่างการเรียน เรียนพอได้ ไม่เป็นที่โหล่ ก็ถือว่าโอเคแล้ว ดังนั้นคนจึงชื่นชอบคนดังในลักษณะที่ไม่ได้แตกต่างกับคนทั่วไปมากนัก ลักษณะนี้จึงเป็นที่รักของมวลชนได้ง่าย

 

Story Telling มาเต็ม

การต่อยอดความสำเร็จอยู่ที่การจัดการ ซึ่งคนดังระดับนี้ต้องผ่านการจัดการอย่างดีจากผู้จัดการดารา หากเปรียบกับความเป็นสินค้าแล้ว ถือว่ามีการวางแผนสร้างและกระบวนการสื่อสารอย่างดี และไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญที่เกิดมาแล้วดัง

ที่เห็นได้ชัดเจนคือการมี Story Telling ซึ่งหากพิจารณาถึงหน้าตาแล้ว แม้ ”ณเดชน์” จะจัดว่าเป็นคนหล่อ ถึงหล่อมาก แต่ในสังคมก็มีคนหล่ออีกจำนวนมาก แต่ไม่ดังเท่า เพราะเรื่องราวไม่น่าสนใจเท่า ”ณเดชน์” ที่เปรียบเสมือนสินค้าที่หากแบรนด์ใดมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ ก็ทำให้ผู้บริโภคสนใจและติดตามมากขึ้น

“ณเดชน์” เปิดตัวออกมาในวงการตั้งแต่ชื่อ นามสกุล ที่สะดุดหูผู้ชม เมื่อคนสะดุด สงสัยก็จะค้นหา ตั้งแต่นามสกุล ”คูกิมิยะ” ที่ทำให้คนเข้าใจแล้วว่าลูกครึ่ง แต่ก็มีเรื่องราวตามมาเกี่ยวกับบิดา มารดาที่แท้จริง ไปจนถึงการเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวพี่สาวของมารดาตัวเอง ภาคภูมิใจในความเป็นชาวอีสาน ขอนแก่น จนถึงการมีหลักธรรมเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต

กลายเป็นโปรดักต์ที่มีสีสันทางการตลาด ดังนั้นหากจะบอกว่าเฉพาะหน้าตาดีอย่างเดียว จึงไม่ใช่คำตอบเดียว แต่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ เพราะที่ผ่านมาพระเอกที่ดัง ก็ไม่ได้บอกว่าต้องหน้าคม คิ้วเข้ม หรือต้องมีหน้าตาเด่นแบบไหนที่คนไทยชอบ เรื่องหน้าตาเป็นเรื่องยุคสมัยความนิยม หรือเป็นกระแส เช่น ช่วงเทรนด์เกาหลี เทรนด์ลูกครึ่ง แต่สิ่งที่มีส่วนสำคัญคือ “เรื่องราว”

 

เพิ่มมิติ-พัฒนาสร้าง “ต้นทุน” ให้อยู่นาน

จุดที่ ”ณเดชน์” พุ่งขึ้นแรงคือการได้รับบทการแสดงในซีรี่ส์ชุด 4 หัวใจแห่งขุนเขา ตอนดวงใจอัคนี ในบท ”ไฟ” (ขาาาา) ด้วยบทที่นิสัยบู๊ ร้อน เดือด แต่เท่ ทำให้ฉีกจากพระเอกในรุ่นเดียวกันที่ได้รับบทที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในละครไทย การเป็น ”ความต่าง” ในช่วงที่มีพระเอกหลายคนกำลังเข้ามาในตลาด

หลังจากนั้นมีการเติมสิ่งใหม่ๆ ให้ ”ณเดชน์” อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงแค่เปิดตัวให้หวือหวา หรือสะดุดตามผู้ชมเท่านั้น

“หากมอง ”ณเดชน์” เสมือนโปรดักต์ ที่เรียนรู้ได้คือการวางแผนอย่างดี มีระบบ ขั้นตอน การนำเสนอเรื่องราวร มีการสื่อสาร ในหลากหลายแง่มุม ซึ่งณเดชน์ไม่ได้มีแค่แง่มุมละครเท่านั้น ทุกอย่างเกิดจากกระบวนการวางกลยุทธ์สอดคลอ้องเหมาะสม ในแง่แบรนด์คือต้องคิดภาพใหญ่ และคิดต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เปิดตัวแล้วคิดว่ากระแสจะเป็นตัวตีให้อยู่ในตลาดได้ตลอดไป”

ดาราก็เหมือนกับสินค้า ที่ต้องการมีการรีเฟรชแบรนด์ตลอดเวลา เพื่อให้อยู่ในใจผู้ชมได้นาน แม้จะอยู่ได้นานยาก แต่ก็สามารถทำได้ สิ่งที่ทำให้มีโอกาสได้ คือการแสดงความสามารถ หรือต้องเป็นคนที่ ”มีของ”

ดร.กฤตินียกตัวอย่างเช่น อย่าง ”พลอย เฌอมาลย์” กระแสไม่ตก เพราะสามารถทำให้ตัวเองสดใหม่ตลอดเวลา ตั้งแต่การเลือกบทการแสดงที่เลือกอย่างหลากหลาย ในจังหวะที่ต่างกัน แต่ทำอย่างต่อเนื่อง มีวิธีการสื่อสาร หาเรื่องมีพูดคุยกับผู้ชม เพื่อเป็นข่าว จนเป็นนักแสดงที่มีหลายมิติ

กรณีของแบรนด์ ก็สามารถทำให้เป็นแบรนด์ที่มีหลายมิติ เพื่อให้ลูกค้าไม่เบื่อ และหากทำอย่างรู้จังหวะเวลา จะทำให้นคนมีความภักดีต่อแบรนด์ เช่น กรณีของกระเป๋าหลุยส์วิตตอง ที่ไม่ได้เล่าเรื่องความหรูหรา เพื่อสร้างการขายจาก Emotional ตลอดเวลา แต่ในเวลาที่เศรษฐกิจถดถอยก็ไม่เหมาะจะพูดถึงซูเปอร์หรูของแบรนด์ตัวเอง จึงพูดถึง Functional เช่นบอกว่ากระเป๋าเดินทางของหลุยส์ ดีไซน์เหมาะกับการเดินทาง เป็นต้น

กรณีของ ”ณเดชน์” ที่โดดเด่นตอนนี้คือการเป็นพรีเซ็นเตอร์ การได้รับบทการแสดงที่เริ่มหลากหลายมากขึ้นและล่าสุดการแสดงคอนเสิร์ต 4+1 เพื่อแสดงความสามารถร้องเต้นและการแสดง ทำให้คนได้เห็นคุณสมบัติในหลายมุมมากขึ้น

แต่ต่อไปต้องทำในสิ่งที่ผู้ชมยังไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคนปั้นจะปั้นได้มากขนาดไหน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ เพื่อให้มีคาแร็กเตอร์หลากหลาย เพราะผู้ชมปัจจุบันมีดาราให้เลือกจำนวนมาก

“โดยหลักการสินค้าต้องมี Core Value ชัดเจน ถ้าเป็นคนก็ต้องแสดงทักษะด้านการแสดง การพูด การปฏิสัมพันธ์ ทุกอย่างที่ดีเป็น ”ต้นทุน” คนวางแผนสามารถหยิบต้นทุนนี้ไปใช้ในด้านต่าง ๆ ได้ จะใช้มุมไหน ตอนไหน ขึ้นอยู่ว่าในช่วงนั้นสังคมสนใจเรื่องอะไร ก็สามารถพาคนนี้ไปนำเสนอต่อผู้ชมได้ สำคัญคือคนนั้นต้องมี ”ต้นทุน” ที่ดี ถ้าไม่มี คนวางแผนก็ยากที่จะช่วยสร้างภาพให้ตลอดเวลา”

 

มุมซีเอสอาร์แบบจริงใจช่วยได้

”ณเดชน์” ดูแล ”น้องมอมแมม” ที่เป็นโรคหัวใจพิการซ้ำซ้อนรุนแรง หลังจากที่ได้ดูเทปรายการ เช้าดูวู้ดดี้ ที่เล่าเรื่องเด็กหญิงมอมแมมอาการดีขึ้น หลังจากเฝ้าดูละครเกมร้ายเกมรัก และชื่นชอบ ”สายชล”

“ณเดชน์” ให้เวลานานประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ท่ามกลางสื่อที่เล่ากิจกรรมของ ”ณเดชน์” อย่างละเอียดทั้งคำพูดและการกระทำ เช่น การ เล่นอูคูเล่เล่ให้ฟัง และบริจาคเงินให้ครอบครัวของเด็กหญิงอีก 50,000 บาท และรุ่งขึ้นเป็นพาดหัวข่าวใหญ่หน้า 1 หนังสือพิมพ์หลายฉบับ และรายการทีวีบันเทิงหลายช่อง

ภาพนี้สะท้อนให้เห็นว่ายุคนี้ดาราต้องช่วยเหลือสังคมอย่างจริงใจ เมื่อจริงใจก็จะถูกรายงานและทำให้แฟนคลับยิ่งชื่นชม แน่นอนว่าทำให้กระแสของดาราไม่ตกเหมือนอย่างที่หลายคนทำ แม้จะมีงานน้อยแต่ก็ยังคงมีชื่อเสียงในการช่วยเหลือสังคม เช่นการช่วยน้ำท่วมที่ผ่านมา

 

สื่อพร้อมรับเรื่องที่ถูก “จัดมา”

ช่องทางการสื่อสารคือส่วนที่มีผลอย่างยิ่งที่ทำให้ดาราเกิด ด้วยมุมที่ ดร.กฤตินีเห็นว่าปัจจุบันสื่อทำงานบนเรื่องราวที่มีการ ”จัดให้” มากกว่าที่จะค้นหา และ “ณเดชน์” เป็นผลจากการที่ผู้จัดการดารานำเสนอเขาสู่วงการบันเทิง ไม่ใช่สื่อไปค้นหาดาวหรือพบโดยบังเอิญ ทุกอย่างจึงถูกรายงานตามที่มี

การวางพล็อตเรื่องไว้ ไม่ต่างจากสินค้าและบริการในปัจจุบัน ที่มีการเปิดตัว และสื่อสารตามที่ถูกกำหนดไว้ เป็นการทำงานตามกระแสมากกว่าการค้นหาเอง

ในจุดหนึ่งนักการตลาดอาจชอบที่ทำได้ตามที่กำหนด แต่ในยุคใหม่ สภาพนี้จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะสุดท้ายคนจะถามหาความจริง อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับการเมืองที่ถูกจัดวางจนเหมือนการโฆษณาชวนเชื่อและคนไม่เชื่อในที่สุด

]]>
14529
สถิติเกี่ยวกับณเดชน์ https://positioningmag.com/14518 Wed, 29 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14518

– ถ้าพิมพ์ในกูเกิลคำว่า ”ณเดชน์ คูกิมิยะ” ได้ผลการค้นหาประมาณ 1,550,000 รายการ ถือว่าสูงกว่าดารารุ่นพี่อย่าง ”มาริโอ้ เมาเร่อ” ที่ค้นได้ประมาณ 852,000 รายการ

– เฟซบุ๊กเพจ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ที่มีทั้งแฟนคลับตั้งขึ้น และบุคคลทั่วไปตั้งเอง ในชื่อหลากหลาย สะกดหลายมีไม่ต่ำกว่า 100 เพจในเฟซบุ๊ก

 

เป็นดาราสุดฮอต ประจำปี 2554 (เอแบคโพลล์) 

1.ณเดชน์ คูกิมิยะ 36.9%

2.เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ 24.3%

3.บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ 9.1%

4.เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณาเรส 8.4%

5.ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ 4.1%

 

– งานพรีเซ็นเตอร์โฆษณา 3 ปี กว่า 20 แบรนด์ กว่า 30 แคมเปญ

 

ปี 2552 (เริ่มแบรนด์แรกด้วยแรงส่งจาก “อั้ม” )

– หมากฝรั่ง ไทรเดนท์ รีคอลเดนท์ คู่กับ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ

– ครีมอาบหน้า โชกุบุสซึโมโนกาตาริ โชกุบุสซึ ฟอร์เมน 

 

ปี 2553 (แรงพอมาเดี่ยวได้)

– โฟมล้างหน้านีเวีย ฟอร์ เมน

– โทรศัพท์มือถือซัมซุง รุ่นมอนเต้ 3/โทรศัพท์มือถือซัมซุง กาแล็คซี่ เอส

– รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ ชุด We Love Fino

– รองเท้า บาโอจิ (Baoji) คู่กับ แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์

 

ปี 2554 (1 แบรนด์หลายแคมเปญ และแพ็กคู่ )

บทคู่กับพรีเซ็นเตอร์ชาย

– รถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า New Fino / We are Fino ร่วมกับโตโน่ เดอะสตาร์ และ พอร์ช ศรันย์

– รถยนต์ Mazda 2 Sedan/New Mazda 2 Elegance คู่กับเป้ อารักษ์

คู่กับญาญ่า (อุรัสยา สเปอร์บันด์)

– มันฝรั่งทอดกรอบเลย์ รสหมึกย่างและน้ำจิ้มซีฟู้ด คู่พอลล่า เทเลอร์ และเริ่มคู่กับ ญาญ่า ชุด พาเพื่อนซี้เที่ยวฟรีกับเลย์ /ชุดความสุขเล็ก ที่แบ่งปันกันได้/ชุดรสแซนด์วิช แฮมชิส/ชุดศึกชิงที่หนึ่งของเลย์คิดรส 2/ชุด Same Heart

– เครื่องดื่มสุขภาพดี 24 ชั่วโมง

มิสทิน บีบี แองเจิล

โฟรโมสต์ ชุด กู้ด มอร์นิ่ง

ยำยำ จัมโบ้ รสต้มยำกุ้ง

 

บทเดี่ยว

– เครื่องดื่ม น้ำส้มมินิทเมด พัลพิ ร่วมกับ อาภาภัทร กัญจนพฤกษ์/ชุด Heaven/ชุด  “เปลี่ยนวันเดิมๆ” 

แป้งทเวลพลัส  Extra Cool Powder Anti-Bacteria 

– ครีมอาบน้ำ โชกุบุสซึ โมโนกาตาริ โชกุบุสซึ ฟอร์เมน ชุด ผู้ชายสะอาด ผู้ชายโชกุ 

– เครื่องดื่ม โออิชิ ฟรุตโตะ 

ทรูมูฟ ซิมฮักกัน ชุด อีสาน อิน เดอะซิตี้

ซัมซุง โน้ตบุ๊ก ซีรี่ส์ 9/โทรศัพท์มือถือแคนดี้

– คอนโดมิเนียม The Capital Condo ชุด Bedroom /ชุด Enjoy

 

ปี 2555 (ที่ออนแอร์ช่วงกุมภาพันธ์)

มันฝรั่งทอดกรอบเลย์ ชุด “Lay’s Story คัดสรรคุณภาพ” คู่กับ ญาญ่า

ยำยำ จัมโบ้ รสต้มยำกุ้งและต้มยำกุ้งน้ำข้น คู่กับ ญาญ่า/ชุด “ณเดชน์เนื้อหอมเลือกได้ ญาญ่าก็แซ่บเลือกได้”

]]>
14518
“เอ ศุภชัย” ซุป’ตาร์ปั้นได้ https://positioningmag.com/14522 Wed, 22 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14522

ดาราดังระดับซุป’ตาร์ของเมืองไทยเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น ณเดชน์ คูกิมิยะ อั้ม พัชราภา ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ, มาริโอ้ เมาเร่อ, ปู ไปรยา สวนดอกไม้ เคน ภูภูมิ, หมาก ปริญ ล้วนมาจากฝีมือของนักปั้นมืออาชีพ “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ทั้งสิ้น ความดังของซูเปอร์สตาร์เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ แต่ได้ผ่านกระบวนการคิด จับความต้องการของตลาดได้อยู่หมัด ทำให้ “ดารา” กับ “สินค้า” กลายเป็นของคู่กัน จังหวะการวางสินค้า รู้ว่าควรโปรโมตอย่างไร เวลาไหนควรเก็บเกี่ยว นับเป็นโมเดลที่น่าศึกษายิ่ง

ในฐานะนักปั้นดารา เอ ศุภชัย  ศรีวิจิตร เข้าใจในอาชีพวงการบันเทิงอย่างลึกซึ้ง เขารู้ดีว่าอาชีพนี้ต้องการ “ความสดใหม่” และ “จังหวะเวลา” มากกว่าอย่างอื่น 

การปั้นคลื่นลูกใหม่เข้าสู่วงการอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่ต้องทำคู่ไปกับการทำให้คลื่นลูกเก่าดำรงอยู่ได้ในระดับตำนานเหมือนอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และ ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ สองดาราดังในสังกัดเริ่มแรกของเอ ศุภชัย ที่ย่างก้าวเข้าสู่อาชีพ “ผู้จัดการดารา”  

หลังความสำเร็จของอั้ม พัชราภา และ ป๋อ ณัฐวุฒิ ที่ช่อง 7 ชื่อของ “เอ ศุภชัย” ก็ดังไม่แพ้ดาราหน้าเด้ง แถมยังสร้างผลงานเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ ปู ไปรยา สวนดอกไม้, เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, หมาก ปริญ สุภารัตน์, มาริโอ้ เมาเร่อ จนเวลานี้เขามีดาราในสังกัดมากมาย และพร้อมจะป้อนให้กับทุกช่องทุกแนวละคร ทั้ง 3, 5 และ 7 รวมถึงการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าที่เป็นของคู่กัน

แต่กว่าจะได้มาแต่ละคน เอ บอกว่า “ไม่ใช่เรื่องง่าย” สิ่งที่เขาต้องทำเป็นประจำจนถึงทุกวันนี้คือ ตระเวนเดินทางไปทั่วประเทศ แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อพบคนหน้าตาดีมีแวว เขาจะทาบทามพ่อแม่ ผู้ปกครองทันที แล้วรอวันที่พร้อม เพื่อปั้นเข้าสู่วงการ 

เขารู้แหล่งดีว่าจะเอาตัวเองไปเจอกับเด็กวัยรุ่นหน้าตาดีอย่างไร เช่น เดินทางไปเป็นกรรมการประกวด เพราะว่าสามารถเข้าถึง พูดคุยกับเด็กๆ เหล่านั้นอย่างใกล้ชิด บางครั้งเขาเดินทางไปถึงกัมพูชาเพื่อไปเป็นกรรมการประกวดของที่นั่น เพราะคิดว่าทุกวันนี้ตลาดที่เขาสามารถส่งเด็กไปสร้างความบันเทิได้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เมืองไทยอีกแล้ว ดังนั้นถ้าหากว่ามีเด็กท้องถิ่นที่พูดภาษาต่างๆ ได้ก็มีภาษีที่จะเจาะตลาดเพื่อนบ้านได้ดีกว่า  

เมื่อเอเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เด็กส่วนหนึ่งมาจากคนแนะนำ เช่นเคสของ เวียร์-ศุกลวัฒน์ ที่เพื่อนส่งรูปให้ดู แต่นักปั้นผู้นี้ก็ยังเดินทางไปดูด้วยตัวเองถึงขอนแก่น หรือกรณีของ หมาก-ปริญ ที่เข้าสู่สังกัดด้วยการแนะนำจากเพื่อนที่ทำงานโมเดลลิ่ง 

ล่าสุด เขาเพิ่งกลับจากงานวัดไทยในอเมริกา เอก็ได้หนุ่มลูกครึ่ง วัย 16 ปี แม่อีสานพ่อฝรั่ง สไตล์เดียวกับ ณเดชน์ เข้าสังกัดเรียบร้อยแล้ว เขาบอกอย่างมั่นใจว่า อีก 2 ปี เจอกัน วงการจะมีดาวดวงใหม่ที่ฮอตไม่แพ้ณเดชน์ 

ช่วงอายุของกลุ่มเด็กที่เอมองหา จะอยู่ที่ 16-17 ปี เพราะขารู้ว่าต้องฝึกให้หนักอีกหลายขั้นตอนกว่าจะส่งเข้าสู่วงการบันเทิงได้ บางคนต้องใช้เวลาเป็นปี

เอ จะมีเด็กในสังกัดที่เตรียมไว้เกือบทุกจังหวัดและต่างประเทศ และเมื่อได้เด็กมาแล้ว เอจะใช้บ้านหลังใหญ่ย่านถนนสุขาภิบาล 5 ตกแต่งอย่างดี ไว้รองรับบรรดาดาวดวงใหม่ เฉลี่ยเลือกปั้นครั้งละ 10  คน โดยมีคอร์สเรียนการแสดง, ร้องเพลง, พัฒนาบุคลิกภาพ, ออกกำลังกาย เพื่อให้มีร่างกายที่ฟิตแอนด์เฟิร์มเหมาะกับถ่ายแบบตามคาแร็กเตอร์ ซึ่งเอ ศุภชัยจะวาง Position ไว้ชัดเจน ทั้งการแต่งตัว การดูแลตัวเอง และการปรากฏตัวบนเวที ที่ต้องบ่มจนเป๊ะ ก่อนป้อนเข้าสู่วงการบันเทิง

เอ ศุภชัย บอกว่า แต่ละคนจะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 1 ล้านบาทต่อคน ที่ต้องลงทุนขนาดนี้ เพราะบางคนเข้าคอร์สแล้วยังสวยและหล่อไม่ “เป๊ะ” ก็จำเป็นต้องพึ่งมีดหมอที่เกาหลี ให้หน้าตาออกมาอินเทรนด์ รับกับมุมกล้องและตรงกับรสนิยมคนดูตามยุคสมัย  

“มีเด็กบางคนเคยถามว่า อยู่กับพี่เอมา 2 ปีแล้ว ยังไม่มีงานเลย เพราะเราจะไม่ปล่อยให้สินค้าไม่ดีออกสู่ตลาด เหมือนกล้วยยังไม่แก่ก็ขายแล้ว ถ้ารีบออกก็ต้องใช้แรงเยอะ เราต้องใช้หัวคิด หาจังหวะดีๆ แล้วค่อยออก”  

ถึงจะลงทุนลงแรงไปไม่น้อย แต่อัตราเฉลี่ย ปั้นแล้วใช้ได้ 9 ใน 10 คน ถือว่าเป็นตัวเลขที่คุ้มค่าเมื่อเทียบเม็ดเงินลงทุนกับการเก็บเกี่ยวเม็ดเงินรายได้ของเด็กในสังกัดและในฐานะผู้จัดการ จะได้รับเมื่อเข้าสู่วงการบันเทิง ที่จะมีทั้งงานแสดงละคร พรีเซ็นเตอร์ 

เขายกตัวอย่าง เนย โชติกา รับบทเป็นนางร้าย แต่เนื้องานที่ได้รับและรายได้ ไม่แพ้นางเอก 5 ดาว แต่อาจต้องเหนื่อยกว่า ความถี่ในการทำงานอาจต้องเยอะกว่า เพราะสุดท้ายที่ได้รับกลับคืนคือผลตอบแทนที่คุ้มค่า และมีอาชีพติดตัวไปตลอดชีวิต 

แม้แต่ณเดชน์เองที่เอไปพบ อายุแค่ 15 ปี เรียนอยู่ ม.4 ในจังหวัดขอนแก่น เขาต้องใช้เวลาบ่ม ถึง 2 ปีเต็มจึงพาเข้าสู่วงการ เริ่มจากรับงานเป็นจ๊อบเล็กๆ ก่อนผลักดันเข้าตลาดด้วยการเดินแบบ จากนั้นจึงเล่นละคร และเป็นพรีเซ็นเตอร์ 

“เอจะไม่ปล่อยเขาออกมาตอนยังเด็กเกินไป สินค้าเด็กอยู่ได้ไม่นาน แถมราคาก็ถูก ต้องรอให้เขาเป็นหนุ่ม ระหว่างนั้นก็ฝึกบุคลิกภาพ ฝึกแอคติ้ง ฝึกทุกอย่างเท่าที่จะป้อนให้ได้”

นอกจากฝึกบุคลิก และความสามารถแล้ว เด็กในสังกัดเอต้องผ่านการ “รับน้อง” เพื่อฝึกความ “อดทน” ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่เอ ศุภชัย เข้าใจเรื่องนี้ดี จะสวยหล่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องถูกใจคนจ้างงานด้วย

ยกตัวอย่าง ใหม่ ดาวิกา ถูก “รับน้อง” ด้วยโจทย์ที่เอให้ไปเอาใจคนสูงอายุ 100-200 คน โดยพาทัวร์ประเทศพม่า เขาให้เหตุผลว่า หากเอาชนะใจคนเหล่านี้ได้ก็เท่ากับชนะใจคนดูไปแล้วกว่าครึ่ง คนสูงอายุพวกนี้มีบทบาทมากในการบอกต่อ หรือบังคับลูกหลานให้มานั่งดูทีวีพร้อมกัน

“เวลาอยู่ที่บ้านเอก็เหมือนกัน เอจะให้เด็กกินเผ็ด ห้ามบ่นเรื่องอาหาร ไม่ให้เรื่องมาก เพราะเวลาอยู่กองถ่ายจะเรื่องมากไม่ได้ ต้องกินง่ายอยู่ง่าย คนเอ็นดูเรา ถ้ามีคน2 คนที่ความสามารถเท่ากัน ความสวยพอๆ กัน แล้วผู้จัดเขาต้องเลือก เขาก็ต้องเลือกคนที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจมากกว่า เด็กของเอต้องเป็นคนที่ใครๆ ก็พูดถึงว่าทำงานด้วยแล้วสบายใจ” เอเล่าไป หัวเราะไป ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ณเดชน์ คูกิมิยะ ก็เคยผ่านการฝึกความอดทนด้วยการนั่งรถทัวร์ไป-กลับกรุงเทพฯ ขอนแก่นมาแล้ว  

ช่อง 3 ความลงตัวของดีมานด์-ซัพพลาย 

สูตรการปั้นซุป’ตาร์ของ เอ ศุภชัย ไม่ได้อาศัยแต่ความสวยความหล่อเท่านั้น เขายังต้องดูจังหวะและโอกาสที่ดีด้วย การขยับจากการป้อนดาราในสังกัดให้กับช่อง 7 มาที่ช่อง 3 ก็เป็นการ “มองจังหวะ” และ “ทิศทางลม” ที่ถูกต้องทีเดียว เมื่อช่อง 3 ต้องการบุกหนักเรื่องละคร  “ดาราหน้าใหม่” จึงเป็นที่ต้องการมากสำหรับละครแนวใหม่ๆ ที่ผู้จัดละครโหยหาเพิ่มเป็นเท่าตัว เป็นจังหวะที่ลงตัวพอดีของเด็กในสังกัดเอ ศุภชัย ที่นิยมปั้นดาราตามเทรนด์สมัยใหม่ (อ่านล้อมกรอบ) 

ขณะที่ช่อง 7 ยังคงเน้นละครแนวเดิม นิยมใช้พระเอกหน้าไทย ดูมีอายุ ซึ่งเอ ศุภชัย ยืนยันว่า เขายังคงป้อนเด็กให้กับช่อง 7 ตลอดมา ทั้งเวียร์ ใหม่ ดาวิกา และอีกหลายคน เพียงแต่กระแสไม่ฉูดฉาดเท่าช่อง 3 

“ตอนที่ทำให้ช่อง 3 เอก็พูดกับผู้ใหญ่ช่อง 7 ว่าจะพาดาราบางส่วนไปอยู่ช่อง 3 นะ เพราะเทรนด์หน้าตาของช่อง 7 คนละแบบ ผู้ใหญ่ก็เข้าใจ เราต้องเคลียร์ให้ชัด สร้างความเข้าใจกัน เพราะเราเกิดที่นี่ ทุกวันนี้เอสามารถทำงานได้ทั้ง 2 ช่อง รวมถึงช่อง5 ค่ายเอ็กแซ็กท์ของคุณบอย เอก็ป้อนให้ตลอด อย่าง วิว วีรนุท และ สน ยุกต์ส่งไพศาล นี่ก็ใช่”

เมื่อกระแสละครช่อง 3 เบียดแซงหน้าช่อง 7 มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเป็นแรงส่งให้ดาราในสังกัดของเอ โด่งดังระดับซุป’ตาร์ จนเป็นที่มาของ “คอนเสิร์ต 4+1“ ที่เสี่ยประวิทย์ มาลีนนท์ เป็นต้นคิดของไอเดีย และให้เสิร์ชเอ็นเตอร์เทนเม้นท์จัดขึ้น ความดังในฐานะ “นักปั้นมือทอง” ทำให้ “เอ ศุภชัย” ขยับจากผู้อยู่เบื้องหลัง มาปรากฏกายบนเวทีคอนเสิร์ตได้อย่างน่าภาคภูมิใจ  พร้อมซุป’ตาร์ที่เขาปั้นมากับมือ 

Trend Setter ตัวแม่

เอ บอกว่า เขาป้อนดาราแล้วดังตลอด จนมาถึงจุดที่เป็น Trend Setterเมื่อกำหนดเทรนด์ได้แล้ว เป็นอำนาจต่อรองมากพอที่จะทำให้เด็กได้งานระดับท็อป ทั้งงานละครและงานพรีเซ็นเตอร์อยู่เสมอ   

“เราพูดครั้งแรกเขาอาจไม่เชื่อ เมื่อพูดแล้วถูกหมด เราก็ไม่ต้องไปตามเทรนด์ใครแล้ว  เวลานี้ถ้าบอกใครหล่อ คนทั่วไปก็เชื่อ เอจะบอกเจ้าของสินค้าได้เลยว่า ถ้าคุณไม่เชื่อคุณจะพลาด จะโดนเจ้าอื่นเอาไป แล้วถ้าคุณได้คนที่ไม่ใช่ไป คุณจะพลาดไปเรื่อยๆ นี่คือเทรนด์ที่เอ สร้างขึ้นมา” 

บนเส้นทางความสำเร็จของดาราในสังกัด เอบอกไม่ได้ว่าจะยืนยาวได้แค่ไหน แต่เราคิดว่าจะสามารถทำให้คลื่นลูกเก่ายืนอยู่ได้ในระดับเป็นตำนาน เหมือนอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และ ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ สองดาราดังรุ่นใหญ่ในสังกัด” ซึ่งเอยืนยันว่า ต่อให้มีดารามาใหม่อีก 100 คน ทั้งอั้มกับป๋อยังมีงานล้นมือทั้งละครและพรีเซ็นเตอร์ 

“และเราไม่หยุดแค่นั้น เราก็สร้างอาชีพต่อไปให้เขาต่อ เพราะเรารู้ว่าวงการนี้ขายความใหม่ ขายความสด และขายเวลา สุดท้ายจะต้องเดินไปเรื่อยๆ ไปข้างหน้า เด็กเกิดมาเยอะไปหมด คุณต้องทำใจให้ได้ว่าไม่มีทางจะดังตลอดไป ต้องมีคลื่นลูกใหม่เข้ามา แต่ทำอย่างไรให้เป็นคลื่นลูกเก่า แต่เป็นตำนานที่อยู่ได้ตลอดชีวิต”

ในการสัมภาษณ์ บ่อยครั้งที่เอ ศุภชัย จะพูดถึงตลาดต่างประเทศตลอดเวลา เพราะ “ดาราใหม่” ของเอในวันนี้ อาจไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศอีกแล้ว แต่เขามองไกลถึงต่างประเทศโน่น 

ความสำเร็จของมาริโอ้ ที่เอไปสร้างฐานไว้ที่ฟิลิปินส์รวมถึงประเทศจีน เอเชื่อว่าคนจีนจะตอบรับ “ณเดชน์” เหมือนคนทำหนังจะชอบ “มาริโอ้” ซึ่งเอก็ชอบเมืองจีน เพราะแม่เอมีเชื้อสายจีน คุณทวดมาจากเมืองจีน เอเคยพูดไว้ว่า ถ้าเราจะไปกินเงินเขา เราต้องศรัทธาในพื้นที่นั้นก่อน ถ้าจะไปทุกอย่างต้องเต็มเหนี่ยวและเป๊ะ  

“เออาจไปเอง หรือให้ลูกน้องไปดู แต่เราก็ไม่อยากให้ที่นี่ขาดคนปกครอง เราก็จะให้ลูกน้องไปช่วย และเชิญเขามาประเทศไทย มาคุยกัน มารู้จักตัวตนของกันและกัน”

เพราะอย่างที่บอก “ความสดใหม่” และ “เวลา” เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมาคู่กันเสมอ วันนี้ “เอ ศุภชัย” จึงเตรียมเปิดบ้านอีกรอบหลังจากเด็กในสังกัดเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมที่จะแยกครอบครัวซึ่งเปรียบเสมือน “กงสี” ที่ทุกคนอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง 

เด็กๆ ที่ได้รับการทาบทามไว้ 10 คน ที่เขาเตรียมไว้ตามหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งในต่างประเทศ ก็จะเดินเข้าบ้าน และพร้อมจะเป็นคลื่นลูกใหม่ในวงการบันเทิงต่อไป นี่คือภาระหน้าที่ที่ท้าทายและน่าสนุกของคนชื่อ “เอ ศุภชัย” นักปั้นมือทอง สาวกแบรนด์เนม “Hermes” ผู้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในวันนี้ 

สูตรลับนักปั้น

Recruit

– เล็งจากเวทีประกวด เพราะว่าเข้าถึงตัวเด็กได้เลย

– ตระเวนหาตามแหล่งชุมชนไทยในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง  

– ตัวเด็กเข้ามาสมัครเองจากแบรนด์ของ เอ-ศุภชัย ที่ใครๆ ก็รู้จักว่าเป็นนักปั้นมือทอง

– ช่วงแรกของชีวิตนักปั้น เอ-ศุภชัย จะเลือกพระเอกคมเข้มแต่มีดีกรีนักเรียนนอกอย่าง ป๋อ-ณัฐวุฒิ หรือบัณฑิตเกียรตินิยมอย่าง โน้ต-วัชรบูล ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นดาราวัยรุ่นให้รับกับเทรนด์

Training

– ฝึกการแสดง, ร้องเพลง, บุคลิกภาพ ทำให้เด็กมีพื้นฐานในวงการบันเทิงก่อน ผู้จัดจะได้ใช้งานสะดวกขึ้น มาตรฐานอยู่ที่ เอ-ศุภชัย ว่าจะให้ผ่าน และส่งเข้าสู่สนามจริงหรือไม่ 

– ออกกำลังกาย รักษาหุ่น นักแสดงโดยเฉพาะผู้ชายจะมีคอร์สออกกำลังกายที่มีผู้เชี่ยวชาญมาดูแลรักษาหุ่น และดูแลเรื่องอาหารการกิน 

– การแต่งกาย แต่งหน้า ทำผม ในระดับหนึ่ง การแต่งตัวของดาราเวลาออกงาน เอ-ศุภชัย จะใช้วิธีการตัดชุดโดยดูแบบจากเกาหลี หรือดูแค็ตตาล็อกเสื้อผ้าแบรนด์เนม 

 – ฝึกความอดทนกับการทำงานในวงการบันเทิง ทั้งเรื่องกิน การมีปฏิสัมพันธ์กับทีมงานในกองถ่าย

– เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เรื่องการปรากฏตัวบนเวที เช่น มุมกล้องถ่ายรูป การเดิน ที่ทั้งหมดต้องโชว์มุมที่ดีที่สุดของตัวเองตลอดเวลา  

กระแสสร้างได้

– ตั้งชื่อให้กับเด็กในสังกัด โดยต้องเป็นชื่อที่สะดุดหู งานนี้ไม่ต้องดูดวงที่ไหน เอ-ศุภชัย ฟันธงด้วยตัวเอง 

– เลือกช่องทางให้เหมาะกับความสามารถ และบุคลิกของเด็กในสังกัด

– ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ ทั้งข่าวเชิงบวกและข่าวแง่ลบ ก็ช่วยโปรโมตได้ทั้งนั้น

– ขึ้นปกนิตยสารดังในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อทำให้ผู้ชมติดตา

Remain

– วาง Position ให้ดารา มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน 

– เลือกรับงานที่ถนัด ถ้าหากว่าไม่ถนัดก็ไม่ปล่อยให้งานที่ไม่มีคุณภาพออกสู่สายตาผู้ชม (อั้ม พัชราภา ไม่เคยร้องเพลงในงานไหนเลย)  

– รักษาคุณภาพงานต่อเนื่อง มีข่าวอยู่ตลอด ไม่ให้หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ 

]]>
14522
บริหารเงินแบบ เอ ศุภชัย https://positioningmag.com/14524 Wed, 22 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14524

นอกจากบ้านในกรุงเทพฯ ราคา 50 ล้านบาท การสะสมรายได้ของเอ ศุภชัย เท่าที่เขาเปิดเผยได้ จะอยู่ในรูปเงินสด และซื้อที่ดิน เริ่มมาจากการได้ที่ดินมรดกจากปู่ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชบ้านเกิดของเขา จำนวน 100 ไร่ จากนั้นเขาก็ทยอยซื้อเพิ่ม ปลูกเป็นสวนยาง 

เงินอีกส่วนจะหมดไปกับการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม Hermes เป็นอีกความคลั่งไคล้ที่เขามีไม่ต่ำกว่า 20 ใบ เอบอกว่าส่วนหนึ่งน้องๆ ในสังกัดซื้อให้เป็นของขวัญ 

นอกจากนี้เขาลงทุนเปิดร้านขายเสื้อผ้า A’rea ในห้างทีสแควร์ คอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ ย่านทาวน์อินทาวน์ และเพิ่งลงทุนร่วมกับเมย์ เฟื่องอารมณ์ เพื่อนรุ่นน้องตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยรังสิต เปิดร้านส้มตำ 3แห่ง ใช้ชื่อ ตำแหล ที่รัชโยธิน หลังการบินไทย และอิมพีเรียลสำโรง ซึ่งเอบอกว่าเปิดเล่นๆ สนุกๆ 

กว่าจะมาเป็น เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร

เอ ศุภชัย พื้นเพเป็นคนนครศรีธรรมราช พ่อเป็นอาจารย์ เพิ่งปลดเกษียณ ตำแหน่งสุดท้ายรองผู้อำนวยการโรงเรียนในอำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพี่น้อง 3 คน เขาเป็นคนโต น้องสาวคนที่สองทำงานเป็นเภสัช คนสุดท้องเปิดโรงเรียนกวดวิชาที่สุราษฎร์ธานี

เอเล่าว่า ใฝ่ฝันอยากเป็นดาราคาตั้งแต่เด็ก มาเรียนต่อคณะวิศวโยธา มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เข้าร่วมกิจกรรมในชมรมหน้าต่างใจ ได้รับการแนะนำจาก “หมอหยอง” สุริยัน อริยวงศ์โสภณ ซึ่งให้ไปเป็นผู้จัดการให้ยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี และไปเล่นเป็นตัวประกอบในละคร ได้เงินครั้งละ 400-500 บาท เป็นการจุดประกายครั้งแรกที่ได้สัมผัสวงการ

เรียนจบ เอก็รวบรวมเงินเก็บบินไปอยู่อังกฤษ 1 ปี ไปเรียนทำอาหาร ช่วงนั้นเองได้เจอไปกับ แองจี้ เฮสติ้ง ซึ่งเรียนอยู่นั่น จึงแนะนำให้มาเป็นผู้จัดการให้กับอั้ม พัชราภา ได้เงินเดือนก้อนแรก 8,000 บาท ต่อมาได้มาเป็นผู้จัดการให้ ป๋อ ณัฐวุฒิ เพื่อนรุ่นน้อง  จึงผลักดันแจ้งเกิดที่ช่อง7 ซึ่งกำลังต้องการ พระเอกจบจากอังกฤษหน้าไทยๆ เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางนักปั้นมือทอง 

จนวันนี้เอ-ศุภชัยมีเด็กในสังกัดมากกว่า 50 คน ตลอดระยะเวลาการทำงานของเขา ได้เอาประสบการณ์ในชีวิตของตัวเองทั้งเรื่องของการเป็นอดีตนักโต้วาทีประจำโรงเรียน และการเรียนวิศวะ ที่ทำให้มองทุกอย่างเป็นระบบ หล่อหลอมให้กลายเป็นนักปั้นที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้  

ด้วยความที่เข้าใจ P-Product ของตัวเองเป็นอย่างดี ว่าเหมาะกับตลาดแบบไหน และพร้อมปรับปรุงคุณภาพสินค้าอยู่เสมอ และรู้จักการตั้งราคา Price ที่สร้างความพึงพอใจกับผู้ว่าจ้างและตัวศิลปิน ด้วยอัตราที่เอ-ศุภชัยพูดว่า “ถ้าเจ้าของสินค้าจ่ายให้เรา 1 ก็ต้องได้กลับไป 10” กับการวางตำแหน่งสินค้าให้ถูกที่ถูกทาง ถูกรสนิยมคนดูตามนโยบายของสถานี 

]]>
14524
Facebook แฟนคลับจัดให้ https://positioningmag.com/14516 Tue, 21 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14516

“ณเดชน์ คูกิมิยะ” รู้ดีว่าเขาไม่ควรจะเข้ามาเล่นเฟซบุ๊ก หรือใช้โซเชี่ยลมีเดียเพื่อโปรโมตตัวเอง ดังนั้น สื่อโซเชี่ยลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ ที่เคลื่อนไหวในปัจจุบันคือฝีมือของแฟนคลับ และคนเบื้องหลังที่ช่วยดันเขา

นี่คือหลักการที่บอกยุทธศาสตร์การสื่อสารอย่างดีว่าในยุคนี้ ถ้าแบรนด์หรือสินค้ามาพูดถึงตัวเอง คนก็จะไม่เชื่อ ไม่สนใจ หากเทียบกับการให้คนอื่นบอกหรือพูดแทน ที่ไม่เพียงทำให้น่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความรัก และเกิดสังคมที่รัก “ณเดชน์” ขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน

แม้แต่ละเครือข่ายโดยส่วนใหญ่จะมีจำนวนหลักพัน แต่หลักพันนี้ก็เป็นกลุ่มที่แอคทีฟ แบบปฏิบัติการ Update อย่างต่อเนื่อง ชนิดที่ว่า “ณเดชน์” ไปไหน แฟนคลับไปด้วย ที่ไม่เพียงมาตัวเปล่า แต่ยังมีของเล็กๆ น้อยๆ เป็นตัวแทนแสดงความห่วงใยที่มีให้กับดาราที่ตัวเองชื่นชอบ ที่สำคัญยุคนี้ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์ถ่ายรูป วิดีโอ เพื่อนำไปโพสต์ให้เพื่อนๆ ที่รักดาราคนเดียวกันนี้ได้เห็น กด Like Comment Share กันเกือบทุกวัน

ในสถานที่ หรืออีเวนต์ที่ “ณเดชน์” ไปออกหากเป็นสถานที่เปิด และแฟนคลับได้มีโอกาสเข้าถึง “ณเดชน์” ก็จะมีโอกาสที่ทักทายกันเต็มที่ คุยกันแบบตัวเป็นๆ กลายเป็นการเข้าถึงง่ายที่ทำให้แตกต่างกับซูเปอร์ตาร์บางคนที่ยิ้ม ทักทายแบบตามหน้าที่ หรือถ้ายิ่งเทียบกับดาราเกาหลี ดาราต่างชาติ ที่คุมเข้มด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุด ทำให้ช่องว่างระหว่างแฟนคลับที่อยากใกล้ชิดดารากว้างจนเกินไป 

ระบบของสื่อสารกับแฟนคลับ “ณเดชน์” นั้นจะมีผู้จัดการส่วนตัว ที่เป็นผู้ที่ติดตาม “ณเดชน์” ตลอดเวลา ชื่อ “ณี” คอยสื่อสารกับแฟนคลับ ผ่านแกนนำกลุ่มแล้วไปกระจายต่อกันเอง ซึ่งกฎของแฟนคลับจะเป็นที่รู้กันเองว่า ใกล้แค่ไหนถึงเรียกว่าพอดี

“จะไม่ไปตามที่กองถ่ายคะ เพราะไปรบกวนเวลาทำงานของน้อง” แฟนคลับคนหนึ่งที่มารอส่ง “ณเดชน์” นานกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว และได้เจอแค่ตอน “ณเดชน์” เสร็จจากการโชว์ตัวและเดินขึ้นรถเท่านั้น

แต่น้องบางคนที่เป็นทีมแอดมินเพจ ก็จะมาร่วมในงานตลอดการโชว์ตัวเพื่อบันทึกภาพไปเผยแพร่ ซึ่งก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากทีมงานของณเดชน์ และเจ้าของงาน 

แหล่งที่ท็อปฮิตในการติดตามข่าวสารของ “ณเดชน์” ก็มีที่เฟซบุ๊กเป็นส่วนใหญ่ เช่นที่

Nadechworld มี Like 45,105 Talking about this 6,059 (ณวันที่ 4 ก.พ.2555) เป็นเพจที่โพสต์ไม่บ่อย แต่เป็นระยะๆ  ลิงค์กับเว็บ www.nadechworld.com ที่มีสมาชิกอยู่ประมาณ 6,000 คน ที่เป็นเว็บบอร์ดที่พูดคุย โพสต์รูป และกิจกรรมต่างๆ 

นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลาย เช่น ที่ Nadedkukimiya มี Like 379,269 talking about this 3,347 แต่ไม่ได้แอคทีฟนานแล้ว โพสต์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม  2554 โดยแอดมินประกาศปิดเพจตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 ส่วนเพจที่ยังคงคุยต่อเนื่อง เช่น NadechKugimiya มี Like 5,340 talking about this 74  

นอกจากนี้ยังมีแฟนคลับที่ติดตาม “ณเดชน์กับญาญ่า” ที่แฟนคลับยกให้เห็นคู่ขวัญ และเรียกว่าเป็นลูกชาย ลูกสาว เช่น ที่ NadechYayaClub ในนามของNadechYaya.com มี Like 14,810 Talking about this 4,536  ที่NYHOMEPantip มี 4,094 talking about this 2,443 นอกจากเฟซบุ๊กแล้วยังมีพันทิพดอทคอม ที่บ้าน NYClub ที่อัพเดตเรื่องราวของดาราทั้งสองคนอย่างต่อเนื่อง

“ณเดชน์” ในยุคที่มีโซเชี่ยลมีเดีย เฟซบุ๊ก เป็นโลกอีกใบหนึ่ง ทำให้เขาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็ว ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้ชมอย่างเต็มที่ พลังนี้จึงสำคัญ ที่ไม่อาจมองข้ามได้

]]>
14516